รับได้มั้ย? “ล้มเจ้า” ใน-นอก รับลูก “สาธารณรัฐ” โจ่งครึ่ม “อานนท์” ตื่นเต้น “โซเชียล” เริ่มปั่น “จรัล ดิษฐ์” เผยประชุมหนุนไทย “อดีตรองอธิการ มธ.” มั่นใจ “ลัทธิปลดแอก” มีจริง “หมอวรงค์” จวก “รุ้ง” สาดสี ถามนี่หรือ ผู้นำคนรุ่นใหม่
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (29 ก.ย. 63) หลัง นายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และแกนนำกลุ่มประชาชนปลดแอก โพสต์เฟซบุ๊กว่า “บนทวิตเตอร์เรียกร้อง “สาธารณรัฐ” แล้วครับ”
ล่าสุด มีความเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยกลุ่มคนไทยหนีคดี “ล้มเจ้า” นำโดย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประธานสมาคมนักประชาธิปไตยชาวไทยไร้พรมแดน ได้นัดหารือในประเด็น สาธารณรัฐ นี้เช่นกัน
ทั้งนี้ นายจรัล โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Jaran Ditapichai ว่า ประชุมสมาคมนักประชาธิปไตยชาวไทยไร้พรมแดน ในสถานการณ์สู้รบของเยาวชนนักเรียน นักศึกษา ประชาชนไทย ในวาระกำหนดนโยบาย สมาชิกอภิปรายข้อเสนอหลายประการ จบด้วยสมาชิกหลายคนจะตั้งสมาคมเพื่อสาธารณรัฐ ตาม #RepublicofThailand
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ของ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ช่วงนี้ต้องขอพักเรื่องราวเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญไว้ก่อน รอให้การเปลี่ยนแปลงของพรรคเพื่อไทยมีความแน่นอน ใกล้ๆ การชุมนุมวันที่ 14 ตุลา จึงค่อยมาวิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ กันอีกครั้ง
วันนี้ได้เห็นจดหมายเปิดผนึกของสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประณามผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา มีใจความว่า
การชุมนุมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องอำนาจอธิปไตย กลับคืนสู่มวลชนชาวไทยอย่างแท้จริง (ขณะนี้ ประกาศชัดเจนแล้วว่า ต้องการให้ประเทศไทยเป็น Republic หรือ สาธารณรัฐ) แต่มิได้รับความช่วยเหลือจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยเท่าที่ควร เห็นได้จากการปฏิเสธไม่ให้ใช้สถานที่ และยังอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคง เข้ามาเพ่นพ่านในรั้วมหาวิทยาลัย และกลับปิดประตูมหาวิทยาลัย ทำให้นักศึกษาและผู้ชุมนุมต้องกระเสือกกระสน เข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง
พฤติกรรมขัดขวางของผู้บริหารมหาวิทยาลัย ไม่เพียงเป็นการผลักไสไล่ส่งให้ผู้ชุมนุมไปเผชิญกับอันตรายเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดอุบัติเหตุอันน่าหดหู่ กับการ์ดของผู้ชุมนุมคนหนึ่งจนถึงขั้นอวัยวะขาดออกจากร่างกาย (ปลายนิ้วก้อย)
ข้อความตอนท้าย เป็นการประณามและเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความเสียใจ และรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
เห็นจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้แล้ว ไม่ต้องวิจารณ์อะไรมาก แต่อยากให้กลับไปดูโพสต์ ที่ผมเขียนไว้เกี่ยวกับลัทธิใหม่ที่เกิดขึ้น ว่ามีความเชื่อที่ฝังแน่น 17 ประการ กลับไปดูความเชื่อที่ 15 และ 16 ดังนี้
15. คนในลัทธิเดียวกัน ถือเป็นพวกเดียวกัน คนอื่นๆ หากเห็นไม่ตรงกับความเชื่อของลัทธิ ถือว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด ไม่เว้นแม่แต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้อง
16. พวกเดียวกันทำอะไร แม้เป็นสิ่งผิดตามมาตรฐานทั่วไป กลับมองว่า ไม่ได้ทำอะไรผิด ฝ่ายตรงข้ามแม้ทำถูกกลับมองว่าผิด
ไม่ว่าจะอธิบายว่า คนรุ่นใหม่ ย่อมมีความคิดและพฤติกรรมที่ต่างจากคนรุ่นเก่าเป็นธรรมดาอย่างไร ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และกำลังดำเนินต่อไป ตอกย้ำว่า
“ลัทธิปลดแอก” มีจริง.”
ไม่รู้ว่า สิ่งที่ รศ.หริรักษ์ แสดงความเห็นจะตรงกับ กรณีของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และลี้ภัย คดี ม.112 ที่ญี่ปุ่น
โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การใช้ภาษาที่หลายคนคิดว่า หยาบ อาทิ รุ้งใช้คำว่า “ค_ย” หรือ อานนท์ เขียนสเตตัสบ่อยๆ ที่มีคำที่หลายคนไม่พึงประสงค์ หรือแม้แต่ปากของดิชั้นเอง
คำเหล่านี้จริงๆ แล้วเป็นส่วนหนึ่งของภาษาการเมือง ที่ดิชั้นคิดว่า รากหญ้าหรือ organic ที่มันอยู่กับเรามาช้านาน ส่วนไอ้ภาษาสละสลวยที่ผู้ดีเอามาใช้ทางการเมือง มันเป็นแค่ความพยายามสร้างการเมืองแบบใหม่ของอีลีทไทย ที่เอาความมีอารยะมาปกปิดความฉ้อฉลทางการเมืองของตนเอง
พูดง่ายๆ ภาษาที่สละสลวยไม่ได้เปลี่ยนความสกปรกทางการเมืองให้เป็นเรื่องสะอาด ในทางตรงข้าม คำที่คนคิดว่าสกปรกกลับเป็นภาษาปกติของชาวบ้านอย่างอีเย็นที่ใช้กันทุกวัน และไม่ใช่เรื่องแปลก
ฝ่ายประชาธิปไตยที่ด่ารุ้งว่า หยาบ ว่าต่ำตม จนต้องใช้ความพยายามมหาศาลในการดึงขึ้นมาสู่ความมีอารยะ ที่แท้ อีพวกประชาธิปไตยเหล่านี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองแบบใหม่ที่สร้างโดยอีลีท กลวง โบ๋ เอาภาษาหยาบมาตัดสินการต่อสู้ทางการเมือง ตื้นเขินฉิบหาย สงสัยอีพวกนี้ไม่เคยไปแหล่งอโคจรที่ที่คนทั่วไปพูดคุยการเมืองไทยด้วยภาษาปกติ หยาบๆ แบบนี้แหละค่ะ อีดอก
นี่คือ ตัวอย่างหนึ่งใช่หรือไม่ ที่ “ปวิน” พยายามจะบอกว่า “รุ้ง” ไม่ได้หยาบ ด้วยเหตุผลสารพัดเสกสรร?
ด้านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์หัวข้อ
“#KingdomofThailand”
ตามภาพ ไมค์ รุ้ง (น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม) เอาไข่ไปปาและสีไปสาดกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ พร้อมละเลงป้าย
โดยระบุว่า “เห็นภาพแบบนี้แล้ว เกรงว่า น้องๆ จะเข้าใจ คำว่า สิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย การถูกคุกคาม แบบผิดๆ
นี่หรือ ผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงประเทศ ปฏิรูปสถาบันเบื้องสูง และเป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่..... บอกตรงๆ ว่า เป็นห่วงอนาคตของน้องๆ ครับ”
สำหรับ เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom เมื่อ 4 วัน ที่แล้ว เคยโพสต์หัวข้อ
“#ต่อต้านRepublicofThailand
#KingdomofThailand”
เนื้อหาระบุว่า หลังจากที่สภายังไม่ลงมติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ คนเหล่านี้ก็เปิดโพยเป้าหมายตามคาด นั่นคือ การปั่นกระแส #Republic of Thailand
จึงไม่แปลกที่กลุ่มไทยภักดี พยายามค้านหัวชนฝา เพราะมองเกมคนเหล่านี้ออก ตั้งแต่พยายามล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่มาอ้างเพื่อการปฏิรูป
หวังใช้ ส.ส.ร.เป็นเครื่องมือ ในการเดินเกมแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเดินไปสู่เป้าหมายสาธารณรัฐ และใฝ่ฝันอยากเป็นประธานาธิบดี แต่ก็ใจร้อนเองที่มาปั่นกระแส #Republic of Thailand เท่ากับว่า เปิดหน้ากากตนเอง ให้ประชาชนรับรู้
ผมคิดว่า คนพวกนี้กำลังสมคบกับต่างชาติ เพื่อครอบงำประเทศไทย ที่สำคัญคือ มีรายงานทางวิชาการยืนยันชัดเจนว่า การปั่นกระแส # มากกว่า 90% นั้น มาจากต่างประเทศ ซึ่งแสดงว่า นักการเมืองไทยบางกลุ่ม กำลังสมคบกับต่างชาติ ปั่นกระแส #Republic of Thailand เพื่อครอบงำประเทศไทย และเปลี่ยนให้เป็นสาธารณรัฐ
ขอให้พี่น้องคนไทยทุกท่าน เชื่อมั่นความเป็นราชอาณาจักรไทย ร่วมกันคัดค้านการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปเป็นสาธารณรัฐ เพื่อตามก้นตะวันตก และตอบสนองนักการเมืองบางคน สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ถึงที่สุด
#ต่อต้าน Republic of Thailand
#ราชอาณาจักรไทย
แน่นอน, นี่คือ วาระร้อน ที่เคลื่อนไหวกันอย่างครึกโครมแล้ว ทั้งในโลกโซเชียล และโลกแห่งความเป็นจริง ทำให้คนไทย “ตาสว่าง” ขึ้นมาจนได้ ว่า แท้จริงแล้ว ข้ออ้าง “ปฏิรูปสถาบันฯ” เพราะ “หวังดี” และอยากให้อยู่คู่ประเทศไทย และระบอบประชาธิปไตยไทยนั้น อาจไม่จริง?
เพราะแท้จริง แล้ว ต้องการ “ล้มเจ้า” และต่อสู้เพื่อระบอบ “สาธารณรัฐ” ใช่หรือไม่
ประเด็นก็คือ นับจากนี้ คนไทยจะได้เห็นการต่อสู้อย่างสำคัญ และด้วยหมากเกม กลยุทธ์ที่เหลือร้าย อย่างแน่นอน ระหว่าง การปกป้อง “ราชอาณาจักรไทย” กับการต่อต้านและต่อสู้ระบอบ “สาธารณรัฐไทย” และเป้าหมายดูเหมือน เลย “ปฏิรูปสถาบันฯ” ไปแล้ว
จึงนับว่า น่าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง นั่นคือ การต่อสู้ มิใช่เพียงการเรียกร้อง แม้ว่า จะอ้างเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้อง ก็ตาม
เหนืออื่นใด หากเชื่อมโยงกับ กระแสการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทย ที่คุณหญิงอ้อ “พจมาน ดามาพงศ์” จะเข้าไปจัดการทิศทางของพรรค และมีภาพลักษณ์ของความ “จงรักภักดี” นั้น อาจทำให้เห็นชัดขึ้นว่า เพื่อไทย จะไม่แตะต้อง “สถาบัน” และนั่นย่อมหมายถึง “โดดเดี่ยว” พรรคก้าวไกล ให้อยู่ภายใต้กลุ่มการเมืองนอกสภา ซึ่งมีอุดมการณ์เดียวกับม็อบปฏิรูปสถาบันฯ อย่างชัดแจ้ง อีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ม็อบจะชัดเจนขึ้น การเมืองในรัฐสภา ก็จะชัดเจนขึ้น คนไทยก็จะไม่ต้องสับสนอลเวงอยู่กับ “วาทกรรม” ทางการเมือง คำบิดเบือนทางการเมือง อย่างนี้ต้องบอกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ที่ง้างปากคนที่ไม่จริงใจ ให้เผยธาตุแท้ออกมาได้ คราวนี้แหละ “ไผเป็นไผ” ก็จะได้รู้กันเสียที หรือไม่จริง!?