“นิพิฏฐ์” หมั่นไส้ “เพนกวิน” เตือน “3 นิ้ว” เล่นกับ ม.112 ไม่สนุก อย่าตายประชดป่าช้า “สมยศ” ยักไหล่ ไม่สะท้านหมายเรียกพร้อม อานนท์-บิ๊กกวิน “โตโต้” เย้ย ใช้กำลังดูแล wevo 3 กองร้อย ถ้าไปทุกที่จะเอา 3 กองร้อยจากไหน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (17 ธ.ค. 63) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกล่าวถึงกรณีการดำเนินคดีมาตรา 112 ว่า
“อย่าตายประชดป่าช้า ผมเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินทางเข้ามอบตัวกันทุกวัน โดยเฉพาะการมอบตัวตามข้อหามาตรา 112 อยากจะบอกน้องๆ ผู้ชุมนุม ว่า ปกติความผิดตาม ม.112 ไม่ค่อยได้ประกันตัวหรอก หรือหากได้ประกันตัวก็จะต้องมีหลักทรัพย์มาวางเป็นหลักประกัน แต่ตอนนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมที่เดินทางเข้ามอบตัวเดินซดกาแฟ ดูดชาไข่มุก เดินขึ้นสถานีตำรวจกันแบบสบายๆ ชิว ชิว มอบตัวเสร็จก็เดินทางกลับบ้าน โดยพนักงานสอบสวนมิได้ควบคุมตัว นี่คือ สิ่งที่แปลกไปจากเดิม ถ้ายังไม่รู้ก็รู้เสีย
น้องๆ กลุ่มผู้ชุมนุมบางคน เพิ่งเรียนกฎหมายอยู่ปี 3 บางคนเพิ่งจบมาปี สองปี ยังไม่รู้ว่า คำฟ้อง หรือ คำพิพากษาหน้าตาเป็นอย่างไร ผมนี่จบมา 40 ปีแล้ว ในช่วง 40 ปีนี่ ผมใช้กฎหมายมาตลอด เห็น เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ แต่งกายเป็นผู้หญิง ใส่ชุดแดง ทาปากแดง ไปเชียร์ผู้ที่มามอบตัวแล้วผมหมั่นไส้ ลองฟังผมหน่อยเถอะ คำพูด หรือ ข้อเขียนที่น้องๆ ใช้พูดหรือเขียนในการปราศรัยนั้น ผมฟังและอ่านมาตลอด นี่ถ้าให้ผมเป็นทนายความว่าความให้ ผมยังนึกไม่ออกว่าจะสู้คดีอย่างไร จึงจะชนะ ใครเป็นที่ปรึกษากฎหมาย หรือเป็นทนายความให้น้องๆ ผมว่าเราควรเคารพวิชาชีพกฎหมาย บอกน้องๆ ไปตามจริงเถอะว่า เขากำลังจะเผชิญกับอะไร
เมื่อน้องๆ มอบตัวแล้ว ต่อไปน้องๆ ก็ต้องไปอัยการ-ไปศาล-ไปเรือนจำ หรือ ดีหน่อยก็อาจได้กลับบ้าน วัฏจักรของคดีความมันไม่หนีไปจากนี้หรอก อย่าตายประชดป่าช้าเลย ไม่มีประโยชน์หรอก คนที่เชียร์ อย่างดีก็ทำได้เพียงไปวางดอกไม้จันทน์ แล้วกลับบ้าน ดีขึ้นไปหน่อยก็ไปช่วยลอยอังคาร แล้วต่างก็กลับบ้าน บ้านใคร บ้านมัน แค่นั้นแหละ!!”
