ภาพ “ตู่-จตุพร” ร่วมโต๊ะ “อานันท์-พันธมิตรฯ” เป็นเหตุ ถูกหาเป็น “สลิ่ม” ไม่มีจุดยืน เจ้าตัวฉุนขาด โวยลั่น นักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ก็มีความเป็นมนุษย์ คบใครก็ไม่ได้ “พ่อผมหรือ” “พิภพ” ช่วยยันอีกแรงรู้จักกันก่อนยุคทักษิณ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (14 ก.ย. 63) เฟซบุ๊ก Jom Petchpradab ของนายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่า
“ไม่มีปัญหาหรอก กับการไปร่วมวันเกิดของมิตรสหายคนที่เรารู้จักคุ้นเคย.. แต่การเปลี่ยนจุดยืนจากนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มาอยู่ใต้ตีนเผด็จการราชานิยม..ที่แสดงออกมาหลายต่อหลายครั้งนี่สิ ที่....ไม่โอ.”
ก่อนหน้านี้ (13 ก.ย.) เฟซบุ๊กการเมืองไทยในกะลา ได้แชร์ทวิตเตอร์ วิวาทะ@quote_wiwata ทวีตข้อความพร้อมภาพ “ตู่-จตุพร” ร่วมโต๊ะ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกลุ่มพันธมิตรฯร่วมด้วยหลายคนว่า
“(คนหันหลัง) พี่เปี๊ยก พิภพ ธงไชย ครับพี่ เมื่อคืนผมก็ไป วันเกิดพี่ประสาร ที่ มณเฑียร ริเวอร์ไซด์” #มิตรสหายท่านหนึ่ง”
โดยนำภาพประกอบมาโพสต์ข้อความระบุว่า “ใครเป็นใครบ้างในภาพ??
(คนหันหลังคือ พิภพ ธงไชย)
เครดิตภาพ : วิวาทะ
จากนั้น มีผู้มาโพสต์ (Suchart Jirapongsatorn) อธิบายว่า
“ภาพเมื่อคืนนี้เองวันเกิด ประสาร มฤคพิทักษ์ ที่มณเฑียร ริเวอร์ไซด์ ซ้ายไปขวา หงา สุรชัย อานันท์ จตุพร สุริยะใส ส่วนคนหันหลัง คือ พิภพ ธงไชย รวมพวก พธม.เสื้อเหลือง ให้ภาพมันเล่าเรื่องแล้วคิดกันเองแล้วกัน แต่ผิดที่ผิดทางมีคนเดียว คือ ตู่จตุพร”
แล้ววันนี้เช่นกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ หรือ “ตู่” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ peace talk ชี้แจงกรณีรูปภาพนั่งร่วมโต๊ะกับ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า
ไม่ได้หมายถึงความเชื่อทางการเมืองของตนจะเปลี่ยนแปลงไปอยู่กับอีกฝ่ายที่มาสังสรรค์งานวันเกิด นายประสาร มฤคพิทักษ์ ครบรอบ 72 ปี การต่อสู้ของตนตั้งแต่อดีตและปัจจุบัน ยืนยันได้ว่า ไม่มีความขัดแย้งเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกันเท่านั้น และความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น ในทางส่วนตัวของชีวิตมนุษย์แล้ว ไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับความชิงชัง พกแต่ความคับแค้นของกันและกันเสมอไป
สำหรับรูปภาพปรากฏว่อนเน็ตนั้น ผมไปร่วมงานช่วง 2 ทุ่มกว่า รู้ว่า นายอานันท์ อยู่ในงานก่อนแล้ว ผมรู้จัก นายอานันท์ ตั้งแต่การทำรัฐธรรมนูญ 2540 ผมร่วมในฐานะภาคประชาชน นายอานันท์ เป็นประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ห้วงเวลานั้นได้พบและแลกเปลี่ยนกันหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ มีหลายฝ่ายเข้าไปคุยกับนายอานันท์ เคยมีภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล รวมทั้งมีภาพ รมว.ศึกษาฯ กับภรรยา แกนนำ กปปส.ก็เคยไปพบพูดคุยกับนายอานันท์ เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่จำเป็นเมื่อเจอหน้ากันต้องแสดงความวิวาทใส่กัน รู้มีคนมาถ่ายภาพ เป็นศิลปินวงคาราวาน ทั้งที่ในอดีตเคยร่วมต่อสู้ด้วยกันมา แม้ช่วงหลังไปขึ้นเวทีอีกฝ่ายหนึ่งที่แตกต่างทางความเชื่อทางการเมือง เมื่อเจอกันในงานสามารถพูดคุยกันได้ตามปกติในฐานะอดีตที่รู้จักกัน โดยไม่มีปัญหาต่อกัน
