ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ดรามา “ไอ้ไข่” วัดเจดีย์ ฟีเวอร์พีกสุด “บิณฑ์-เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” ร่วมแจม ถูกตั้งคำถามทำบุญหรือบาปกันแน่ ทำคนเดือดร้อน
กระแสแรงมากจริงๆ สำหรับความศรัทธาของมวลมหาประชาชนต่อ “ไอ้ไข่” ลูกศิษย์วัดเจดีย์ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งแต่ละวันปรากฏ มีผู้ศรัทธาหลั่งไหลไปกราบไหว้ขอพร แสวงหาบูชาวัตถุมงคลจำนวนมากไม่ขาดสาย ด้วยเหตุผลสำคัญ หากจะขอพรให้สมหวังจะต้องมาขอต่อ “ไอ้ไข่” ด้วยตัวเองที่วัดเจดีย์เท่านั้น
แต่เมื่อกระแสแรง ว่ากันว่า เวลานี้วัดในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ได้จัดสร้าง “ไอ้ไข่” ขึ้นมา และนำมาไปให้คนกราบไหว้ เรียกคนเข้าวัด หารายได้เป็น “พุทธพาณิชย์” เต็มรูปแบบ โดยที่วัดต้นตำรับ “วัดเจดีย์” ต้องออกมาประกาศว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง วัดอื่นๆ ไปทำกันเอง โดยที่วัดเจดีย์ไม่มีส่วนรู้เห็น การที่เอาไปจัดสร้าง ก็ไม่เหมือนกับวัดเจดีย์สักนิด บางวัดสร้าง “ไอ้ไข่” เพื่อให้ประชาชนเข้าไปกราบไหว้บูชา ถือเป็นการหลอกลวงชาวบ้าน และเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของวัดเจดีย์
และแล้ว ดรามาเรื่องนี้มาเกิดขึ้น โดยเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “สหฤทธิ์ ชูรัตน์” ได้โพสต์ข้อความและภาพ ระบุว่า เป็นกรณีที่นักแสดงชื่อดัง “บิณฑ์ และ เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์” ได้ปรากฏภายในวัดเจดีย์ เพื่อต้องการบันทึกภาพ และไลฟ์ว่าจะเอา “ไอ้ไข่” ที่ถือในมือไปไว้ที่วัดดอนใหญ่ คลองแปดลำลูกกา เพื่อให้คนได้สักการะไอ้ไข่ ที่ถือว่ามาจากวัดเจดีย์
จากเหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าหน้าที่ถูกพักงานทันที 16 คน บุญหรือบาป ถามใจคุณดู ในฐานะที่คุณคือต้นเหตุในปัญหา จะช่วยเหลือครอบครัวเขาอย่างไร
นอกจากนี้ ยังมีการโพสต์ถึงสิ่งที่ควรทราบ นำไปปฏิบัติ ห้ามนำวัตถุมงคลทุกชนิด เข้าไปทำพิธี หรือวางหน้าโต๊ะสักการะไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์ ทำพิธีบวงสรวง บ่งบอกถึงขั้นตอนการทำวัตถุมงคลที่ทำขึ้นมา โดยการแอบอ้าง ที่ทางวัดเจดีย์ (ไอ้ไข่) ไม่อนุญาต ใครฝ่าฝืนถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎของวัดเจดีย์ไอ้ไข่ จะมีการดำเนินคดีตามเหตุสมควรต่อไป
ดรามาละเมิดสิทธิ์ไอ้ไข่ และความเคลื่อนไหวของพระเอกนักบุญ คู่แฝด “บิณฑ์-เอกพันธ์” หลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามดูกันต่อไป
