xs
xsm
sm
md
lg

จบที่สาธารณรัฐ!? “จรัล ดิษฐ์” เอาใหญ่ ร้อง “ฝรั่งเศส” แทรกแซงไทย “หมอวรงค์” ชี้เป้าจริง “เปลี่ยนประเทศ”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ การชุมนุมเมื่อวันที่ 17 ต.ค.63 ที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว จากแฟ้ม
“ตัวเป้ง” แดงนอก มาแล้ว “จรัล ดิษฐ์” ประณามรัฐบาลประยุทธ์ ใช้ความรุนแรงปราบม็อบ พร้อมเรียกร้องฝรั่งเศสหนุนหลัง นักเรียน นิสิต นศ. “หมอวรงค์” แฉเป้าจริง “อีแอบ” สู่ “ล้มเจ้า” เปลี่ยนประเทศเป็น “สาธารณรัฐ”

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (18 ต.ค. 63) ท่ามกลางม็อบราษฎร กำลังคึก และขยายวงออกไปในหลายจังหวัดทั่วประเทศ จนสร้างความหวาดหวั่นให้กับประชาชนไทยอย่างมาก

แต่ที่น่าจับตามองอย่างสูง ไม่เพียงสถานการณ์การชุมนุมที่สร้างพลังกดดันรัฐบาลได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น

หากแต่ยังรวมถึง ฝ่ายหนุนและฝ่ายต้านม็อบ ที่ก็ถือว่า มีประเด็นที่น่าคิดวิเคราะห์ตามไปด้วย
อย่าง เฟซบุ๊ก Jaran Ditapichai ของ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประธานสมาคมนักประชาธิปไตยชาวไทยไร้พรมแดน ลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส หรือที่รู้จักกันในนามของ “แดงล้มเจ้า” โพสต์แถลงการณ์สมาคมนักประชาธิปไตยชาวไทยไร้พรมแดน ระบุว่า

“จากการที่ นายประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายใต้อาณัติของกษัตริย์ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ในกรุงเทพมหานคร และนำกองกำลังตำรวจและทหารเข้าปราบปรามนักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่มาร่วมชุมนุม อย่างต่อเนื่อง นับแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2563 เป็นต้นมา

โดยรัฐบาลได้ใช้อำนาจมิชอบปฏิบัติการอย่างรุนแรงหลายรูปแบบต่อประชาชน อาทิเช่น คุกคามการแถลงข่าวของคณะก้าวหน้า ส่งทหารเข้ายึดรัฐสภา จับกุมแกนนำผู้ชุมนุม และสื่อมวลชนนับ 100 คน ตั้งข้อกล่าวหาร้ายแรงโดยไม่มีมูล และที่น่าตกใจคือ มีการใช้มาตรา 110 กล่าวหานักกิจกรรมว่าประทุษร้ายราชินี ซึ่งมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต การกระทำเหล่านี้นับเป็นการแสดงธาตุแท้ของเผด็จการที่ไม่อาจยอมรับได้

การชุมนุมของคณะราษฎร 2563 มีเป้าหมายสามประการ คือ 1. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก 2. เปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 3. ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เป็นที่ชัดเจนว่า ข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นทางออกจากวิกฤตการเมืองไทยอย่างสันติที่แท้จริง และแม้จะถูกรัฐปราบปรามด้วยความรุนแรงและอำมหิตเพียงใด ประชาชนยังคงยืนหยัดแสดงเจตนารมณ์สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวอย่างหนักแน่น ด้วยการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ และหลายสิบจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนผู้ชุมนุมในแต่ละจุดได้ขยายเติบใหญ่ขึ้นนับหมื่นคน อย่างเป็นปรากฏการณ์

ภาพ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย จากแฟ้ม
สมาคมฯ ขอเรียกร้องต่อกษัตริย์และรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ดังต่อไปนี้

1. ยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินโดยทันที

2. ปล่อยผู้ถูกจับกุมทุกคนทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข

3. ยุติการปราบปรามนักศึกษาและประชาชน

4. นำข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมไปพิจารณาดำเนินการอย่างเร่งด่วน

สมาคมฯ ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลและประชาชนสาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้โปรดสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนคนไทย และหยุดยั้งการเผด็จอำนาจของรัฐบาลไทย

สมาคมฯ หวังชาวไทยทั้งในและต่างประเทศจักผนึกกำลังกัน ยืนหยัดต่อสู้ จนกว่าจะได้รับชัยชนะ ให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างแท้จริง”

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ (27 พ.ค. 63) นายจรัล ดิษฐาอภิชัย เคยโพสต์เฟซบุ๊ก เปิดใจถึงความรักในอุดมการณ์สาธารณรัฐว่า

