ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ม็อบ 3 นิ้วเหิม คุกคามขบวนเสด็จฯ เมื่อเกมยั่วยุ-ชิงอำนาจระหว่าง ม็อบ vs รัฐบาลลุงตู่ กระทบสถาบันกษัตริย์ ย่ำยีหัวใจไทยทั้งชาติ
ช่วงเย็นวานนี้ (14 ต.ค.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน พุทธศักราช 2563 ที่วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร และวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลราชกุมาร โดยเสด็จในการนี้ด้วย
ขณะที่ขบวนเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ ผ่านบริเวณถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล ปรากฏว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุม “คณะราษฎร” จำนวนหนึ่งประชิดขบวน “ชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว” พร้อมกับตะโกนด้วยถ้อยคำต่างๆ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย
อย่างไรก็ตาม พระราชินีได้ทรงยิ้ม และ โบกพระหัตถ์ให้กับมวลชน โดยที่ไม่ได้แสดงพระอาการหวาดวิตก ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
พลันที่เหตุการณ์นี้ปรากฏทางสื่อโซเชียลฯ กลุ่มที่สนับสนุนการเคลื่อนไหว “ม็อบ 3 นิ้ว” ของคณะราษฎรทางโซเชียลฯ ต่างก็แสดงความเห็นไปในทางเดียวกัน ทำนองเหมือนเป็น “ชัยชนะ” ที่ต่อสู้มาถึงจุดนี้!!
การที่สถาบันฯ ถูกจาบจ้วงล่วงเกินซึ่งหน้า อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี้ ย่อมมีคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับบ้านนี้เมืองนี้
คำถามนี้ต้องมองกันทีละมุม จากมุมของประชาชนอีกหลายล้านคนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เชื่อว่า จำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับ “ม็อบ 3 นิ้ว” และเห็นว่า ม็อบทำเกินไป “เกินกว่าจะรับไหว” เพราะในภาวะที่ชาติวิกฤต เศรษฐกิจเสียหาย การใช้ชีวิตยากลำบาก ตกงาน เครียดหนักหนาสาหัสอยู่แล้วกับพิษโรคระบาดโควิด ไม่มีใครได้ประโยชน์จากข้อเรียกร้องของม็อบ และ จุดพีกที่ยิ่งรับไม่ได้ต่อการแสดงพฤติกรรมที่ไม่รู้กาลเทศะ ของม็อบ “คณะราษฎร” เมื่อวันก่อน 13 ตุลาฯ ที่จงใจป่วนบ้านเมืองในวันครบรอบวันสวรรคตของ ในหลวง ร.๙ ที่พสกนิกร ที่จงรักภักดีพากันน้อมรำลึกถึงพระองค์ทาน และมาถึงการล้อมขบวนเสด็จฯ ยิ่งเห็นว่า “ม็อบกระทำเกินเลยไปมาก”
เมื่อพูดถึงม็อบ โฟกัสที่มุมของม็อบ... ที่พยายามเรียกร้องไล่เผด็จการ แก้ รธน. ไม่ให้สืบทอดอำนาจ และขอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กลับเป็นแค่ข้ออ้างหรือไม่ เพราะ “วาระซ่อนเร้น” ที่ปิดไม่มิด แท้ที่จริงคือ มุ่งล้มล้างสถาบันฯ มากกว่า!
โดยท่าทีแสดงพฤติกรรมยั่วยุในวันที่มีพระราชพิธีสำคัญของคนไทยทั้งชาติ และเจตนาไม่ดีต่อขบวนเสด็จฯ
ย้อนแย้งกับที่เรียกร้องให้รัฐหยุดคุกคามพวกตน แต่กลับเป็นฝ่ายคุกคามสถาบันฯ อย่างชนิดที่เจตนาท้าทายตรงๆ เพื่อให้ฝ่ายรัฐปราบปราม หรือให้ลงมือสลายการชุมนุม เพื่อจะได้ปลุกปั่นให้มวลชนที่ไม่ชอบความรุนแรง ออกมามากขึ้น
