ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เบื้องหลังเลือกข้างทุนข้ามชาติ “เฉลิมชัย” กระเหี้ยนกระหือรือ ปลุกผีสารพิษ หรือว่าประชาธิปัตย์ คิดถอนทุน??!!
เป็นเรื่องขึ้นมาจนสร้างความคลางแคลงสงสัยของหลายฝ่ายว่า “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จะเอาสารพิษกลับมาอีกทำไม? เมื่อสั่งการให้ปลัดกระทรวง นำส่งข้อมูลไปยังคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อทบทวนมติการยกเลิก “พาราควอต และ คลอร์ไพริฟอส” สองในสามสารเคมีอันตรายที่ถูกแบน
คำสั่งของ “รมว.เฉลิมชัย” มีขึ้นหลังจากรับเรื่องจากกลุ่มสนับสนุนให้ใช้สารเคมีโดยอ้างว่า ผลการตรวจสอบไม่พบสารเคมีดังกล่าวตกค้างในสินค้าภายในประเทศ และเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยต่อการยกเลิก
ว่ากันว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติให้การสนับสนุนเต็มที่ เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลที่จะเสียไปหลังการแบนสารพิษครั้งนี้ เมื่อ “เฉลิมชัย” รับลูก จึงถูกตั้งคำถามทันที ไม่เฉพาะแต่ “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” รมช.กระทรวงเกษตรฯ ที่ออกมาดับเครื่องชน ประกาศกร้าวจะค้านกับ “เฉลิมชัย” เต็มที่ คนที่คว่ำหวอดต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้บริโภคมายาวนานอย่าง “สารี อ๋องสมหวัง” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ถึงกับใช้คำว่า “รู้สึกสะท้อนใจ” ที่ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจเลือกข้างบริษัทสารเคมี และจะเดินหน้าทบทวนการยกเลิก “พาราควอต” ของคณะกรรมการการวัตถุอันตราย
ขณะที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้นำผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ของกระทรวง แสดงจุดยืนในเรื่องนี้ว่า “ไม่เห็นด้วยที่จะให้นำสารพิษกลับมาใช้” เพราะมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า สารเคมีที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้แบนไปแล้วนั้น ล้วนมีอันตรายต่อสุขภาพ ขอให้หน่วยงานไหนก็ตามที่ต้องการนำสารเหล่านี้กลับมาใช้ ให้คำนึงถึงสุขภาพประชาชน และให้ยึดจุดยืนของรัฐบาลในเรื่อง “สุขภาพคนไทยต้องมาก่อน”
ต้องไม่ลืมว่า เรื่องนี้อยู่ในความสนใจของประชาชนมานาน และเสียงส่วนใหญ่ของคนไทย ก็เห็นด้วยกับการแบนสารพิษ เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหน สุขภาพที่ดีของประชาชนย่อมดีกว่าการใช้สารพิษ และไม่ว่ามองมุมไหนก็ไม่มีเหตุผลที่ รมว.เกษตรฯโดย “เฉลิมชัย” จะผลักดันให้ยกเลิกการแบน
การที่ "เฉลิมชัย” แบไต๋ออกโรงมาครั้งนี้ย่อมมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ทำไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ให้กับทุนข้ามชาติ หรือไม่ ? และคิดต่อกันไปได้อีกว่า เพียงเพราะผลประโยชน์บริษัทเคมีแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะกลืนน้ำลายตัวเอง หาเสียงไว้อย่าง ว่าจะสนุนเกษตรอินทรีย์ แต่เอาเข้าจริงกลับเห็นดีเห็นงามกับการใช้สารเคมี
เรียกว่า งานนี้สังคมเข้าใจไม่ได้จริงๆ ว่า “เฉลิมชัย” คิดอะไรอยู่ จะเอาสารพิษกลับมาทำไม ? นอกเสียจากว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังคิดจะถอนทุน คิดจะตุนเสบียง ระดมทุนจากบริษัทค้าสารเคมีข้ามชาติเอาไว้ใช้ทำการเมืองต่อเผื่อวันหน้า สถานภาพความมั่นคงในรัฐบาลง่อนแง่นไม่รู้จะถูกเฉดออกจากพรรคร่วมเมื่อไหร่ ไม่รู้ เพราะ ประเมินผลงานที่ผ่านมาไม่น่าประทับใจ มีประชาธิปัตย์หรือไม่มี ก็ไม่ได้ส่งผลบวกต่อ “รัฐบาลประยุทธ์” ซึ่งก็สอดรับกับข่าววงในที่ว่ากันว่า พรรคพลังประชารัฐ แกนนำรัฐบาล และ “ผู้ใหญ่” ที่อยู่เหนือพรรค แอบต่อสายทำดีลลับกับ “เพื่อไทย” หวังจะดึงเข้าร่วมรัฐบาลเสียบแทนประชาธิปัตย์
นี่ยิ่งทำให้น้ำหนักการเคลื่อนไหวของ “เฉลิมชัย” ที่ดูเร่งรีบ เร่งร้อน รับเรื่องจากกลุ่มสนับสนุนสารเคมี ดูกระเหี้ยนกระหือรือเป็นพิเศษนั้น เป็นไปในทางที่สังคมสงสัยกันอย่างบังเอิญ ?
งานนี้วาน “เฉลิมชัย” ช่วยตอบข้อสงสัยสังคมที ประชาชนมาก่อน หรือบริษัทค้าสารเคมีมาก่อน ?!!
** “วิชา” ปิดจ๊อบ สรุปผลสอบ “คดีบอส” ชี้เป้าแบบไม่มีกั๊ก ...จากนี้ก็เหลือแต่ “ลุงตู่” จะเปิดหมด หรือไม่หมด หากมีกั๊กหรือลูบหน้าปะจมูก ก็คงต้องรับเละ !!
ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีสั่งไม่ฟ้อง “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ชุดที่มี “วิชา มหาคุณ” เป็นประธาน ก็ได้ส่งถึงมือ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียบร้อยแล้ว รอให้ “ลุงตู่” แถลงเองหลังการประชุม ครม. วันนี้ (1 ก.ย.) ซึ่ง “อาจารย์วิชา” แย้มว่าพบพิรุธมีตัวละครเกี่ยวเนื่อง ระดับ “มหากาพย์” แต่คณะทำงานก็ได้สรุปรายละเอียดไว้ชัดเจน ว่าบกพร่องที่ใคร หน่วยงานไหน มีชื่อ มีตำแหน่งระบุชัด ...ชี้เป้าให้แบบไม่มีกั๊ก !!
ว่ากันว่า ผลสอบชุดนี้สรุปออกมาเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้เข้าใจง่าย ...ที่ชัดเจนคือ กระบวนการสอบสวนคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ควรให้มีการรื้อคดีสอบสวนใหม่ทั้งหมด ... เพราะทำสำนวนให้ดาบตำรวจที่ถูกชนเสียชีวิตกลายเป็นผู้ต้องหา มีการการสร้างพยานหลักฐานเท็จ โดยเฉพาะเรื่องความเร็วของรถเฟอร์รารี ขณะชนดาบตำรวจ
ดังนั้น ผู้ที่น่าจะอยู่ในข่ายต้องมีส่วนรับผิดชอบ นอกจากพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนคดีแล้ว ...ยังมีเรื่องความเร็วรถ ที่เปลี่ยนไปจาก 177 กม./ชม. เหลือไม่ถึง 80 กม./ชม. ซึ่งมีชื่อบุคคลที่ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าสื่อ ที่มีการขุดคุ้ยกันมา อาทิ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ แตงจั่น” ตำรวจพิสูจน์หลักฐานที่คำนวณความเร็วรถครั้งแรก “ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม” นักวิชาการ เจ้าของสูตรคำนวนความเร็วรถครั้งใหม่ และยังมีชื่อ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์มวง” อดีต ผบ.ตร. ที่ว่ากันว่าเป็นคนพา “ดร.สายประสิทธิ์” ไปพบกับ “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความเร็วในสำนวน ...ก็ต้องรอลุ้นกันว่าชื่อเหล่านี้ จะมีปรากฏในรายงานของ “อาจารย์วิชา” ที่ “ลุงตู่” จะแถลงหรือไม่
อีกจุดหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดสำคัญ เป็นจุดเริ่มต้นของการพลิกผันคดีไปสู่การ “ฟอกขาว” ก็คือ การที่ “บอส” ได้ไปร้องขอความเป็นธรรมต่อ กมธ.กฎหมายฯ สนช. ที่มี “พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ” เป็นประธาน และมี “ธานี อ่อนละเอียด” เป็นเลขานุการ... และ กมธ.ชุดนี้ ก็รับเรื่องไว้พิจารณา ศึกษา ตรวจสอบ จากนั้นก็ส่งผลการศึกษากลับไปยังอัยการสูงสุด และทางอัยการสูงสุด ก็ส่งเรื่องให้ตำรวจสอบพยานหลักฐานเพิ่ม... จึงได้มีพยานใหม่ 2 คนโผล่ขึ้นมา คือ “พล.อ.ท.จักกฤช ถนอมกุลบุตร” และ “จารุชาติ มาดทอง” ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิต “จากอุบัติเหตุ” ไปแล้ว ได้ให้การในฐานะประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุว่า “ดาบตำรวจ” ขับรถปาดหน้า ขณะที่รถของ “บอส” ขับมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. ตามกฎหมายกำหนด ...
