ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ดรามา “Call out” ของติ่งม็อบ 3 นิ้ว คุกคาม “ลิซ่า Blackpink” เริ่มโดนต่างชาติสวนกลับ
มาอัปเดตว่าด้วยโซเชียลบุลลี่ทางการเมืองของฝ่ายที่ยืนข้าง “ม็อบ 3 นิ้ว” ที่เที่ยวไล่ล่าบรรดา ดารา นักร้อง คนดัง โจมตีต่อว่าต่อขานถึงการไม่ออกมา “call out” แสดงจุดยืนทางการเมือง ซึ่งก็ต้องบอกว่า “ลลิษา มโนบาล” หรือ “ลิซ่า” นักร้องสาวชาวไทย รู้จักกันในฐานะสมาชิกเกิร์ลกรุ๊ป แบล็กพิงก์ เกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในนั้นที่โดนกดดันหนักหน่วง
ว่ากันว่า ตั้งแต่ติ่งม็อบจัดทัวร์ลงคุกคาม “ลิซ่า” ทั้ง “unfollow” ตลอดช่วงที่ที่มีการแสดงออกทางการเมือง และชุมนุมของ “คณะราษฎร” ทำให้กระทบต่อยอดการติดตามทางโซเชียลฯ ของนักร้องสาว รวมไปถึงข้อความที่เข้ามานั้น ก่อกวนสร้างกระแสจนมีแฟนคลับของ “ลิซ่า” ที่ทนไม่ไหว ออกมาปะทะกันในโลกโซเชียลฯ
ล่าสุดเห็นว่ามีกลุ่มคนในวงการเพลงต่างชาติ เริ่มไม่พอใจต่อพฤติกรรม “โซเชียลบุลลี่” ของติ่งม็อบ 3 นิ้ว ออกมาเคลื่อนไหวตั้งตำถามว่า ทำไมติ่งม็อบถึงได้คุกคามไอดอลสาว หรือคนที่ไม่แสดงท่าทีกับม็อบ ทั้งๆ ที่ “ลิซ่า” น่าจะเป็นไอดอลที่สร้างชื่อ เป็นตัวแทนคนไทยเผยแพร่วัฒนธรรมไทยไปให้คนทั่วโลกได้รู้จัก แทนที่จะปล่อยให้เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะแสดงออก กลับมากดดันบุลลี่ศิลปินคนไทยด้วยกันเอง
พูดง่ายๆ ว่า คนต่างชาติรับไม่ได้กับคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้วิธีกดดันทางโซเชียลฯ เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตนเอง หวังที่จะให้สังคมโลกรับรู้ถึงสถานการณ์การเมืองตามที่กลุ่มตนเห็นว่าถูกต้อง ทำเหมือนเป็นเจ้าของ “ลิซ่า” ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ดังที่ว่าไว้ ว่า “การที่ลิซ่าเป็นคนไทย ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณคนไทยจะมาเป็นเจ้าของชีวิตของเธอ” และว่า “ลิซ่า” ไม่น่าจะต้องมาเจอแรงกดดันผ่านโซเซียลฯ เช่นนี้
เรื่องนี้ กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึง และมีการแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง หลายๆ คนที่ชื่นชม “ลิซ่า” ได้ออกมาปกป้องสิทธิ์แทนนักร้องสาว ว่า เป็นตัวอย่างของคำว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” คนให้กำลังใจกันทั้งโลก อย่าให้คนหยิบมือมาทำลายกำลังใจลิซ่านะ ส่วนพวกนั้น...ช่างทำคนไทยขายขี้หน้าจริงๆ
การไม่ออกมา call out ของดารา หรือคนอื่นๆ ในประเทศนี้ รวมไปถึง “ลิซ่า” ไม่ได้หมายความว่า ฝักใฝ่เผด็จการ หรือไม่เป็นประชาธิปไตย... แต่ละคนมีเงื่อนไขชีวิตต่างกัน น้องเซ็นสัญญารักษาภาพลักษณ์ในฐานะนักร้องในสังกัด ซึ่งเขาไม่อนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง และน้องกำลังทำหน้าที่ของตนเอง ต่อแฟนคลับน้องทุกคน คนที่กดดัน บีบ ไปแซะดารา influencerต่างๆ ที่เขาไม่ออกความคิดเห็นทางการเมือง ให้เขาออกมาสนับสนุน หรือเห็นด้วยกับตน เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้ ซึ่งมันย้อนแย้งกับสิ่งที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” โดยสิ้นเชิง
งานนี้ก็หวังว่าจะเรียกสติกันกลับมาได้บ้างนะ.
