“อานนท์” ขู่ไม่ปราศรัย หาก 14 ตุลา ลดเพดานเรื่องเจ้า “เพนกวิน” หวังชำระแค้น ผู้บริหาร มธ. ที่ห้ามขึ้นเวที 44 ปี 6 ตุลา “อดีตรองอธิการ มธ.” เชื่อ “เพื่อไทย” มี “ดีลลับ” “หมอวรงค์” แฉกลเกมขบวนการ “สาธารณรัฐ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (5 ต.ค. 63) เฟซบุ๊ก อานนท์ นำภา ของ นายอานนท์ นำภา แกนนำม็อบ “ปฏิรูปสถาบันฯ” ผู้ต้องหาหลายคดี โพสต์ข้อความระบุว่า
นี่พูดตรงๆ สำหรับคนที่บอกว่า ถ้าม็อบพูดเรื่องเจ้าคนจะถอย ไม่มาร่วมชุมนุม ผมเห็นว่า ไม่จริง
ถ้าไม่พูดเรื่องเจ้าต่างหากคนจะหนี เพราะคนเขาที่มาชุมนุมเขาอยากฟัง อยากสู้เรื่องเจ้า คนเขาเห็นปัญหาที่แท้จริงแล้ว
นี่วัดจากการชุมนุม 4-5 ครั้งล่าสุด
ดังนั้น พูดแบบตรงๆ ถ้าการชุมนุมลดเพดานเรื่องการพูดเรื่องเจ้าลง อย่าว่าแต่คนจะไม่ไปชุมนุมเลย ผมเองก็จะไม่ไปขึ้นเวทีพูดด้วย
อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่า การเพิ่มการพูดเรื่องรัฐบาล เรื่องรัฐธรรมนูญ เรายังเน้นน้อยไป อันนี้เห็นตรงกัน ดังนั้น เราต้องพูดต้องเน้นเรื่องรัฐบาลเรื่องรัฐธรรมนูญให้มากขึ้น ชัดขึ้น โดยไม่ต้องลดเรื่องเจ้าลง
ความท้าทายนี้ คือ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม นี้
ขณะเดียวกัน นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์เฟซบุ๊กว่า
“ถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในเมื่อท่านกดดันไม่ให้ผม รุ้ง ทนายอานนท์ ขึ้นพูดในเวทีงานรำลึก 44 ปี 6 ตุลา ก็โปรดรอเจอเซอร์ไพรส์นอกเวที เร็วๆ นี้ เจอกัน”
ด้าน เฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ของ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความระบุว่า
“กราบของคุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ทำให้พรรคเพื่อไทยสั่นสะเทือนราวเกิดแผ่นดินไหวภายในพรรค
ไม่น่าเชื่อว่า มีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ไม่เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยยังคงอยู่ภายใต้การครอบงำของคุณทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ไม่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไปว่า พรรคเพื่อไทย ยังเป็นของตระกูลชินวัตร หรือไม่
การตอบสนองความประสงค์ของคุณหญิง พจมาน แบบยอมศิโรราบเช่นนี้ แปลว่า ท่อน้ำเลี้ยงจะยังไม่ตัน น้ำเลี้ยงอาจไหลแรงกว่าเดิมมากเสียด้วย
คุณหญิง พจมาน ทำเช่นนี้เพื่ออะไร คงเป็นไปไม่ได้ว่า คุณหญิง พจมาน จะลุกขึ้นมาทำแบบนี้โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ
ดังนั้น ความเป็นไปได้ คือ คุณหญิงพจมาน หรือคุณทักษิณ อาจมีการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับผู้มีอิทธิพลสูงถึงสูงที่สุดต่อรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ข้อแลกเปลี่ยนอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูก ที่จะยอมให้ติดคุกไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว หรือเกี่ยวกับตัวคุณทักษิณเอง ว่า จะสามารถกลับประเทศไทย โดยไม่ต้องติดคุกได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยทั้งพรรค หรือเกี่ยวกับทั้งหมดทุกเรื่องที่กล่าวมา ทั้งหมดล้วนเป็นไปได้
การเมืองเสียอย่าง ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ศัตรูกลายเป็นมิตร มิตรกลายเป็นศัตรู ได้เสมอ ทุกเวลา สังเกตว่า คนที่ฝีปากกล้า ออกมาหาเรื่องโจมตีรัฐบาลทุกเรื่อง มีเหตุผลบ้าง ไร้เหตุผลบ้าง ล้วนถูกจับเข้ากรุ หรือถูกลดบทบาท ทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล กลุ่มปลดแอกทั้งหลาย คงต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ การชุมนุมวันที่ 14 ตุลานี้ ที่ประกาศว่าจะชุมนุมกันอย่างยืดเยื้อ จึงหวังอะไรไม่ได้จากคนเสื้อแดง
หากยังคงพุ่งเป้าที่การล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ การชุมนุมจะกร่อย ไม่สามารถยืดเยื้อได้แน่นอน
