เมืองไทย 360 องศา
สำหรับคอการเมืองในวงการเดียวกัน หรือใครที่มองความเคลื่อนไหวในเชิงลึก ก็คงมองออกได้ตรงกันว่า การชุมนุมเคลื่อนไหวที่กำลัง “สร้างกระแส” กันอยู่ในเวลานี้ มี “กลุ่มไหน” และ “พรรคไหน” บ้างที่มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงมองออกได้ไม่ยาก ว่า คนพวกนี้กำลังใช้ม็อบของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ปลดแอก” เป็นเครื่องมือสร้างประโยชน์ทางการเมืองในอนาคตอย่างไรบ้าง
แม้ว่าจะยังไม่กล้าประกาศตัวในแบบที่ออกมาเป็น “แกนนำ” แต่เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวเท่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ มันก็พอเห็นภาพชัด ถึงไม่ประกาศมันก็เหมือนประกาศนั่นแหละ เพียงแต่ว่าการไม่ประกาศตัวออกนำหน้า มันก็คือ “การเลี่ยงกฎหมาย”ไม่ให้ถูกดำเนินคดี หรือหากพูดกันแบบตรงไปตรงมากับการที่คอย “แอบอยู่ข้างหลังเด็กๆ” ในเวลานี้ว่าเป็น “พวกขี้ขลาด” ก็อาจจะกล่าวแรงไป เอาเป็นเรียกว่า เป็น “กลยุทธ์เอาตัวรอด” ก็แล้วกัน
ถามว่ามีใครสักกี่คนที่เชื่อว่า การเคลื่อนไหวของบรรดาเด็กๆ เยาวชนในนาม “ปลดแอก” ที่บอกว่า “ให้จบที่รุ่นเรา” นั้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล สองแกนนำกลุ่มก้าวหน้าจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะเดียวกัน ก็รับรู้กันไปแล้วว่า “สมศักดิ์เจียม” นายสมศักดิ์ เจียมธีระสกุล และ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ สองผู้ต้องหาอาญา มาตรา 112 ที่หลบหนีคดีในต่างประเทศ กำลัง “ปลุกระดม” กันอย่างเต็มที่ แม้ว่าทั้งสองกลุ่มดังกล่าวจะมีรายละเอียดการเคลื่อนไหวแตกต่างกัน รวมไปถึงขั้นตอนและวิธีการในการเคลื่อนไหวที่ต่างกันก็ตาม
สิ่งที่มองเห็นถึงความแตกต่าง และได้เห็นถึงความขัดแย้งในแนวทางเคลื่อนไหวกันอย่างชัดเจน ก็คือ การที่ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ ออกมาตำหนิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อย่างรุนแรงที่ไม่ยอมออกมา “นำหน้า” กลุ่ม “ปลดแอก” ไม่ยอมออกมาเปิดหน้าเสียที ทั้งที่สังคมก็มองออก และยังได้เห็นถึงความเคลื่อนไหวในหลากหลายรูปแบบในเวลานี้ ทั้งในการโพสต์ “ปลุกเร้า” ในโลกโซเชียลฯ และการทำกิจกรรมในเชิง “สัญลักษณ์” ตามสถานที่ต่างๆ ที่สอดรับกับกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ตลอดเวลา แต่ที่น่าจับตาก็คือ ในการชุมนุมวันที่ 19 กันยายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ทั้งสองคนจะ “เปิดตัวนำม็อบ” ด้วยตัวเองหรือไม่ หรือเพียงแค่ไปปรากฏตัว “สร้างกระแส” อยู่หลังเวทีเท่านั้น
แน่นอนว่า หากพิจารณาถึงข้อเรียกร้องของการเคลื่อนไหวชุมนุมในเวลานี้ เป้าหมายสำคัญที่มองเห็นตรงกันทั่วไป ก็คือ การกดดันให้มีการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ที่ทั้งในและนอกสภา “ตกผลึก” กันแล้วว่า ต้องร่วมมือกันแก้ไข มาตรา 256 ก่อน เพื่อเปิดประตูไปสู่การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีความเห็นร่วมกันว่า จะไม่แตะต้องในหมวดที่ 1 และ 2 ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ แม้ว่าการแก้ไขในครั้งนี้จะต้องใช้เสียงโหวตจาก ส.ว.ไม่น้อยกว่า 84 เสียง แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทีและบรรยากาศเท่าที่เห็นแล้วยังเชื่อว่า กลุ่ม ส.ว.จะ “ยอมถอย” เพื่อเปิดทางให้ เพื่อลดเงื่อนไขสร้างความวุ่นวาย
