xs
xsm
sm
md
lg

ความโหดเหี้ยมของผู้ใหญ่ ที่ใช้อนาคตของเด็กเป็นเดิมพัน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ


กองเชียร์ที่แอบอยู่ด้านหลังเด็กที่เป็นแกนนำม็อบนั้น พยายามยุยงให้เด็กกล้าเดินไต่เส้นกล้าเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บอกว่า ม็อบได้เปรียบแทบทุกประตู เพียงอาศัยความกล้าหาญของแกนนำที่กล้าเสี่ยงถูกดำเนินคดี พูดง่ายๆว่า พวกเขาบอกเด็กว่า อย่าไปกลัว ทั้งที่พวกเขาเองไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้นมาก่อน

เราจึงได้เห็นเด็กเร่งดีกรีความรุนแรงมากขึ้น กล้ากล่าวจาบจ้วงพระมหากษัตริย์มากขึ้น เพราะผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งส่งเสียงเชียร์ดันหลังว่าพวกเขากำลังกลายเป็นฮีโร่ และกำลังได้รับชัยชนะ

 อธึกกิต แสวงสุข ผู้ดำเนินรายการทางวอยซ์ทีวี ลูกน้องของพานทองแท้โพสต์เฟซบุ๊กว่า “4 เดือนผ่านไป ลองย้อนคิดดูสิครับ ตอนแรกๆ หลายคนก็กลัว จะเกิด 6 ตุลา จะเกิดม็อบชนม็อบ จะเกิดรัฐประหารไม่ยักเกิด เพราะฝ่ายผู้มีอำนาจเองก็อับจน ทั้งเสื่อมศีลธรรม ทั้งเสื่อมความนิยม ทั้งไม่ชอบธรรมได้แต่พยายามรักษาอำนาจ รักษาสถานะไว้อย่างนี้ ประยุทธ์ก็ได้แต่ประคองไปอย่างนี้สิ่งที่ม็อบกำลังทำในตอนนี้ จึงเป็นการเขย่า ท้าทาย แบบกล้าไต่เส้น กล้าเสี่ยงเพื่อไม่ให้รักษาสถานะนี้ต่อไปได้ (จะรัฐประหารก็เอาเลย)” 

เนื้อหาก็คือการยุยงให้เด็กกล้าที่จะตะลุยโดยตัวเองส่งเสียงเชียร์อยู่ข้างหลังนั่นแหละ ไม่ต้องไปกลัวจะเกิดเหตุการณ์แบบ 6 ตุลา ขณะที่วันนี้เด็กๆ มีคดีรวมกันกว่าร้อยคดีไปแล้ว

รวมไปถึงเส้นทางของม็อบตีบตันลงเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลไม่ได้สนใจมากไปกว่าการตั้งรับแล้วปล่อยให้ม็อบแสดงออกมาอย่างเต็มที่ อยากจะพูดอะไรก็พูด อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากสาดสีเปรอะเปื้อนที่ไหนก็ทำเลย เสร็จแล้วก็เก็บหลักฐานมาดำเนินคดีเป็นครั้งๆ ไป

พูดกันตรงๆ ก็คือว่า การประกาศนัดหมายไปชุมนุมที่นั่นที่นี่แล้วส่งเสียงด่าทอหยาบคาย 3-4 ชั่วโมงแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านนั้นไม่สามารถสั่นคลอนสถานะของรัฐบาลได้ เป็นเพียงการสั่งสมคดีความของแกนนำผู้ชุมนุม

 ถ้าใครได้ฟังคำปราศรัยแล้วจะเห็นว่าเด็กจะมีชุดความคิดอยู่ไม่กี่ชุด ปราศรัยมุ่งเน้นการด่าทอกล่าวหาใส่ร้ายมากกว่าจะนำข้อเท็จจริงมาแสดง และทุกวันนี้ก็พุ่งเป้ามาที่สถาบันพระมหากษัตริย์และในหลวงรัชกาลที่ 10 มากกว่าจะพูดถึงข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก และแก้รัฐธรรมนูญ 

