ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จากดรามา มาส่องธุรกิจ “ปุ้ย-ณะ” คนโต TPN เจ้าของลิขสิทธิ์มิสยูนิเวิร์ส น่าแปลกใจทำไปทำมาขาดทุนมากกว่าทำเงิน และคอนเนกชันไม่ธรรมดา “สุวัจน์” เคยส่งลง ส.ส.
ทามกลางดรามาการประกวด “มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020” ซึ่งมาถึงจุดที่กองประกวดตัดสินใจตัดสิทธิ์ “เฌอเอม” ชญาธนุส ศรทัตต์ ผู้เข้าประกวดที่ถูกพูดถึงมากที่สุด จากการโชว์ศักยภาพการตอบคำถามที่โดนใจแฟนๆ จนถูกมองว่าเป็น “ตัวเก็ง” คนหนึ่ง ออกจากชิง “มง” มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปีนี้ไป โดยอ้างว่าผิดกฎ ละเมิดสัญญา ขณะที่ “เฌอเอม” ก็น้อมรับคำตัดสิน แต่เจ้าตัวก็เสียใจที่ยังไม่ได้แสดงความสามารถเต็มที่
แม้ “เฌอเอม” จะถูกตัดสิทธิ์ แต่ใครที่ติดตามดรามาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ก็ยังสงสัยในมาตรฐานและความเป็นมืออาชีพของกองประกวด โดยเฉพาะคำถามถึง “สองคู่หู” คนโตแห่งกองประกวดอย่าง “แม่ปุ้ย” ปิยาภรณ์ แสนโกศิก และ “ณะ” ณรงค์ เลิศกิตศิริ
จากเรื่องราวที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่า สองคนนี้มีอิทธิพลสูงต่อการเกิดดรามาทั้งหลายทั้งปวง และสงสัยใคร่รู้ว่า TPN หรือ บริษัท ทีพีเอ็น โกลบอล จำกัด ที่ “ปุ้ย และ ณะ” ก่อตั้งเป็นเจ้าของนั้น เป็นอย่างไร เข้าสู่ธุรกิจประชันขาอ่อนได้ลิขสิทธิ์การจัดการประกวดระดับมีสปอนเซอร์มูลค่าหลักหลายร้อยล้าน น่าจะไม่ธรรมดา
“บริษัท ทีพีเอ็น โกลบอล” ก่อตั้งขึ้นมาจาก ปุ้ย-ปิยาภรณ์ และ ณะ-ณรงค์ การจัดงานในครั้งนี้ได้ว่าจ้าง บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) บริษัทครีเอทีฟอีเวนต์ครบวงจรเป็นผู้จัดงาน โดยมีกลุ่มบริษัทใหญ่ๆ เป็นสปอนเซอร์หลายเจ้า รายชื่อยาวเป็นหางว่าว
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า “บริษัท ทีพีเอ็น โกลบอล จำกัด” จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท สำนักงานตั้งอยู่ที่ 188/35 ถนนจรัสเมือง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร มี นางปิยาภรณ์ แสนโกศิก, นายชนิตว์นันท์ แสนโกศิก สามีปุ้ย และ นายณรงค์ เลิศกิตศิริ เป็นกรรมการบริษัท
วัตถุประสงค์ตอนจดทะเบียน ประกอบกิจการด้านธุรกิจบันเทิง รับจ้างผลิต การแสดง สื่อสารมวลชน งานโฆษณาสื่อประชาสัมพันธ์ จัดประกวดนางงาม นายแบบ นางแบบ ประกวดร้องเพลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนขึ้นมาใหม่ ทำให้ไม่มีงบการเงินออกมา
แต่เมื่อค้นหาที่ตั้งบริษัท เลขที่ 188/35 ถนนจรัสเมือง แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กทม. พบว่า ตั้งอยู่ในโครงการไซวอล์ก (Zywalk) ซอยจุฬา 20 หัวมุมถนนตรงข้ามโครงการแอมพาร์ค (I’m Park)
ที่ตั้งบริษัทดังกล่าว ยังเป็นที่ตั้งเดียวกับบริษัทอย่างน้อย 4 บริษัท ของปุ้ย ได้แก่
1. บริษัท ซี สเปซ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อ วันที่ 25 ม.ค. 49 ทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท มีนางปิยาภรณ์ แสนโกศิก และ นายชนิตว์นันท์ แสนโกศิก เป็นกรรมการบริษัท วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด กิจการขายอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2562 มีสินทรัพย์รวม 126,828,880.22 บาท หนี้สินรวม 60,306,110.50 บาท มีรายได้รวม 6,153,497.92 บาท ขาดทุนสุทธิ 5,011,571.59 บาท
