เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าทำตัวเองแท้ๆ สำหรับ “ม็อบปลดแอก” ที่ปล่อยให้พวกเด็กๆ ไร้ประสบการณ์อย่าง “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ “ไมค์” ภานุพงศ์ จาดนอก รวมไปถึง อานนท์ นำภา เป็นต้น เป็นแกนนำในการชุมนุม ทำให้สูญเสียพลัง และ “เสียของ” อย่างน่าเจ็บใจ หลายคนอาจมองว่าเป็นเพราะโลกในโซเชียลฯ กับความเป็นจริงมันต่างกันลิบลับ
ขณะที่หลายคนมองว่า เป็นเพราะสถานการณ์ยังไม่ได้ หรือ “ไม่สุกงอม” เงื่อนไขยังไม่เต็มร้อย แม้จะพยายาม “เร้า” กันทุกทางแต่มันก็ดันไม่ขึ้นอยู่ดี ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามที่กล่าวหาว่าเป็น “เผด็จการ” นั้น มีการปรับตัวรับสถานการณ์ได้ดีกว่า รู้จักยืดหยุ่นโอนอ่อน ไม่ยอมเข้าปะทะกันตรงๆ
ตรงกันข้ามกับฝ่าย “ปลดแอก” ที่ยิ่งนาน ยิ่งถดถอย ยิ่งนานยิ่งแสดงออกแบบก้าวร้าว คุกคาม และหยาบคาย ด่าทอผู้อาวุโส ซึ่งในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนจะต้องคำนึงถึงเรื่องแบบนี้เอาไว้บ้าง เชื่อว่า ภาพที่ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล “ด่าทอ” นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ด้วยคำที่สื่อสัญลักษณ์หยาบคาย เมื่อวันก่อน ย่อมทำให้สังคมหันกลับมามองเด็กๆ พวกนี้ด้วยสายตาที่ออกไปในเชิง “สมเพช” รวมไปถึงใครก็ตามในฟากนั้นที่สนับสนุนยุยุงการกระทำของเด็กๆ ดังกล่าว
ล่าสุด ยังมีพฤติกรรม ยกขบวนกันไปสาดสี ปาไข่ บริเวณหน้ารั้วของกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน 4 รอ.) ก็ยิ่งตอกย้ำภาพลบลงไปอีก เพราะขณะที่แสดงพฤติกรรมอย่างเต็มที่อยู่นั้น อีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่ตอบโต้ปล่อยให้ “ละเลง” กันเต็มเหนี่ยว มันก็ยิ่งสร้างความเสียหายตามมาในแบบคาดคิดไม่ถึง
แน่นอนว่า หากกล่าวถึงภาพความล้มเหลวของการชุมนุมภายใต้การขับเคลื่อนของเด็กๆ เยาวชนกลุ่มนี้ น่าจะเริ่มเห็นชัดและตัดสินกันได้ตั้งแต่การชุมนุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” แล้ว เพราะภาพที่ออกมา หากพิจารณากันตามความเป็นจริง ไม่ “อวย” กันจนเวอร์ ก็ต้องบอกว่า เลอะเทอะ ไม่เป็นเอกภาพ เป็นม็อบที่ไร้พลังและไม่มีแก่นสาร ทำให้ “เสียของ” อย่างที่ว่านั่นแหละ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ “คนชักใย” ไม่กล้าออกตัว ออกมานำเอง แต่กลับ “เชิด” เด็กๆ พวกนี้ ซึ่งไร้ประสบการณ์ ไร้ภาวะผู้นำ และที่สำคัญ “ยังสำคัญตัวเองผิด” มีแต่ความก้าวร้าว และที่สำคัญ เนื้อหาและเป้าหมายในการชุมนุมกลับผิดเพี้ยนไปจากกรอบเดิมนั่นกลับเน้นไปที่การ “โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์” ซึ่งทำให้แนวร่วมถอยห่างออกไปเรื่อยๆ
ด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นลบที่สะสมมาเรื่อยๆ ดังกล่าว มันก็ย่อมส่งผลไปถึงการชุมนุมที่ประกาศจะมีขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ แน่นอน และที่ประกาศว่าจะมาแบบ “มืดฟ้ามัวดิน” นั้นก็ต้องรอดู แต่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบที่มองเห็น ก็น่าจะเป็นแค่คำคุยโม้คำโตหรือเปล่า
ขณะที่อีกด้านหนึ่งในฟากของฝ่ายที่ถูกกล่าวว่าเป็น “เผด็จการ” นั้น กลับกลายเป็นว่า “ปล่อยฟรี” กันอย่างเต็มที่ หากสังเกตท่าทีของระดับ “บิ๊ก” ในรัฐบาล ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่แสดงออกให้เห็นแบบอ่อนโยน มองการชุมนุมของเด็กๆ พวกนี้แบบการแสดงออกของ “ลูกหลาน” และพยายามปิดเงื่อนไขให้มากที่สุด ทำให้การชุมนุมที่ผ่านมาแทบจะ “ไปไม่เป็น”เลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน เมื่อประเมินสถานการณ์แล้ว ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มเปิด “เกมรุก” ทำให้เห็นว่ารัฐบาลยังเดินหน้าบริหารจัดการได้ตามปกติ หลายนโยบายสำคัญ เริ่มทยอยออกมาแล้ว เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” เพิ่มเงินใช้จ่ายในบัตรสวัสดิการฯ การกระตุ้นการมีงานทำ โดยเน้นไปที่นักศึกษาที่จบใหม่ๆ และคราวนี้โครงการใช้จ่ายจะกระจายลงสู่รากหญ้ามากกว่าเดิม และคราวนี้ร้านค้าก็จะเน้นพวกรายย่อย แผงลอย ไม่ให้ร้านสะดวกซื้อของกลุ่มทุนเข้าร่วมเหมือนแต่ก่อน ซึ่งน่าจะเป็นการปิดข้อโจมตีเรื่องเอื้อกลุ่มทุนใหญ่
ล่าสุด วันที่ 1 ตุลาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำขบวนไปจังหวัดชลบุรี สร้างความมั่นใจกับนักลงทุนในโครงการอีอีซี และยังเป็นประธาน รับมอบขบวนรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสายสีชมพูขบวนแรก ที่เดินทางมาถึงประเทศไทย ซึ่งก็เป็นสัญลักษณ์ถึงการพัฒนาที่เดินหน้าให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในยุคการบริหารของเขา
ดังนั้น หากประเมินสถานการณ์เทียบกันแล้ว นาทีนี้ก็ยังมั่นใจว่า ม็อบวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ที่บอกว่าจะมาแบบมืดฟ้ามัวดินนั้น ยังมองไม่เห็น และยิ่งได้เห็นพฤติกรรมของแกนนำที่แสดงออกมา มันก็ยิ่งทำให้มั่นใจมากขึ้นว่า น่าจะเป็นเพียงการชุมนุมรวมกลุ่มกันเองในแนวทางเดียวกัน และยิ่งถดถอย ขณะที่อีกฝ่ายยังมั่นคงและรุกไปข้างหน้า โดยพยายามปิดเงื่อนไขให้มากที่สุด ลากยาวต่อไป !!