xs
xsm
sm
md
lg

ระวังล้มเจ้า? “อานนท์” ขู่ใหญ่ ใช้ ม.112 จะไม่มีแผ่นดินอยู่ แกนนำ “3 นิ้ว” ดิ้นพล่าน “สุวินัย” ชี้ 7 ข้อ สู่จุดจบ!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายอานนท์ นำภา จากแฟ้ม
“อานนท์” ทำนายเข้าข้างตัวเอง ใช้ ม.112 จะนำไปสู่การล้มเจ้า ประชาชนลุกฮือต่อต้าน จนชนชั้นนำอยู่ไม่ได้ ต้องหนีออกนอกประเทศ ขณะแกนนำ “3 นิ้ว” ดิ้นพล่าน ปากกล้าขาสั่น กลัวติดคุก “สุวินัย” ชี้ 7 ข้อ สู่จุดจบ!!

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (7 ธ.ค. 63) นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร 2563 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

“คำทำนายของผม จดไว้ข้างฝาบ้านได้ แล้วคอยดูว่ามันจะจริงมั้ย

“หลังการใช้มาตรา 112 อย่างหนัก รัฐจะเลือกขังคนที่โดน 112 เพื่อไม่ให้มีการเปิดประเด็นอื่นๆ อีก เพราะเท่าที่โดนเปิดแผลมาก็สาหัสแล้ว จากนั้นจะตามคุกคามคนที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ ใช้เจ้าหน้าที่ไปกดดันที่บ้านบ้าง ใช้กฎหมายบ้าง

ต่อมากระแสจะตีกลับ กลายเป็นว่า สิ่งที่เราเปิดแผลไว้มันถูกขยายไปในขบวนทางโซเชียลอย่างรวดเร็ว เกิดขบวนย่อยๆ ลงท้องถนน และถกเถียงเรื่องสถาบันกษัตริย์อย่างกว้างขวาง เกิดขบวนปฏิวัติประชาชนขั้นปฐมภูมิ ไฟจะลามไปถึงการเสนอให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ ถึงตอนนั้นรัฐจะปราบปรามอย่างรุนแรง

การยึดอำนาจโดยทหารจะเกิดขึ้น พร้อมการต่อต้านจากประชาชนทุกรูปแบบ เน้นย้ำว่า “ทุกรูปแบบ” ส่งผลให้ชนชั้นนำไทยต้องเดินทางลี้ภัยนอกประเทศ ขนสมบัติเท่าที่จะขนได้ไป และไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลย

จากนั้นรัฐไทยจะถูกปกครองด้วยทหารสักระยะ แล้วจะค่อยๆ กลายเป็นรัฐประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ภายใน 5 ปี หลังจากนั้น”

ถ้าชนชั้นนำไทยเลือกเดินทางนั้น เราจะเหนื่อย จะเจ็บ แต่จะจบอย่างแน่นอน”

ภาพ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำคณะราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กแสดงหมายเรียก ที่ออกโดย สภ.เมืองพิษณุโลก เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 ข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ โดยระบุว่า นางแน่งน้อย อัศวกิตติกร อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งจังหวัดพิษณุโลก พรรครวมพลังประชาชาติไทย แจ้งความมาตรา 112 กับผม ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองพิษณุโลก

ก่อนหน้านี้ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

“วันนี้มีทั้งข่าวที่ดีและไม่สู้ดีเท่าไหร่

ข่าวดีคือที่ศาลจังหวัดธัญบุรีวันนี้ อัยการไม่มายื่นฟ้องผมให้ทันภายในกำหนดระยะเวลา จึงเป็นผลให้ผมไม่ต้องไปรายงานตัวต่อศาล และไม่ต้องกังวลเรื่องจะถูกขังจากคดีเวทีลานพญานาควันที่ 10 สิงหาคมอีก

