เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดก็เป็นไปตามสัญญาณที่ส่งกันมาก่อนหน้านี้ นั่นคือ การเดินเครื่องเพื่อเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ซึ่งแม้ว่าผลการประชุมตัวแทนฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ตัวแทนฝ่ายรัฐบาล ที่มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ผลออกมาว่าเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับวิกฤตของประเทศในเวลานี้
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเกือบทุกพรรคจะเห็นด้วยกับการเปิดสภาดังกล่าว แต่กลไกสำคัญก็ต้องได้รับความร่วมมือจากฝ่ายรัฐบาล ซึ่งล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้ยืนยันว่า สนับสนุนแนวทางดังกล่าว โดยจะนำเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทันทีในวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ 20 ตุลาคมนี้
โดยขั้นตอนทางการจากนี้ ก็คือ นายชวน หลีกภัย จะทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งให้ทราบถึงผลการหารือของพรรคการเมืองที่ประสงค์ให้เปิดสภาสมัยวิสามัญดังกล่าว จากนั้นก็เป็นขั้นตอนในเรื่องของการทูลเกล้าฯ เพื่อขอเปิดสภาฯ แม้ว่าตามไทม์ไลน์แล้ว ยังเหลือระยะเวลาอีกเพียง 11 วันเท่านั้น ที่จะถึงวันเปิดสมัยประชุมสภาสมัยสามัญ ครั้งที่ 2
สำหรับการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เป็นการใช้รัฐธรรมนูญตาม มาตรา 165 ที่เป็นการอภิปรายโดยไม่มีการลงมติ
ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการสนับสนุนให้มีการเปิดสภาดังกล่าว ทำให้หลายคนมองว่าเป็นการลดแรงกดดันจากการชุมนุม โดยใช้กลไกของสภาเป็นเครื่องมือในการหาทางออก ขณะเดียวกัน ยังมีท่าทีที่สอดรับกันจากประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิป) นายวิรัช รัตนเศรษฐ ที่เปิดเผยจะเร่งรัดให้มีการพิจารณาสรุปของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาก่อนรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้เร็วขึ้น รวมไปถึงการพิจารณาร่างแก้ไขทั้ง 6 ฉบับ และอาจพ่วงร่างของประชาชนในนามไอลอว์ เข้ามาพิจารณาร่วมกันด้วย
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังยืนยันว่า รัฐบาลได้ประนีประนอมอย่างมากมายแล้ว เพียงแต่ขอร้องให้ผู้ชุมนุมอย่าทำผิดกฎหมาย และที่สำคัญ อย่าละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งระบุว่า ยังไม่ได้ประกาศขยายพื้นที่ควบคุมหรือสถานการฉุกเฉินเพิ่มเติม รวมทั้งยังไม่คิดในเรื่องประกาศเคอร์ฟิวแต่อย่างใด
แน่นอนว่า ในทางการเมืองย่อมมองออกได้ไม่ยากว่าเป็นการ “แก้เกม” เพื่อลดแรงกดดันจากภายนอก ซึ่ง “ภายนอก” ที่ว่านั้น ย่อมต้องมี “บางพรรค” นักการเมือง “บางกลุ่ม” ที่ชักใยอยู่ข้างหลังม็อบเด็กๆ พวกนี้ โดยพวกนี้หวังประโยชน์จากสถานการณ์ความปั่นป่วน บางคนก็ยังฝันไปไกลให้เกิดบานปลายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแบบ “พลิกฟ้า” กันก็มี
หากพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว ที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่าฝ่ายรัฐบาล “เกือบพลาดแบบถลำลึก” ไปเหมือนกัน จากกรณีสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวัน เมื่อวันก่อน แม้ว่าจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรง หรือเสียชีวิต แต่เมื่อภาพออกไปตามสื่อโซเชียลฯ มันก็ย่อมออกมาไม่สวยนัก กลายเป็นเงื่อนไขให้ปลุกระดมมวลชนชั้นดี ทั้งที่จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ในครั้งนั้น จะเทียบกันไม่ได้กับการสลายชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สลาย นปช. กปปส. รวมทั้งกลุ่ม คปค.ก็ตาม เพราะอย่างมากก็เพียงแค่ใช้การฉีดน้ำผสมสี ที่มีใช้กันตามขั้นตอนสากล แต่เมื่อเคลมว่าเป็น “ม็อบเยาวชน” เป็นม็อบเด็กๆ ที่มือเปล่า ภาพมันก็ย่อมออกมาเป็นลบวันยังค่ำ
สิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลหันมาเน้นย้ำ ก็คือ การดำเนินคดีกับแกนนำ และคัดค้านการประกันตัว เพื่อไม่ให้เดินสายออกมาปลุกระดมขึ้นมาอีก ทำให้เวลานี้แม้ว่าจำนวนมวลชนยังถือว่าหนาตา สามารถระดมกันได้รวดเร็วทางสื่อโซเชียลฯ แต่เมื่อนานวันเข้าเมื่อม็อบไร้แกนนำแบบนี้มันก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง “ที่เหนือการควบคุม” มันก็ย่อมตกเป็นผลลบ กลายเป็นว่าใครที่ก่อความรุนแรง ฝ่ายนั้นจะเสียเปรียบทันที ขาดความชอบธรรมทันที ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังก็คือ “มือที่สาม” ที่อาจเข้ามาปะปนสร้างสถานการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ดังนั้น เมื่อประเมินสถานการณ์ พิจารณาจากอารมณ์แล้วเหมือนกับว่าเริ่ม “แผ่ว” ลงมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะประเด็นสถาบันฯ ที่เหมือนกับว่าฝ่ายม็อบไม่อาจขยายวงได้มากไปกว่านี้ ทำให้เหลือแค่สองประเด็น คือ “ประยุทธ์ลาออก” กับแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อมีไฟเขียวให้เปิดสภาวิสามัญเพื่อหาทางออก มันก็เป็นการลดอารมณ์ ผ่อนเกม
ขณะเดียวกัน เมื่อสำรวจอาการแล้วจะเห็นว่าพรรคการเมือง “กลัวยุบสภา” ที่สุด แต่ต้องการให้รีบแก้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว แบบนี้มันก็เหมือนกับเปิดช่องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาคุมเกมให้อยู่ในกรอบได้อีกครั้ง แต่ก็ถือว่าวินวินทุกฝ่าย !!