2. บริษัท ซี สเปซ อาร์คิเทคส์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 43 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มี นางปิยาภรณ์ แสนโกศิก และ นายชนิตว์นันท์ แสนโกศิก เป็นกรรมการบริษัท วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด รับจ้างออกแบบตกแต่งภายใน ภายนอก รับเขียนแบบ ในปี 62 มีสินทรัพย์รวม 3,919,182.94 บาท หนี้สินรวม 8,294,066.57 บาท มีรายได้รวม 270,139.18 บาท ขาดทุนสุทธิ 667,187.35 บาท
3. บริษัท พี.เอส. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 47 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีนางปิยาภรณ์ แสนโกศิก และนางสุรัตน์ ศิวเวชช เป็นกรรมการบริษัท วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด รับจ้างบริหารการตลาด งานบริการกิจการ และงานบริการอื่นๆ ในปี 62 มีสินทรัพย์รวม 2,190,863.44 บาท หนี้สินรวม 737,714.26 บาท มีรายได้รวม 145,884.63 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,171,386.89 บาท
4. บริษัท เดอะ ซิกเนเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 52 ทุนจดทะเบียน 12 ล้านบาท มีนายชนิตว์นันท์ แสนโกศิก นางปิยาภรณ์ แสนโกศิก นางสุรัตน์ ศิวเวชช และ นายจักรกฤช ศิริกันตราภรณ์ เป็นกรรมการบริษัท วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด เกี่ยวกับค้าอสังหาริมทรัพย์ จัดจำหน่าย ขายที่ดิน ที่ดินพร้อมอาคาร ในปี 62 มีสินทรัพย์รวม 16,029,764.17 บาท หนี้สินรวม 8,313,850.86 บาท มีรายได้รวม 1,925.64 บาท ขาดทุนสุทธิ 518,290.55 บาท
จะเห็นว่า “แม่ปุ้ย“” นั่นทำธุรกิจการหลากหลาย และ ยังปรากฏมีรายงานการให้กู้ยืมระหว่าง “วุฒิศักดิ์ คลีนิค” กับ ทีพีเอ็น 2018 อีกด้วย
เหตุผลและความจําเป็นในการให้เงินกู้ยืม เนื่องจาก “วุฒิศักดิ์ คลีนิค อินเตอร์กรุ๊ป” ขณะนั้น มีแผนการหาช่องทางใหม่ในการทําการตลาด และสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ “วุฒิศักดิ์” แทนวิธีการเดิม เช่นการโฆษณา การทําโปรโมชัน เนื่องจากมีข้อจํากัด และมีหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้ไม่สามารถทําการตลาดในรูปแบบเดิมเหมือนในอดีตได้ จึงมีความสนใจที่จะทําการตลาดวิธีใหม่ผ่านการประกวดนางงาม ซึ่งเป็นเวทีระดับโลก แต่เนื่องจากการเป็นสปอนเซอร์นั้น จะเป็นการจ่ายครั้งเดียว และถูกตัดเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายซึ่งอาจจะไม่ถึง 100 ล้านบาท แต่จะไม่มีสิทธิได้รับคืน วุฒิศักดิ์ คลีนิค อินเตอร์กรุ๊ป จึงมองหาแนวทางอื่น ที่ยังคงได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบสปอนเซอร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