“วันนี้ ผมออกมาลี้ภัย 6 ปีแล้ว ยังไม่รู้สึกทุกข์ทรมานอย่างใด เพราะคุ้นชินกับอยู่ต่างประเทศและเป็นนักสากลนิยม มีอุดมการณ์สาธารณรัฐ République ยิ่งได้สัญชาติเป็นพลเมืองฝรั่งเศส ยิ่งต้องยึดถือหลักการและคุณค่าของสาธารณรัฐฝรั่งเศสตามที่สาบานในพิธีรับมอบสัญชาติ การที่ผมพูดถึงสาธารณรัฐ จึงเป็นสิ่งธรรมดา และเป็นวิถีชีวิตของพลเมือง

ความจริง ผมนิยมสาธารณรัฐมากว่า 50 ปี ตั้งแต่เข้าร่วมปฏิวัติ และเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพราะพรรคดังกล่าวทั่วโลก ยึดถือสาธารณรัฐเป็นรูปแบบรัฐ ดังชื่อประเทศ เช่น สหภาพสาธารณสังคมนิยมโซเวียต สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ฯลฯ

หลักการและคุณค่า สำคัญของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ถือประชาชนเป็นใหญ่ เป็นรัฐของประชาชน เป็นประชาธิปไตย มิใช่เป็นราชอาณาจักรของกษัตริย์

คำขวัญหลัก เสรีภาพ เสมอภาค ภาราดรภาพ เวลาผู้ใดปราศรัย จะจบด้วยเปล่งคำขวัญ Vive la République สาธารณรัฐ จงเจริญ Vive la France ฝรั่งเศส จงเจริญ MARIANNE สัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นผู้หญิงท้วมๆ แสดงถึงความอยู่ดีกินดี ภายใต้ระบอบนี้”

ภาพ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี ก็โพสต์หัวข้อที่น่าสนใจเช่นกัน “#ช่วยกันปกป้องแผ่นดิน”

เนื้อหาระบุว่า “การที่ม็อบอ้างว่า มาเรียกร้องประชาธิปไตย ขับไล่รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ล้วนเป็นเกมลวงประชาชน ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์

ภาพจริงที่ออกมาของม็อบ คือ การปิดล้อมขบวนเสด็จของพระราชินี ตะโกนด่า และใช้สัญลักษณ์มือที่ไม่เหมาะสม กล่าววาจาหยาบคาย คุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างกระแสสาธารณรัฐไทย

เท่ากับว่า เป้าประสงค์ที่เรียกร้องประชาธิปไตย ขับไล่รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ปฏิรูปสถาบันฯ จึงเป็นเป้าลวง แต่เป้าหมายจริงคือ การไล่รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ ให้พ่ายแพ้ เพื่อไปสู่การล้มล้างสถาบันฯ และเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐ

สิ่งที่เกิดขึ้น จึงไม่ใช่การชุมนุมปกติในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นการปฏิวัติโดยอาศัยมวลชนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เป็นเครื่องมือ คำถามจึงถามว่า ทั้งๆ ที่ปัญหาประเทศเกิดจากนักการเมืองโกง แต่จะแก้ด้วยวิธีล้มล้างการปกครอง แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร

ประเทศไทยมีรากเหง้า มีวิถีไทย อัตลักษณ์ไทย วัฒนธรรม ประเพณี ที่สะสมมายาวนานร่วม 800 ปี ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นตะวันตก การผสมผสานอารยธรรมตะวันตก จึงเป็นการแลกเปลี่ยน โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ และอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาตลอด

ถ้าคนไทยยอมตามผู้ชุมนุม ลองจินตนาการว่า สิ่งใดจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ที่เป็นศูนย์รวมใจคนไทยให้เป็นไทยร่วมกัน ถามว่าจะเอาประธานาธิบดีคนไหน ทักษิณ หรือ ธนาธร และคิดว่า คนไทยทั้งประเทศจะมีความผูกพันกับระบบใหม่หรือ

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ความแตกแยกอย่างรุนแรง อาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง และแบ่งแยกของแผ่นดิน ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงจากราชอาณาจักร ไปสู่สาธารณรัฐ ไม่ง่ายเหมือนการลบตัวหนังสือในแผ่นกระดาษ แต่หมายถึงการล้มล้างวิถีไทยและอีกหลายๆ อย่างที่สะสมมานาน

ถามว่า สังคมไทยจะสงบสุขหรือ ทุกประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบ จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 50 ปี สังคมจึงค่อยๆ ปรับตัว ไม่ต้องดูไกล แค่เปลี่ยนระบอบด้วยการปล้นพระราชอำนาจสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 ยังเกิดการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มคณะราษฎร ทหาร นักการเมือง ยาวนานถึง 60 ปี เพียง 20 ปีหลังมานี้ที่เกิดจากประชาชน

ดังนั้น ระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กำลังปรับตัวให้สังคมไทยสงบสุข เพียงแต่แก้ปัญหาให้ตรงจุด นั่นคือ นักการเมืองโกง สังคมไทย ก็จะดีกว่านี้

