เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ในใจแล้วว่า ข้อกล่าวหาต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะที่อยู่บ้านพักทหารในราบ 1 นั้นไม่น่าจะเข้าข่ายความผิด และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินตามนั้นดังที่ทราบกันอยู่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ข้อเรียกร้อง 1 ใน 3 ของม็อบราษฎรที่เรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ออกจากตำแหน่งจึงไม่เป็นที่สมหวัง เชื่อว่าคำกล่าวหาที่จะตามมาคือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไม่เป็นธรรมเพราะคำตัดสินไม่ตรงกับข้อเรียกร้องของม็อบนั่นเอง
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำใจ เพราะคำตัดสินของศาลไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องไม่ถูกใจข้างใดข้างหนึ่งอยู่ดี ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะอธิบายให้ความกระจ่างแค่ไหน ก็คงไม่ทำให้คนที่ลุ้นให้ผลออกอีกด้านพอใจไปได้
สรุปนับจากนี้เป็นต้นไปเราก็ยังต้องอยู่กับลุงตู่ต่อไป อย่างน้อยจนกว่าจะยุบสภาฯ หรืออย่างยาวก็จนกว่าจะครบ 4 ปี แต่เชื่อว่า ยุคสมัยเลือกตั้งแรกของลุงตู่น่าจะอยู่ไปถึงได้รัฐธรรมนูญใหม่ยุบสภาฯ และเลือกตั้งใหม่กันมากกว่า นั่นเท่ากับกำลังบอกว่าข้อเรียกร้องของม็อบนั้นไม่สามารถระคายผิวของลุงตู่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้อเรียกร้องของม็อบและการแสดงออกเริ่มจะขาดความชอบธรรมลงเรื่อยๆ แต่เชื่อว่าเรายังต้องอยู่กับม็อบต่อไป เพราะตอนนี้ม็อบยังหาทางลงไม่ได้ มีแต่สะสมคดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งคดีมากขึ้นม็อบก็ต้องหาทางดันเพดานให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะถ้าหยุดหรือแพ้ลงมีทางเดียวคือ แกนนำหลายคนจะต้องเดินเข้าคุก เพราะการกระทำต่างๆ ล้วนแล้วแต่ชัดเจนว่ามีการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่จาบจ้วงหมิ่นแคลนหยาบคายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมไทย
ดังนั้นแกนนำม็อบจึงเดิมพันชีวิตด้วยคดีความที่จะตามมา หรือสุดท้ายจะต้องหาทางหนีทีไล่เพื่อลี้ภัยไปอยู่ในต่างประเทศนั่นเอง
ขณะเดียวกันหลายคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับม็อบก็เริ่มจะตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่า ทำไมถึงปล่อยให้ม็อบจาบจ้วงดูหมิ่น หมิ่นประมาท และกล่าววาจาอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์อยู่บนท้องถนนมาเป็นระยะเวลานาน แม้ตำรวจจะแจ้งข้อหาดำเนินคดีก็ไม่สามารถหยุดการกระทำของม็อบได้เลย
ข้อกล่าวหาของม็อบบนท้องถนนนั้น อย่าว่าแต่กล่าวหาต่อพระมหากษัตริย์เลย แม้แต่กล่าวหาคนธรรมดาก็น่าจะเข้าข่ายความผิดอย่างชัดแจ้ง แม้ปัจจุบันจะมีการบังคับใช้มาตรา 112 แล้วก็ยังไม่เห็นเลยว่า รัฐจะสามารถยับยั้งการกระทำของม็อบได้อย่างไร
จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากที่ศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เริ่มจะหมดความอดทนลงไปเรื่อยๆ และสิ่งที่กลัวกันคือ เมื่อประชาชนจำนวนหนึ่งหมดความอดทนต่อการหมิ่นแคลนความรักและศรัทธาของเขา เมื่อนั้นความรุนแรงก็จะตามมา เพราะเมื่อคนส่วนหนึ่งเห็นว่ารัฐไม่สามารถจัดการปัญหาได้ เขาก็ต้องหาทางจัดการแก้ไขปัญหากันเอง
ขณะที่ผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังม็อบพยายามดันเด็กให้เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ด้วยการบอกว่า อย่าไปกลัวว่าจะเกิดแบบ 6 ตุลา จะเกิดม็อบชนม็อบ เห็นไหมที่บอกว่าจะเกิดรัฐประหารก็ไม่ยักเกิด เพราะฝ่ายผู้มีอำนาจเองก็อับจน ทั้งเสื่อมศีลธรรม ทั้งเสื่อมความนิยม ทั้งไม่ชอบธรรมได้แต่พยายามรักษาอำนาจ รักษาสถานะไว้อย่างนี้ ประยุทธ์ก็ได้แต่ประคองตัวไป รัฐบาลกำลังแพ้พ่ายและสุดท้ายพวกเราจะชนะ