ข่าวไม่สู้ดีคือ วันพรุ่งนี้ (8 ธันวาคม) เวลา 10.00 น. ผม รุ้ง พี่ไมค์ และพี่ไบรท์เมืองนนท์ จะต้องเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาคดี 112 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรี ซึ่งตำรวจได้โทร.มาแจ้งกับทนายผมล่วงหน้าว่า จะนำตัวพวกผมไปขอให้ศาลฝากขัง ซึ่งอาจทำให้พวกผมต้องเสียอิสรภาพอยู่ในเรือนจำ ท่ามกลางข่าวลือว่า จะมีการใช้กำลังกับเรา

จึงขอแรงทุกคนมาเป็นสักขีพยานความอยุติธรรมที่อาจเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ (8 ธันวาคม) ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรี เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป เพราะผมเชื่อว่า ตำรวจยังมีสามัญสำนึกที่จะไม่ทำเรื่องชั่วช้าต่อหน้าประชาชน

ด้วยรักและศรัทธาในสถาบันประชาชน”

ภาพ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

“ขอระดมพลทุกคนนะคะ ในวันพรุ่งนี้ (8 ธันวาคม) เวลา 10.00 น รุ้ง เพนกวิน ไมค์ และพี่ไบรท์ เมืองนนท์ จะต้องไปรับทราบข้อกล่าวหาที่แจ้งเพิ่มเติม (ม.112) ที่ สภ.เมืองนนทบุรี แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งกับทนายของพวกเราล่วงหน้าว่า ทาง สภ.จะนำตัวเราไปศาลเพื่อขอฝากขังอีกแล้ว

จึงขอให้พี่น้องประชาชนทุกท่านช่วยมาเป็นหูเป็นตา มาช่วยเราสังเกตการณ์การสอบสวนในวันพรุ่งนี้ โดยมีความหวังว่า ตำรวจ จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรมกับเรา และไม่นำตัวเราไปขอฝากขัง ดังที่ สน.ชนะสงคราม ได้ปฏิบัติอย่างยุติธรรมกับพวกเรา”

ภาพ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” จากแฟ้ม
เช่นเดียวกัน เฟซบุ๊ก Panupong Jadnok ของ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” แกนนำกลุ่มราษฎร 2563 โพสต์ข้อความว่า

“วันพรุ่งนี้ (8 ธันวาคม) เวลา 10.00 น. ผม รุ้ง เพนกวิน และไบรท์เมืองนนท์ จะต้องเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาคดี 112 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรี ซึ่งตำรวจจะนำตัวพวกผมไปขอให้ศาลฝากขัง

ขอให้พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกคนมาร่วมเป็นพยาน ในการขอฝากขังครั้งนี้ หากจะต้องเสียอิสรภาพอีก ก็ขอให้ทุกคนจงสานต่ออุดมการณ์ และช่วยกันรดน้ำเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยต่อจากพวกผมด้วย”

ด้าน เฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ของ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเกาะติดสถานการณ์การชุมนุมอย่างใกล้ชิดมาตลอด โพสต์ในมุมมองของศาสตร์ Mass Action ระบุว่า

(1) ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ม็อบที่จุดติดแล้วทุกม็อบ ล้วนยุติการชุมนุมเอง เพราะบรรลุเป้าหมายของแกนนำในการจัดชุมนุมในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่า ม็อบพันธมิตรฯ หรือม็อบ กปปส. หรือไม่ก็เป็นเพราะว่าม็อบนั้นถูกทางการสลายการชุมนุมอย่างการชุมนุมของม็อบคนเสื้อแดง ซึ่งถึงแม้จะถูกสลายม็อบ แต่ก็ไปชนะในการเลือกตั้งแทนจนได้เป็นรัฐบาล ... จึงเรียกได้ว่าบรรลุเป้าหมายของแกนนำในการจัดชุมนุมอยู่ดี แม้จะโดยอ้อมก็ตาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแนบแน่นทางการเมืองระหว่างแกนนำกับมวลชนที่เข้าร่วมม็อบ

(2) มีแต่ม็อบคณะราษฎรนี้แหละที่จุดติดแล้ว แต่กลับฝ่อลงเองในเวลาไม่กี่เดือน โดยที่ทางการแทบไม่ต้องทำอะไรเลย

นี่เป็นปรากฏการณ์ม็อบครั้งแรกในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ม็อบฝ่อเอง โดยแกนนำและผู้อยู่เบื้องหลังแกนนำไม่ได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้เลย มิหนำซ้ำ ยังเสียหายทางการเมืองอย่างหนักระดับป่นปี้ยับเยินในสายตาของสังคม

(3) สาเหตุหลักๆ มาจากการนำที่ขาดสติแบบสิ้นคิดและไร้ปัญญาของพวกแกนนำ... ที่เปิดเผยออกมาเองอย่างล่อนจ้อนในสายตาของผู้คนในสังคมในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมา

ที่พีกสุดๆ คือ รายการโทรทัศน์ที่อาจารย์อานนท์ “สั่งสอน” รุ้งที่เป็นหนึ่งในแกนนำออกหน้าจอโทรทัศน์ที่ผู้คนได้ดูกันทั้งประเทศ จนผู้คนจำนวนมากตาสว่างแล้วว่าสติปัญญาของแกนนำโง่กว่าตนเอง

ภาพ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย จากแฟ้ม
(4) แต่สาเหตุจริงๆ ที่ม็อบคณะราษฎรล้มเหลวขนาดนี้ มาจากการที่ “ผู้อยู่เบื้องหลังแกนนำ” ทั้งหลายไม่ยอมและไม่กล้าออกมาร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเด็กๆ หรือไม่กล้าเข้ามากุมการนำม็อบคณะราษฎรเสียเองต่างหาก

(5) คนอยู่เบื้องหลังอย่างบรรดาอาจารย์นักวิชาการปัญญาชนหัวก้าวหน้าที่แอบหนุนหลังม็อบคณะราษฎร ... คนพวกนี้ล้วนไม่มีประสบการณ์ในการทำม็อบ-คุมม็อบ ซึ่งเป็นทักษะพิเศษของนักปฏิวัติ คนพวกนี้ปลูกฝังความคิดให้แก่พวกเด็ก จนพวกเด็กยอมตายหรือยอมเสียอนาคต เพื่ออุดมการณ์ความคิดที่ตัวเองหลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำ แต่คนพวกนี้กลับแอบอยู่ข้างหลังอย่างคนขลาดและเห็นแก่ตัว ... คนพวกนี้ได้พิสูจน์ตนเอง (ผ่านการไม่ยอมร่วมหัวจมท้ายตกอยู่ในชะตาเดียวกันกับพวกแกนนำ) แล้วว่าไม่จริงใจต่อพวกเด็ก แค่หลอกใช้พวกเด็กเพื่อความสะใจทางความคิดของตัวเองเท่านั้น

(6) มวลชนคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาร่วมม็อบคณะราษฎรในช่วงแรกๆ มิใช่คนโง่ หรือไร้สติปัญญา ส่วนใหญ่พวกเขาและพวกเธอมีความฉลาดโดยเฉลี่ยเหนือกว่าพวกแกนนำด้วยซ้ำ เพียงแต่ที่ผ่านมาเสพรับข้อมูลข้างเดียวและบิดเบือนมากไปหน่อยเท่านั้น

แต่การต่อสู้ทางความคิดอย่างแหลมคมระหว่างฝ่ายล้มเจ้า กับฝ่ายพิทักษ์เจ้า ทำให้ความจริงและข้อเท็จจริงต่างๆ ได้รับการเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มวลชนคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดเป็นของตนเอง และมีใจบริสุทธิ์เริ่มตาสว่างอย่างแท้จริง ...จึงเกิดปรากฏการณ์ผละม็อบ หรือเปลี่ยนใจย้ายข้างขึ้นมามากมายในโลกออนไลน์ช่วงที่ผ่านมา

(7) ม็อบที่ทรงพลังที่สุด คือ ม็อบที่แกนนำกับมวลชนแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวในการมุ่งบรรลุเป้าหมายการชุมนุมที่ควรมีเพียงข้อเดียว และมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริง ... นี่คือ ศาสตร์แห่ง Mass Action แกนนำคนไหนละเลยศาสตร์อันนี้ ย่อมล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังตัวอย่างล่าสุดของม็อบคณะราษฎร

