xs
xsm
sm
md
lg

“ก่อการร้าย”! นักวิชาการ จวก “โบกธงอุยกูร์” จำได้มั้ย 20 ศพ “ไพศาล” ชี้ “3 นิ้ว” ผิดมหันต์ ชู “ปฏิรูปสถาบัน”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ สองเหตุการณ์เปรียบเทียบอดีต-ปัจจุบัน เกี่ยวกับ “อูยกูร์” จากเฟซบุ๊ก Pat Hemasuk ของ นายภัทร เหมสุข
เริ่ม “ชักก่อการร้ายเข้าบ้าน” แล้ว “นักวิชาการ” จวก น่าละอาย “โบกธงอุยกูร์” บนพื้นที่เคยก่อวินาศกรรม 20 ศพ “ไพศาล” ชี้ “3 นิ้ว” ผิดมหันต์ เกม “ปฏิรูปสถาบัน-ดึงต่างชาติร่วม” “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ให้ทางเดียว “ทอน-ปิยบุตร” ปลุกลงถนน

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (28 ต.ค. 63) เฟซบุ๊ก Pat Hemasuk ของ นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความระบุ ว่า

“เรื่องน่าละอายเรื่องหนึ่งที่ผู้ประท้วงโบกธงของกลุ่มชนชาติอุยกูร์ ที่สี่แยกราชประสงค์ โดยไม่คิดถึงประวัติศาสตร์ว่าเมื่อห้าปีที่แล้ว ในพื้นที่นี้เคยโดนระเบิดของผู้ก่อการร้ายชนชาติอุยกูร์ ตาย 20 บาดเจ็บ 125 คน

มันฆ่าคนไทยที่ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลยกับเรื่องปัญหาของกลุ่มชนชาติอุยกูร์ เราไม่เคยเป็นศัตรูกับกลุ่มชนชาติอุยกูร์ เพราะไทยเรากับกลุ่มชนพวกนี้อยู่ห่างกันหลายพันกิโลเมตร ในภาคตะวันตกของประเทศจีน ส่วนเหตุผลในการทำการวินาศกรรมครั้งนี้คงเดากันได้ว่า ใครอยู่เบื้องหลัง

ภาพ  นายภัทร เหมสุข จากฟซบุ๊ก Pat Hemasuk
ถึงวันนี้พวกคนไทยกันเองกลุ่มหนึ่งกลับโบกธงของพวกมันในพื้นที่ที่มีคนไทยตายและเจ็บนับร้อยจากฝีมือผู้ก่อการร้ายอุยกูร์ เหมือนกับว่า คนไทยพวกนี้ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับคนไทยด้วยกันเมื่อห้าปีที่แล้ว”

ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก ชาวต่างชาติผู้หนึ่ง “Angelo Giuoiano” ที่ข้อมูลบอกว่า เป็นลูกครึ่ง สวิส-อิตาลี โพสต์ว่า

“ผู้ชุมนุมไทย เมื่อผู้ชุมนุมโบกธงอุยกูร์ที่น่าละอายของพวกก่อการร้ายป่วนชาติ ในระหว่างการชุมนุม พวกเขาช่างไม่รู้เลยว่า นักก่อการร้าย, นักแบ่งแยกดินแดน ได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กร NED ของสหรัฐฯ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านจีน และเพื่อก่อการร้ายไปทั่วโลก

ในช่วงเวลานั้น มีชาวอุยกร์ประมาณ 15,000 คน ต่อสู้อยู่ใน ซีเรีย, อัฟกานิสถาน, อิรัก พวกเขาอยู่เบื้องหลังไทย-บอมบ์ เอราวัณ ปี 2015 นั่นก็เหมือนกับพวกผู้ชุมนุมในสหรัฐฯ ที่โบกธงของอัลไกด้า (ผู้ก่อการร้าย) น่าละอายไหม ??