ทั้งนี้ ที่ สน.ยานนาวา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำคณะราษฎร แต่งกายด้วยชุดไทยสีแดง พร้อมโปะแป้งทาปากด้วยสีจัดจ้านก่อนขึ้นกล่าวบนเวทีว่า ตนมาเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ประสบภัยจาก ม.112 ในฐานะผู้ต้องคดีเดียวกันด้วย ซึ่งกฎหมายข้อนี้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ไม่มีอารยประเทศยอมรับ แม้กระทั่งการแต่งกายด้วยชุดไทย ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าไปผิดกฎหมายข้อนี้ได้อย่างไร ปากก็บอกให้อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย แต่พอแต่งชุดไทยก็ถูกคดี แม้ น.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือ ทราย แจกข้าวก็โดน ต่อไปหากแม่ตนให้ค่าขนมอาจโดนด้วยหรือไม่
ขณะเดียวกัน น.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือ ทราย ได้มาร่วมให้กำลังใจ พร้อมกล่าวว่า ตนก็ยังสับสนว่า ไปทำอะไรจึงถูกหมายเรียกข้อหา ม.112 ทั้งที่ตนก็ไม่ได้ทำอะไรมากเป็นพิเศษ กลายเป็นว่า ใครจะแจ้งความในความผิดฐานนี้ก็ได้หรือไม่ หลังจากนี้หากถูกหมายอีกก็ไม่กังวล เพราะมันไม่สมเหตุสมผล และยังคงจะเดินหน้าทำกิจกรรมต่อไป
ขณะเดียวกัน นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนายนประชาธิปไตย และแนวร่วมกลุ่มราษฎร ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“โบนัส ม.112 ส่งท้ายปีเก่า ได้รับเกียรติจากเพนกวิน เชิญให้ขึ้นเวทีปราศรัยหน้ากรมทหารราบ 11 เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2563 แล้วก็ได้รับคดีตามมาตรา 112 ไปกับเขาด้วย ขอบคุณที่ไม่ตกหล่นผมและไม่ลืมกัน ไปรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกับทนายอานนท์ เพนกวิน และ ทราย ในวันที่ 21 ธันวาคม เวลา 10.00 น. ที่ สน.บางเขน
ตลอดปีนี้ รวมแล้วได้คดี ม.112 สองคดี ส่วน ม.116 รวม 2 คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1 คดี พ.ร.บ.ความสะอาด 4 คดี เครื่องขยายเสียง 4 คดี พ.ร.บ.ชุมนุม 2 คดี ยังน้อยกว่าเพนกวินและทนายอานนท์ ถือว่ายังทำงานได้น้อยกว่าคนอื่นๆ ปีหน้าจะทำงานให้หนักขึ้น จะได้เงินเบี้ยขยันกับโบนัสงามๆ นะครับ และจะไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่นเขา
Thailand : Land of compromise ! I love you จุ๊กกรู”
ส่วนที่ สน.บางโพ น.ส.ภัสราวลี หรือ มายด์ ธนกิจวิบูลย์ผล, น.ส.จุฑาทิพย์ หรือ อั่ว ศิริขันธ์, นายทัตเทพ หรือ ฟอร์ด เรืองประไพกิจเสรี, นายชนินทร์ หรือ บอล วงษ์ศรี, นายเกียรติชัย หรือ บิ๊ก ตั้งภรพรรณ เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ม.112 จากการปราศรัยการชุมนุมที่แยกเกียกกาย เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา
น.ส.ภัสราวลี เปิดเผยว่า ทั้งหมดเดินทางมารับทราบข้อหาตามหมายเรียก โดยทางตำรวจยังไม่ระบุว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองมีความผิดในส่วนใด โดยขณะนี้ได้รับหมายเรียกใน ม.112 แล้ว 2 คดี ส่วนคนที่เหลือก็เพิ่งได้รับหมายเรียกในมาตราดังกล่าวครั้งแรก
ทั้งนี้ กรณีการบังคับใช้ ม.112 เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลมีจุดประสงค์ทางด้านการเมืองโดยเฉพาะ เพื่อต้องการให้ประชาชนเหนื่อยและกลัวกับอัตราโทษที่สูงของกฎหมายดังกล่าวที่ถูกบังคับใช้มาโดยตลอด ต้องกลับมาดูว่าการใช้ ม.112 ของรัฐบาล ไปแก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ หรือเป็นไปตามเกมของรัฐบาล แต่ถึงอย่างไรการชุมนุมก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน ส่วนตัวมองว่ารัฐบาลจนมุม จึงบังคับใช้ข้อกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้ ยืนยันจะปฏิเสธตลอดทุกข้อกล่าวหา
สำหรับ นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ “โตโต้” หัวหน้ากองกำลังมวลชนอาสา หรือ วีโว่ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กกล่าวถึงกรณีเยาวชนอายุ 16 ปี เดินทางเข้ารับทราบข้อหา 112 ว่า สวัสดีประชาชน เห็นบรรยากาศ การต้อนรับ wevo ดำเนินแล้ว ก็ชื่นใจ ที่พี่ๆตำรวจให้เกียรติและเตรียมต้อนรับประชาชน และ wevo ที่ สน.ยานนาวา ด้วยความขยันขันแข็ง และอบอุ่นเช่นนี้ ทราบว่าใช้ จนท. ตำรวจควบคุมฝูงชนจำนวน 3 กองร้อย สำหรับภารกิจนี้
พี่น้องประชาชนลองคิดดูสิครับว่า ถ้าขืนตำรวจยังรับแจ้งความร้องทุกข์ด้วย มาตรา 112 มั่วๆ เช่นนี้อีก แล้ว wevo ตั้งเป้าว่าจะชวนกันไปทุกคดี ทุก สน. เฉกเช่น สน.ยานนาวา วันนี้ แล้วพี่ๆ จะเอากำลัง 3 กองร้อยมาทุกครั้ง ทุกคราไปเฝ้า สน. ได้อย่างไร มันคงไม่สนุกเหมือนตอนพี่ๆ เหวี่ยงแห แจ้งความจับเขาแน่ๆ ก็จะได้รู้กันไปว่า ม.112 จะทำให้คนกลัว หรือกล้าขึ้น ผมก็อยากรู้เหมือนกัน #ยกเลิก112 #wevo
มีรายงานข่าวว่า เยาวชนวัย 16 ปี ที่ถูกตั้งข้อหา มาตรา 112 โดยถูกออกหมายเรียกพร้อมกับ น.ส.จตุพร แซ่อึง วัย 23 ปี สมาชิกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “บุรีรัมย์ปลดแอก” ซึ่งสวมชุดไทยเข้าร่วมงานเดินแฟชั่นในงาน “ศิลปะราษฎร” เมื่อวันที่ 29 ต.ค.
