เมืองไทย 360 องศา
หากประเมินจากสถานการณ์ในเวลานี้สำหรับ “คนชักใย” หรือ “ไอ้โม่ง” อยู่เบื้องหลังพวก “ม็อบสามนิ้ว” ก็เหมือนกับว่าเป็นการ “เดิมพันครั้งสำคัญ” อีกครั้ง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการให้ได้ หรืออย่างน้อยก็เพื่อหวังสร้างแรงกดดันให้สามารถ “ต่อรอง” ได้มากที่สุด
พิจารณาจากบรรยากาศการชุมนุมของ “ม็อบสามนิ้ว” ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่เปลี่ยนเป้าหมายสถานที่มาเป็นหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ ย่านรัชโยธิน ก็ได้เห็นอะไรได้หลายอย่าง โดยเฉพาะเมื่อสังเกตจาก “มวลชน” เข้าร่วมในครั้งนี้ ซึ่งก็มองเห็นได้ไม่ยากว่า มันเป็นมวลชนที่ผสมกันระหว่าง “แดง” กับ “ส้ม” อย่างชัดเจน
ขณะที่บรรดาเด็กๆ เยาวชน จะใช้เป็นลักษณะของการ “ชูบทบาทนำหน้า” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้เห็นว่า นี่คือพลังของ “คนรุ่นใหม่” นักเรียน นักศึกษา เยาวชน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การชุมนุมแต่ละครั้งมันต้อง “มีค่าใช้จ่าย” ยิ่งได้เห็นรถเวทีเครื่องเสียง ยิ่งต้องรับรู้ว่า มันต้องใช้เงินจำนวนมาก ยิ่งการชุมนุมยืดเยื้อแบบที่เห็น เงินบริจาคหลักสิบหลักร้อย ไม่มีทางพอแน่นอน
ที่ผ่านมา มักมีการเชื่อมโยงกันระหว่าง “ม็อบสามนิ้ว” กับ กลุ่มของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และไปถึงพรรคก้าวไกล แต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับตรงๆ สักที แต่เมื่อพิจารณาไทม์ไลน์ และความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา มักจะเห็นภาพชัดเจนและสอดคล้องต้องกันแบบที่ไม่ต้องหาหลักฐานอย่างอื่นมาประกอบมากนัก ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค ความผิดในเรื่องเงินกู้ และนายธนาธร ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองซ้ำดาบสอง หลังจากครั้งแรกมีความผิดจากคดีถือหุ้นสื่อ และล่าสุดกำลังถูกดำเนินคดีอาญาโดยอัตโนมัติ จากความผิดดังกล่าวนี้
รวมไปถึงได้เห็นภาพการปรากฏตัวตามเวทีการชุมนุม และตามสถานีตำรวจต่างๆ ที่บรรดาแกนนำม็อบสามนิ้วถูกดำเนินคดี ซึ่งเขาอ้างว่ามาให้กำลังใจ หรือมาร่วมชุมนุมแบบคนทั่วไปก็ตาม รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งก็เชื่อกันอีกว่าเป็นพรรคที่ นายธนาธร เป็นเจ้าของ และมีบทบาทชี้นำเช่นเคย หลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ ถูกยุบไปแล้ว
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากมวลชนที่เข้าร่วมในตอนแรกๆ ลักษณะไม่ต่างจากการ “หยิบยืม” มวลชนมาใช้แบบเฉพาะกิจ เหมือนกับว่าเป็นมวลชนที่นอกเหนือจากที่เป็นของพรรคก้าวไกล และสนับสนุนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แล้วยังมีมวลชน “คนเสื้อแดง” ในย่านปริมณฑล ที่ในวงการพอมองเห็นได้ไม่ยาก เพราะหลายคนในทางการเมืองที่สังเกตการณ์ชุมนุมบ่อยครั้งล้วนถือว่าเป็น “คนคุ้นเคย” กันดี แม้เห็นเห็นหลังก็แทบจำหน้าได้ อะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี จากภาพที่ปรากฏล่าสุดเมื่อการชุมนุมวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ที่หน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จนผิดสังเกตไปจากเดิมมาก เพราะมวลชนที่เข้าร่วมล้วนเป็น “คนเสื้อแดง” ที่มากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่จำนวนของเด็กๆ เยาวชน กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกเหนือจากพวก “แกนนำหลัก” สามสี่คน ที่คุ้นตากันดี
สิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่า “ท่อน้ำเลี้ยง” ได้ไหลมาอย่างเต็มที่ ก็จะเห็นจากคำพูดบนเวทีของ นายอานนท์ นำภา หนึ่งในแกนนำที่ประกาศว่าจะมีการชุมนุมแบบต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งแน่นอนว่า หากเป็นการชุมนุมในลักษณะที่เห็นแบบที่หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก จนมาถึงคำถาม และมีคำตอบจากความเคลื่อนไหวในการชุมนุมดังกล่าวนั่นแหละ
หากเห็นว่ามีคนเสื้อแดงจำนวนมาก นั่นก็มีความหมายให้เข้าใจว่า “ท่อน้ำเลี้ยง” จาก “แดนไกล” ไหลเข้ามาอย่างเต็มที่แล้ว และถามต่อว่า ทำไมต้องไหลมาในช่วงเวลานี้ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เห็นภาพการ “กราบสะท้านเมือง” และสะท้านพรรคเพื่อไทย กันไปแล้ว
อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างคงไม่อาจไปแสวงหาข้อเท็จจริงตรงนั้นได้ แต่สิ่งที่ได้เห็นกันอยู่ตรงหน้าก็คือ “ม็อบสามนิ้ว” มีเจตนา “ล้มเจ้า” อย่างชัดเจน เห็นได้ชัดจากคำพูดและการเคลื่อนไหว ล้วนปฏิเสธความจริงดังกล่าวไม่ได้ โดยเฉพาะการชุมนุมที่ธนาคารไทยพาณิชย์ นั่นก็สื่อเจตนาชัดเจน
ขณะเดียวกัน หากมองในทางการเมืองที่เป็นการเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภาในสภาก็มีการเดินเครื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่ม็อบข้างนอกก็มีการกดดันต่อรองคู่ขนานกันไป โดยเฉพาะให้จับตาการเร่งเร้าสถานการณ์ให้ดุเดือดรุนแรง แม้นาทีนี้เป้าหมายระยะไกลยังไม่ชัดนัก แต่ให้จับตาเฉพาะหน้าในเรื่อง “นิรโทษ” กลับเข้ามาอีกครั้งหรือเปล่า !!