ท้ายที่สุดจริงๆ เชื่อว่า ประชาชน 98% เข้าใจ ไม่ยินยอมตามที่ผู้ชุมนุมต้องการ แต่พวกเราต้องอดทน ช่วยกันให้ความเข้าใจต่อเหตุการณ์ เพราะผลของภารกิจ ที่ช่วยกันสร้างความเข้าใจ ไม่ใช่เพียงแค่การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่หมายถึงพวกเรากำลังช่วยกันปกป้องผืนแผ่นดินไทย ไม่ให้ถูกแบ่งแยกและทำลายอีกด้วย”

ทั้งนี้ ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 63 ที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว 1 ใน 3 จุดที่มีการชุมนุม คือ ห้าแยกลาดพร้าว-อุดมสุข-วงเวียนใหญ่ ปรากฏว่า มีการพ่นตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่แปลว่า “สาธารณรัฐไทย” ตัวโต ลงบนพื้นถนนด้วย จึงแทบจะพูดได้ว่า เรื่องที่ “หมอวรงค์” หยิบยกมานั้น มีมูลความจริง

ภาพ นายพิภพ ธงไชย จากแฟ้ม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Pibhop Dhongchai ของ นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โพสต์ข้อความระบุว่า

“บันทึกไว้ว่า ถ้าทุกครั้งมีการสลายม็อบที่รุนแรงยิ่งกว่านี้

เช่น การสลายม็อบในอดีต ไม่ว่า กรณี พธม. หรือ กปปส. หรือ นปช. หรือ คปท.

หรือการชุมนุมของชาวบ้านที่ออกมาปกป้องชุมชน

ทั้ง หมอ นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ ต้องออกมาแถลงการณ์ประท้วงรัฐบาลกันด้วย ทุกครั้งไป

ถ้าอยากเป็นนักสันติวิธี ก็เป็นให้เหมือนกันทุกครั้ง

เสมอต้นเสมอปลาย

เพราะเราเจ็บปวดกับการเลือกข้างของท่านทั้งหลายในอดีตมาแล้ว”

การใช้น้ำฉีดแรงสูง ผสมสีในวันนั้น
เพื่อสลายม็อบที่ชุมนุมบนท้องถนนอย่างสงบ
ไม่ได้พังร้านค้า หรือบุกเข้าไปในบ้านเรือน
หรือสถานที่ต่างๆ

เป็นการชุมนุมอย่างสงบ และสันติ
มีกำหนดเวลาเลิกชุมนุม
ย่อมเป็นสิทธิตาม รธน.
จะออกกฎหมายมาจำกัดสิทธิไม่ได้

จึงไม่ควรมีการสลายการชุมนุม
แม้จะสลายโดยใช้น้ำฉีดความดันสูงในระยะห่างก็ตาม

แต่ก็ต้องชมว่า รัฐบาลสั่งไม่ให้ตำรวจพกอาวุธ
และไม่ใช้ความรุนแรงในการปะทะ
จึงยังไม่มีการเลือดตกยางออก เหมือนเช่นกรณี 7 ตุลาคม
ของ พธม.หน้ารัฐสภาเมื่อ 12 ปีก่อน...

แน่นอน, ดูเหมือนประเด็น “สาธารณรัฐไทย” ไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก จะมีก็แต่กลุ่ม “หมอวรงค์” ที่พูดถึงอย่างจริงจัง และส่งสัญญาณเตือนมาตลอด นั่นอาจเพราะ หลายคนยังเชื่อมั่นว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะต้องผ่านหลายด่านอยู่เหมือนกัน

แต่มาถึงวันนี้ ดูเหมือนไม่พูดถึงไม่ได้แล้ว เพราะอย่าลืมว่า การต่อสู้ของมวลชนราษฎร 2563 นับแต่จุดประกายไฟข้อเสนอ 10 ข้อ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต แล้ว การยกระดับความรุนแรง และขยายผลทางการเมืองทั้งในและนอกประเทศ เห็นได้ชัดว่า ตั้งความหวังเอาไว้สูง หรือเล็งเป้าสูง รวมทั้งยังมีกลุ่มคนและองค์กรในต่างประเทศคอยหนุนหลังอย่างชัดเจน

พูดตามตรงก็คือ ถ้าปฏิรูปสถาบันฯได้ ทำไมอย่างอื่นจะทำไม่ได้ นี่คือ ประเด็น

เหนืออื่นใด ที่น่าเป็นห่วงอย่างสูง ก็คือ การแบ่งข้าง แบ่งขั้ว หนุนหลังม็อบ เอียงข้างม็อบ เห็นใจม็อบ กับฝ่ายที่ต้องการให้จัดการกับม็อบอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องสถาบันฯอย่างเต็มที่ รวมถึงคนไทยส่วนใหญ่ ที่ยังคงจงรักภักดีต่อสถาบันฯ

กำลังจะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ในสังคมไทย และการเมืองไทย จุดจบจะอยู่ที่ไหน สาธารณรัฐไทย หรือ ราชอาณาจักรไทย เหมือนเดิม คือ เดิมพันเลือด ที่แทบไม่อยากแม้แต่จะคิด ถ้ายังไม่มีทางออกที่ดีที่สุดในเร็ววันนี้ ไม่เชื่อคอยดู!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น