เหลือร้ายตามเคย คราวนี้ “ปิยบุตร” ยืม สุนทรพจน์ Robespierre ไม่เห็นด้วยพระราชอำนาจกษัตริย์ในการยับยั้งกฎหมาย “หมอวรงค์” รู้ทันเกม คิดอะไร ตะเพิดไปอยู่ฝรั่งเศส “ฟอร์ด” ปลุกเสื้อแดงร่วมชุมนุม “14 ตุลา”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (1 ต.ค. 63) เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์หัวข้อ “[สุนทรพจน์ของ Robespierre ไม่เห็นด้วยกับพระราชอำนาจของกษัตริย์ในการยับยั้งกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภา]”
โดยระบุว่า “ใครก็ตามที่บอกว่า คนคนหนึ่งมีสิทธิในการยับยั้งกฎหมาย ใครก็ตามที่บอกว่า เจตจำนงของคนเพียงคนเดียวอยู่เหนือเจตจำนงของทุกคน นั่นแสดงว่า เขากำลังบอกว่า ชาติไม่มีค่าอะไรเลย และคนเพียงคนเดียวนั้นแหละคือทุกสิ่งทุกอย่าง คนคนหนึ่งผู้ซึ่งห่อหุ้มตนเองในฐานะเป็นอำนาจบริหาร และเป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นโดยชาติเพื่อทำหน้าที่บังคับใช้เจตจำนงของชาติ แต่เรากลับทำให้เขาเป็นคนที่มีสิทธิในการตอบโต้และตีตรวนเจตจำนงของชาติ นั่นเท่ากับว่า เราได้สร้างปีศาจอันมองไม่เห็นในทางศีลธรรมและการเมือง และปีศาจตนนั้นไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากสิทธิของกษัตริย์ในการยับยั้งกฎหมาย”
Maximilien Robespierre
กันยายน 1789”
ขณะที่ เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์ข้อความระบุว่า
“นายปิยบุตร ยกสุนทรพจน์ “รอแบ็สปีแยร์” ไม่เห็นด้วยกับพระราชอำนาจของกษัตริย์ในการยับยั้งกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภา โดยพิมพ์ข้อความบางตอน
“ใครก็ตามที่บอกว่า เจตจำนงของคนเพียงคนเดียวอยู่เหนือเจตจำนงของทุกคน นั่นแสดงว่า เขากำลังบอกว่าชาติไม่มีค่าอะไรเลย และคนเพียงคนเดียวนั้นแหละคือทุกสิ่งทุกอย่าง”
ความจริงต้องให้ นายปิยบุตร อธิบายปรากฏการณ์ “กราบสะท้านแผ่นดิน” ที่คนเพียงคนเดียว ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งพรรค
เสียดายที่ นายปิยบุตร ไม่เล่าต่อว่า “รอแบ็สปีแยร์” ก็กลืนน้ำลายตนเอง เพราะปกติแล้ว เขาคัดค้านโทษประหารชีวิต แต่เป็นผู้เสนอประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วยเหตุผลข้างๆ คูๆ
แม้เขาจะมีอุดมการณ์ “ความเสมอภาค” แต่ท้ายที่สุดเขาก็กลายเป็นจอมเผด็จการ เป็นเจ้าของตำนาน “สมัยแห่งความน่าสะพรึงกลัว” ฆ่าทุกคนที่เขาหวาดระแวง
ในบั้นปลายชีวิต แม้ตนเองจะพยายามฆ่าตัวตาย แต่ก็ถูกนำไปตัดศีรษะด้วยกิโยติน สิ่งที่อยากจะบอกคือ คนที่ นายปิยบุตรยกย่อง ก็คือ จอมเผด็จการที่เลวร้ายคนหนึ่ง แต่เขาเอามาพูดไม่หมด
ผมยังยืนยันว่า ตราบใดที่คนฝรั่งเศสกินขนมปังกับเนย เรียกยูกับไอ ไม่เคารพผู้ใหญ่ คนไทยกินน้ำพริกปลาทู เรียกลุงป้าน้าอา มีความเคารพผู้ใหญ่ เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้งหมด แต่เราสามารถทำให้ประชาชน ปลอดโควิด มีความสุขมากกว่ากว่าฝรั่งเศส
ถ้าอยู่เมืองไทยไม่มีความสุข จะไปอยู่ฝรั่งเศสกับภรรยา ไม่มีใครว่าครับ”
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom โพสต์หัวข้อ “#สิ่งที่คนไทยต้องรู้”