แต่ที่น่าสนใจก็คือ การโพสต์ล่าสุดของ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ระบุในทำนองว่า เวลานี้ “มีบางพรรคและบางกลุ่มการเมืองไม่ได้มีเจตนาที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอยู่ ทำให้เหมือนกับว่ามีเจตนาสร้างความวุ่นวาย”
อย่างไรก็ดี หากย้อนไปพิจารณาถึงความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มีการยื่นญัตติด่วนต่อสภาผู้แทนราษฎรให้มีการแก้ไข มาตรา 256 ดังกล่าวไปแล้ว เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยครั้งนั้นไม่ปรากฏว่า มี ส.ส.จากพรรคก้าวไกล ที่อยู่ในเครือข่ายของ นายธนาธร และนายปิยบุตร ร่วมลงชื่อด้วย โดยสองคนหลังต้องการให้มีการแก้ไขในหมวดที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย รวมไปถึงการประกาศ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” จนเกิดวิวาทะกันมาแล้ว และมีการกล่าวจากพรรคเพื่อไทย ว่า พรรคก้าวไกลไม่มีเจตนาที่จะแก้ไขให้เกิดผลสำเร็จ เหมือนกับมีเจตนาให้เกิดความปั่นป่วนและตัวเอง “ดูหล่อ” อยู่คนเดียว เหมือนกับว่า “เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น” อะไรประมาณนั้น
นอกเหนือจากนี้ นายวัฒนา เมืองสุข ยังโพสต์กล่าวหาไปถึงบางกลุ่มการเมือง “ที่ออกจากพรรคเพื่อไทย” ไปแล้ว ที่ไม่ต้องการให้แก้ไขสำเร็จ เพราะหากสำเร็จก็ต้องซมซานกลับพรรค และมา “ต่อแถว” ใหม่ ขณะที่ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญปัจจุบันที่เอื้อประโยชน์จนมี “บางพรรค” ได้ ส.ส.จำนวนมาก ซึ่งแม้ไม่เอ่ยชื่อก็น่าจะเข้าใจว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ ที่กลายมาเป็นพรรคก้าวไกลในเวลานี้ รวมไปถึง “กลุ่มแคร์” ที่แยกตัวออกไปจากพรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้
ดังนั้น หากพิจารณาจากภาพรวมๆ ทั้งหมดแล้วมันก็อาจเห็นจริงเหมือนกันว่า “กลุ่มก้าวหน้า” ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล รวมถึงพรรคก้าวไกลในเครือข่ายของพวกเขา ไม่ได้มีเจตนาให้แก้ไขรัฐธรรมนูญไปเป็นผลสำเร็จเหมือนกับที่หลายพรรคการเมืองกำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้ เพราะพวกเขาได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เพียงแต่ “ตีกิน” เพื่อหวังป่วน และมีเป้าหมายสูงสุดเหมือนกับว่า “หวังฟลุ๊ค” เมื่อเหตุการณ์บานปลายจนเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ โดยแอบอยู่หลังเวที อย่างที่หลายคนเข้าใจนั่นแหละ
แต่ภาพที่เห็นต่อไปนี้ ทั้งสองคนก็จะเหมือนกับการ “ขี่หลังเสือ” ที่ต้องเปลือยตัวตนออกมาให้เห็นจนได้ เพราะในสถานการณ์ถัดไป เชื่อว่าเลี่ยงไม่พ้น !!