เมืองไทย 360 องศา
“คำว่าจบที่รุ่นเรา” ที่บรรดา “ม็อบสามนิ้ว” ที่เป็นเยาวชนได้ประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ในทำนองว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามที่พวกเขาต้องการได้ภายในรุ่นของพวกเขา แต่นาทีนี้ความหมายที่ว่านั้น น่าจะเปลี่ยนไปอีกแบบแล้ว เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มและบรรยากาศที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำพูดของ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล “พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย” ที่กล่าวตอนหนึ่งว่า “หลังจากนี้ จะมีหมายอื่นตามมาอีก ตราบใดที่ยังทำความผิดเรื่อยๆ ขณะนี้มีประมาณ 80 กว่าหมาย”
คำพูดดังกล่าวของ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่อธิบายถึงสาเหตุที่ต้องอายัดตัวแกนนำกลุ่ม “ม็อบสามนิ้ว” อันประกอบด้วย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์”
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลผู้นี้ยังอธิบายอีกว่า ตำรวจต้องดำเนินการตามกฎหมาย ตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยขณะนี้ยังมีหมายอื่นที่ต้องอายัดตัว “พอเริ่มดำเนินคดีแล้วไม่สามารถหยุดได้ ฉะนั้นแล้วคดีต้องไปสิ้นสุดที่ศาลเท่านั้น”
ส่วนประเด็นการเพิกถอนหมายจับนั้น เนื่องจากเจอตัว และสอบปากคำผู้ต้องหาแล้วและต้องดูรายละเอียดในแต่ละคดีระหว่างมีการอายัดตัว และแจ้งข้อกล่าวหากับในส่วนที่ดำเนินคดีแล้ว เมื่อรับตัวแล้วก็ต้องนำไปฝากขัง แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นตอนนั้นกระบวนการก็ยังไม่เสร็จสิ้น ต้องนำตัวมาสอบปากคำ และดำเนินการต่างๆ
อย่างไรก็ดี นี่ว่ากันเฉพาะ 3 แกนนำที่ว่านั้น ที่มีหมายจับกว่า 80 คดี ยังไม่นับกรณีของ “นายอานนท์ นำภา” แกนนำคนสำคัญอีกคนหนึ่ง ที่ศาลยกคำร้องให้ปล่อยตัวชั่วคราว ต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำต่อ ก็มีหมายจับยาวเป็นหางว่าวไม่แพ้กัน รวมทั้งยังมีแกนนำคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ถูกแจ้งความดำเนินคดี และถูกออกหมายจับในลักษณะเดียวกัน ซึ่งพวกเขามีการกระทำในลักษณะ ฝ่าฝืนกฎหมายในแบบที่เรียกว่า “ห้าว” โดยเฉพาะพฤติกรรมกระทำผิดในช่วงที่การชุมนุมในระดับที่ “พีก” สุดก่อนหน้านี้
หลายคดีหากสังเกต จะเป็นลักษณะที่มีอัตราโทษสูง เช่น มาตรา 116 ที่เกี่ยวข้องกับการยุยงปลุกปั่น แค่ข้อหาเดียวก็อ่วมแล้ว และยิ่งหลายกรรมหลายวาระ ก็บวกเข้าไป มันถึงได้บอกว่ามีแนวโน้มเสี่ยงสูงยิ่งที่จะต้อง “จบที่คุก”ยาวๆ เหมือนกัน
ขณะเดียวกัน หากมองอีกมุมหนึ่งที่สังคมส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า “ม็อบสามนิ้ว” มีคนยุยง ชักใยอยู่ข้างหลัง หากพิจารณามองข้ามพวกองค์กรต่างชาติของตะวันตกแล้ว สำหรับบุคคล และพรรคการเมือง และนักการเมืองที่หาประโยชน์จากบรรดาเด็กเยาวชนที่ออกมาชุมนุมในครั้งนี้ ก็ต้องถือว่า “อำมหิต” อย่างมาก ที่ดันหลังเยาวชนให้ออกมาเสี่ยงคุก ตะราง ขณะที่พวกเขาได้แต่ประดิดประดอยถ้อยคำ ปลุกระดมอยู่ข้างหลัง โดยบางคนอยู่ในที่ปลอดภัย เพราะได้รับสถานะลี้ภัยในต่างประเทศ
ขณะที่ตัวเองไม่ต้องเสี่ยงๆ ใด ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่ต้องถูกดำเนินคดีใดๆ เพราะตัวเองทำตัวเป็น “อีแอบ” ซ่อนอยู่หลังเวที แต่คอยเก็บเกี่ยวประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะเฉพาะหน้า ก็หวังจากคะแนนเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นในระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่กำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่กี่วันนี้
เมื่อวกกลับมาที่แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมที่เป็นตัวหลักๆ จำนวนสามสี่คนดังกล่าว นาทีนี้ไม่แน่ใจว่ายังมีความฮึกเหิมเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ เพราะแม้ว่าในบางคดีศาลอาจยกคำร้องการขอฝากขังเพิ่มเติม และหวังว่า จะได้รับการปล่อยตัวออกมาชั่วคราว แต่กลับต้องถูก “อายัด” ตัวดำเนินคดีต่อ ตามหมายจับตามที่รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ได้ระบุเอาไว้ว่า มีหมายจับติดตัวกว่า 80 คดี คิดเอาก็แล้วกันว่า แค่จำนวนนับดังกล่าวก็เหนื่อยจนแทบหมดลุ้น ที่จะออกมาสู้คดีอยู่ข้างนอก แต่ก็อย่างว่าแหละ ตามที่รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้บอกเอาไว้ เมื่อคดีเริ่มเดินแล้วก็หยุดไม่ได้ เพราะทุกคดีต้องไปจบที่ศาลอยู่ดี
ก็ลองหลับตานึกภาพเอาแล้วกันว่าในจำนวนกว่า 80 คดี ที่ว่านั้น เมือถูกฟ้องเข้าสู่การพิจารณาคดีในศาล มันจะต้องใช้เวลากี่เดือน กี่ปี ในการเดินขึ้นลงเข้าออกศาล ซึ่งนั่นเป็นเรื่องตามขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้ เพราะเฉพาะหน้าก่อน นั่นคือ ในชั้นของตำรวจ ที่ต้องสอบปากคำ สำนวนส่งอัยการฟ้องศาล เอาเป็นว่าเพียงแค่นี้ก็เหนื่อยจน “เป็นลม” กันแล้ว ซึ่งเส้นทางเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น ส่วนจุดจบนั้นหากโชคดีมากรอดทุกคดีก็รอดคุก แต่หากแจ็กพอตสักคดีมันก็ต้องโดน !!