เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าพยายามหาสัญลักษณ์ใหม่เพื่อเรียกร้องความสนใจให้กับบรรดาผู้สนับสนุน “ม็อบสามนิ้ว” ให้สามารถ “เลี้ยงกระแส” ในระดับที่เคยเป็นมาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะล่าสุดจากการใช้สัญลักษณ์ในรูป “ค้อนกับเคียว” และแม้ว่าจะมองในรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษในแบบ “RT” ที่ย่อจาก “RESTART THAILAND” แต่เมื่อเป็นรูปค้อนเคียว มันก็มีความหมายเป็นสัญลักษณ์ของ “คอมมิวนิสต์” ที่ถือว่าเป็น “เผด็จการตัวพ่อ” และอยู่ตรงข้ามกับ “ประชาธิปไตย” กันคนละโลก ซึ่งถือว่าย้อนแย้งแบบ “พิลึกกึกกือ”
ขณะเดียวกัน มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้คนในลังคมต่างพร้อมใจกันให้ความเห็นออกมาแบบ “ตลกขบขัน” สนุกสนานครื้นเครงกันเลยทีเดียว พร้อมกับตั้งคำถามว่า ตกลงจะเอาแบบไหนกันแน่ “ประชาธิปไตย” สามนิ้ว ที่บอกว่าต้องการเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ แต่เมื่อโชว์ “ค้อนเคียว” ออกมา ก็ย่อมทำให้หลายฝ่ายที่ติดตามเรื่องนี้ ต่างต้องเอามือทาบอก อุทาน “ไอหยา” กันออกมาดังๆ เพราะนี่มันสุดยอดเผด็จการ อำนาจนิยมชัดๆ เพราะแม้แต่พวกเดียวกัน อย่างเช่น นายอานนท์ นำภา หนึ่งในแกนนำม็อบสามนิ้ว ยังต้องรีบออกมาเบรก บอกว่า “ชินกับสามนิ้วมากกว่า”
เอาเป็นว่า การปล่อยสัญลักษณ์ “ค้อนเคียว” ออกมาดังกล่าว ตามหน้าเพจของกลุ่มที่เรียกว่า “เยาวชนปลดแอก” อาจเป็นเพราะ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” หรือไร้ประสบการณ์ รวมไปถึงไม่ค่อยคุ้นกับสัญลักษณ์พวกนี้มาก่อน แต่อาจเพื่อต้องการแสดง “ความเท่” ออกมา เหมือนกับหลายคนที่ชื่นชอบในภาพของ “เช กูวรา” อดีตนักปฏิวัติชาวโบลิเวีย นั่นแหละ
อีกด้านหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นว่า บรรดาแกนนำหรือคนที่ขับเคลื่อนการเคลื่อนไหว มันไร้ประสบการณ์ ไม่ได้มีความคิดอ่านที่ “แหลมคม” ที่พอจะฝากความหวังอนาคตได้เลย ดีไม่ดีจะสร้าง “ภาระ” ให้กับสังคมเสียอีก หากคิดจะเดินตามเด็กๆ พวกนี้ ในทางตรงกันข้ามในสังคมภายนอกน่าจะมีความรู้ มีประสบการณ์มากกว่า มีหน้าที่การงาน และเสียภาษีมากกว่า
เพราะหากทอดตามองกันออกไปจะเห็นว่า แกนนำผู้ชุมนุมทั้งพวก “ม็อบสามนิ้ว” และ “ม็อบค้อนเคียว” ไล่เรียงกันไปตั้งแต่ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นายภาณุพงศ์ จาดนอก คนพวกนี้ยังเป็นแค่นักศึกษา บางคนยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง หรือ นายอานนท์ นำภา ที่มีอาชีพทนายความ มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายแค่ไหนไม่รู้ เพราะเมื่อได้เห็นคดีที่ติดตัวนับร้อย อนาคตต้องเดินทางไปลุ้นคดี ว่าจะออกหัวหรือก้อยเป็นรายวันแทบทั้งปี จนน่าสงสัยว่า เขารอบรู้กฎหมายจริงหรือไม่
แม้ว่าการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอาจไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ขณะเดียวกัน มันก็ต้องสอดคล้องกับความเห็นและความต้องการของคนส่วนใหญ่ด้วย เหมือนกับในเวลานี้พวกม็อบสามนิ้ว ที่กำลังกลายพันธุ์มาเป็นม็อบค้อนเคียว เรียกร้องให้มีการ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” ในความหมายแบบ “ล้มล้าง” ที่คนส่วนใหญ่เกินกว่า ร้อยละ 90 ไม่เห็นด้วย มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะถือว่า “เลยเถิด” เกินกว่าจะรับได้ และยิ่งเมื่อพิจารณาองค์ความรู้ แนวความคิดของแกนนำแต่ละคนที่สะท้อนออกมาให้เห็นชัดเจนแล้วว่า อยู่ในระดับพื้นๆ ไม่ได้โดดเด่นใดๆ เลย พิสูจน์ให้เห็นตามรายทางที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่ถูกระบุว่า เป็นผู้สนับสนุนรายสำคัญ อย่าง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เวลานี้กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะกำลังถูกสังคมตั้งคำถามในเรื่อง “ปากว่าตาขยิบ” ต้องการให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่น้องชายของตัวเอง คือ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ กลับมีปัญหาในเรื่อง “จ่ายสินบน” ใต้โต๊ะ เพื่อหวังฮุบที่ดินแปลงงานของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่แน่ว่าจะสาวไปถึงนายธนาธร หรือไม่ เพราะขณะเกิดเหตุ ในช่วงปี 2560 หรือก่อนหน้านั้น นายธนาธร อาจจะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มี นายสกุลธร เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ด้วย และแม้ว่าจนถึงขณะนี้ นายธนาธร ยังไม่ยอมให้ความเห็น หรือสื่อบางสื่อไม่ยอมตั้งคำถามก็ตาม แต่เมื่อสังคมข้องใจ วันข้างหน้าก็ต้องตอบอยู่ดี
ดังนั้น หากให้สรุปในเวลานี้ ถือว่ายิ่งนานพวกม็อบสามนิ้ว หรือ ม็อบค้อนเคียว ยิ่งออกทะเล ชักกู่ไม่กลับ มวลชนเริ่มร่อยหรอลงทุกวัน สิ่งที่สังเกตได้จากความ “หวั่นไหวของแกนนำ” ที่พยายามโพสต์ปลุกเร้าอยู่ตลอดเวลา เช่น อ้างว่าจะ “ถูกเก็บ” หรือ “ถูกอุ้ม” สารพัด แต่ก็ไม่ได้ผล ยิ่งนานจึงไม่ต่างจาก “ตัวตลก” ในสายตาชาวบ้านมากขึ้นทุกที ขณะที่เส้นทางข้างหน้ามีแต่คุกเท่านั้น !!