มันแสดงให้เห็นชัดเจน ถึงความไม่ใส่ใจของประชาชน พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่า “เป็นแค่เหยื่อ” และเครื่องมือของเจ้านายสหรัฐฯ... สหรัฐฯจะครอบงำ แบ่งแยก และก่อจลาจลให้ทุกแห่ง แต่ตัวจักรวรรดิอเมริกาเอง ทั้งเหยียดผิว และขายฝันแบบอเมริกันตะวันตกแก่เด็กๆ แต่มองประเทศเอเชีย และคนเอเชีย เป็นแค่ประชาชนชั้น 2-3 ในความเป็นมนุษย์”

ว่ากันว่า ภาพม็อบคณะราษฎรที่ถูกจับภาพได้ เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมในหลายสถานที่ เช่น อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, แยกราชประสงค์ ปรากฏม็อบกับ ธงฮ่องกง, ทิเบต, ไต้หวัน รวมถึงสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก (ธงสีฟ้า มีจันทร์เสี้ยว และดาว) ซึ่งเป็นความพยายามของกลุ่มการสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนซินเกียง ในประเทศจีน นั่นเอง

ฟังว่า ตอนนี้มีคนเข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมากในโพสต์นี้ ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่า มีการแอบแฝงมากับม็อบคณะราษฎร แสดงสัญลักษณ์ลักษณะนี้เพื่อให้เกิดภาพเผยแพร่ไปทั่วโลก

งานนี้ “ชักศึกเข้าบ้าน” เต็มๆ !! (จากผู้จัดการออนไลน์)

ภาพ นายไพศาล พืชมงคล จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ของนายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์หัวข้อ “ความผิดพลาดร้ายแรงของม็อบมี 2 ข้อ”

1. แสดงออกซึ่งท่าทีล้มเจ้า ตลอดจนการระรานจาบจ้วงล่วงละเมิดชนิดที่บรรพบุรุษไทยนับร้อยปีก็ไม่เคยทำมาก่อน

ที่สำคัญ ชุดข้อมูลนั้น เป็นเท็จ แต่คนมีหน้าที่ไม่เคยชี้แจงปกป้อง ทั้งๆ ที่สามารถชี้แจงให้เข้าใจได้

2. ดึงต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง เดินตามฮ่องกงโมเดล ซึ่งพ่ายแพ้ยับเยินไปแล้ว ล่าสุด ก็ไปเกี่ยวข้องกับอุยกูร์ ซินเจียง ไต้หวัน เข้าไปอีก ทำให้หน่วยงานความมั่นคงของจีนต้องให้การสนับสนุนประเทศไทย ในการรับมือกับต่างชาติ เพื่อความมั่นคงของจีน

และยังทำให้ พม่า ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ต้องผวากับม็อบดังกล่าวด้วย ขณะนี้บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คงเหลือว่าจะลงเอยแบบไหนเท่านั้นเอง !!!!

ใครมีลูกหลานอยู่ในม็อบก็ช่วยเตือนด้วย เพราะเลยเถิดไปแล้วจริงๆ!!!

ในขณะเดียวกัน ก็อยากจะเตือนว่า อย่าใส่เสื้อเหลืองไปปกป้องนักการเมือง ซึ่งสร้างศัตรูให้กับสถาบันอย่างอำมหิต และอย่าใส่เสื้อเหลืองไปทำร้ายบุคคลอื่น ในลักษณะที่ปกป้องนักการเมือง

พรรคการเมืองและนักการเมือง ควรจะใส่เสื้ออีกสีจะดีกว่า

จะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่า แอบอ้างสถาบันโหนเจ้า!!!

เช่นเดียวกับ เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความ ระบุว่า

“การประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อความสมานฉันท์ยุติลง ได้บทสรุปว่า นายกฯลุงตู่ไม่ลาออก ภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น คำตอบนี้เป็นไปตามคาดหมาย แต่ฝ่ายค้านและกลุ่มม็อบคงไม่ชอบใจ สู้ออกแรงกดดันมากขนาดนี้ยังทนได้อีก

อภิปรายของสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้าน เป็นไปตามคาดเช่นกัน เพียงคำเดียวที่ปรารถนา ขอให้ลาออก แต่ดรามาที่ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง คือ การที่มีสมาชิกเอามีดกรีดเลือด ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย อย่ามีใครอุตริเอาอย่าง

มีคำถามว่า ม็อบร้อยชื่อและฝ่ายค้านจะเอาอย่างไรต่อไป ยกระดับแบบสุดๆ สร้างเซอร์ไพรส์ก็แล้ว ยื่นหนังสือกล่าวหาสถาบันก็แล้ว เหลืออะไรที่ยังไม่ได้ทำ มีทางเลือกอะไรที่ยังเหลืออยู่ ถ้าจะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่เผาบ้านเผาเมือง