เนื้อหาระบุว่า “การเคลื่อนไหวของม็อบ ที่นำไปสู่ความล้มเหลว มีหลายสาเหตุ ตั้งแต่เป้าหมายที่สังคมไทยรับไม่ได้ นั่นคือต้องการล้มล้างสถาบันเบื้องสูง เพื่อสถาปนาระบอบสาธารณรัฐ โดยกดดันผ่านการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
มีพฤติกรรมข่มขู่ หยาบคาย รวมทั้งมีการผลักดันใช้ชื่อน้องๆ นักศึกษา ในชื่อต่างๆ มาบังหน้า แต่เบื้องหลังม็อบกลับมีกลุ่มอาจารย์ นักการเมือง พรรคการเมือง รวมทั้งสามอำมหิตที่เกาะชายกระโปรงนักศึกษาร่วมด้วย
สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ยังตรวจพบว่า มีคนไทยและชาวต่างชาติที่อยู่ต่างประเทศ จัดตั้งเป็นขบวนการเพื่อล้มล้างประเทศไทย ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ปั่นกระแสชี้นำความคิดเยาวชนไทย โดยคนกลุ่มนี้กระจายอยู่ที่ ฮ่องกง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ สิงคโปร์
ล่าสุด ในช่วงที่ม็อบระดมใหญ่ เพื่อ #ให้มันจบที่รุ่นเรา คนกลุ่มดังกล่าว ได้ย้ายฐานการโจมตี จากประเทศต่างๆ มาตั้งฐานถล่ม เพื่อชี้นำความคิดแก่เยาวน ที่สิงคโปร์และตุรกี นี่คือ #สิ่งที่คนไทยต้องรู้ และตามให้ทัน”
อีกด้านที่เป็นความเคลื่อนไหวอย่างสอดรับกัน วันนี้ นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ หรือ ฟอร์ด เส้นทางสีแดง โพสต์รูปภาพและข้อความว่า
“แจ้งข่าว เช้าวันที่ 14 ต.ค.จะมีขบวนแรลลี่คนเสื้อแดงจากพัทยาไปสมทบม็อบนักศึกษาในกรุงเทพฯ ใครมีมอเตอร์ไซค์ฮาเลย์ รถกระบะ รถโมบายติดเครื่องเสียง เตรียมตัวติดธงแดงและบอกต่อครับ #14ตุลานัดหยุดงานมาไล่ประยุทธ์”
แน่นอน, สิ่งที่น่าจับตามองหลังจากนี้ ก็คือ กลุ่มก้อนของคนที่มีอุดมการณ์ “ปฏิรูปสถาบัน” มีใครบ้าง เป็นนักศึกษาเยาวชนกลุ่มไหน เป็นนักการเมือง นักเคลื่อนไหวที่หนุนหลังเยาวชน กลุ่มไหนบ้าง ทั้งอยู่ในไทยและต่างประเทศ
เมื่อชัดเจนเช่นนี้ ก็อยู่ที่ประชาชนคนไทยจะเลือกเชื่อ หรือ ยอมรับในอุดมการณ์เหล่านั้นหรือไม่
เพราะเท่าที่สังเกตจากม็อบเยาวชนปลดแอก ก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้องการ “ปฏิรูปสถาบัน” ยิ่งส่อไปในทางที่ต้องการล้มล้างด้วย ก็ยิ่งทำให้หลายคนชั่งใจที่จะเข้าร่วมเคลื่อนไหว และคงจำกันได้ ว่า ม็อบประชาชนปลดแอกที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เคยกันเอากลุ่มนักศึกษาที่เคลื่อนไหวปฏิรูปสถาบันออกจากการนำมาแล้ว จนมีข่าวแกนนำแตกคอออกมา นี่คือ ข้อพิสูจน์อย่างหนึ่ง
ดังนั้น ต้องจับตามอง การชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคม ที่จะถึง ประเด็นหลักที่ต้องการชูธง จะยังคงเป็นเรื่อง “ปฏิรูปสถาบัน” อยู่หรือไม่ และคนที่เข้าร่วม จะมาจากส่วนไหนเป็นสำคัญ จะยังมี “คนเสื้อแดง” ที่ ส.ส.เพื่อไทยให้การสนับสนุนมาร่วม หรือไม่ หลัง คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เข้าไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริหารพรรคใหม่
วันนั้น จะเป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้ง ว่า พลังมวลชน “ปฏิรูปสถาบัน” ที่แท้จริง มีแค่ไหน เพียงพอที่จะทำให้ตื่นตกใจได้หรือไม่ หรือ อย่างมากก็แค่ ตอกย้ำว่า มีคนที่ต้องการปฏิรูปสถาบันให้ได้อยู่จริง เท่านั้นเอง!?