**เมื่อ “ตู่-จตุพร” ถูกยัดข้อหา “สลิ่ม” ไม่มีจุดยืนเพียงร่วมโต๊ะ “อานันท์-พันธมิตรฯ”
กรณีภาพว่อนเน็ต งานวันคล้ายวันเกิดของ “ประสาร มฤคพิทักษ์” ที่มณเฑียร ริเวอร์ไซด์ ปรากฏแขกเหรื่อมากหน้าหลายตา และบางโต๊ะมีผู้ร่วมโต๊ะเดียวกันเป็นคนดัง อาทิ อดีตนายกฯ “อานันท์ ปันยารชุน” นักร้องเพลงเพื่อชีวิตระดับตำนาน “หงา คาราวาน” สุรชัย จันทิมาธร, “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์, “สุริยะใส กตะศิลา”, “พิภพ ธงไชย” อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งต่อมา คนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอยู่ผิดที่ผิดทางมีอยู่คนเดียว คือ “ตู่” จตุพร ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
“จอม เพชรประดับ” ติ่งทักษิณ ที่ลี้ภัยในสหรัฐฯ เห็นแล้วจิ๊ดขึ้นสมองถึงกับโพสต์ข้อความระบุว่า “ตู่” จตุพร เปลี่ยนจุดยืนจากนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มาอยู่ใต้ตีนเผด็จการราชานิยม... ที่แสดงออกมาหลายต่อหลายครั้งนี่สิ ที่....ไม่โอ
และแน่นอนว่า มีมวลชนเสื้อแดงและกลุ่มที่อ้างว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ผสมโรงแสดงความเห็นผ่านโซเชียลฯ ต่อว่าด่าทอ “จตุพร” อีกมากมาย ก่อนจะยัดข้อกล่าวหาเป็น “สลิ่มตู่จตุพร” ที่ไม่เคยมีอุดมการณ์ มีแต่บัตรเติมเงิน
ขณะที่ “จตุพร” ใช้ เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk ออกมาตอบกลับว่า แค่การร่วมโต๊ะของคนเห็นต่างก็ไม่ได้หมายถึงความเชื่อทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปอยู่กับอีกฝ่ายที่มาสังสรรค์งานวันเกิด
การเจอกันในงานก็พูดคุยกันได้ตามปกติในฐานะอดีตที่รู้จักกัน โดยไม่มีปัญหาต่อกัน ในทางส่วนตัวของชีวิตมนุษย์แล้วไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับ “ความชิงชัง” พกแต่ความคับแค้นของกันและกันเสมอไป
ว่าไปแล้ว เรื่องทำนองนี้ “ตู่” จุตพร ก็กล่าวถูกต้อง การร่วมโต๊ะของเสื้อสีต่างกัน หรือใครก็ตามถือเป็นเรื่องปกติ และเป็นมารยาททางสังคม ก็ต้องแยกแยะระหว่างความเป็นส่วนตัวในเวทีสังคม กับการต่อสู้ทางการเมืองออกจากกัน
บนความอ่อนไหวของความคิดทางการเมือง ก่อนจะถึงนัดหมายการชุมนุม19 ก.ย. ก็ต้องบอกว่า มีสงครามในโซเชียลฯ ปะทะกันหลายจุด ผู้ที่มีสติ และ ไม่เฮละโลไปตามจิตวิทยา “บูลลี่” หมู่เพื่อด้อยค่าฝ่ายตรงข้ามก็จะเห็นว่า มีความพยายามจะกำจัด “คนเห็นต่าง” หรือผู้มีจุดยืนทางการเมืองไม่เหมือนตัวเอง ซึ่งถ้าไม่เป็นพวกตน ก็จะยัดเยียดความเป็น “สลิ่ม” ให้ อย่างกรณี “ตู่” จตุพร ก็เช่นกัน ซึ่งคงไม่ใช่รายเดียว และรายสุดท้าย
สรุปว่า ใครได้ยินได้ฟังเรื่องที่ปรากฏภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่อดีตใส่เสื้อคนละสี มีความเห็นต่างทางการเมืองมารวมร่วมโต๊ะเดียวกัน แล้วกลายเป็นผิด แค่เห็นต่างก็ยัดเยียดว่าเป็น “สลิ่ม” ขึ้นมา
งานนี้ ช่างหัวร่อมิออก ร่ำไห้ไม่ได้ จริงๆ
** 3 ปีสูญเปล่า !? “ส.ว.คำนูณ” ข้องใจ ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจโดนแปลงสาร เปิดช่องวิ่งเต้นโยกย้าย ซื้อขายตำแหน่งกันเหมือนเดิม แต่ ครม.ก็ยังอนุมัติ !!