ตรงนี้เห็นได้จาก ก่อนที่มวลชนของม็อบคณะราษฎร จะชูสาม 3 นิ้ว และตะโกนใส่ขบวนเสด็จฯ ย่อมถูกปลุกมาจากความเคลื่อนไหว และการชี้นำของแกนนำ “อานนท์ นำภา” แกนนำผู้ชุมนุม ปราศรัยที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยว่า จะ “ชู 3 นิ้วเมื่อขบวนเสด็จผ่าน” จะบุกทำเนียบฯ ล้อมไว้ไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารประเทศได้อีกต่อไป หากมีการสลายการชุมนุมให้รูว่า “ไม่มีใครสั่งนอกจากคนๆ เดียว”
ขณะที่ “พริษฐ์ ชิวารักษ์” หรือ “เพนกวิน” แกนนำคณะราษฎร 2563 ขึ้นปราศรัย ระบุว่า เป็นเวลา 6 ปี ที่เราต้องอาศัยเงามืดของระบอบเผด็จการ แต่วันนี้ความจริงประจักษ์ชัดต่อหน้าประชาชน เราเคยคิดว่าเราออกมาต่อสู้กับเผด็จการทหาร แต่เมื่อถึงเวลาความจริงประจักษ์ชัดว่า เผด็จการนี้ไม่ใช่เผด็จการทหาร แต่เป็นเผด็จการเยอรมนี เป็นระบอบ “ศักดินา” ที่ครอบงำเราอยู่
ทั้ง “อานนท์ และเพนกวิน” ชัดเจนว่า พุ่งเป้าไปที่สถาบันฯ แต่ถ้าจะถามว่ามีใครอยู่เบื้องหลังสองคนนี้อีกที่มีความคิดเดียวกัน ก็ต้องถาม “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เพราะงานนี้ ก็เปิดหน้าเข้าร่วมให้การสนับสนุนม็อบ 3 นิ้วเต็มตัว
มาถึงมุมของฝ่ายรัฐ ก็มีคำถามเช่นเดียวกันว่า ... ปล่อยให้มีเหตุการณ์ไม่สบายใจที่เกิดขึ้นกับสถาบันฯ ได้อย่างไร
กรณีก่อนจะถึง 14 ตุลาฯ การที่ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศหวนคืนลงถนน อดีตพระพุทธะอิสระ ผนึกกำลัง “สิระ เจนจาคะ” กะเกณฑ์ประชาชน จนตกเป็นเรื่องที่ม็อบคณะราษฎร “จับโป๊ะ” ขนคนใส่เสื้อเหลือง บรรทุกรถ กทม.มาโจมตี และขยี้ไปที่จุดความไม่เป็นธรรมชาติ ขาดความจริงใจออกมาย่อมต้องได้รับคำสั่ง หรือรายการผู้ใหญ่ในรัฐบาลขอมา
ยิ่งเมื่อเกิดสองม็อบปะทะกันในช่วงกลางวัน บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ตามข่าวก็แรงด้วยกันทั้งสองฝ่าย คล้ายๆ จะเจตนาให้ท้ายกันสร้างสถานการณ์ให้รุนแรงวุ่นวายขึ้น
ถามว่า หากสถานการณ์พัฒนาไปในเชิงการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนด้วยกันเอง การนองเลือดของมวลชนสองฝ่าย ใครจะได้ประโยชน์
ฝ่ายความมั่นคงหรือรัฐบาล อาศับสถานการณ์ของการปะทะ หรือก่อเหตุวุ่นวาย ก็จะมีความชอบกระทำกับม็อบ
ทางหนึ่ง ได้อยู่ในอำนาจต่อไปยาวๆ ประชาชนหลายล้านคนก็ย่อม “หัวเราะไม่ออก ร่ำไห้ไม่ได้” ก็ต้องยอมรับขอเพียงให้ประเทศสงบ จบที่ลุงตู่ หนังม้วนเก่าก็จะเวียนมาฉายอีกครั้ง
เมื่อถึงเวลานั้น ทั้ง “เพนกวิน-ธนาธร หรือปิยะบุตร” ที่เกลียดเผด็จการ เชิดชูประชาธิปไตย จะออกตัวอย่างไร
ที่ปลุกปั่น ดึงพี่น้องประชาชน มาร่วมเป็นประชาธิปไตย ชูว่า สู้กับเผด็จการทหาร เผด็จการพลเรือน และวันนี้ประโคมว่า เรามาต่อสู้กับเผด็จการศักดินา แต่สุดท้าย เกมอำนาจอาจจะยังอยู่กับฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐในตอนนี้ เหมือนเดิม
ทุกอย่างสงบ “จบที่ลุงตู่” โดยทั้งสองฝ่ายต่าง “ได้ในสิ่งที่ต้องการ” ของตนเอง ไม่คำนึงถึงจิตใจคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่แคร์บ้านเมืองที่วิกฤต
ที่สำคัญ สถาบันกษัตริย์ ถูกกระทำย่ำยี ดูหมิ่น โดยที่ถูกดึงลงมาต่ำ กับความขัดแย้งนี้แบบนี้ไปโดยปริยาย
อย่าดูเบาไปว่า ประชาชนจะทนไหว พลังเงียบที่ไม่พอใจทั้งม็อบ และรัฐบาล อาจจะไม่เมินเฉยอีกต่อไป !!
