เอเจนซีส์/รอยเตอร์/MGR Online - การจราจรและการขนส่งเป็นอัมพาตทั่วใจกลางกรุงเทพฯ ในวันเสาร์ (18 ต.ค.) หลังผู้ประท้วงจำนวนมากที่ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่รวมตัวชุมนุมท้าทายกฎหมายภาวะฉุกเฉินเป็นวันที่ 3 สื่อนอกชี้เป็นครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสหลังประท้วงใหญ่ “ให้รักประเทศชาติบ้านเมือง รักประชาชนรักสถาบันฯ และสอนเด็กๆ รุ่นใหม่ด้วยประสบการณ์ที่ตนเองได้มีมา” พร้อมทรงย้ำกับเหล่าอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ “แต่ตอนนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองก็เป็นแบบนั้น เข้าใจว่าท่านทั้งหลายก็ต้องเลือกในการรักชาติ ในการรักประชาชนรักชาวบ้าน”
หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ รายงานเมื่อวานนี้ (18 ต.ค.) ว่า รถไฟฟ้า BTS และรถไฟใต้ดิน MRT ปิดให้บริการทั่วกรุงเทพมหานครในวันเสาร์ (17) หลังผู้ประท้วงคนรุ่นใหม่จำนวนมากรวมตัวกดดันรัฐบาล ซึ่งพบว่ามีผู้เข้ารวมการประท้วงหลายคนยังคงอยู่ในระดับชั้นมัธยมต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก รวมไปถึงการมีกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำรัฐประหารเมื่อปี 2014 ในสมัยของอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งในปัจจุบันยังคงลี้ภัยอยู่ในต่างแดน เขาได้กลายมาเป็นนายกฯ พลเรือนในการเลือกตั้งล่าสุดและประกาศจะไม่ลาออก
พล.อ.ประยุทธ์ยังเตือนผู้เข้าร่วมประท้วงทุกคนว่าจะต้องได้รับผลร้ายแรงที่จะตามมาหากว่าคนเหล่านี้ยังคงละเมิดคำประกาศภาวะฉุกเฉินขั้นร้ายแรงของรัฐบาล โดยในคำสั่งระบุห้ามการรวมตัวในที่สาธารณะตั้งแต่ 5 คนทั่วไป และการเผยแพร่ข่าวที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
หนึ่งในผู้ประท้วงเข้าร่วมชุมนุมวัย 23 ปี ชื่อมอส (Moss) ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฮ่องกงว่า “วันนี้ทุกคนเป็นผู้นำ” โดยอ้างไปถึงการประท้วงวันเสาร์ (17) ซึ่งไร้ผู้นำหลังแกนนำหลักของคณะราษฎรส่วนใหญ่ถูกจับกุมไปก่อนหน้า และเสริมต่อว่า “พวกเราพยายามที่จะให้ตำรวจทำงานด้วยความยากลำบากมากขึ้นด้วยการไปชุมนุมที่แยกสำคัญต่างๆ ในกรุงเทพฯ”
ทั้งนี้ พบว่ามีการประท้วงอีกไม่ต่ำกว่า 6 เมืองนอกเขตกรุงเทพฯ ซึ่งไม่มีการเข้ามาควบคุมของตำรวจและผู้ประท้วงสลายตัวไปเองไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น
เซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์ รายงานว่า การประท้วงส่วนใหญ่เป็นไปด้วยความสงบ แต่มีการปะทะเล็กน้อยกับเจ้าหน้าที่ปราบจลาจลที่มีกับกลุ่มผู้ประท้วงแถวหน้า
อย่างไรก็ตาม ผู้ประท้วงที่เข้าร่วมในวันเสาร์ (17) ยืนยันว่าพวกเขาและเธอจะไม่ถอดใจ และพบว่าในวันเสาร์ (17) มีแกนนำบางคนได้รับการประกันตัวออกมา
หนึ่งในนั้นคือ ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือฟอร์ด วัย 23 ปี แกนนำกลุ่มเยาวชนปลดแอก และคณะราษฎร ได้ให้สัมภาษณ์หลังได้รับการประกันตัวในช่วงเช้าว่า “ผมขอประณามคนที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งสลายฝูงชน คุณมันเผด็จการ” และเสริมต่อว่า “ผมขอเคียงข้างพวกคุณทุกคนที่ยังคงออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย”
ด้านกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ออกมาเตือนถึงอันตรายที่อาจจะมีขึ้นระหว่างที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงมีอำนาจภาวะฉุกเฉินในมือ โดย แบรด อดัมส์ (Brad Adams) ผู้อำนวยการแผนกเอเชียของกลุ่มฮิวแมนไรท์วอตช์ กล่าวว่า
“ด้วยการส่งกำลังตำรวจเข้ามาสลายฝูงผู้ประท้วงที่สงบด้วยวิธีรุนแรง รัฐบาลไทยกำลังย่างก้าวเข้าสู่หนทางการปราบปรามอย่างป่าเถื่อนต่อการประท้วงเด็กนักเรียนนักศึกษา” และเสริมต่อว่า “กฎหมายได้ให้ไฟเขียวให้สามารถมีสิทธิในการละเมิดโดยที่ไม่ต้องรับโทษ”
การประท้วงฮ่องกงเป็นตำราที่ถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียในบรรดาผู้ประท้วง หนึ่งในนั้นคืออีฟ (Eve) วัย 27 ปี กล่าวว่า “ดิฉันได้เตรียมซื้อน้ำเกลือเพื่อล้างตาในกรณีที่พวกเราถูกฉีดด้วยกระสุนน้ำเหมือนคืนที่ผ่านมา”