เรื่อง “ปฏิรูปตำรวจ” เป็นหัวข้อที่ที่พูดกันมานาน เพราะเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมที่ยังทำให้มี "ความเหลื่อมล้ำ" ... ในการชุมนุมของ กปปส. ที่ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้ถือธงนำ ในการขับไล่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ยกเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นหลักในการปลุกเร้าเรียกมวลชน ... กระทั่ง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะ คสช.เข้ายึดอำนาจ ก็ยังย้ำว่า ต้องให้ความสำคัญกับการปฏิรูปตำรวจ ถึงขั้นบรรจุเรื่องนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 258 ง(4)
จากนั้นก็ให้ “อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์” ที่เป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มานั่งเป็น ประธานคณะกรรมจัดทำร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจ คือ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ... ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับโครงสร้างของตำรวจ ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ส่งไปให้ที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค. )แล้ว แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีวี่แววที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.
กระทั่งล่าสุด เพิ่งนำเข้าที่ประชุม ครม.เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) แต่กลายเป็นฉบับที่มีการ “แปลงสาร” ไปเรียบร้อย !!
เรื่องนี้ “ส.ว.คำนูณ สิทธิสมาน” ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดทำร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจชุด “อาจารย์มีชัย” ได้โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ร่างกฎหมายตำรวจใหม่ ไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญ?”
สาเหตุที่ไม่ตรง เพราะเมื่อ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหนังสือคัดค้านมา 8 หน้า 14 ประเด็น จนกระทั่งมีการประชุมที่ทำเนียบฯ เมื่อ 30 มิ.ย. และมีมติ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปเสนอขอแก้ไขมาภายใน 10 วัน ... ประเด็นที่สำคัญคือ มีระบุว่า ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติไปปรับเกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้ายที่มีอยู่แล้ว ลงไปในร่างฯ
ซึ่งประเด็นเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนี้ คือ จุดสำคัญในการปฏิรูป เพราะร่างเดิมได้ออกแบบ “ระบบคะแนนประจำตัว” เพื่อสกัดการวิ่งเต้น แต่กลับถูกปรับแก้ เปิดช่องให้ผู้บังคับบัญชาใช้ดุลพินิจ ...การวิ่งเต้น “ซื้อขายตำแหน่ง” จึงยังเกิดขึ้นได้เหมือนเดิม !!
“ส.ว.คำนูณ” ระบุว่า สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ มาตรา 258 ง(4) นั้นบอกว่า ในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้าย ต้องคำนึงถึง “อาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกัน” ... นั่นหมายถึงว่า ผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งโยกย้าย จะต้องมีทั้งอาวุโส และความรู้ความสามารถ แต่จะออกแบบให้มีการชั่งน้ำหนักอย่างไร เป็นหน้าที่ของกฎหมายที่จะร่างขึ้นมา ซึ่งกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษชุด “อาจารย์มีชัย” ได้ออกแบบ “ระบบคะแนนประจำตัว” ขึ้นมาในร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ฉบับก่อนถูกแปลงสาร ให้ข้าราชการตำรวจทุกคน มีคะแนนประจำตัว 3 ส่วน คือ ... อาวุโส 50% ...ความรู้ความสามารถ 20% และ ความพึงพอใจของประชาชน 30%
“อาวุโส” หมายถึงอยู่ในตำแหน่งนั้นๆ นานกว่าคนอื่น ถ้าอยู่นานสุดก็ได้คะแนนเต็ม นานรองลงไป คะแนนก็ลดหลั่นกันลงไป... “ความรู้ความสามารถ” ขึ้นอยู่กับผลงาน และอื่นๆ ตามที่จะกำหนดไว้ในกฎหมาย... “ความพึงพอใจของประชาชน” ให้หน่วยงานภายนอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้สำรวจการทำงานของตำรวจแต่ละหน่วยงาน ได้คะแนนเท่าไร ก็ถือเป็นคะแนนที่ตำรวจในหน่วยนั้นได้เท่ากัน
ผู้ร่างกฎหมายออกแบบไว้เช่นนี้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปัญหาในการแต่งตั้งโยกย้ายน้อยลง การวิ่งเต้นน้อยลง เพราะกฎเกณฑ์มีเขียนไว้ในกฎหมายหลัก และ ตำรวจทุกคนรับรู้คะแนนประจำตัว และลำดับของตนเอง การวิ่งเต้น หรือซื้อขายตำแหน่ง ก็จะแหกกฎเกณฑ์นี้ได้ยาก !!