หากประชาชนอีกกลุ่มเคลื่อนไหวออกมาปกป้อง “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ผลที่จะตามมาก็ยากจะจินตนาการได้ หลายคนก็คงได้เห็นแล้วว่า ในวันสำคัญๆ ของสถาบันฯ เช่น วันที่ 13 ตุลาฯ ที่ผ่านมา พสนิกรทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่างพร้อมใจกันน้อมรำลึกถึง ในหลวง ร.๙ แค่ไหน
ต้องไม่ลืมว่า จากอดีตถึงปัจจุบัน บูรพมหากษัตริย์ สถาบันฯอยู่เหนือความขัดแย้ง และเป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชน และทุกพระองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นแล้วว่า คนไทยทุกคนคือพสกนิกรของพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะเห็นต่างเห็นแย้งกันอย่างไร
ประชาธิปไตยต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข จึงมีประเทศไทยมาถึงทุกวันนี้
นี่คือ ความเป็นจริงที่คนไทยทุกคนเรียนรู้ และซาบซึ้งอยู่แก่ใจมาช้านาน
**“ลุงตู่” ปลีกตัว ยอมเป็น “นายกฯนอกทำเนียบ” เลี่ยงยั่วยุให้รุนแรง ที่อาจ “เข้าตีน” บรรดา “อีแอบ” เบื้องหลังม็อบ ลากเกมยาวปล่อยม็อบอ่อนแรงเอง จับตารายการ “บิ๊กคลีนนิ่ง” หลังจบอีเวนต์ เช็กบิลพฤติกรรม “มิบังควร” เข้าประชิดขบวนเสด็จฯ-ปราศรัยสนุกปาก
น่าสนใจ ตลอดทั้งวันไร้ความเคลื่อนไหวของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เป็น “เป้าหลัก” ของกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งที่รับทราบรายงานแล้วว่า “ข้าศึก” เข้าประชิดรั้ว “บ้านนรสิงห์” ที่ทำงานของตัวเอง
เข้าใจได้ว่า นอกเหนือจากภารกิจเข้าเฝ้าฯ ในพระราชพิธีสำคัญตลอดทั้งวันแล้ว “นายกฯลุงตู่” ก็คงเลือกที่จะไม่เผชิญหน้า และตัดสินใจไม่เข้าทำเนียบรัฐบาล เลือกที่จะอยู่ใน “ที่ปลอดภัย” มากกว่าท้าทาย ที่ไม่พ้นเป็นการสุมฟืนเข้ากองไฟ
เช่นเดียวกับโปรแกรม วันนี้ (15 ต.ค.) รับการเยี่ยมคารวะ “ทูตจีน” ที่เดิมนัดหมายกันที่ทำเนียบรัฐบาล ก็เลือกที่จะย้ายพิกัดไปที่กระทรวงการต่างประเทศแทน พร้อมยังวางคิว “อย่างไม่เป็นทางการ” ด้วยจะอาศัยโอกาสนี้ ออกทัวร์ตรวจน้ำท่วมในหลายจังหวัด โคราช-จันทบุรี-เพชรบุรี-กาญจนบุรี เป็นอาทิ
จำใจสวมหมวก “นายกฯนอกทำเนียบ” เป็นการชั่วคราว
เพราะรู้แก่ใจว่า หากมีเหตุการณ์รุนแรง จนถึงสูญเสียเกิดขึ้นรัฐบาลย่อมปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้ และอาจไป “เข้าตีน” ของบรรดา “อีแอบ” เบื้องหลังม็อบ
จึงไม่แปลกที่ “คนเสื้อเหลือง” ที่นำโดยระดับ “เซเลบฯ”ทั้ง สุเทพ เทือกสุบรรณ - อดีตพระพุทธะอิสระ - สิระ เจนจาคะ - ปารีณา ไกรคุปต์ - หมอเหรียญทอง ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ปีกเดียวกับ “ลุงตู่” และมาปักหลักเพื่อเฝ้ารับเสด็จฯ ในบริเวณใกล้กับ “ขบวนปลดแอก”
ว่ากันว่า ตั้งใจจัดรายการ “ม็อบชนม็อบ” และหวุดหวิดปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมฝั่งตรงข้ามหลายจังหวะ ก็ถูกส่งสัญญาณ “เบรก” ให้อยู่ในที่ตั้ง ปล่อยให้ “แก๊งปลดแอก” ผ่านไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อ่านใจรัฐบาล คงหยั่งเชิงดูท่าทีม็อบเพื่อประเมินอีกครั้ง ตลอดจนลากเกมยาวๆ ให้ม็อบ “ปล่อยไหล” ไปเรื่อยๆ นอกจาก “ม็อบ” จะอ่อนแรง-ยืนระยะไม่ได้แล้วรังแต่จะมี “คดีความ” พกติดตามมากขึ้น โดยเฉพาะระดับแกนนำ
ด้วยมีคำสารภาพกลางแจ้งจาก “ฝ่ายม็อบ” ว่า การชุมนุมไม่ได้มีการขออนุญาตเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ แต่อย่างใด
แล้วยังมี “พฤติกรรมมิบังควร” ที่อาจจะคึกไปกับคำยั่วยุของแกนนำ กรณีเข้าประชิด “ขบวนเสด็จฯ” ที่สอดคล้องกับเนื้อหาปราศรัยบนเวที มีหลักฐานประจักษ์ ภาพเสียงชัดเจน
แบบที่ใครได้ดูคลิปร้องเสียงหลง “ตัวใครตัวมัน”!!
จบอีเวนต์นี้แล้วคงมีรายการ “บิ๊กคลีนนิ่ง” เก็บกวาดบ้าน กวาดเมือง ไล่เช็กบิลกันขนานใหญ่!!