แน่นอน, ประเด็นที่น่าคิดก็คือ โพสต์ของ ทนายอานนท์ ดูเหมือนเป็นไปในทำนองข่มขู่รัฐบาลและผู้มีอำนาจเหนือขึ้นไป เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 (เรื่องหมิ่นสถาบัน) อย่างเคร่งครัดกับแกนนำม็อบราษฎร 2563 เท่านั้นเอง

เพราะนอกเหนือจากนั้น เป็นคำทำนายที่เคลือบปนด้วย “มโน” เอาเอง ค่อนข้างมาก คือ เข้าข้างตัวเองว่า สังคมโซเชียลจะช่วย “ล้มเจ้า” ได้ ทั้งที่ความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ของประเทศ เทิดทูนสถาบันทั้งสามสถาบันมาหลายชั่วอายุคน และสังคมไทย วัฒนธรรมไทย ยังคงยึดมั่นในระบบอุปถัมภ์อย่างแน่นเหนียว แถมเห็นข้อดีด้วย มิใช่เรื่องงมงาย ทั้งที่เป็นนโยบาย และกุศโลบาย แค่คนรุ่นใหม่ที่ไปร่วมม็อบ 3 นิ้ว คงยากที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้ขนาดนั้น

ขณะเดียวกัน ประเด็นของ ดร.สุวินัย ก็นับว่าน่าคิด และดูเหมือนโอกาสเป็นจริงมีมากกว่า เพราะมีเหตุมีผลทางวิชาการรองรับ มีสถานการณ์จริงที่หยิบยกมาอธิบายแล้ว เห็นภาพอย่างชัดเจน และม็อบเอง ก็ยากปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง

ดังนั้น สิ่งที่น่าจับตามอง ก็คือ การดำเนินคดีตาม ม.112 กับแกนนำแทบทั้งหมด เพราะทุกคนต่างมีพฤติกรรมหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นสถาบันอย่างสูงอยู่แล้ว ถือเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการเคลื่อนไหว และยิ่งกว่านั้น หากมีการแจ้งความดำเนินคดีทั่วประเทศ ก็ยิ่งทำให้แกนนำเหล่านี้เดือดร้อนหนักเข้าไปใหญ่ อาจถึงขั้นเดินขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นว่าเล่น แต่ก็เป็นเรื่องที่พวกเขาเลือกแล้ว

ถามว่าชะตากรรมแกนนำที่โดน ม.112 จะเรียกการลุกฮือของประชาชนได้หรือไม่ คำตอบ ข้อแรก ประชาชนส่วนใหญ่ปกป้องสถาบันมากกว่า ข้อที่สอง ประชาชนส่วนใหญ่สนใจว่า ไม่ไหร่เศรษฐกิจจะฟื้น จะฟื้นในเวลาอันใกล้หรือไม่ อะไรเป็นสาเหตุหลักและรอง ม็อบเกี่ยวหรือไม่ และรัฐบาลมีนโยบายแก้ไขอย่างไร ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้หรือไม่ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ทุกคนรู้ดี ถ้าไม่ดื้อตาใส ดันทุรัง เพราะตัวเองไม่เดือดร้อน

และข้อที่สาม หากรัฐบาลไม่ทำอะไรรุนแรงกับม็อบ ดูแลไม่ให้มือที่สามที่สี่ สร้างสถานการณ์ความรุนแรง แค่นี้ก็จบแล้ว

เหนืออื่นใด พึงระวังด้วยซ้ำ ว่า จะมีประชาชนออกไปม็อบไล่ม็อบ ให้ยุติการชุมนุม เพราะความเดือดร้อนของคนที่ทำมาหากินโดยไม่ฝักใฝ่การเมือง โดยเฉพาะคนหาเช้ากินค่ำ ยิ่งอยู่นานไป แทนที่หวังให้ประชาชนลุกฮือ ช่วย “ล้มเจ้า” แต่จะกลับพลิกเป็นไล่คณะราษฎร 2563 เอาง่ายๆ ระวังให้ดี หรือไม่กลัว!?


กำลังโหลดความคิดเห็น