แต่ร่าง ที่เข้าสู่การพิจารณา ของ ครม. ได้มีการปรับแก้เกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้าย เป็นดังนี้
(1) ระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจแห่งชาติ ลงมาถึงผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้พิจารณาเรียงตามลำดับอาวุโส
(2) ระดับผู้บัญชาการ และจเรตำรวจลงมาถึงผู้บังคับการ ให้พิจารณาจากผู้เหมาะสมเรียงตามลำดับอาวุโส ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของตำแหน่งที่ว่างในแต่ละระดับ
(3) ระดับรองผู้บังคับการลงมาถึงสารวัตร ให้พิจารณาเรียงตามอาวุโสจำนวน ร้อยละ 33 ของจำนวนตำแหน่งที่ว่างในแต่ละระดับตำแหน่งของส่วนราชการ
(4) จำนวนตำแหน่งที่ว่างที่เหลือจากการพิจารณาตาม ข้อ (2) และ (3) ให้พิจารณาโดยคำนึงถึงอาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกัน
หลัก 4 ข้อที่ว่านี้ จึงไม่ตรงกับหลักการที่ว่า “ให้คำนึงถึงอาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกัน” เพราะน่าจะหมายถึง การแต่งตั้งโยกย้ายเข้าไปในทุกตำแหน่งที่ว่าง ไม่ใช่แบ่งแยกเป็นกองๆ กัน เป็นกองอาวุโสล้วนๆ ร้อยละ 50 หรือ 33 ที่เหลือ จึงเป็นกองอาวุโส และความรู้ความสามารถประกอบกัน
เพราะตรง “ความรู้ความสามารถ” หรือ “ความเหมาะสม” นี่แหละ ที่เป็นปัญหามาโดยตลอด... เปิดช่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณามาโดยตลอด ...เปิดช่องให้มีการวิ่งเต้นมาโดยตลอด !!
ในที่สุด ครม.ก็มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ “ฉบับแปลงสาร” ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอไปเรียบร้อยแล้ว !!
และดูเหมือน “ส.ว.คำนูณ” จะคาดหมายได้ว่า ครม.ต้องเห็นชอบกับร่าง นี้แน่ จึงตั้งคำถามไว้ล่วงหน้าว่า ...ถ้า ครม.อนุมัติตามร่างฯ แปลงสารนี้ ปัญหาจะยังไม่ได้รับการแก้ไข ... ที่สำคัญคือไม่ตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ที่ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปตำรวจสูงสุด ถึงขนาดแยกบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ
แต่รัฐบาลก็ยังอุตส่าห์ทำไม่ตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ! แล้วจะตั้งกรรมการขึ้นมายกร่างกฎหมาย ตั้ง 2 ชุด 3 ชุดทำไม ใช้เวลารวมกว่า 3 ปี ไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายต้องกลับมาถามตำรวจ แล้วก็ทำตามข้อเสนอของตำรวจในสาระสำคัญ ?!!