และหมายเรียก 2 ผู้ต้องหา เป็นผลจากการเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษของ น.ส.วริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์ หรือ “แอดมินเจน” หนึ่งในแอดมินเพจสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ใช้ชื่อเพจว่า “เชียร์ลุง”
“แอดมินเจน” ระบุผ่านเพจว่า เธอเป็นผู้แจ้งความไว้ที่ สน.ยานนาวา ภายหลังสอบถามความเห็นสมาชิกในเพจกว่า 20,000 รายแล้วเห็นด้วยให้ดำเนินการ
แน่นอน, เป็นไปตามที่ “กูรู” หลายคนคาดหมายเอาไว้ว่า หลังการชุมนุมยุติ ไม่ว่าพักยกหรือ จบลงตามสถานการณ์ แกนนำ และผู้ถูกกล่าวหา ก็จะต้องพาเหรดกันไปรับทราบข้อกล่าวหา และถูกดำเนินคดีไปสู่ศาลสถิตยุติธรรม นี่คือ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ อย่างชัดเจน ไม่มีข้ออ้างให้ยกเว้น หรือ ละเว้นกฎหมายทั้งสิ้น ตราบที่การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองยังไม่สำเร็จ หรือ การเคลื่อนไหวให้ยกเลิก ม.112 ยังไม่สำเร็จ
ประเด็นก็คือ แกนนำม็อบเยาวชนปลดแอก ภายใต้การนำของ คณะราษฎร 2563 ทำผิดกฎหมายตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะส่งฟ้องศาล และศาลพิจารณาตัดสินอย่างไร ไม่มีอะไรเกินเลยไปจากนี้ และประชาชนทุกคนก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นนี้ ไม่มีใครได้อภิสิทธิ์เหนือใคร
มีแต่คณะราษฎร 2563 เท่านั้น ที่พยายามจะใช้พลังมวลชนกดดัน ยกเลิก ม.112 เพื่อตัวเอง จะได้หมิ่นประมาทเบื้องสูง โดยไม่มีความผิด ก็น่าคิดอยู่ว่า เรียกร้องเพื่อต้องการเป็น “อภิสิทธิ์ชน” อย่างที่พยายามกล่าวหาคนอื่นเป็น “อภิสิทธิ์ชน” หรือไม่
ที่น่าสังเกตก็คือ การชุมนุมประท้วง เรียกร้องของชาวไร่ชาวนา กลุ่มเกษตรกรรายย่อยที่ผ่านมา ถือเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะพวกเขาชุมนุมประท้วงโดยสันติ ปราศจากอาวุธอย่างแท้จริง และแกนนำก็ดูแลการชุมนุมเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เข้าข่ายทำผิดกฎหมาย หรือ ก่อให้เกิดความรุนแรง ดังนั้น น้อยนักที่แกนนำจะถูกดำเนินคดีร้ายแรง และจำนวนคดีก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งๆที่พวกเขาเหล่านั้น มีความทุกข์ร้อนยิ่งกว่า ม็อบคณะราษฎร 2563 หลายเท่า
ดังนั้น สิ่งเดียวที่บรรดา “กูรู” ด้านกฎหมาย ที่มิใช่ “อีแอบ” หลอกใช้เด็ก ออกหน้าชุมนุมประท้วงแทนตัวเอง ต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า เสียดายอนาคตเด็กและเยาวชนเหล่านี้ เพราะวันหนึ่ง พวกเขาจะลงจากเวที “ฮีโร่” มาเป็นคนธรรมดา มาอยู่ร่วมกับสังคมที่พวกเขาไม่พึงปรารถนา มาอยู่กับผู้คนที่เขาแบ่งฝักแบ่งฝ่าย พวกเขาจะทำใจได้หรือไม่ แต่ถ้าพวกเขาชนะได้เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมือง ไม่ต้องแคร์ใครก็แล้วไป
เหนืออื่นใด สิ่งที่พวกเขาต่อสู้ ยิ่งสู้ก็ยิ่งพาตัวเองถลำลึกในการเป็นปฏิปักษ์ต่อคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ยังมีคนรุ่นจงรักภักดีต่อสถาบันอยู่ทั่วประเทศ และยากที่จะใช้รุ่นของพวกเขาทำให้มันจบลงอย่างง่ายดาย ถ้าไม่ตาบอดหูหนวกจนเกินไป หรือแกล้งทำเป็นตาบอดหูหนวก
รวมทั้งน่าคิดว่า ม.112 ก็คือ ปราการด่านสุดท้าย ก่อนถึงเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ “สถาบันฯ” ได้ ดังนั้น แม้ยกเลิกไม่ได้ แต่การทำให้ ม.112 ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาเกลื่อนไปหมด แต่ลงโทษใครไม่ได้ ก็อาจเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่วางหมากเกมเอาไว้แล้ว ก็ไปได้???