“ศักดิ์สยาม” เผยเตรียมนำประเด็นปัญหาขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เสนอนายกรัฐมนตรี เชื่อราคาสูงสุดต่ำกว่า 65 บาทแน่นอน
วันนี้ (3 ธ.ค.) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงปัญหาการขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียว ซึ่งจะครอบคลุมส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ที่ กทม.มีกับบีทีเอส และสัมปทานจะสิ้นสุดในปี 2572 โดยจะมีการขยายสัมปทานออกไป 30 ปี และยังมีประเด็นปัญหาที่กระทรวงคมนาคมยังไม่เห็นด้วยในหลายประเด็นนั้น
นายศักดิ์สยามระบุว่า กำลังนัดหมายเพื่อขอนำข้อมูลทั้งหมดที่มีเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดค่าโดยสาร ที่มีการนำเสนอข้อมูลก่อนหน้านี้ว่าได้มีการคำนวณราคาค่าโดยสารรวมในเส้นทางปัจจุบัน รวมกับส่วนต่อขยายแล้วจะมีราคาสูงสุดไม่เกินคนละ 65 บาทนั้น ในส่วนนี้ไม่ทราบว่าหน่วยงานที่มีการคำนวณค่าโดยสารดังกล่าวนำฐานข้อมูลมาจากไหน
ในขณะที่ในส่วนของกระทรวงคมนาคมที่มีหน่วยงานทางกรมการขนส่งทางราง (ขร.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม.ซึ่งเป็นผู้ให้สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอยู่ ใช้ฐานการคำนวณจากดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI (Consumer Price Index )และจากข้อมูลที่กระทรวงคมนาคม นำมาคำนวณค่าโดยสารของรถไฟฟ้าสายสีเขียวรวมกับส่วนต่อขยายแล้ว ยืนยันว่าประชาชนจะจ่ายค่าโดยสารสูงสุด ต่ำกว่า 65 บาทแน่นอน
ส่วนประเด็นที่คณะกรรมาธิการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ยังมีข้อสงสัยในเรื่องที่ กทม.และบีทีเอส ได้เคยเข้าไปชี้แจง ในอีกหลายประเด็นนั้น นายศักดิ์สยามระบุว่า เป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปชี้แจง คณะกรรมาธิการฯ เอง
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมย้ำว่า เรื่องการพิจารณารายละเอียดของการขยายสัมปทาน โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น ยังมีระยะเวลาที่สามารถพิจารณารายละเอียดได้ ไม่ต้องรีบร้อนเนื่องจากสัมปทานจะหมดในปี 2572 โดยยืนยันว่าการพิจารณาจะต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนผู้ใช้บริการ และมั่นใจว่าการขยายสัมปทาน จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินรถสายสีเขียวแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การคำนวณอัตราค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว จากคูคต-เคหะสมุทรปราการ จำนวน 59 สถานี โดยมีการนำเสนอข้อมูลว่าจะจัดเก็บในราคาสูงสุดไม่เกิน 65 บาท จากราคาปกติ 158 บาท ตลอดสาย และเกิดเป็นประเด็นปัญหาข้อขัดแย้งขึ้น ระหว่างกรุงเทพฯ ที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม ซึ่งใช้ฐานข้อมูลต่างกัน โดยจากข้อมูลของหลายหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ตรวจสอบพบว่าการคำนวณค่าโดยสาร ที่ระบุว่าจะกำหนดค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 65 บาท (ข้อมูล กทม.และบีทีเอส) นั้น ใช้ All CPI ที่มีการนำต้นทุนอาหาร และเครื่องดื่มระหว่างการเดินทาง (Food and Beverage) มาคิดคำนวณด้วย
ในขณะที่การคำนวณอัตราค่าโดยสารของกระทรวงคมนาคม จะเป็นแบบ Non-Food and Beverage และจากข้อมูลในหน่วยงานกระทรวงคมนาคมขณะนี้ ยืนยันว่าอัตราค่าโดยสารสูงสุดจะต่ำกว่าราคา 65 บาทมากกว่า 20% แน่นอน