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญออกมาแสดงความเห็น คือ พอล แชมเบอร์ส (Paul Chambers) ที่ปรึกษาพิเศษประจำด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า “ประการแรกและที่เหมือนจะเป็นได้มากว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยังคงอยู่ต่อไป ขณะที่ความรุนแรงจะคุกคามกลุ่มผู้ประท้วงมากขึ้น” หรือไม่เช่นนั้นนายกรัฐมนตรีจะยอมลาออก แต่จะมอบอำนาจให้คนอื่นที่อยู่ในคณะรัฐบาลผสมอนุรักษนิยมของเขาเข้าทำหน้าที่แทน ที่อาจจะมีการสัญญาการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญตามมา
และทางเลือกสุดท้ายคือ กองทัพเข้ายึดอำนาจพร้อมกับ พล.อ.ประยุทธ์จะยังคงทำหน้าที่ในฐานะนายกฯ ที่อ่อนแอต่อไป ขณะที่ผู้นำเหล่าทัพเป็นผู้คุมอำนาจที่แท้จริง หรือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะกลายเป็นโฉมหน้าใหม่ของคณะรัฐบาลรัฐประหาร
รอยเตอร์รายงานวันศุกร์ (16) ว่า ขณะที่การประท้วงยังคงเดินหน้าไปอย่างรุนแรงและมีการบุกจับกุมกลุ่มแกนนำคนสำคัญต่างๆ รวมไปถึงแกนนำที่ออกมาเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง และกำลังตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการประท้วงจนมีการตั้งคำถามถึงกระสุนน้ำผสมสีนั้นเป็นไปตามหลักสากลหรือไม่ ถือเป็นครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ มีพระราชดำรัสสู่สาธารณะหลังการประท้วงซึ่งมีการถ่ายทอดผ่านทางทีวีไปทั่วประเทศ เป็นการบันทึกพระราชดำรัสล่วงหน้า
รอยเตอร์ชี้ว่า ดูเหมือนพระองค์จะทรงไม่ตรัสพาดพิงถึงการประท้วงโดยตรงที่เกิดขึ้นมานานร่วม 3 เดือน หรือรวมไปถึงการถอดถอน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่ง แต่ในกระแสรับสั่งพระองค์ทรงย้ำความสำคัญไปที่ประชาชนให้รักชาติ และรักสถาบันฯ
อ้างอิงจากการรายงานของสื่อในประเทศพบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพร้อมกันสองพระองค์ในวันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม เวลา 21.30 น. ที่ห้องรับรองที่ประทับ หอประชุมมหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร อำเภอเมืองฯ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นการพบปะกับอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศไทย ประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยคนทั้งหมดที่เข้าเฝ้าฯ เป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ในพื้นที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม โดยทรงให้รักประเทศชาติบ้านเมือง รักประชาชนรักสถาบันฯ และสอนเด็กๆ รุ่นใหม่ด้วยประสบการณ์ที่ตนเองได้มีมา พร้อมทรงย้ำกับเหล่าอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งหลายว่า “แต่ตอนนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองก็เป็นแบบนั้น เข้าใจว่าท่านทั้งหลายก็ต้องเลือกในการรักชาติ”
พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปฏิสันถารกับแกนนำคณะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ความดังนี้ว่า
“เท่าที่ฟังมาก็อยากจะพบ แล้วสมเด็จพระราชินีท่านก็เล่าให้ฟังว่า เคยเจอสหายต่างๆ ที่มีความสามารถ แล้วก็เดี๋ยวนี้ก็เป็นกำลังของชาติ น่าซาบซึ้ง น่าปลื้มใจ ที่ท่านทั้งหลายเป็นกำลังของชาติแล้วก็ท่านทั้งหลายรักประเทศชาติบ้านเมือง รักประชาชน รักสถาบันฯ ซึ่งเขาพูดไว้ว่า แม้แต่ตอนท่านหนุ่มๆ สาวๆ กัน ท่านก็รักประเทศชาติ รักประชาชน แล้วก็ถือว่าได้แสดงความรักชาติ แต่ตอนนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองก็เป็นแบบนั้น เข้าใจว่าท่านทั้งหลายก็ต้องเลือกในการรักชาติ ในการรักประชาชนรักชาวบ้าน รักบ้านเมือง ก็ทำให้ท่านได้เข้าใจอะไรต่างๆ ตามที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ท่านทรงพระราชทาน และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ท่านได้พระราชทานความรักพระราชทานความห่วงใยกับประชาชนมาตลอด เพราะฉะนั้น เราก็ร่วมกันรักชาติ ร่วมกันรักษาประชาชน และทุกอย่างของท่านทำก็ถือว่าก็เป็นประสบการณ์ที่ดี แล้วก็พูดกันตรงๆ ว่าท่านก็ได้ทำประโยชน์กับประเทศชาติ
ตอนนี้ก็คงจะเข้าใจว่าบ้านเมืองต้องการคนรักชาติต้องการคนรักสถาบันฯ และก็มีประสบการณ์ใดๆ ที่เคยได้ทำมา หรืองานที่ผ่านมาเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้และก็สามารถจะสอนเด็กๆ รุ่นใหม่ด้วยประสบการณ์ที่ตนเองได้มีมา เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ความจริงเราก็อยากเจอ ข้าพเจ้าก็อยากเจอ อยากพบอยากคุย และมีเวลามากก็อยากคุยอยากพบ อยากให้เล่าให้ฟังว่าทำอะไรมาบ้าง ได้รำลึกความหลังกัน”