แน่นอนว่าในฐานะกุมอำนาจรัฐ ลุงตู่ก็ไม่มีอะไรที่จะต่อสู้กับม็อบมากไปกว่าครรลองของกฎหมาย และไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมชั้นศาลได้ จนทำให้ขณะนี้คนจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่า จับๆ ปล่อยๆ แบบนี้จะไปสามารถจัดการกับม็อบได้อย่างไร ยิ่งปล่อยไปเนิ่นนานข้อกล่าวหาต่อพระมหากษัตริย์ก็ยิ่งจะรุนแรงขึ้น เพราะม็อบเชื่อว่า อำนาจรัฐไม่สามารถจะจัดการพวกเขาได้จึงไม่เกิดความเกรงกลัวนั่นเอง
สิ่งที่หลายคนตั้งคำถามตอนนี้คือรัฐบาลลุงตู่รับมือกับม็อบอย่างอ่อนแอเกินไปหรือไม่ กระทั่งตั้งคำถามว่า ทำไมลุงตู่ยังทนฟังม็อบกล่าวหาพระมหากษัตริย์บนท้องถนนราวกับไม่ได้ยินเสียงที่พวกเขากล่าวหาอยู่ได้อย่างไร
คนจำนวนมากต้องการเห็นรัฐบาลทำอะไรมากกว่านี้ มากกว่าการปล่อยให้ตำรวจรับมือแล้วทยอยแจ้งคดีไปเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถทำให้ม็อบยุติลงได้ และว่าไปแล้ว คนจำนวนมากก็ไม่ค่อยเชื่อใจตำรวจว่าจะทำคดีอย่างรัดกุมเพื่อเป็นหลักฐานมัดตัวไม่ให้แกนนำม็อบดิ้นหนีความผิดได้ และแม้การจับแล้วปล่อยตัวจะเป็นเรื่องของกระบวนการทางศาล คนเขาก็สงสัยว่าตำรวจบรรยายคำฟ้องหรือคำขอฝากขังอย่างหนักแน่นหรือไม่
หรือวันนี้รัฐบาลปล่อยให้ตำรวจแต่ละท้องที่ที่ม็อบกระทำผิดต่างๆ ดำเนินคดีไป เป็นไปได้ไหมที่จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา มีนายตำรวจที่สังคมฝากความหวังได้เป็นหัวหน้าคณะในการรวบรวมพยานหลักฐานในการทำคดีหนึ่งคณะ หรือทำอย่างไรให้ศาลท่านเชื่อว่า การปล่อยให้ม็อบออกมาท้าทายกฎหมายบ้านเมืองกระทั่งท้าทายต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐอย่างไม่หยุดหย่อนนั้น เป็นความผิดที่ร้ายแรง ไม่เกี่ยวว่าคนที่กระทำจะมีอายุหรืออยู่ในวัยไหน
แม้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ยาก เพราะแกนนำของม็อบส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษา และการกล่าวหาต่อพระมหากษัตริย์แบบนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และแกนนำถูกปลูกฝังความเชื่อเป็นปฏิปักษ์ต่อพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนาน คนส่วนใหญ่ก็ตั้งคำถามเรื่องความเข้มแข็งของรัฐในการบังคับใช้กฎหมายอยู่ดี และกำลังเริ่มเห็นว่า รัฐขาดสมรรถภาพในการรับมือกับม็อบ จนทำให้ม็อบยิ่งเหิมเกริมเพิ่มขึ้นทุกวันราวกับบ้านเมืองไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย
ขณะเดียวกันก็มีหลายคนตั้งคำถามกับรัฐบาลลุงตู่ ณ เวลานี้ก็คือ ลุงตู่กระทำและแสดงออกราวกับว่า ม็อบที่อยู่บนท้องถนนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ทำราวกับมองว่าประชาชนกับประชาชนขัดแย้งกันบ้าง หรือกระทั่งมองว่า คู่ขัดแย้งคือม็อบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งที่ความจริงแล้วต้นเหตุความขัดแย้งมาจากการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลนั่นแหละ ที่ทำให้บานปลายจนกลายมาเป็นข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
ดังนั้นคนที่เชื่อมั่นและศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ และเชื่อมั่นว่าพระมหากษัตริย์คือที่พึ่งของประชาชนมากกว่านักการเมือง นอกจากเขาเริ่มหมดความอดทนต่อม็อบที่จาบจ้วงรุนแรงและหยาบคายแล้ว ก็เริ่มตั้งคำถามต่อรัฐบาลลุงตู่ถึงความไร้ประสิทธิภาพในการรับมือกับม็อบ และยับยั้งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเพราะปล่อยให้ม็อบกระทำการด่าทอพระมหากษัตริย์อยู่บนท้องถนนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ไม่มั่นใจว่าหากสถาบันพระมหากษัตริย์และองค์พระมหากษัตริย์ยังคงถูกม็อบลบหลู่อยู่ จะทำให้ประชาชนที่เคารพศรัทธาจะอดทนอดกลั้นไปอีกได้นานเท่าไหร่ และถ้าถึงวันนั้นประชาชนก็อาจจะหมดความอดทนต่อการขาดประสิทธิภาพของรัฐบาลเช่นเดียวกัน ถ้าเขาเห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้เลย เขาก็อาจจะไม่อดทนต่อลุงตู่เช่นเดียวกัน
ดังนั้น ลุงตู่อย่ามั่นอกมั่นใจไปเชียวว่าประชาชนส่วนหนึ่งยังคงสนับสนุนรัฐบาล และเขาจะช่วยกันประคับประคองรัฐบาลไปตลอดรอดฝั่ง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan