วันนี้ (27 ต.ค.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” โดยระบุว่า ตนได้รับข้อมูลจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ส่งมาให้เกี่ยวกับการอภิปรายที่รัฐสภา ช่วงวันที่ 26-27 ต.ค. โดยคนส่วนใหญ่มองว่าเสียดายเวลาในการฟังอภิปรายของพรรคก้าวไกล เพราะยังไม่เห็นมีทางออกให้กับประเทศชาติ ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่เข้าใจกลไกของรัฐสภา และม็อบก็ยังเดินประท้วงบนท้องถนนอยู่เลย จึงมองว่า ความจริงใจในการใช้กลไกรัฐสภานั้น คงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เนื่องจากพรรคก้าวไกลไม่ได้สั่งให้แกนนำภาคประชาชนหยุดรับฟังการอภิปรายของรัฐบาลที่จริงใจเพื่อแก้ปัญหาบ้านเมือง ซึ่งได้เสนอเปิดสภาวิสามัญหาทางออกร่วมกันแต่ม็อบก็ไม่ได้หยุด ฉะนั้น มองเห็นเจตจำนงแท้จริงแล้วว่าต้องการอะไร
นายสามารถ กล่าวอีกว่า การตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น แค่คิดก็ผิดแล้ว ตนเห็นว่า พรรคก้าวไกลคงไม่ได้ศึกษารากเหง้าประเพณีของประเทศไทยหรือไม่ได้ศึกษารัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย วันที่ 10 ธ.ค. 2475 และไม่เคยรับฟังจากคนรอบข้างเลยจะเรียกว่า กลไกประชาธิปไตยได้อย่างไร ทั้งนี้ ตนได้เห็นคลิป ส.ส.พรรคก้าวไกล พูดถึงรถขบวนเสด็จฯ และประชาชนทั่วไปคงเห็นภาพคลิปวิดีโอเหตุการณ์ดังกล่าว เชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศยอมรับไม่ได้และรู้อยู่แล้วว่ามีคนบางกลุ่มต้องการอะไร เพราะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หวังผลทางการเมือง หรือล้มล้างสถาบันฯอันเป็นที่รักของคนไทยทั้งประเทศ จึงเกิดคนสวมเสื้อเหลืองทั้งแผ่นดิน และเริ่มเห็นคนเสื้อเหลืองออกมาแสดงพลังปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักและเป็นเสาหลักของชาติ
“พรรคก้าวไกลนั้นไม่ได้มีเจตนาใช้กลไกรัฐสภาแก้ปัญหาม็อบเดินถนนเสียเลย ดังนั้น ต้องให้คนไทยทั้งประเทศเป็นคนตัดสินว่า พรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า มีการแบ่งหน้าที่ทำงานกันหรือไม่ โดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า ก็ไม่ได้ฟังคำพิพากษาของศาลเลยหลังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ก็ยังมีการแสดงความคิดเห็นและชี้นำทางสังคม ใช้จิตวิทยาการเมืองปลุกระดมมวลชนอยู่ตลอดเวลา”
นายสามารถ กล่าวต่อว่า ในประวัติศาสตร์เมื่อสมัยเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 คือ พระยาพลเทพ ซึ่งเป็น 1 ในจตุสดมภ์ทั้ง 4 มีหน้าที่สำคัญในการปกป้องพระนครศรีอยุธยา แต่ พระยาพลเทพ ได้เห็นต่างชาติดีกว่าคนในชาติ จึงไปคบค้ากับคนชาติอื่นเพื่อคิดจะล้มล้างสถาบันและเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยมีการเปิดประตูให้ข้าศึกเข้าเมือง ส่งเสบียงให้ศัตรูเพื่อให้มายึดกรุงศรีอยุธยาในเวลานั้น ตนขอหยิบยก
คำให้การชาวกรุงเก่า ได้บันทึกว่า ผู้ดำรงตำแหน่งพระยาพลเทพในช่วงเวลานั้นเป็นไส้ศึกให้กับพม่า ซึ่งมีส่วนทำให้กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2 เมื่อคราวช่วง พ.ศ. ๒๓๑๐ กล่าวว่า “คราวนั้นพระยาพลเทพข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกห่าง ลอบส่งเครื่องศาสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่า สัญญาจะเปิดประตูคอยรับ พม่าเห็นได้ทีก็ระดมเข้าตีปล้นกรุงศรีอยุธยา ทำลายเข้ามาทางประตูที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้ ก็เข้าเมืองได้ทางประตูทิศตะวันออกในเวลากลางคืน”
จนกระทั่งเสียกรุงครั้งที่ 2 ในวันที่ 7 เม.ย. 2310
นายสามารถ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันก็ยังมีคนบอกว่า นายปิยบุตร และ นายธนาธร ได้ทำตัวคล้ายเหมือนเหตุการณ์ในอดีต เห็นคนต่างชาติดีกว่าคนไทย ตนจึงอยากให้ นายปิยบุตร และ นายธนาธร กลับไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน เพื่อจะได้ไม่กระทำอันมิบังควร หรือลืมรากเหง้าประวัติศาสตร์ของประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม ตนออกมาเตือนสติ นายปิยบุตร นายธนาธร คณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน เพราะเชื่อว่า สมาชิกบางคนในพรรคก้าวไกลที่เขาอยากจะทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ตนอยากให้ นายธนาธร และ นายปิยบุตร หากคิดกลับเนื้อกลับตัวเวลาร้องเพลงชาติ ขอให้นึกถึง 3 สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และหากคนทั้งสองคิดได้ ตนมั่นใจเชื่อว่า ประเทศจะมีความสามัคคีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน