xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปัตย์ดิ้นพล่าน โดนสารพิษย้อนกลับเต็มๆ !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล- เฉลิมชัย ศรีอ่อน
เมืองไทย 360 องศา


  ได้เห็นอาการล่าสุดของพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาแถลงชี้แจงเป็นพัลวัน กรณีถูกระบุว่ากำลังมีการผลักดันให้กลับมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่เคยแบนสารเคมีทางการเกษตร ที่เคยถูกคณะกรรมการดังกล่าวสั่งแบนให้กลับมาใช้ได้อีกครั้ง โดยคำแถลงของพรรคประชาธิปัตย์ถึงกับระบุว่า เป็นแผน “การเมืองสกปรก” เพื่อทำลายพรรค ว่าเข้าไปนั่นเลยทีเดียว


สำหรับเรื่องราวที่เป็นข่าวคราวตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ก็คือ มีรายงานแบบเป็นเรื่องเป็นราว และมีตัวตนของฝ่ายที่มีการเคลื่อนไหวคัดค้านแบบที่มีตัวตนน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะท่าทีที่ชัดเจนจากพรรคภูมิใจไทย ที่ยกกันมายกพรรค พร้อมกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนที่ต้องการให้ยกเลิกการใช้ และเลิกการนำเข้าสารเคมีเหล่านี้ เนื่องจากเห็นว่าได้ไม่คุ้มเสีย โดยเฉพาะเป็นผลเสียกับสุขภาพ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมามากมายสำหรับเกษตรกรที่ใช้และสัมผัสกับวัตถุที่ระบุว่า เป็นสารอันตรายมีผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง

สำหรับสารเคมีทางการเกษตรที่ถูกระบุว่าเป็นวัตถุอันตรายดังกล่าว ที่เคยถูกคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติสั่งแบน หรือห้ามใช้ไปแล้ว ก็คือ สาร “พาราควอต และ คลอร์ไพริฟอส” แม้ว่าในคำสั่งแบนดังกล่าวจะมีกำหนดระยะเวลาเพื่อให้มีการปรับตัวก็ตาม และที่ผ่านมาถือว่ากว่าจะมีมติดังกล่าวออกมาได้ ก็ต้องลุ้นกันแบบ “หืดขึ้นคอ”

สาเหตุก็ไม่มีอะไรซับซ้อนนัก คือ มาจาก “ผลประโยชน์อันมหาศาล” จากบริษัทข้ามชาติที่ผลิตและนำเข้าสารเคมีอันตรายเหล่านี้

ที่ผ่านมา หากจะว่าไปแล้วยังไม่เคยมีท่าทีชัดเจนออกมาจากปากของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อย่างมากก็ให้ความเห็นในแบบออก “กั๊กๆ” ในแบบว่า หากให้เกษตรกรเลิกใช้ในทันทีก็จะเกิดผลเสียในด้านที่ว่ายังไม่มีมาตรการรองรับที่ดีพอ รวมไปถึงเรื่องการรณรงค์ในการใช้สารปลอดภัย ยังทำได้ไม่ครอบคลุมอะไรประมาณนั้น จนทำให้ก่อนหน้านั้นหากจำกันได้ว่าแทบจะกลายเป็นความขัดแย้งบานปลายระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน

นั่นคือ กับพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะภายในกระทรวงเดียวกับรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ คือ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ ที่ออกมาดับเครื่องชนเต็มตัว พร้อมกันทั้งพรรคภูมิใจไทย ที่นำโดย “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่เมื่อสองสามวันก่อนได้ยกขบวนออกมาแถลงต้านกันยกพรรค รวมไปถึง “คุณหมอ”ทั้งกระทรวง เรียกว่างานนี้ ท่าที “ชัดเจน” และที่สำคัญในทางการเมืองถือว่า “ได้ใจ” ชาวบ้านไปเต็มๆ

ขณะเดียวกัน สอดรับกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังมวลชนที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด อย่างเช่น มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ที่มีนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิฯ ที่ออกมาตำหนิและแสดงความผิดหวังกับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน และพรรคประชาธิปัตย์ ถึงขั้นกล่าวหาว่า “เลือกข้างบริษัทสารเคมีข้ามชาติ” หรือ “กลุ่มทุนข้ามชาติ” เหล่านี้

อีกทั้งยังมีการรณรงค์กันต่อไปอีกว่า หากยังไม่เปลี่ยนท่าที ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องเลือกพรรคประชาธิปัตย์กันอีกแล้ว จะด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ส่อเค้าจะได้รับผลกระทบแบบนี้หรือเปล่า ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาแถลงชี้แจงว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องและยืนยันว่านายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้มีอำนาจในคณะกรรมการวัตถุอันตรายดังกล่าว เพราะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมด้วย

ความหมายก็คือ คณะกรรมการชุดนี้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน และมีคณะกรรมการประกอบด้วยปลัดกระทรวง ที่เกี่ยวข้องหลายกระทรวง รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคน

หากย้อนกลับไปพิจารณาในเนื้อหาสาระการแถลงของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ย้ำว่า นายเฉลิมชัย ไม่ได้มีอำนาจชี้ขาดในคณะกรรมการวัตถุอันตราย ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุม โดยอ้างว่าสาเหตุที่มีการส่งหนังสือให้ “ทบทวนมติ” แบนสารพิษที่ว่านี้ เป็นเพราะ“ได้รับหนังสือร้องเรียน”จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย จึงได้ส่งต่อไปยังคณะกรรมการวัตถุอันตรายเท่านั้น ความหมายก็คือนายเฉลิมชัย เป็นเพียงแค่ “บุรุษไปรษณีย์” เท่านั้น

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากคำแถลงของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ ฟังเผินๆ แล้วก็ถือว่า ดูดี และ “ดูหล่อ” ที่ว่าประชาธิปัตย์ ย้ำถึงเรื่องสุขภาพและต้องพิจารณากันทุกมุม แต่งานนี้สิ่งที่สังคมต้องการ คือ “ความชัดเจน” เหมือนกับที่พรรคภูมิใจไทยกำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้ และที่ผ่านมา นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ยังไม่เคยแสดงให้เห็น มีแต่แสดงท่าทีออกมาในทางตรงกันข้าม

แน่นอนว่า งานนี้สำหรับพรรคภูมิใจไทย กรณี “แบนสารพิษ” ถือว่าได้ใจ แม้ว่าเป็นการช่วงชิงแต้มต่อทางการเมือง แต่ในเมื่อชัดเจนในเรื่องที่ชาวบ้านได้ประโยชน์ เป็นบวกมากกว่าลบก็ถือว่าโอเค ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องชัดเจนว่าจะหนุนให้แบน หรือไม่แบนเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นเพราะถือว่าผ่านขั้นตอนการถกเถียงเรื่องดังกล่าวกันแล้ว และสิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ “ผลประโยชน์จากทุนข้ามชาติ” กำลังจะเข้ากระเป๋าใครหรือไม่ต่างหาก !!


กำลังโหลดความคิดเห็น