อีกทั้ง วุฒิศักดิ์ คลีนิค อินเตอร์กรุ๊ป เห็นว่า “นายสมชาย ชีวสุทธานนท์” หนึ่งในผู้บริหาร เคยมีประสบการณ์จัดการประกวดเมื่อปี 2548 ประกอบกับทีมบริหารอีกสองท่าน ได้แก่ “นายณรงค์ เลิศกิตศิริ” ซึ่งดํารงตําแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท โทเร อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จํากัด, กรรมการบริหารบริษัท เท็กซ์ไทล์แกลลอรี่ จํากัด (PASAYA),ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โคนาคะ (ประเทศไทย) จํากัด (Suit Select) ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในแวดวงของวงการแฟชัน และเครือข่ายพันธมิตรที่มากมาย และ “นางปิยาภรณ์ แสนโกศิก” ซึ่งดํารงตําแหน่ง เลขาธิการสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ กรรมการฝ่ายจัดหาทุนมูลนิธิพระดาบส และกรรมการบริหาร บริษัท ซี สเปซ ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (ดําเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์)
วุฒิศักดิ์ คลีนิค อินเตอร์กรุ๊ป พิจารณาแล้วเห็นว่า ทีมบริหารทั้งสามมีความสามารถที่จะจัดการประกวดให้สําเร็จลุล่วงได้ดี และสามารถหาเงินสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนได้สําเร็จ และมีความสามารถที่จะชําระหนี้คืนได้ตามกําหนด จึงพิจารณาให้กู้เงิน แทนการซื้อสปอนเซอร์ โดยคิดดอกเบี้ยและกําหนดระยะเวลาในการรับชําระคืนไว้ชัดเจน นอกจากนี้ ยังได้รับผลประโยชน์อื่น เช่น Main Sponsor อีกด้วย
โดย ทีพีเอ็น 2018 นําเงินดังกล่าวไปใช้เป็นเงินทุนในการจัดการประกวด Miss Universe 2018 ซึ่งครั้งนั้น ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในวันที่ 17 ธ.ค.61 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี
อนึ่ง บริษัท วุฒิศักดิ์ คลีนิค อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 63 เนื่องจากมีหนี้สินล้นพ้นตัว
สำหรับข้อมูลบริษัท ทีพีเอ็น 2018 จำกัด ของ “ปุ้ย” ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท ทีพีเอ็น 2018 จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 ต.ค. 61 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มี นายสมชาย ชีวสุทธานนท์ นายณรงค์ เลิศกิตศิริ และ นางปิยาภรณ์ แสนโกศิก เป็นกรรมการบริษัท วัตถุประสงค์ที่ส่งงบการเงินปีล่าสุด ประกอบกิจการด้านการแสดง ในปี 62 มีสินทรัพย์รวม 56,516,124.19 บาท หนี้สินรวม 316,211,129.96 รายได้รวม 93,012,729.58บาท ขาดทุนสุทธิ 259,945,005.77 บาท
นอกจากนี้ TPN ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานที่ปรึกษาการประกวด เช่น โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท, โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ หัวหิน และสวนน้ำ วานา นาวา ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมในช่วงเก็บตัว ก็เป็นของ“พราว-พราวพุธ ลิปตพัลลภ”กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียลเอสเตท จำกัด ลูกสาวสุวัจน์ ลิปตพัลลภ
ความสัมพันธ์ระหว่าง “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” กับ “ปุ้ย” ปิยาภรณ์ แสนโกศิก ถือว่าแนบแน่น และสุวัจน์ ถือเป็นคนสำคัญของพรรคชาติพัฒนา หากพิจารณาความสัมพันธ์จะพบว่า ในการเลือกตั้งเมื่อ วันที่ 2 ก.พ. 57 “นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ส่ง “ปุ้ย” ปิยาภรณ์ แสนโกศิก อดีตเลขานุการ ผู้ว่าฯ กทม. “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 9 ปรากฏว่า การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.
