ตกผลึก ส.ส.ร.ร่าง รธน.หยุดขบวนการล้มเจ้า !?

เมืองไทย 360 องศา
ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะพฤติกรรมพวกประชาธิปไตย “ล่าแม่มด” ที่ไล่ล่า คุกคามคนเห็นต่างสร้างกระแสทางโซเชียล แบบ “ทัวร์ลง” ไปทุกวงการ ซึ่งในตอนแรกๆ ดูแล้วเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าตื่นตระหนกและได้อกได้ใจ โดยบอกว่านี่เป็นพฤติกรรมและความเคลื่อนไหวกดดันทางสังคมของ “คนรุ่นใหม่” แต่ปรากฏว่า เมื่อเวลาผ่านไปสักพักกลับได้เห็น “ปรากฏการณ์สะท้อนกลับ” ที่กลายเป็นว่าสังคมส่วนใหญ่เริ่มรับไม่ได้กับพฤติกรรมข่มขู่ คุกคาม ที่สวนทางกับคำอ้างที่ว่าเป็น “นักประชาธิปไตย” เพราะเพียงแค่ความเห็นต่างในแบบเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ยังทนไม่ได้ แล้วเรื่องใหญ่กว่านี้จะทนทานได้อย่างไร
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ ความเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวมาส่วนใหญ่ล้วนมาจากแรงกดดันจากกลุ่มที่เรียกว่า เป็น “คนรุ่นใหม่” และหากลงลึกลงไปอีก ก็มักเป็นพวกที่เป็นผู้สนับสนุน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และกลุ่มที่ชื่นชมยกย่องนักวิชาการ และผู้ต้องหาในคดี มาตรา 112 ที่หลบหนีไปต่างประเทศ อย่าง นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
แม้ว่าในความเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้น ยังมีความเห็นที่แยกย่อยที่กลายมาเป็นความเห็นต่างที่คุกคามซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะในกลุ่มที่อ้างว่า “พวกนักประชาธิปไตย” เมื่อได้เห็นการตอบโต้จาก นายวัฒนา เมืองสุข จากพรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่แสดงความเห็นแย้งกับท่าทีของพรรคก้าวไกล ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคเพื่อไทย ยื่นญัตติแก้ไข มาตรา 256 เพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และไม่แตะ หมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ขณะที่พรรคก้าวไกล ไม่ร่วมลงชื่อเสนอญัตติ และมีท่าทีเคลื่อนไหวให้แก้ไขรายมาตรา โดยเฉพาะการ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” และเป้าหมายสำคัญก็คือ การอภิปรายและแก้ไขในทุกหมวดมาตราในรัฐธรรมนูญ ไม่เว้นในหมวดที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์
ความเห็นขัดแย้งที่ว่านี้ ทำให้ทั้ง นายวัฒนา เมืองสุข รวมไปถึงแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน ได้ออกมาตอบโต้พรรคก้าวไกลอย่างรุนแรง ในลักษณะที่มองในแบบ “เหลืออด” มีการระบุทำนองว่า “ทำตัวหล่อ” หรือเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น พร้อมทั้งระบุในเชิงสงสัยว่า พรรคก้าวไกล มีเจตนาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ เพราะการไปแตะในเรื่องแบบนั้น จะทำให้ “เสียการใหญ่” หรือแก้ไขไม่สำเร็จตั้งแต่ต้น ขณะที่พรรคก้าวไกล โดย นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เวลานี้เป็นแกนนำกลุ่มก้าวหน้า ระบุว่า จะใช้มวลชนจากภายนอก กดดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะใช้วิธีการรวบรวมรายชื่อประชาชนเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ที่น่าจับตาก็คือ ภายในกลุ่มของพวก “นักประชาธิปไตย” พวกนี้ ก็ยังมีความขัดแย้งแยกย่อยออกไปอีก เมื่อกลุ่มของ “ปวิน-สมศักดิ์” เข้าไปด่า “ธนาธร-ปิยบุตร” ในเรื่องที่ไม่ยอมเป็นผู้นำมวลชนลงถนนออกมานำม็อบเยาวชนอย่างเปิดเผย จนเกิดการวิวาทะผ่านโซเชียล ขณะที่บรรดาสาวกทั้งหลายก็ “ทัวร์ลง” ไปด่าพรรคเพื่อไทย ในเรื่องแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นอกเหนือจากนี้ การเคลื่อนไหวของพวกแกนนำม็อบบางคน ที่สังคมมองว่ามีพฤติกรรม “ก้าวร้าว หยาบคาย” และในบรรยากาศการชุมนุมที่นับวันไร้ระเบียบ มีความสุดโต่ง “จาบจ้วง” สถาบันฯ แม้ว่าในระยะหลังจะถูกลดบทบาทลง เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” หรืออีกบางคนที่ใช้คำพูดและข้อความหมิ่นเหม่จาบจ้างสถาบันฯ ก็ไม่ค่อยได้ขึ้นเวทีปราศรัย ทำให้การชุมนุมกลับมาเน้นที่ 3 ข้อเรียกร้องหลัก คือ แก้รัฐธรรมนูญ หยุดคุกคาม และรัฐบาลลาออก แม้จะยังไม่ชัดว่า จะเรียงลำดับแบบไหน แต่ก็ถือว่าได้แนวร่วมมากพอสมควร
แต่ถึงอย่างไรก็ดี ก็ยังมีให้เห็นพฤติกรรมก้าวร้าว คุกคามของแกนนำบางคน จากกรณีที่มีการสาดสีใส่ตำรวจ ที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาพลบลงไปอีก
เมื่อพิจารณาจากภาพรวมดังกล่าวมาจนถึงนาทีนี้ เริ่มมีการ “ตกผลึก” ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นคือ มีความเห็นทุกฝ่ายตรงกัน ก็คือ ให้มี ส.ส.ร. ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยไม่แตะ หมวด1-2 ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ โดยฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว. ยอมถอยโหวตให้แก้ไข มาตรา 256 เพื่อเปิดทางดังกล่าว ซึ่งจะว่าไปแล้ว ส.ว.ชุดปัจจุบัน ก็ยังเหลือวาระตามบทเฉพาะกาล เพียงประมาณสองปีเท่านั้น แต่กระบวนการร่างใหม่ต้องใช้เวลาเกือบสองปี หรืออย่างน้อย 2 ปี
เมื่อภาพเป็นแบบนี้ มันก็เหมือนกับบีบให้กลุ่มที่ “ชักใย” ให้เกิดม็อบเยาวชนปลดแอก ต้อง “หยุดอยู่กับที่” เพราะถือว่า “ไปไกลกว่าความเป็นจริง” และเมื่อพิจารณาจากอารมณ์ของสังคมส่วนใหญ่แล้ว ยังไม่เอาด้วย และที่สำคัญสังคมในยุคปัจจุบัน “ผู้ใหญ่” หรือที่ “สูงวัยกว่า” ล้วนมีความรู้ มีประสบการณ์มากกว่า เด็กๆ เยาวชน และรู้ทันว่าใคร กลุ่มไหนที่ชักใยโดยเจตนาให้เกิดความปั่นป่วน !!