นายจตุพรกล่าวว่า ในงานบรรจุอัฐิวีรชนพฤษภา 2535 ยังเจอ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เคยร่วมขบวนการต่อสู้ในปี 2535 ด้วยกัน แต่ในปี 2553 ต้องมาต่อสู้กัน ก็ไม่มีปัญหา เนื่องจากไปร่วมงานวีรชนปี 2535
ดังนั้น การเจอกันจึงเป็นเรื่องปกติ และมีมารยาททางสังคมต่อกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าเป็นช่วงการต่อสู้ต่างคนต่างทำหน้าที่ แต่ในปัจจุบันไม่มีใครต้องต่อสู้กัน ตนรู้เวลาต่อสู้ทางการเมืองต้องต่อสู้อย่างไร แต่ในเวทีที่เป็นวิญญูชนก็เจอกันแบบวิญญูชนกัน การคุยกับอดีตนายกฯอานันท์นั้น ทำไม ธนาธร กับ ปิยบุตร ไปคุยได้ แล้ว จตุพร ทำไมถึงคุยไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายคุยได้ตามปกติ และ นายอานันท์ ก็มีความเป็นตัวตน เอกลักษณ์ของท่าน ส่วนการต่อสู้เป็นแนวทางของใครก็ของคนนั้นอยู่แล้ว องค์กรใคร ก็ของคนนั้นอยู่แล้ว นายไข่ วงมาลีฮวนน่า มางานศพพ่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังร่วมร้องเพลงด้วย แม้ทางการเมืองเคยขึ้นเวทีกับฝ่ายหนึ่ง แต่ในด้านชีวิตแล้ว พวกเขารู้จัก คบกันมายาวนาน แล้วกลับมาร้องเพลงในงานที่มีความสำคัญกับชีวิตของอีกคนหนึ่งได้
“มนุษย์อย่าเห็นแก่ตัวกันให้มาก แค่เห็นรูปภาพก็โพสต์แล้ว ต้องแยกแยะระหว่างความเป็นส่วนตัวในเวทีสังคม กับสนามการต่อสู้ออกจากกัน หรือต้องการว่า มนุษย์จะมีสังคมกันไม่ได้ ต่อไปนี้งานสำคัญคงไปไหนกันไม่ได้ ผมอยากจะบอกว่า ไม่ใช่เรื่องของการเห็นพ้องต้องกัน แต่เป็นการพูดคุยกันที่ห้วงเวลาหนึ่งเคยรู้จักกัน เคยทำหน้าที่ร่วมกัน แต่อีกช่วงเวลาหนึ่งต่างกันแยกย้ายไปทำตามความเชื่อของตัวเอง และผมไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวกับใคร ผมปฏิบัติอย่างนี้มาตลอด แต่พวก นายฟอร์ด มาหาเศษหาเลย ใช้ไม่ได้”...
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน ตนได้แสดงความคิดเห็นสนับสนุนข้อเรียกร้องไปครบถ้วนอยู่แล้ว ดังนั้น ภาพถ่ายที่ปรากฏนั้น หลากหลายเรื่องราว อย่ามาหาเศษหาเลยกัน แค่ภาพถ่ายนั้น คิดว่าตนจะไปเจรจากับสถานการณ์ปัจจุบันให้ใคร ซึ่งรูปนั่งสังสรรค์ในงานไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการต่อสู้ในปัจจุบันนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวที่ต้องไปต่อสู้กัน ตนมีจุดยืนของตัวเองอยู่แล้ว ส่วน นายฟอร์ด ไม่ต้องมายุ่ง เพราะรำคาญ ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกันอยู่แล้ว อีกทั้งการมีอารมณ์ ความรู้สึกตามมนุษย์นั้น ควรมีความคิดอ่านกันบ้าง หากไปพูดคุยกับใครไม่ได้ และต้องเป็นปัญหากันแล้ว ทำไมคนอื่นทำได้...
“ดังนั้น การต่อสู้ใดก็ตาม ต้องมีการรักษาพื้นที่ความเป็นมนุษย์กันบ้าง นักต่อสู้แม้มีบาดแผลเป็นเรื่องปกติ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การพูดคุยไม่เกี่ยวทางการเมือง จึงควรเป็นเรื่องปกติ ถึงที่สุดแล้ว เกี่ยวกับรูปภาพนั้น ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เนื้อหาคุยกันก็มีแค่นี้ และผมก็เป็นของผมแบบนี้ ปากกับใจตรงกัน เมื่อคนอื่นพูดได้ แล้วทำไมนายจตุพรคุยไม่ได้ คุณเป็นพ่อผมหรืออย่างไร”
อย่างไรก็ตาม พบว่า “จตุพร” เคยกล่าวหามาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะที่ เฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์เอาไว้ เมื่อ 26 ก.ค. 63 หัวข้อ “สลิ่มตู่จตุพร” โดยแชร์จาก “ซึ่งต้องพิสูจน์”(25 ก.ค.)
เนื้อหาระบุว่า “ฝ่าย ปชต. ด่า “จตุพร” “ไม่เคยมีอุดมการณ์ มีแต่บัตรเติมเงิน” หลังมีภาพ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จับมือกับ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธาน กมธ.กฎหมายฯ สภา (23 ก.ค. 63)
24 ก.ค. 63 FB ฟอร์ด เส้นทางสีแดง หรือ นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ ได้ลงรูปภาพ ที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ไปจับมือ กับ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ พร้อมเเสดงความเห็นว่า
“เพื่อนมึงติดคุก มวลชนมึงตาย มึงมาจับมือหัวเราะกับขี้ข้าเผด็จการ กูอยากจะอ้วก นี่คือ ประธาน นปช. ถุยส์ จตุพร พรหมพันธุ์”
และในเวลาต่อมา ก็มีคนที่เป็นกลุ่มคนที่อ้างว่า ตนเองเป็นคนในซีกฝ่ายประชาธิปไตยได้เข้ามาเเสดงความเห็นว่า
“มันมีอุดมการณ์ตรงไหน มันไม่เคยมี มีแต่บัตรเติมเงิน..เลว”
https://www.facebook.com/red.truth.only/posts/3322804517780347?comment_id=3322892921104840
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เปิดเผยถึงภาพในโลกโซเชียลที่ได้พบปะกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จนถูกเชื่อมโยงเป็นประเด็นการเมือง ว่า
“ผมกับ นายจตุพร นายสุริยะใส และประธานญาติวีรชนพฤษภา 2535 พบปะกันในงานต่างๆ ในระยะหลังอยู่เสมอ ก่อนสมัยทักษิณ เราก็เคยร่วมกันต่อสู้เพื่อคนจนและความเป็นธรรม เมื่อมีกรณี ทักษิณ จุดยืนทางการต่อสู้ก็ตรงข้ามกัน สมัยต่อสู้ทางการเมือง เราไม่เคยพบกัน เมื่อวันเวลาผ่านไป ปัญหาทางการเมืองเปลี่ยนไป แต่จุดยืนของเราก็คงเดิม คือ ความเป็นธรรมกับประชาธิปไตย
“การสังสรรค์นั้น ไม่เคยแลกเปลี่ยนเรื่องการต่อสู้ทางการเมืองในอดีต ส่วนในอนาคตกับขบวนการคนรุ่นใหม่ ก็แลกเปลี่ยนข้อมูลกันบ้าง เมื่อเกิดขบวนการต่อสู้ใหม่ ของคนรุ่นใหม่ ของนักเรียน นักศึกษา จำต้องพิจารณาอนาคตของประเทศชาติกันใหม่หมด การต่อสู้ทางการเมืองเพื่อนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยและความเป็นธรรมยังอีกยาวไกลนัก ยากที่จะคาดเดาอนาคตได้
แต่ประเทศชาติต้องยังคงอยู่ ประชาชนต้องเป็นสุข ความเหลื่อมล้ำต้องลดน้อยลง การผูกขาดทางธุรกิจต้องหมดไป กระบวนการยุติธรรม ต้องยุติธรรมแบบเสมอภาค การศึกษาต้องดีขึ้น เหมาะกับธรรมชาติของเด็ก การกระจายอำนาจคือคำตอบและท้ายสุด การเมือง ต้องดีขึ้น นักต่อสู้และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องมีใจเป็นธรรม ต้องมีความเป็นมนุษย์ และมีมิตรภาพต่อกัน เมื่อสงครามยุติ”
แน่นอน, นี่คือ จุดอ่อนอย่างหนึ่งของขบวนการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการต่อสู้ในโลกโซเชียล ที่มักมีการล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นอยู่หลายต่อหลายครั้ง และอย่างไม่รับผิดชอบด้วย จนกลายมาเป็นความก้าวร้าวนอกโซเชียล อย่างที่เห็นกันในกาชุมนุมทางการเมือง
ที่เห็นได้ชัดอีกอย่างก็คือ พฤติกรรม “ล่าแม่มด” คนเห็นต่าง หรือ ผู้มีจุดยืนทางการเมืองเปลี่ยนไป ซึ่งถ้าไม่เป็นพวกตน ก็จะยัดเยียดความเป็น “สลิ่ม” ให้ อย่างกรณี จตุพร ก็เช่นกัน จนหลายคนมองว่า นี่คือ “เผด็จการทางความคิด” หรือ “เผด็จการพันธุ์ใหม่” ที่นับว่าน่ากลัวไม่น้อยไปกว่าเผด็จการพันธุ์เก่า หรือน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำ เพราะอาศัยร่างทรง “ประชาธิปไตย” แอบอ้างอย่างคับแคบ
เมื่อเป็นเช่นนี้ อยู่ที่สังคมไทย จะช่วยกันใช้วิจารณญาณอย่างไร เพื่อไม่ให้คนกลุ่มนี้ได้เข้ามามีอิทธิพลทางความคิดเหนือคนรุ่นใหม่ที่เป็นพลังบริสุทธิ์ จนตกเป็นเหยื่อ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นมีให้เห็นอยู่แล้ว