**“เสี่ยหนู” ไม่เท “ลุงตู่” ไปจับขั้วใหม่ ... ยืนยันหนักแน่น “มาด้วยกัน ไปด้วยกัน” !!
หลัง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณ “อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี” ประกอบกับ เมื่อวานนี้ (21ต.ค.) เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 120 ปี “สมเด็จย่า” สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หน่วยราชการในสายปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้จัดกิจกรรมน้อมรำลึกถึงพระองค์ก็ทำให้เกิดการรวมตัวของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ สวมใส่ “เสื้อเหลือง” แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์กันเป็นจำนวนมาก และคาดการณ์ว่า จะมากยึ่งขึ้นไปอีกในวันที่ 23 ต.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 5 หรือวัน “ปิยมหาราช”
ขณะที่กลุ่ม “ประชาชนปลอดแอก” ก็ยังคงออกมาชุมนุมในย่านธุรกิจที่สำคัญ และสถาบันการศึกษาในส่วนภูมิภาค ตามการนัดหมายของกลุ่มการเมืองที่สั่งการผ่านโซเชียลฯ และยกระดับการกดดันขับไล่รัฐบาล โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 หมวด 2
สถานการณ์การเมืองขณะนี้ยังคงเป็นการเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้ชุมนุม ... แม้รัฐบาลจะยอมถอยมาหนึ่งก้าว ด้วยการเป็นเจ้าภาพขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อให้ ส.ส.- ส.ว. ได้ร่วมอภิปราย เสนอแนวทางแก้ปัญหา ... แต่กว่าจะถึงวันที่ 26 ต.ค. ที่จะมีการเปิดสภากันนั้น สถานการณ์นอกสภา ไม่รู้จะพัฒนาไปถึงขั้นไหน...
เพราะเงื่อนไขสำคัญในเรื่อง “แก้รัฐธรรมนูญ” ที่ฝ่ายค้าน รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่ฝ่ายรัฐบาล ต้องการให้นำญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ญัตติ มาพิจารณา และโหวตขั้นรับหลักการ ในการประชุมสมัยวิสามัญนี้ด้วย เพื่อแสดงความจริงใจในการแก้รัฐธรรมนูญ ก่อนจะคุยกันเรื่องอื่นๆ ...แต่รัฐบาลไม่โอเค ... ทั้งยังแสดงจุดยืนว่าฝ่ายรัฐบาลจะไม่มีการพูดเกี่ยวกับ “การปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” หากมีใครอภิปรายหมิ่นเหม่ ก็จะประท้วงทันที
ทำให้ความคาดหวังว่าการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญครั้งนี้ จะช่วยลดความร้อนแรงจากการชุมนุม จึงยังคาดหวังไม่ได้มากนัก
ขณะที่ “พรรคเพื่อไทย” ที่เป็นแนวร่วมสนับสนุนการชุมนุม ก็ใช้โอกาสนี้กดดัน เรียกร้องให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว เพื่อเลือกนายกฯใหม่ตามกติกาเดิม คือ เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคการเมืองเคยยื่นไว้ เพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาโหวตเลือก
พูดง่ายๆ คือ “ล้างไพ่” จับขั้วการเมืองกันใหม่โดยไม่ต้องเลือกตั้ง ...ผู้ที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯได้ พรรคการเมืองนั้นต้องมีส.ส.อย่างน้อย 25 คน ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้นเผยไต๋ออกมาแล้วว่าเป็น “ชัยเกษม นิติสิริ” ส่วนพรรคภูมิใจไทย ก็คือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” พรรคประชาธิปัตย์ คือ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ส่วนพรรคก้าวไกล หรือ อดีตพรรคอนาคตใหม่นั้น ไม่ต้องพูดถึง เพราะ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี จากกรณีถูกยุบพรรคไปแล้ว
ถ้าการเมืองพลิกขั้วเกิดขึ้นจริงตามคำที่มักพูดกันว่า “การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” มีการรวบรวมเสียง ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และพรรคเล็ก ได้มากพอที่จะไปรวมกับเสียง ส.ว.อีกส่วนหนึ่ง ที่จะหันมาร่วม “โหวตเพื่อชาติ” จนมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา ก็มีโอกาสที่จะมีรัฐบาลใหม่
คนที่โดดเด่น และเนื้อหอมที่สุดที่จะเป็นนายกฯ คนต่อไปคงหนีไม่พ้น “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล
อย่างไรก็ตาม “เสี่ยหนู” ได้พูดถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า พรรคภูมิใจไทย ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคภูมิใจไทย ก็เสนอให้มีการแก้ไข มาตรา 256 เพื่อให้มี ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เราพร้อมสนับสนุนให้แก้ไขมาตราที่ประชาชนต้องการให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชน
แต่ถ้าจะให้ทอดทิ้ง “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ไปจับขั้วใหม่นั้น “เสี่ยหนู” ยืนยันหนักแน่นว่า “มาด้วยกัน ไปก็ไปด้วยกัน” … พูดเหมือนนั่งในใจ “ลุงตู่” ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวเมื่อไร ก็เจอยุบสภาแน่ !!