นอกจากนี้ “ชนิตว์นันท์ แสนโกศิก” สามี นางปิยาภรณ์ บริจาคเงินให้กับพรรคชาติพัฒนา เป็นจำนวนเงิน 1 ล้านบาท เมื่อเดือน ก.พ. 57
ด้วยโปรไฟล์ธุรกิจ และคอนเนกชันส่วนตัวของ “แม่ปุ้ย” ดังกล่าวมานี้ ต้องถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ.
**“วิชา” ชี้ชัดๆ กฎหมายปฏิรูปตำรวจฉบับแปลงสาร ไม่สอดคล้อง รธน. ยังเปิดช่องให้มีการวิ่งเต้นโยกย้าย ซื้อขายตำแหน่งเหมือนเดิม จี้ “ลุงตู่” ทบทวน กลับไปใช้ฉบับ “มีชัย”
จากกรณี ตำรวจและอัยการ ร่วมกัน “ฟอกเทา” คดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา จนทำให้เกิดกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยพุ่งเป้าไปที่ สองหน่วยงานดังกล่าว ทำให้ที่ประชุม ครม. ต้องหยิบยกเอา ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ขึ้นมาพิจารณาเมื่อช่วงกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา หลังจากถูกดองเอาไว้เป็นปี
ว่ากันเฉพาะ “การปฏิรูปตำรวจ” รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยให้ความสำคัญถึงขั้นบรรจุเรื่องนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 258 ง(4) จากนั้นก็ให้ “อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์” มานั่งเป็นประธานคณะกรรมการจัดทำร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจ 2 ฉบับ คือ “ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ” ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับโครงสร้างของตำรวจ และ “ร่าง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีอาญา” เป็นการปฏิรูปการสอบสวน โดยทั้ง 2 ร่าง ได้ผ่านการตรวจพิจารณาของ กฤษฎีกา และได้ส่งกลับไปให้ที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) แต่ "ถูกดอง" จนเชื่อกันว่าคงจะไม่ได้มีการพิจารณากันในครม.ชุดนี้ ... จนกระทั่งเกิดกระแสจาก “คดีบอส” ทำให้ “พล.อ.ประยุทธ์” อยู่เฉยไม่ได้ ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ดังกล่าว
แต่ ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ที่เข้า ครม. และได้รับความเห็นชอบ กลับเป็นฉบับที่มีการ “แปลงสาร” ไปเรียบร้อยแล้ว !!
“ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน” ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดทำร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจ ชุด “อาจารย์มีชัย” ถึงกับออกมาแสดงความเห็นว่า เป็น 3 ปีสูญเปล่า !? ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจโดนแปลงสาร เปิดช่องวิ่งเต้น โยกย้าย ซื้อขายตำแหน่งกันเหมือนเดิม แต่ ครม.ก็ยังอนุมัติ !!
เพราะ “หัวใจ” ของการปฏิรูปตำรวจ คือ ขจัดการวิ่งเต้นโยกย้าย ซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมขั้นต้นต้องบิดเบี้ยว เป็นที่มาของ “ความเหลื่อมล้ำ” ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
ในร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ฉบับ “อาจารย์มีชัย” จึงกำหนดให้การพิจารณาแต่งตั้ง โยกย้ายให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ โดยต้องคำนึงถึง “อาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกัน” มีการออกแบบ “ระบบคะแนนประจำตัว” ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ อาวุโส 50% ความรู้ความสามารถ 20% และ ความพึงพอใจของประชาชน 30% เพื่อตำรวจทุกคนจะได้รับรู้คะแนนประจำตัว และลำดับของตนเอง การวิ่งเต้น หรือ ซื้อขายตำแหน่ง ก็จะแหกกฎเกณฑ์นี้ได้ยาก !!