ทำให้เข้าใจว่า ทำไมม็อบจึงปฏิเสธข้อเสนอที่ว่า ให้จำกัดข้อเรียกร้องแค่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกและร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อสามารถทำคนกลางๆ เข้ามาร่วมได้มากขึ้น เพราะข้อกล่าวหาเรื่องการสืบทอดอำนาจและการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ นั่นคงเป็นเพราะม็อบมีเป้าหมายที่แท้จริงคือ การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่าจะขับไล่รัฐบาลนั่นเอง

 และแม้ว่าจะชูธงว่าต้องการ “ปฏิรูป”สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ “ล้มล้าง” แต่จริงๆ แล้วเนื้อหาที่แสดงออกผ่านคำพูดบนเวที การแสดงออกในที่ชุมนุม การเขียนข้อความและสัญลักษณ์ต่างๆล้วนแล้วแต่สื่อออกมาว่าต้องการ “ล้มล้าง” ไม่ใช่ “ปฏิรูป” ทั้งสิ้น 

 การอ้างว่า “ปฏิรูป ”เป็นการอ้างเพื่ออำพรางความต้องการที่แท้จริงเท่านั้นเอง 

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความคิดที่เด็กถูกบ่มเพาะมานั้นเป็นความคิดที่มาจากการเสพติดข้อมูลของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และสืบทอดความถ่อยความเท็จมาจาก  ปวิน ชัชวาลพงษ์พันธ์ 

ข้อเสนอ 10 ข้อที่  รุ้ง ปนัสยา  นำขึ้นมาอ่านบนเวทีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิตก็คือ ข้อเขียนที่ถูกส่งต่อมาจากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และพิสูจน์ผ่านการออกรายการกับจอมขวัญในไทยรัฐทีวี แล้วว่า รุ้งเองก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์หรือทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อย่างถ่องแท้ เพราะเธอไม่สามารถร่วมพูดคุยหรือตอบโต้  อาจารย์อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

 ฟังเรื่องเล่าที่เธอบอกว่า “เพื่อนส่งมาให้หนูดูตอนตีหนึ่งกว่า มันถามหนูว่าจะอ่านไหม ทุกคนรู้สึกว่ามันแรงมาก ตัวเองก็รู้ว่ามันแรงมากๆ แต่หนูรู้สึกว่ามันต้องพูด หนูเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดม็อบครั้งนั้น แล้วเรื่องสถาบันเป็นหนึ่งในความคิดหลักของหนูตลอดมา เลยอยากขึ้นไปพูด เรียกว่าขอขึ้นไปพูดก็ได้ ขอพูดเอง” 

ก็อาจจะอนุมานได้ว่า เธอไม่ได้เข้าใจข้อเรียกร้องทั้งสิบข้อเลย

สะท้อนให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว รุ้งก็เป็นเหยื่อของผู้ใหญ่ที่ยืมปากของเธอ เพื่อให้เธอมีคดีเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางหลายสิบคดีซึ่งถือเป็นความคิดที่เหี้ยมเกรียมของผู้ใหญ่ที่ดันหลังเธออย่างมาก และชวนให้คิดถึงมาตรฐานของ BBC ในการคัดเลือกรุ้งขึ้นมาเป็น 1 ใน 100 ผู้หญิงทรงอิทธิพลของโลก

เรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น เมื่อเร็วๆนี้ผมเห็นเว็บไซต์ประชาไทซึ่งเป็นกระบอกเสียงของฝ่ายต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้เอาความเห็นของกระทรวงต่างประเทศมาตอบโต้ฝ่ายที่ออกมาบอกว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในความหมายเดิมก็คือทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของแผ่นดิน โดยอ้างอิงที่กระทรวงการต่างประเทศตอบโต้นิตยสารฟอร์ปส์ว่า เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน

แต่แปลกใจว่าทำไมประชาไทจึงไม่เชื่อที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ออกมาตอบโต้กระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นเป็นของพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ของแผ่นดินเพื่อยืนยันว่าที่ฟอร์ปส์แถลงออกมานั้นถูกต้องแล้ว หากยึดตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2491

และหากเป็นไปตามสมศักดิ์ เจียมก็ไม่แปลกที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 จะจัดการกับทรัพย์สินทั้งสองส่วนมาอยู่ภายใต้หน่วยงานเดียวกันในนามของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อย่างที่อาจารย์อานนท์อธิบายในรายการของจอมขวัญ แต่ยังคงแบ่งทรัพย์สินออกมาเป็นสองส่วนเช่นเดิม เพียงแต่ช่วยให้สามารถจัดการพระราชทรัพย์ได้สะดวกและเป็นประโยชน์ง่ายขึ้น ดังเช่นที่สามารถพระราชทานโฉนดให้กับหน่วยงานต่างๆ จำนวนมาก

 อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของรุ้งที่ปรากฏต่อสาธารณะนั้นทำลายความเชื่อมั่นของม็อบราษฎรลงอย่างมาก และเห็นว่าสมศักดิ์ เจียมก็ไม่กล้าออกมาโต้แย้งอาจารย์อานนท์ เพียงแต่พูดหลังการดีเบทครั้งนี้ว่า ไม่เกี่ยวกับที่ในหลวงทรงอยากเสียภาษีอย่างที่อาจารย์อานนท์ว่า โดยสมศักดิ์อ้างว่า เงินภาษีจากเงินปันผลนิดเดียวเมื่อเทียบกับเงินทั้งหมดที่ได้ โดยที่สมศักดิ์ไม่กล้าตอบโต้ในเนื้อหาของอาจารย์อานนท์เลย 

สะท้อนให้เห็นชัดว่า เด็กๆ ถูกปลุกปั่นด้วยข้อมูลจริงผสมเท็จ เรื่องเล่าที่ซุบซิบกันที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ และผู้ใหญ่เองไม่กล้าพูดต่อสาธารณะ แต่ยืมความไร้วุฒิภาวะความฮึกเหิมของเด็กมาเป็นเครื่องมือ เพื่อไปสู่เป้าหมายที่จะลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์หรือกระทั่งหวังไปไกลถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐไปเป็นระบอบสาธารณรัฐ

เชื่อว่า เรื่องทรัพย์สินจะเป็นเรื่องที่ม็อบคงจะเลิกพูดเรื่องนี้อีก เพราะข้อเท็จจริงนั้นสังคมรับรู้กันอย่างกว้างขวางไปแล้วว่า ม็อบนำมาพูดโดยไม่เข้าใจข้อเท็จจริง

สิ่งที่ได้ยินม็อบพยายามพูดอีกเรื่องคือ นำพระมหากษัตริย์มาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งฟังแล้วไม่เข้าใจว่าจะทำอย่างไรอีก เพราะพระมหากษัตริย์นั้นทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญมาแล้วตั้งแต่ 2475

เห็นได้ว่าข้อเรียกร้องของม็อบก็ตีบตันลงเรื่อยๆ มีแต่ความห้าวหาญที่ถูกผู้ใหญ่ยุยงให้ท้าย และดูเหมือนว่า ผู้ชุมนุมจะร่องหรอลง จากม็อบคนหนุ่มสาววันนี้กลายเป็นม็อบคนเสื้อแดงที่มีอารมณ์ค้างมาตั้งแต่ปี 2553และเป็นเครื่องมือของคนที่มีความมุ่งหมายทางการเมือง

วันนี้เราจึงเห็นแต่ความคึกคะนองปิดถนนโดยอ้างว่าซ้อมต่อต้านรัฐประหาร ทั้งที่ในสถานการณ์ที่กองทัพกับรัฐบาลมีความเป็นปึกแผ่นเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ทหารจะทำการรัฐประหารรัฐบาลประยุทธ์ หรือกระทั่งประยุทธ์จะรัฐประหารรัฐบาลตัวเอง เพราะอย่างที่ว่ามาคือ ม็อบไม่สามารถทำอะไรที่แผ้วพาลรัฐบาลได้เลย