ยุบสภาน่าจะเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ ต้องเพิ่มแรงกดดันให้ลุงตู่ยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งใหม่ เป็นทางเลือกสุดท้าย อาจมีลุ้นได้เสียงข้างมาก ถ้าคนรุ่นใหม่จะเลือกพรรคฝ่ายค้าน”

อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่ง ที่อาคารไทยซัมมิท นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ คณะก้าวหน้า กล่าวถึงภาพรวมของการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญตลอดสองวันที่ผ่านมา ว่า

การประชุมรัฐสภาที่ผ่านมา ฝ่าย ส.ว.และ ส.ส.รัฐบาล และรัฐมนตรี ได้มีแนวทางอภิปราย 2 เรื่อง ได้แก่ 1. พยายามเชื่อมโยงและทำให้การชุมนุมของเยาวชนถูกด้อยค่า 2. การพยายามอธิบายข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมทำไม่ได้ หรือบางข้อต้องใช้เวลา แต่สำหรับตนเองนั้นการจะแก้ไขปัญหาทางการเมือง จะต้องอาศัยเจตจำนงเป็นหลัก หากมีเจตจำนงจริงๆ ไม่ว่าเรื่องไหนก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น

“ถ้าท่านอยากจะทำจริงๆ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบ 3 วาระรวด เพื่อเอา ส.ว.ออกไปก็สามารถทำได้ หรือหากจะลาออกก็ทำได้ เพราะแคนดิเดตนายกฯมีอยู่แล้ว หรือการบอกว่า ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับการยกร่างรัฐธรรมนูญ เหมือนเป็นการพูดแบบคิดว่าคนไทยกินแกลบหรืออย่างไร ดังนั้น การอภิปรายทั้ง 2 วันที่ผ่านมา จึงเป็นการพิสูจน์ว่า ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร โดยเฉพาะการอภิปรายตอนท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์”

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า การจะตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยหลายฝ่ายนั้น หากไม่เอาข้อเสนอของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 3 ข้อ เข้าไปด้วย การตั้งคณะกรรมการก็ไม่เป็นประโยชน์ แบบนี้ประชาชนอาจสิ้นหวังกระบวนการทางสภา และทำให้ลงถนนอีกครั้ง ที่ผ่านมาใช้กลไกต่างๆ เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้น เพราะหากเรื่องใดอยากทำจริงๆ ก็สามารถทำได้ทันที

ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล จากแฟ้ม
ด้าน นายธนาธร กล่าวว่า สำหรับข้อกล่าวหาว่า พวกเราอยู่เบื้องหลังและมีต่างชาติอยู่เบื้องหลังการชุมนุมนั้น การชุมนุมของเยาวชนถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ได้เรียกร้องให้มีการล้มล้างการปกครอง แต่เป็นการเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปเท่านั้น ถ้าเราไม่ยอมรับถึงปัญหาจะนำมาสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างไร เรากังวลว่าแทนที่จะยอมรับปัญหาและแสวงหาทางออกอย่างสันติ แต่รัฐบาลกลับกำลังโหมกระพือใส่ร้ายผู้ชุมนุม เป็นการบังคับให้ประชาชนเลือกข้าง อันตรายมาก

“การชุมนุมที่ผ่านมา เส้นแบ่งของการเลือกข้างมันเบลอ แต่ครั้งนี้มีเส้นแบ่งชัดเจน ซึ่งอันตราย และไม่สมควรกระทำ เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังที่ถูกรัฐบาลหว่านไว้กำลังเติบโตอย่างน่ากลัว เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่อยุธยาและมหาวิทยาลัยรามคำแหงหรือไม่ สองวันที่ผ่านมาในสภาโดยเฉพาะ ส.ว.อภิปรายด้วยความเกลียดชัง

ผมคิดว่า เราควรสร้างสังคมแห่งความเข้าใจกัน แต่กลับไม่มีการฟังเสียงของอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย หรือฟังอย่างมีวุฒิภาวะ หากไม่หยุดความเกลียดชังนี้ จะทำให้ความรุนแรงต่อผู้มีความเห็นต่างมีความชอบธรรม บ้านเมืองเรายังพอมีทางออก อย่าปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังให้กับคนรุ่นต่อไป” (การเมือง/แนวหน้า)

แน่นอน, นับวันสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ยิ่งน่ากลัวขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะความต้องการที่ยากตอบสนอง และความแค้นที่เอามาปนกับหน้าที่ของฝ่ายค้าน หรือของกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม

คงไม่ต้องบอกว่า พรรคเพื่อไทย แค้นอะไร พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งในช่วงรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และการช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาล หลังเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งที่แอบอยู่ก็คือ ลุ้นให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีอันเป็นไป ไม่ว่าใครทำก็ตาม และที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดก็คือ กดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก เพื่อที่จะให้อำนาจเปลี่ยนมือมาอยู่กับตัวเอง

ส่วน นักการเมืองบางกลุ่ม ที่ถูกยุบพรรค และมีความแค้นไม่ต่างจากพรรคเพื่อไทย ต้องเหลือลูกหาบในสภาที่คุมได้ไม่กี่คน กลุ่มนี้ต้องยอมรับว่า ตั้งพรรคการเมืองเพื่อภารกิจ สานต่อ การปฏิวัติ 2475 โดยเฉพาะ และนิยม “ปฏิวัติฝรั่งเศส” เป็นทุนอยู่แล้ว

ที่สำคัญ ยังเป็นผู้เริ่ม “แฟลชม็อบ” คนแรกด้วย หลัง กกต.ส่งเรื่องยุบพรรคให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค กรณีกู้เงินหัวหน้าพรรค ผิดกฎหมายพรรคการเมือง จนวันนี้ “แฟลชม็อบ” ที่ส่งไม้ต่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ

เพราะมีข้อเสนออย่างที่นักการเมืองบางกลุ่มต้องการ นั่นคือ “ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” จนนักการเมืองบางกลุ่มถูกมองจากหลายฝ่ายว่า อยู่เบื้อหลัง

สรุปให้ชัด ปัญหาที่แท้จริงคือ ความเจ้าคิดเจ้าแค้น ของนักการเมืองสองกลุ่ม และต้องการที่จะเอาชนะฝ่ายผู้มีอำนาจให้ได้ เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคณะทหาร คือ คนที่มีส่วนในการทำรัฐประหารเท่านั้น

เพราะหลายครั้ง ในการเสนอเนื้อหาในการคัดค้านรัฐบาล มักเหน็บ หรือ กระทบชิ่ง ไปถึงเจ้าของ พล.อ.ประยุทธ์ มาตลอด จนมาชัดเจนที่สุด ก็ต่อเมื่อสถานการณ์ทำท่าว่าจะถึงทางตันของการต่อสู้ จึงทิ้งใบสุดท้ายในเชิงข่มขู่ว่า จะยอม “ปฏิรูป” หรือ ให้ “ปฏิวัติ” แค่นี้วิญญูชนก็ชัดเจนแล้ว

เหนืออื่นใด ที่ชัดเจนอีกอย่างก็คือ การม็อบครั้งนี้มีอะไรที่ส่อนัยยะให้ได้คิดเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น “ให้มันจบที่รุ่นเรา” หมายความว่า ต้องเอาให้ได้ใช่หรือไม่ และเมื่อเป็นเช่นนี้ การยอมรับการหาทางออกในสภา ด้วยการเปิดประชุมสมัยวิสามัญรัฐสภา แม้ไม่เชื่อว่ามีทางออกก็ยอม ก็เพราะต้องการใช้เป็น “เงื่อนไข” ระดมมวลชนให้มีพลังกดดันขึ้นไปอีก และชอบธรรมในการเรียกร้องขั้นเด็ดขาด ใช่หรือไม่

ที่สุด สถานการณ์จึงไม่อาจคาดเดา ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่แน่ว่า แต่ละฝ่ายจะคุมอารมณ์ และดูแลม็อบของตัวเองได้ดีแค่ไหน จะมีมือที่สาม สี่ และห้า สร้างสถานการณ์ความรุนแรงแทรกซ้อนหรือไม่ และอย่าประมาท การ “ชักศึกเข้าบ้าน” โดยเฉพาะ “ชักผู้ก่อการร้าย” ที่อำมหิตที่สุด อีกต่างหาก น่าเศร้าใจจริงๆ

และนี่คือสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องรับมือกับความเป็นไปของบ้านเมือง ที่ยากลำบากที่สุดของคนรุ่นนี้เช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น