ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ม็อบคุกคามอาฆาตมาดร้ายเจ้า สุดร้ายแรงในประวัติศาตร์ “ลุงตู่–บิ๊กปั๊ด” ยังสบายดีอยู่หรือ ?
การชุมนุมของ “คณะราษฎร” เมื่อวันที่ 14 ต.ต.เหมือนจะจบด้วยการเข้าปฏิบัติการ “สลายการชุมนุม” และจับกุมแกนนำของเจ้าหน้าที่ตำรวจตอนเช้าตรู่ วันที่15 ต.ต. ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลงนามในประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร มีผลตั้งแต่ตีสี่ ของวันที่ 15 ต.ค. พร้อมกับแต่งตั้ง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานของ “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง แต่ “ม็อบคณะราษฎร” ก็ยังดำเนินการชุมนุมต่อ โดยย้ายไปที่ราชประสงค์ ย่านธุรกิจในกลางเมือง สถานที่ที่กลุ่มคนเสื้อแดงเคยปักหลักม็อบเมื่อปี 2553 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน
นี่ก็ต้องจับตากันใกล้ชิดว่า ม็อบจะพัฒนาไปทางใด แต่การชุมนุมของ"คณะราษฎร" ระหว่างวันที่13-14 ต.ต.นั้น ไม่พูดถึงไม่ได้ !!
สิ่งที่สังคมได้เห็น ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ที่ม็อบกระทำการ“เกินเลย”ทั้งเจตนาก่อกวนอย่างไม่รู้กาละเทศะ มาตั้งแต่ในวันที่ 13 ต.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของ ในหลวง ร.9 และต่อเนื่องมาถึง วันที่14ต.ค. มีเหตุการณ์ที่คณะราษฎรกลุ่มหนึ่ง ประชิดขบวนเสด็จกระทำการชูสามนิ้ว และตะโกนโห่ร้อง ขณะที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ ประทับอยู่ในรถยนต์พระที่นั่ง เคลื่อนผ่านบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งตามหมายกำหนดการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯแทนพระองค์ไปถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และวัดอรุณราชวราราม
เรื่อง"ม็อบ3นิ้ว" คุกคามสถาบันฯ นี้ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาตร์ นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา ที่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคม เพราะถือเป็นครั้งแรกที่สถาบันฯ ถูกคุกคามอย่างซึ่งหน้า
เรื่องนี้กระทบความรู้สึก-รับไม่ได้ ของคนในชาติอย่างมาก รวมไปถึงพากันตั้งถามในโลกโซเซียลฯ ว่า เกิดอะไรขึ้น? มีข้อน่าสงสัยต่างๆ ในแง่ของมาตรการ การอารักขาของรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคง ที่ทำไมปล่อยให้มีเหตุการณ์ที่ไม่บังควรทั้งๆ ทื่ควรป้องกันได้
แต่ไม่ทันที่ข้อเท็จจริงตรงนี้จะปรากฏออกมา รัฐบาลกลับนำวิกฤตมาเป็นโอกาส ประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อ"กระชับอำนาจ" ตัวเอง พร้อมๆกัน ท่าทีที่ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ทำขึงขัง สั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการกับผู้ที่ขัดขวางขบวนเสด็จพระราชดำเนิน และผู้ที่กระทำอื่นใดในลักษณะที่เป็นการหมิ่นสถาบันฯ โดยจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด ไม่ละเว้น ก็ถูกมองว่าฝ่ายรัฐละเลย "จงใจกลบเกลื่อน" เลี่ยงไม่พูดถึงความรับผิดชอบของตัวเอง !!
ว่ากันตามจริง การบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เรื่องหนึ่ง ซึ่งตลอดทั้งวันเมื่อวาน มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เรื่องใหญ่กว่า ที่สังคมคาใจ เกาะติดและทวงถามผ่านโซเซียลฯ คือ เหตุการณ์ม็อบคุกคามสถาบันฯ อันมาจากความหละหลวมของการอารักขาขบวนเสด็จของ"พระราชินี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกร รัศมีโชติ" ฝ่ายรัฐต้องคิดให้หนัก ตะหนักถึงหากผู้ชุมนุมมีความเสี่ยงสูงจะพกพาวัตถุอันตราย กระทำการสาดสี หรือกระทำการใดๆ ในแง่ร้ายระหว่างที่อยู่ใกล้ชิดขบวนเสด็จ ... อะไรจะเกิดขึ้น?!!
คำถามมีว่า "พล.อ.ประยุทธ์ และผบ.ตร." ต้องเป็นคนแรกๆ ที่ต้องวางแผนดูแลให้การอารักขาอย่างดีที่สุดต่อสถาบันฯ ไม่ให้เกิดเรื่อง ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ... ใช่หรือไม่?!!
ฟังว่า ก่อนที่ "คณะราษฎร"จะนัดชุมนุมใหญ่ ผบ.ตร ได้ให้สัมภาษณ์ ไม่กังวลใจเพราะส่วนตัวอยู่กับม็อบมานาน ผ่านประสบการณ์การดูแลม็อบมาเยอะ ซึ่งก็น่ารู้อยู่แล้วว่า ม็อบกลุ่มนี้มีเป้าหมายที่สถาบันฯ ทั้งแกนนำอย่าง "อานนท์ นำภา" หรือ พริษฐ์ "เพนกวิน" ได้ปราศรัยชัดเจนหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นในการเตรียมพร้อมรับมือ ควรหรือไม่ควรต้องจับตาการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุม ต้องป้องกันในจุดนี้ให้ดีเมื่อเหตุการณ์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจ จะด้วยเหตุผลอะไร ที่ก่อความผิดพลาดขึ้นแล้ว ม็อบคุกคามสถาบันฯ ซึ่งการกระทำที่ ชู 3 นิ้ว ตะโกนถ้อยคำในระยะประชิด จะตีความรวมไปถึงการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันฯ ก็ว่าได้ ถือเป็นความผิดร้ายแรง ชนิดที่ชั่วอายุคนไทยส่วนใหญ่เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น
ภารกิจแรกของ"พล.ต.อ.สุวัฒน์" ในตำแหน่งผบ.ตร.หมาดๆ เมื่อวันที่1ต.ค.ที่ผ่านมา ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ จึงมีคำถามตามมาว่า ... มีความสามารถจัดการต่อสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้หรือไม่!!
หลังมีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีรายงานว่า "พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข" ผบ.ตร. เซ็นคำสั่งเด้ง "พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม" รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) "พล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์" ผู้บังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (ผบก.อคฝ.) และ "พล.ต.ต.ปราศัย จิตสนธิ" ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ไปปฏิบัติราชการศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ตั้งแต่วัน ที่ 14 ต.ค.เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยรายงานข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่มีคำสั่งดังกล่าว คาดว่าจากเหตุที่ปล่อยให้ม็อบปิดเส้นทางเสด็จฯ
ต่อมาหลังผบ.ตร.มีคำสั่ง ก็ถามต่อกันว่า จะมีใครอีกที่ต้องสอบหาความจริงหรือไม่อย่างไร พูดกันว่านายพลตำรวจทั้ง3นายที่โดนเด้ง อุปมาดูๆแล้วก็น่าจะแค่ "แพะรับปาบ" เท่านั้น ขณะที่ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปลอยตัว
สรุปว่า ทั้ง"พล.อ.ประยุทธ์- พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข" ผบ.ตร. ยังสบายดีอยูหรือ ? ต่อกรณีม็อบที่กระทำการอาฆาตมาดร้าย คุกคามสถาบันฯ ซึ่งหน้าโดยที่ภาพเผยแพร่ไปในโซเชียลฯ กระจายไปทั่วโลก
เหตุการณ์มาจากความหละหลวมของรัฐ ที่กระทบสถาบันฯ ครั้งเลวร้าย ทำร้ายจิตใจคนไทยทั้งชาติ เหมือนโดนย่ำ งานนี้จึงต้องตั้งคำถาม ถามว่า "ลุงตู่-บิ๊กปั๊ด" ควรหรือไม่ควรที่จะพิจารณาตัวเอง?!!
**สภานิสิต นศ."จุฬาฯ-มธ.-มหิดล" ออกแถลงการณ์ป้องม็อบชู 3 นิ้ว ไม่ได้ดูหมิ่นสถาบันฯ...แล้วเหตุการณ์วันที่13-14 ต.ค. คืออะไร ?
กรณีขบวนเสด็จฯ "สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ" ผ่านบริเวณถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมม็อบปลดแอก ยืนชู 3 นิ้ว พร้อมตะโกนใส่ จนกลายเป็นที่วิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เป็นการจาบจ้วง ย่ำยีจิตใจคนไทย ที่เคารพเทิดทูนในสถาบันฯ อย่างมิบังควร เรียกได้ว่าในประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ !!
แต่บรรดา"นิสิต นักศึกษา" กลับมองว่ากระทำดังกล่าว มิได้ถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ...ดังที่ "สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ สภานักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล" ได้ออกแถลงการณ์ ถึงเรื่องนี้ว่า ...
การชุมนุมของกลุ่ม"คณะราษฎร" บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำเนียบรัฐบาล และบริเวณใกล้เคียง ในวันที่ 13-15 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ลาออก แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสถานการณืดังกล่าวยังไม่มีทีท่าว่าจะคลายความตึงเครียดลง... พวกเราผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้ง 3 มหาวิทยาลัย ขอแสดงท่าทีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ดังนี้
1. การจับกุมแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมต่างๆ ในวันที่ 13 และ 15 ต.ค. แม้ว่าจะเป็นไปตามหมายจับที่ศาลได้อนุมัติไว้ก่อนหน้า แต่การดำเนินการจับกุม การพิจารณาประกันตัวผู้ต้องหาจะต้องเป็นไปโดยธรรม เปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาที่ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ได้มีสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อต่อสู้คดี และมีสิทธิในการติดต่อทนายความ พวกเราผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้ง 3 มหาวิทยาลัย จึงขอเรียกร้องไปยังหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้ใช้บังคับกฎหมายอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่จับกุมเพียงเพราะต้องการให้การชุมนุมยุติลง หรือเพื่อขัดขวางไม่ให้แกนนำผู้ชุมนุมได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป
...พวกเราเชื่อว่า"ไม่มีบุคคลใดต้องถูกจับกุม เพียงเพราะเขามีความเห็นต่าง"
2. การสลายการชุมนุมและการขอคืนพื้นที่เมื่อเย็นวันที่ 13 ต.ค. และคืนวันที่ 14 ต.ค. จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้มีการร้องขอต่อศาลแพ่ง หรือศาลจังหวัดก่อน ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเข้ารื้อที่ตั้งของผู้ชุมนุม บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 13 ต.ค. จึงมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการสลายการชุมนุม เมื่อคืนวันที่ 14 ต.ค.นั้น คาดว่าน่าจะเป็นการสลายการชุมนุมโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ แต่การสลายการชุมนุมนั้น ก็คงยังต้องเป็นไปตามหลักสากล และคำนึงถึงการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นสำคัญ และไม่สลายการชุมนุมในยามวิกาล
3. กรณีขบวนเสด็จพระราชดำเนินผ่านมาบริเวณที่กลุ่มผู้ชุมนุมปิดทางจราจรอยู่ กรณีนี้พวกเราเห็นว่า การชุมนุมแม้ส่งผลให้ขบวนเสด็จฯนั้นต้องชะลอตัวลงอยู่บ้าง แต่ก็มิได้เกิดความรุนแรง หรือการกระทำใดอันอาจถือว่า "เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด" ทั้งนี้ พวกเรา เห็นว่าไม่ควรมีผู้ใดนำเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นในวันที่ 14 ต.ค. ไป "บิดเบือนหรือไปใช้ปลุกระดมมวลชน" เพื่อให้เกิดความรุนแรง หรือความกระทบกระทั่งระหว่างกัน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ความสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์ เช่น เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.19 ต้องเกิดขึ้นอีกและเพื่อไม่ให้เป็นการเปิดทางไปสู่การรัฐประหารในอนาคต
จากแถลงการณ์ดังกล่าว เมื่อมีการเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลฯ ก็มีผู้เข้ามาแสดงความเห็น วิพากษ์วิจารณ์มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย โต้แย้ง คัดค้าน ผิดหวัง เสียใจ กับแถลงการณ์ของตัวแทนระดับปัญญาชน
อย่างเช่น ... ผิดหวังกับ "มหิดลและจุฬาฯมาก" คุณไม่เห็นหรือว่า วันที่14 ต.ค. มันหยาบคายกับพระราชินี และพระองค์ทีขนาดไหน ตาบอดหูหนวกหรือ !!... ภาพที่เห็นขึ้นเวทีด่า ทำท่าเลียนแบบพ่อหลวง ตะโกนยกนิ้ว 3 นิ้ว นั่นหรือไม่ได้ดูหมิ่น ถ้ามหาวิทยาลัยสอนคนให้คิดได้แค่นี้...อย่ามาพูดว่าจบออกมาเรียกว่าปัญญาชน ถ่อย ต่ำ ขนาดนี้ คนไม่ได้เรียนหนังสือยังคิดได้มากว่าเยอะ... ตอนชุมนุมไม่ขออนุญาต แต่พอจะถูกจับบอกเจ้าหน้าที่ต้องไปขออนุญาตศาลก่อน ... ตรงไหนคะที่ไม่หมิ่น การกระทำเมื่อวาน พวกคุณทำ มันก็แย่แล้ว... คุกคามผู้อื่นบอกทำได้ เป็นสิทธิ ประชาธิปไตย แต่ตัวเองโดน บอกเป็นการคุกคามลิดรอนสิทธิ ... เสียใจมากมาย เพราะฉันเกี่ยวข้องกับ 3 มหาวิทยาลัยนี้ ...
วันที่ 13 ต.ค. ตั้งเวทีปราศรัยที่ถนนราชดำเนิน ทั้งที่เป็นวันคล้ายวันสวรรคต ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งประชาชนอยู่ในบรรยากาศของการรำลึกถึงพระองค์ท่าน... วันที่ 14 ต.ค. ปิดกั้น ล้อมขบวนเสด็จฯพระบรมราชินี ชู3นิ้ว ตะโกนใส่ ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นสถาบันฯ? ... แต่อยากจะล้มล้าง หรือมีความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันฯ หรือเปล่า ?!!