เรามาคอยติดตามกันดูว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป”
ส่วน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความถึงขบวนการต่อสู้เพื่อ “สาธารณรัฐ” ว่า
“#สิ่งที่คนกลุ่มนี้กำลังกระทำ นั่นคือ
1. ใช้เทคโนโลยี รุกทางความคิด โดยอาศัยเครือข่ายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการปั่นกระแส#
2. ใช้การปล่อยเฟกนิวส์ให้คนเข้าใจผิด คนเหล่านี้ปล่อยเฟกนิวส์ เป็นยุทธศาสตร์หลัก ให้คนหลงเชื่อ
3. ใช้ทฤษฎีแห่งความกลัว และหยาบคาย ทั้งการแบน ข่มขู่ ให้คนรู้สึกกลัว ไม่กล้ามายุ่งด้วย และได้พิสูจน์แล้วว่า ถ้าพวกเราไม่กลัว โดยเฉพาะธุรกิจที่คนเหล่านี้ประกาศแบน กลับยิ่งดีขึ้น
4. ทำลายหลักความเชื่อ รากเหง้าทางวัฒนธรรม ประเพณี ความสัมพันธ์เครือญาติ ครูกับศิษย์ อัตลักษณ์ไทย วิถีไทย
5. พยายามปลุกม็อบ โดยเอาเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ผสมผสานกับใช้หลักข้อ 1-4 มากระตุ้นม็อบ ให้เกิดม็อบ
6. ใช้ม็อบกดดันการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าสถานการณ์สุกงอม นำไปสู่ความรุนแรง มีมวลชนร่วมมากพอ ก็จะใช้การปฏิวัติประชาชน โดยอาศัยต่างชาติสนับสนุน
ไม่เชื่อว่า สถานการณ์จะบานไปถึงข้อ 5 และ 6 เพราะคนไทยตื่นขึ้นมา และรู้เท่าทันกันมาก และมีความรู้สึกว่า จะไม่ทนคนเหล่านี้ อีกไม่นาน คงได้เห็นคนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าจับตามอง ก็คือ การชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 ตุลาที่จะถึง โดยกลุ่มผู้ชุมนุมน่าจะมีการวางแผนหลายอย่างเอาไว้แล้ว ทั้งการปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ การยกระดับการชุมนุมเพื่อกดดัน และเอามวลชนให้อยู่กับม็อบ ตลอดจนต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้าน (สามารถประกาศชัยชนะ) เพื่อที่จะเป็นกำลังใจให้กับการชุมนุมครั้งใหม่
แต่ถึงกระนั้น ทุกอย่างยังไม่รู้ว่า มีแผนอะไร สถานการณ์จะเป็นอย่างไร พลังกดดันที่ยกระดับขึ้นมาคืออะไร และอะไรที่จะสามารถประกาศชัยชนะได้ ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า หากการชุมนุมในวันที่ 14 ตุลานี้ มีการนำเอาเรื่องเจ้า หรือ สถาบันพระมหากษัตริย์ มาพูดปราศรัยบนเวที เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา มวลชนที่เข้าร่วมจะจำกัดลงเรื่อยๆ และเท่ากับทำให้ “ม็อบ 14 ตุลา” ถูก “โดดเดี่ยว” เป็น “ม็อบล้มเจ้า” ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
แต่ก็นับว่าน่าสนใจ ความเห็นของ “อานนท์” โดยเฉพาะประเด็นที่ดูเหมือนขู่เอาไว้ว่า ถ้าลดเพดานการพูดเรื่องเจ้าลง อย่างที่บางคนบางฝ่ายเสนอ ไม่เพียงแต่คนจะไม่เข้าร่วม แม้แต่ตนก็จะไม่ไปขึ้นเวทีปราศรัยด้วย เพราะเขาเห็นว่า การพูดเรื่องเจ้าอย่างไม่ลดเพดานต่างหากที่คนอยากฟัง และอยากเข้าร่วม
นั่นหมายความว่า ประเด็นเรื่องเจ้า คือ สิ่งที่ม็อบปลดแอกขาดไม่ได้ ใช่หรือไม่? แม้ว่าประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประชาชนส่วนใหญ่ ก็คือ ข้อเรียกร้องต่อการแก้ปัญหาประเทศของรัฐบาล และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วยอยู่แล้ว แต่ประเด็นเรื่องเจ้าต่างหากที่จะเป็นตัว ฆ่าประเด็นเหล่านี้ให้ตายไปด้วย เพราะประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้
ความจริง ยังน่าจับตา ส.ส.พรรคเพื่อไทยด้วย ว่า หลังจาก “กราบ” สะเทือนเพื่อไทย ของ “คุณหญิง พจมาน” แล้ว ยังจะมีใครกล้านำ “คนเสื้อแดง” เข้าร่วมอย่างเปิดเผยและครึกโครมเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่?
นี่คือ ตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เห็นว่า ม็อบ 14 ตุลา เบิ้มแค่ไหน? มีพลังกดดันอย่างที่แกนนำคุยโม้เอาไว้หรือไม่ หรือ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมวลชนอดีตพรรคการเมืองบางพรรคหน้าเดิม? ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป