รมช.มท. ไม่ยอมแพ้ เตรียมหอบหลักฐานส่ง ป.ป.ช.อีกรอบ ยันทำถูกต้องปกป้องผลประโยชน์ ไม่ได้กลั่นแกล้งใคร อัดแยกคดีฮั้ว กับไม่จ่ายเงิน เกรงสร้างบรรทัดฐานใหม่สร้างสับสนให้ระบบราชการ ยันไม่ไขก๊อกเพราะไม่ได้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย
วันนี้ (7 ต.ค.) เวลา 15.00 น. นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย และอดีตนายก อบจ.สงขลา แถลงกรณีที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดมาตรา 157 ที่ทำให้ อบจ.สงขลาเสียหาย กรณีไม่จ่ายเงินในการซื้อรถซ่อมบำรุงถนนอเนกประสงค์จำนวน 2 คัน จำนวน 51 ล้านบาท ว่าตนขอยืนยันว่าไม่ได้กลั่นแกล้งใคร แต่ทำไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน เนื่องจากการจัดซื้อรถดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ตนจะมาดำรงตำแหน่ง และเมื่อมารับตำแหน่งในฐานะผู้บริหารจึงต้องคิดให้รอบคอบว่าระบบของรถดังกล่าวใช้ได้จริงหรือไม่ เพราะส่วนประกอบมาจากหลายประเทศ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่นำไปทดสอบ และเมื่อเจ้าหน้าที่รายงานมาว่าปกติจึงนำไปสู่การจดทะเบียนเป็นทรัพย์สินของ อบจ.สงขลา โดยก่อนที่จะออกเช็คชำระเงินตนมีหนังสือถึงขนส่ง จ.สงขลา ลงวันที่ 5 ก.พ. 57 เพื่อให้ทำการจดทะเบียน โดยขนส่งได้ทำการจดทะเบียนวันที่ 6 ก.พ.ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อทุกอย่างสมบูรณ์ทำไมนายก อบจ.ไม่จ่ายเงินให้กับผู้ขายนั้น เพราะมีเอกสารสำคัญจากผู้ว่าฯ สงขลา ลงชื่อโดยรองผู้ว่าฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่แทน ลงวันที่ 5 ก.พ. 57 ซึ่งหนังสือดังกล่าวตามขั้นตอนกว่าจะมาถึงตนใช้เวลา 3-5 วันทำการ โดยมีการระบุให้จ่ายเงิน แต่ลงท้ายว่าให้ระงับการจ่ายเงินไว้ก่อน เพราะมีข้อร้องเรียนเข้ามา ซึ่งเป็นสาเหตที่ตนไม่สามารถจ่ายเงินให้ได้ และมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งของจังหวัดสงขลาเมื่อวันที่ 5 มี.ค. 57
แต่ต่อมาทางผู้ร้อง คือ บริษัท พลวิศว์ ไปร้องกับผู้ว่าราชการจังหวัดให้จ่ายเงิน ซึ่งทางผู้ว่ามีหนังสือมาถึงตนเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 57 ว่า เมื่อมีเรื่องที่ไม่โปร่งใสเกี่ยวกับคุณลักษณะของบริษัทที่ชนะการประกวดราคา ขอให้สอบข้อเท็จจริงต่อไปให้แล้วเสร็จ และหากประเด็นมีมูลตามข้อร้องเรียนก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายแพ่งและอาญา โดยผลเป็นอย่างไรให้รายงานด้วย ซึ่งจากคำสั่งของผู้ว่าฯ สั่งให้จ่ายเงินและสั่งให้สอบด้วย หากตนจ่ายเงิน51 ล้านบาทให้บริษัท พลวิศว์ แล้วปรากฎภายหลังว่ามีการฮั้วกันตามข้อร้องเรียนแล้วใครจะรับผิดชอบ ตนจึงได้มีหนังสือไปทางจังหวัดว่าขณะนี้อยู่ระหว่างสอบข้อเท็จจริงและทางบริษัท พลวิศว์ ได้ทำเรื่องฟ้องไปยังศาลแล้ว ซึ่งในวันที่1 ก.ย. 57 หลังจากที่ตนแจ้งไป ทางจังหวัดมีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องรถซ่อมบำรุงทั้ง 2 คัน ทางจังหวัดพิจารณาแล้วเห็นว่าเมื่อประเด็นตามข้อร้องเรียนได้เข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองแล้ว การปฏิบัติของจังหวัดจึงต้องดำเนินการตามคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย โดยมีการกระบุว่าหาก อบจ.เห็นชอบกระทำการใดๆ ที่เหมาะสมได้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเด็ดขาด