...แน่นอนว่าหลักเกณฑ์ที่ว่านี้ ย่อมไม่เป็นที่พอใจของผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ...จึงเป็นที่มาของการ “ดอง” ร่าง กม.ฉบับนี้ไว้เป็นปี จนกระทั่งมีการปรับแก้เกณฑ์การแต่งตั้ง โยกย้าย เป็น 1. ระดับ รอง ผบ.ตร. และ จเรตำรวจแห่งชาติ ลงมาถึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้พิจารณาเรียงตามลำดับอาวุโส 2. ระดับผู้บัญชาการ และจเรตำรวจ ลงมาถึงผู้บังคับการ ให้พิจารณาจากผู้เหมาะสม เรียงตามลำดับอาวุโส ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของตำแหน่งที่ว่างในแต่ละระดับ 3. ระดับรองผู้บังคับการลงมาถึงสารวัตร ให้พิจารณาเรียงตามอาวุโสจำนวน ร้อยละ 33 ของจำนวนตำแหน่งที่ว่างในแต่ละระดับตำแหน่งของส่วนราชการ และ 4. จำนวนตำแหน่งที่ว่าง ที่เหลือจากการพิจารณาตาม ข้อ 2 และ ข้อ 3 ให้พิจารณาโดยคำนึงถึงอาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกัน
หลังจากมีการ “แปลงสาร” จึงนำเข้า ครม.ได้ และก็ผ่านฉลุยไปรอเข้าพิจารณาในสภา
หลักการที่ว่า “ให้คำนึงถึงอาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกัน” จึงถูกบิดกลับไปที่ “ความรู้ความสามารถ” หรือ “ความเหมาะสม” ซึ่งเป็นตัวปัญหามาตลอด... เปิดช่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณามาโดยตลอด ...เปิดช่องให้มีการวิ่งเต้นมาโดยตลอด ...การแต่งตั้งโยกย้ายจึงมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องโดยตลอด !!
เรื่องนี้ “อาจารย์วิชา มหาคุณ” ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง “คดีบอส” และศึกษาแนวทางปฏิรูปกฎหมาย ก็ออกอาการ “ไม่ปลื้ม” กับร่างปฏิรูปตำรวจฉบับแปลงสาร จึงเตรียมยื่นผลสรุปการศึกษา เสนอนายกรัฐมนตรี ในวันนี้ (1 ต.ค.) ให้พิจารณาทบทวน ทั้ง ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ และ ร่าง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีอาญา เนื่องจากเนื้อหาไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ !!
เพราะการแต่งตั้ง และการเลื่อนตำแหน่งของตำรวจ จะต้องเป็นไปตามหลักอาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกัน แต่ถูกเปลี่ยนเป็น “อาวุโสตามลำดับชั้น” เช่น คนที่เป็น รอง ผบ.ตร. ถึงจะให้เป็นอาวุโส แต่ระดับต่ำกว่านั้น อาจจะเป็นอาวุโสตามเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าไม่สอดคล้องกับ รธน.
ส่วน ร่าง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีอาญา เป็นเรื่องสายงานการสอบสวน ที่รัฐธรรมนูญต้องการให้เป็นอิสระ ซึ่งคณะกรรมการชุด “อาจารย์มีชัย” ได้ร่างให้เป็นอิสระ คือ มีผู้บัญชาการด้านสอบสวน แต่ ร่างที่ปรับปรุงใหม่กลับให้ ไปขึ้นอยู่กับ “รองผู้กำกับทุกสน.”
“อาจารย์วิชา” เห็นว่า สองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก จึงเสนอให้มีการทบทวนมติ ครม. แล้วนำกลับมาพิจารณาใหม่ ให้กลับไปใช้ฉบับ “อาจารย์มีชัย”
ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า เมื่อ “ลุงตู่” ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับผลสรุปรายงานการศึกษานี้แล้ว จะดำเนินการต่อไปอย่างไร และตรงจุดนี้จะเป็นบทพิสูจน์ว่า “ลุงตู่” มีความจริงใจที่จะปฏิรูปตำรวจหรือไม่ !!