ซึ่งพยานทั้งสองปากนี้ สื่อได้ตามไปขุดคุ้ย สืบสาวออกมาได้ว่า มีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกับ “ตระกูลอยู่วิทยา” !!
ตรงจุดนี้ “อาจารย์วิชา” เสนอแนวทางอุดช่องโหว่ ว่า...การร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการของผู้ต้องหา ควรพิจารณาดำเนินการได้เพียงแค่ 1 ครั้ง เท่านั้น ถ้าหากจะมีการร้องขอความเป็นธรรมเพิ่มเติม ต้องมีพยานหลักฐานใหม่เท่านั้น ...เพราะก่อนหน้านั้น “บอส” ได้ร้องขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงหลายครั้ง ซึ่งอัยการสูงสุด ได้สั่งยุติการร้องขอความเป็นธรรมไปแล้ว แต่ กมธ.กฎหมายฯ สนช. ก็ยังรับเรื่องไว้พิจารณา
เมื่อรายงานผลการศึกษาจาก กมธ.กฎหมายฯ สนช. ส่งไปถึงอัยการสูงสุด จากนั้นก็มีการส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวน สอบพยาน หลักฐานเพิ่มเติม แล้ว “วงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์” อัยการสูงสุด ก็มอบอำนาจให้ “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด เป็นผู้พิจารณาสั่งคดี และ “เนตร นาคสุข” ก็ได้ลงนามสั่งไม่ฟ้องในที่สุด
ในชั้นการพิจารณาของอัยการนี้ “อาจารย์วิชา” เสนอว่า การมอบอำนาจ เมื่อผู้บังคับบัญชามอบอำนาจให้ระดับรองไปแล้ว ต้องเข้าไปติดตามกำกับดูแล ไม่ใช่เป็นการมอบอำนาจให้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนทำให้เกิดปัญหาเหมือนที่เกิดขึ้นในคดีนี้ หากไม่ติดตามกำกับดูแล ให้ถือว่าผู้บังคับบัญชามีความผิด ...พร้อมเสนอให้แก้ไขระเบียบ ข้อกฎหมายตรงจุดนี้
นอกจากนี้ ควรมีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) กรณีผู้ต้องหา หรือจำเลยหลบหนี ให้ไม่มีอายุความ เหมือนกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ...ไม่ควรคิดว่าหากมาทำตอนนี้จะเข้าลักษณะ “วัวหาย ล้อมคอก” !!
ว่ากันว่า รายงานของ “อาจารย์วิชา” ชี้เป้าแบบไม่มีกั๊ก ให้ดำเนินการสอบสวนทางวินัย และอาญา กับผู้เกี่ยวข้อง 8 กลุ่ม พร้อมส่งเรื่องให้หน่วยงานสอบสวน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)...
ถึงตอนนี้ ก็คงต้องทบทวนคำประกาศของ “ลุงตู่” ในช่วงที่ตั้งคณะกรรมการสอบชุดนี้ว่า ... “ผมไม่โอเค กับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ผมต้องการให้มีความโปร่งใส ผมจะผลักดัน จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ผมพร้อมที่จะดำเนินการ หลังจากเห็นข้อสรุปของคณะกรรมการที่ผมตั้งขึ้น ซึ่งมีความเป็นอิสระ และประกอบไปด้วยผู้ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม ทั้งในเรื่องความรู้ ความเป็นกลาง และพร้อมที่จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่มีอยู่ คดีนี้ถือเป็นอีกคดี ในอีกหลายแสนหลายล้านคดีในประเทศไทย เป็นคดีที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะไม่ต้องการให้ทุกอย่างสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อไป”
หลังจากนี้ ก็ต้องมาลุ้นกันว่า เมื่ออ่านรายงานของคณะตรวจสอบชุด “อาจารย์วิชา” นี้แล้ว ..“ลุงตู่” จะแถลงแบบชี้เปรี้ยง !! ว่าใครบ้างที่อยู่ในข่ายความผิด และจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะประชาชนได้ฝากความหวังไว้กับการสอบของคณะกรรมการชุดนี้ กำลังรอผลอย่าใจจดใจจ่อ... แต่ถ้าประกาศออกมาแบบ “ลูบหน้าปะจมูก” หรือเป็น “มวยล้มต้มคนดู” ก็เห็นทีจะสร้างความเชื่อมั่นอะไรไม่ได้แล้ว !!