การอ้างรัฐประหารจึงเป็นการอ้างเพื่อจัดอีเว้นท์บนถนน แต่เป็นการสะสมคดีให้กับตัวเอง รวมไปถึงการไปที่ราบ 11 ก็เป็นเพียงการหาหัวข้อเพื่อทำอีเว้นท์เท่านั้นเอง แต่จะหาประเด็นมาเล่นได้สักอีกกี่มากน้อยกระทั่งแผ่วไปเองในที่สุด

 ตอนนี้สิ่งที่ต้องจับตาคือม็อบจะหาทางลงอย่างไร คดีก็สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ การกล่าวว่าจาบจ้วงต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำและข้อกล่าวหาที่รุนแรงนั้น ฟังอย่างไรก็ยากจะที่จะหลุดพ้นจากความผิดตามมาตรา 112 ไปได้ หรือไม่ก็เมื่อรู้ว่าไม่มีทางลง มีทางเดียวคือ ต้องเพิ่มความรุนแรงและเพิ่มข้อเรียกร้องขึ้นมาเรื่อยๆ หวังว่าจะเป็นฝ่ายชนะ  

แต่เตือนไว้ก่อนว่า อย่าไปหวังเชียวว่า วันที่พรรคการเมืองที่สนับสนุนเข้ามามีอำนาจรัฐแล้วคดีจะถูกเป่าให้จบลงไป เพราะสุดท้ายแล้วคดีก็จะต้องเดินไปตามครรลองของมัน เหมือนกับคดีของ นปช.ก็ไม่ได้จบลงในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คดี กปปส.ตอนนี้ก็ยังอยู่ หรือคดีพันธมิตรฯที่สู้กันมาเป็นสิบปี(ที่กล่าวหาว่ากันในม็อบว่ายึดสนามบินนั้นไม่ผิดก็เป็นความเท็จ เพราะคดีแพ่งพันธมิตรฯ แพ้ไปแล้ว และคดีอาญายังอยู่ในศาล หรือบอกว่ายึดทำเนียบฯ ไม่ผิดก็ไม่ใช่เพราะแกนนำติดคุกไปแล้ว)

น่าสงสารที่เด็กถูกปลุกปั่นด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จจากอุปสงค์ของผู้ใหญ่ที่หลอกใช้เด็กมาเป็นเครื่องมือ จนกลายเป็นอุปทานหมู่ที่เกิดเป็นกระแสในหมู่คนรุ่นใหม่ว่าจะต้องต่อต้านล้มล้างระบอบเก่าที่เป็นอุปสรรคต่อชีวิตของคนรุ่นเขา กระทั่งเข้าใจว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตยที่จะต้องโค่นล้ม

คนรุ่นใหม่ไปคาดหวังต่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจที่เชื่อว่าจะเป็นไอดอลของคนรุ่นเขาที่จะนำพาพวกเขาให้ก้าวไกลไปข้างหน้าได้ ทั้งๆ ที่คนๆ นี้ไม่เคยมีประวัติอะไรที่ประสบความสำเร็จหรือทำประโยชน์ให้กับสังคมมาก่อนเลย และดูหมิ่นคนรุ่นพ่อแม่ของตัวเองว่าเป็นไดโนเสาร์ที่ควรจะสูญพันธุ์ไป 

วันนี้ธนาธรอาจทำสำเร็จแล้วที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ยึดโยงกับประวัติศาสตร์ของชาติที่บรรพบุรุษได้ลงหลักปักฐานมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ไม่ยึดมั่นในหลักศาสนาทุกศาสนา และทำให้เด็กกล้าเอาชีวิตมาเดิมพันเพื่อตัวเอง

เราเชื่อมั่นหรือว่าคนอย่างนี้จะนำพาชาติของเราในอนาคต

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น