นายนิพนธ์กล่าวว่า ต่อมาเมื่อศาลปกครองจังหวัดสงขลาได้พิจารณาให้ อบจ.ชำระเงินดังกล่าว โดย อบจ.ใช้สิทธิอุทธรณ์ ซึ่งขณะนี้ศาลกำลังพิจารณาอยู่จึงต้องรอให้คดีถึงที่สุดจึงจะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล และเนื่องจากสัญญาเป็นโมฆะตามมาตรา 150 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่ผูกพันกับ อบจ.สงขลา ถือว่าสัญญาไม่สมบูรณ์จึงไม่ต้องปฏิบัติต่อกัน และบริษัท พลวิศว์ ก็ไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด ตนเชื่อว่าระหว่าง บริษัท พลวิศว์ และ อบจ.สงขลาไม่มีผลต่อกันหลังเป็นโมฆกรรม ไม่ต้องเบิกจ่ายตามสัญญา เพราะมันไม่มีผลตามกฎหมายตั้งแต่ต้น ดังนั้น ทาง อบจ.จึงไม่ได้ฟ้องร้องในเรื่องนี้เพราะไม่ได้เป็นผู้เสียหาย และเงิน 51 ล้านบาทก็ยังอยู่ในคลัง
นายนิพนธ์กล่าวต่อว่า ส่วนที่ ป.ป.ช.ระบุว่ามีคนไปร้องคดีฮั้วประมูลเมื่อปี 61 นั้น ตนอยากชี้ให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าตนทำผิดกฎหมายอาญา และผิดมาตรา 157 เพราะการจะผิดมาตรา 157 นอกจากจะมีเจตนาธรรมดาแล้ว ต้องมีสิ่งพิเศษว่าไปกลั่นแกล้งใครหรือไม่ ตนไม่จำเป็นต้องกลั่นแกล้งใคร แต่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของ อบจ.สงขลา เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ตนต้องไปเอาเอกสารมาจากต่างประเทศเอง ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ และเรื่องการซื้อขายรถลักษณะนี้ไม่ใช่มีแต่ที่สงขลาเท่านั้น ยังมีทั่วประเทศ และขณะนี้กำลังร้องเรียนกันอยู่
นายนิพนธ์ยังตั้งคำถามที่ ป.ป.ช.ระบุว่าการไม่จ่ายเงินกับการฮั้วต้องแยกคดีกันนั้น ตนแแปลกใจว่าทำไมต้องแยกส่วนกัน ทั้งที่เกี่ยวเนื่องกันเพราะหากตนจ่ายไปแล้ว สืบทราบในภายหลังว่าบริษัทมีการฮั้วกันจริงจะทำอย่างไร ซึ่ง ป.ป.ช.ควรจะตรวจสอบในเรื่องเหล่านี้ด้วย เพราะเรื่องท้ังหมดอยู่ใน ป.ป.ช.แล้ว และอยู่ในศาลปกครองสูงสุดจะมาด่วนสรุปได้อย่างไรว่าเรื่องนี้ผิด
เมื่อถามว่า ป.ป.ช.ระบุว่าจะส่งเรื่องไปให้อัยการมีความมั่นใจหรือไม่ นายนิพนธ์กล่าวว่า ตนยังมีความมั่นใจและจะพยายามส่งเรื่องทั้งหมดไปให้ ป.ป.ช.อีกครั้ง และเชื่อว่าเรื่องทั้งหลายไม่ผิด และเรื่องนี้กำลังจะสร้างบรรทัดฐานใหม่ของเพราะจะสร้างความสับสนให้กับระบบราชการว่าต่อไปหากใครทำผิดสัญญาทางแพ่งจะกลายเป็นคดีอาญาทั้งหมด เพระาหากทุกคนกลัวว่าจะเป็นแพะแล้วจ่ายเงินตามสัญญาทั้งหมดไม่ว่าจะโมฆกรรมหรือทุจริต เพราะกลัวจะเหมือนกรณี อบจ.สงขลา จึงควรมีการส่งสัญญาณให้ ป.ป.ช.พิจารณาด้วยความรอบคอบและเป็นธรรม
ส่วนที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้แสดงสปิริตลาออกจากแหน่งเพื่อรักษามาตรฐานและอุดมการณ์ของพรรค นายนิพนธ์กล่าวว่า ขอขอบคุณนายอลงกรณ์ แต่มาตรฐานครั้งนี้กับครั้งก่อนๆ เป็นคนละกรณีกัน เพราะครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่ตนเป็นนายก อบจ.สงขลา ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่พรรคมอบหมาย จึงไม่ได้ทำให้พรรคเสียหาย หรือเสียชื่อเสียง แต่ตนรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ส่วนกรณีก่อนๆ ทำหน้าที่ตามที่พรรคมอบหมายและอาจจะทำให้แผ่นดินเสียผลประโยชน์
เมื่อถามอีกว่ามองว่า การที่ ป.ป.ช.ชี้มูลในช่วงนี้มีนัยอะไรหรือไม่ นายนิพนธ์ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นโดยระบุว่าตนเคารพในการใช้ดุลพินิจ แต่ตนทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริง ไม่ได้มีเจตนาทำอะไรให้ใครเสียหาย
“เมื่อกล่าวหามาอย่างนี้ก็ต้องรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของผม ผมเคยเป็นทั้ง ส.จ. นายก อบจ. และ ส.ส.มาหลายสมัย ยืนยันว่าผมมีเกียรติและศักดิ์ศรี สิ่งที่ผมชี้แจงไปทั้งหมดก็เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของผมเองและของพรรค ผมไม่ได้ทำอะไรที่ทุจริต และไม่ได้มีข้อกล่าวหานี้จาก ป.ป.ช.ด้วย” นายนิพนธ์กล่าว