อดีต ส.ว.กทม.ยกย่องรุ่นน้องวารสารฯ มธ. เป็นสื่อที่มีอุดมคติ รอยัลตี้สูง ชมเป็นส่วนหนึ่งขับเคลื่อนพลังงานภาค ปชช. เชื่อเจ้าของสถานีให้อิสระเจ้าตัวรายงานข่าวเต็มที่ ลั่นไม่ได้จากไปไหนอยู่ในใจเพื่อนมิตรที่ปรารถนาให้บ้านเมืองดีขึ้น
วันนี้ (6 ก.ย.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการเสียชีวิตของนายเติมศักดิ์ จารุปราณ ผู้ดำเนินรายการของ “ช่องนิวส์วัน” โดยระบุว่า “เติมศักดิ์นักสื่อสารเพื่อประชาชน เติมศักดิ์ จารุปราณ นับเป็นรุ่นน้องคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้เราไม่เคยพบกันในช่วงเรียน เพราะจบห่างกัน 10 กว่าปี แต่ชีวิตโคจรมาพบกันในงานต่อสู้ทางสังคม เติมศักดิ์ได้ทำงานในฐานะสื่อมวลชนตั้งแต่เรียนจบ ส่วนดิฉันแม้จบคณะวารสารศาสตร์ฯ สาขาหนังสือพิมพ์ แต่ไม่เคยประกอบอาชีพสื่ออย่างเติมศักดิ์
ความทรงจำแรกเกี่ยวกับเติมศักดิ์ คือ ได้ฟังเติมศักดิ์อ่านข่าวสมัยที่เขาทำงานที่ไอทีวี และเห็นว่าเติมศักดิ์เป็นผู้อ่านข่าวที่มีเสียงน่าฟังมาก หลังเกิดวิกฤตในไอทีวีจนไอทีวีหายไปจากวงการสื่อ ก็ได้มาตามงานของเติมศักดิ์ที่ทีวีผู้จัดการ
ดิฉันเคยคิดเสมอว่าเติมศักดิ์เป็นนักอ่านข่าว นักวิเคราะห์ข่าวที่มีความสามารถ เป็นนักสื่อสารที่จับประเด็นได้คมชัด บุคลิกสุภาพ มีเสียงที่ทุ้มนุ่มน่าฟัง เขาสามารถไปเป็นนักอ่านข่าวช่องทีวีไหนก็ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ทีวีผู้จัดการถูกปิดหลังรัฐประหาร 2557 แต่ปรากฏว่าเติมศักดิ์ยินดีอยู่กัดก้อนเกลือกินกับสำนักข่าว ASTV ยอมมาขายสินค้าอย่างน้ำมันมะพร้าวเพื่อประคับประคองกิจการให้ช่องทีวีนี้ให้อยู่รอดในยามวิกฤต ดิฉันรู้สึกได้ว่าเติมศักดิ์เป็นสื่อมวลชนที่มีอุดมคติ และมีรอยัลตี้สูง
รายการคนเคาะข่าวที่เติมศักดิ์เป็นพิธีกร ได้หยิบยกประเด็นต่างๆ ที่กระทบผลประโยชน์ของประชาชนมาพูดในรายการเสมอ เป็นการเปิดพื้นที่ให้เรื่องราวสำคัญของประชาชนที่ไม่เป็นข่าวในสื่อกระแสหลัก ได้มีโอกาสมาออกรายการเพื่อให้ประชาชนที่เป็นผู้ชมได้รับรู้เรื่องเหล่านี้
ยกตัวอย่าง เรื่องพลังงานซึ่งเป็นประเด็นซับซ้อน และไม่มีโอกาสได้เป็นข่าวในช่องทีวีกระแสหลักอื่นๆ มีโอกาส มีพื้นที่ในรายการคนเคาะข่าวของเติมศักดิ์เสมอ และต้องถือเป็นคุณูปการของเติมศักดิ์ที่มีส่วนทำให้การขับเคลื่อนเรื่องพลังงานของภาคประชาชนมาได้ไกลขนาดนี้
ดิฉันเชื่อมั่นว่าการที่เติมศักดิ์ปักหลักอยู่กับ ASTV หรือช่อง News1 มายาวนานแม้ประสบวิกฤตในบางช่วงเวลา ก็เพราะเจ้าของสถานีได้ให้อิสระเติมศักดิ์ได้ทำหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชนในการรายงานปัญหา เปิดพื้นที่ข่าวที่ไม่มีโอกาสเป็นข่าวของประชาชนได้อย่างเสรี
ดิฉันมีโอกาสไปเยี่ยมเติมศักดิ์กับพี่พิภพ ธงไชย ที่ รพ.ศิริราช เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา วันนั้นหน้าตาของเติมศักดิ์ดูสดใส จนดิฉันรู้สึกดีใจว่าเขาจะหายในไม่ช้า หน้าตาของเติมศักดิ์เมื่อเห็นเราทั้งสองไปเยี่ยมดูแปลกใจระคนดีใจ ปากขยับทำท่าจะพูดอะไรด้วย แต่ไม่มีเสียงเพราะยังเจาะคออยู่ เนื่องจากเราไปเยี่ยมนอกเวลา ทำให้อยู่นานไม่ได้ พยาบาลยังเข้มงวดเพราะกลัวเติมศักดิ์จะติดเชื้อ เราบอกเติมว่าจะมาเยี่ยมใหม่นะ เขายิ้มให้เมื่อเราโบกมือลา
ไม่คิดว่านั่นคือการพบกันครั้งสุดท้ายในยามที่มีชีวิตอยู่ และวันนี้ดิฉันก็ตั้งใจจะไปพบเติมศักดิ์อีกครั้ง เพื่อบอกว่าเขายังไม่ได้จากไปไหนแต่จะอยู่ในใจของดิฉัน และเพื่อนมิตรที่ปรารถนาการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตลอดไป”