ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ผลสรุป “คดีบอส” ที่ตั้งกรรมการสอบกันหลายชุด ส่อว่าจะเป็น“มวยล้มต้มคนดู”ไปทั้งหมด... เหตุเพราะจุดพลิกผันของคดีอยู่ที่ กมธ.สนช. ซึ่งเป็นคนอยู่ในเครือข่าย ใกล้ชิด คสช. ก็ต้องถามใจ“ลุงตู่” จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นหรือ
กรณี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง ขับรถสปอร์ตชน “ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ” ตำรวจสน.ทองหล่อ เสียชีวิตบนถนนสุขุมวิท เมื่อเช้ามืดวันที่ 3 ก.ย. 55 แล้วถูกตั้งข้อหา ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งในครั้งแรก อัยการได้สั่งฟ้องไปแล้ว แต่ต่อมา “เนตร นาคสุข” รองอัยการสูงสุด ลงนามสั่งไม่ฟ้อง ...จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ว่าคดีนี้ ต้องมีอำนาจเงิน อำนาจของข้าราชการระดับสูง หรืออำนาจทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงเกี่ยวข้อง
ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมาหลายชุด ทั้งชุดของอัยการสูงสุด, ชุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กมธ.กฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งกรรมการสอบสวนชุด “วิชา มหาคุณ” ที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้ตั้งขึ้น
แต่ดูเหมือนว่าผลการสอบสวนจากคณะกรรมการแทบทุกชุด ไม่สามารถตอบข้อสงสัยของสังคมได้ว่า ผิดตรงไหน ผิดที่ใคร และคนผิดจะได้รับโทษหรือไม่ อย่างไร
เริ่มจากกรรมการสอบสวนชุดของอัยการสูงสุด สรุปผลสอบก่อนใครว่า การสั่งไม่ฟ้องคดี ที่ “เนตร นาคสุข” พิจารณาลงนามไปนั้น ทำไปตามระเบียบ ข้อกฎหมาย คือบอกว่า “เนตร” สั่งคดีถูกต้องแล้ว โดยไม่ได้สอบให้สัคมสิ้นสงสัย ถึงเรื่องที่ว่า...ทำไมถึงต้องสั่งให้มีการรื้อสำนวน สอบสวนเพิ่มเติม ทั้งเรื่องความเร็วรถที่เปลี่ยนไป จาก 177 กม./ชม. มาเหลือไม่เกิน 80 กม./ชม. รวมทั้ง “พยานกลับชาติมาเกิด” ที่มาให้ปากคำ
ต่อมา “อรรถพล ใหญ่สว่าง” ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบ “เนตร นาคสุข” แต่ที่ประชุม ก.อ.ก็มีมติโหวตคว่ำ ไม่ให้มีการสอบ และสุดท้าย “เนตร นาคสุข” ก็ยื่นใบลาออกไป
ส่วนคณะกรรมการชุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปผลสอบออกมาโดยยอมรับว่ามีความผิดพลาดในขั้นตอนการสอบสวนดำเนินคดี จากนั้นก็มีการสั่งให้มีการดำเนินคดีเพิ่ม พร้อมขออนุมัติออกหมายจับ “บอส” ใน 3 คดี คือ 1. ขับรถโดยประมาทเป็นให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายมีผู้ถึงแก่ความตาย 2. ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในทันที และ 3. ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 2 (โคเคน)
ระหว่างที่คณะกรรมการสอบสวนชุดต่างๆ ดำเนินการตรวจสอบอยู่นั้น ทั้งสื่อมวลชน และภาคประชาชน โดยเฉพาะ “รสนา โตสิตระกูล” อดีต ส.ว.กรุงเทพฯ ก็ตรวจสอบคู่ขนานกันไปด้วย และได้พบจุดพลิกผันของคดี ว่ามาจากการที่ “บอส” ไปร้องขอความเป็นธรรมต่อ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตํารวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งมี “พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ” เป็นประธาน และเมื่อมีการขอบันทึกรายงานการประชุมของ กมธ.สนช. ชุดนี้มาดู ก็พบที่มาของการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถ ที่มาของพยานปากสำคัญ ผูกโยงไปถึง “อดีต ผบ.ตร.” และ นายพลทหารอากาศ ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ “ตระกูลอยู่วิทยา” ...ที่สำคัญคือ บุคคลที่เกี่ยวข้องที่อยู่ใน กมธ.ชุดนี้ ส่วนใหญ่มีความใกล้ชิดและได้รับการแต่งตั้งมาจาก คสช.
จึงไม่ต้องแปลกใจที่ กมธ.กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “สิระ เจนจาคะ” เป็นประธาน ที่ตอนแรกก็ขึงขัง เรียกผู้เกี่ยวข้องมาซักไซร้ ให้ชี้แจง สุดท้ายก็ต้องตัดจบแบบ “มวยล้มต้มคนดู” โดยบอกว่าคณะ กมธ.กฎหมายฯ เห็นร่วมกันว่า มีการเชิญบุคคลมาสอบจำนวนมาก แต่ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่า เรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง โดยเฉพาะ “พ.ต.อ. ธนสิทธิ์ แตงจั่น” ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ที่พลิกความเร็วรถในคดีนี้ ก็พูดกลับไปกลับมา ส่วน “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” อดีต ผบ.ตร. ก็เชิญมาให้ข้อมูล แต่ก็ติดภารกิจสำคัญไม่สามารถมาได้ ...
นอกจากผลสอบของกมธ.ชุดนี้จะไม่ตอบข้อสงสัยของสังคมแล้ว “สิระ” ยังพูดแบบไม่ให้ค่า ไม่ให้ความสำคัญ แถมดิสเครดิต “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” ว่า พูดกลับไปกลับมา ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งๆ ที่ตามรูปการณ์แห่งคดีแล้วถือว่า “พ.ต.อ.ธนสิทธิ์” คือ กุญแจดอกสำคัญ ที่จะไขไปสู่ข้อเท็จจริงถึงเหตุที่มีการเปลี่ยนความเร็วรถจาก 177 กม./ชม. มาเหลือไม่ถึง 80 กม./ชม. ว่าทำไม่จึงเป็นเช่นนั้น
ขณะที่ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่าเมื่อตำรวจมีการตั้งข้อหาใหม่อีก 3 ข้อหาแล้ว ก็ถือว่าเป็นการนับหนึ่งใหม่ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีหน้าที่ประสานอินเตอร์โพลให้ติดตามจับกุม “บอส” มาดำเนินคดีในไทย ... ส่วน กมธ.กฎหมายฯ ที่มี “สิระ เจนจาคะ” เป็นประธาน ก็ต้องหยุดการสอบสวน เพราะถือว่าคดีไปอยู่ในอำนาจศาลแล้ว ...
ส่วนคณะกรรมการสอบสวนชุด “วิชา มหาคุณ” ที่นายกฯ ตั้งขึ้น ซึ่งเป็นความหวังสุดท้าย เพราะประกอบด้วย ผู้มีความรู้ ความสามารถในหลายๆ ด้าน และถือว่าเป็นคนกลาง ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็บอกว่าจะสรุปผลการสอบสวนทั้งหมด ส่งให้นายกฯในวันที่ 31 ส.ค.นี้ โดยจะไม่แถลงรายละเอียดเองว่า พบข้อพิรุธ ตรงไหน อย่างไร ใครมีส่วนเกี่ยวข้อง ...แต่จะให้อยู่ในดุลพินิจของนายกฯว่า จะแถลงให้สังคมได้รับทราบแค่ไหน อย่างไร จะต้องเอาผิดใครบ้าง...
ก็คงต้องจับตากันว่า “นายกฯลุงตู่” จะแถลงว่าอย่างไร เพราะสังคมได้รับรู้ และเชื่อกันไปแล้วว่า มีขบวนการใหญ่ ที่อยู่เบื้องหลังการพลิกคดี “บอส” และในจำนวนนั้น ก็มีไม่น้อยที่มีความผูกพันใกล้ชิดกับ คสช. ...
หรือสุดท้ายแล้วผลสอบของคณะกรรมการทุกชุดจะออกมาแบบ “มวยล้มต้มคนดู” ... “ลงตู่” จะยอมให้เป็นแบบนั้นหรือ ?!!
**ว่าด้วย กมธ. กฎหมายเชิญ“เสี่ยโป้-สันธนะ” เป็นที่ปรึกษาแก้ปัญหาพนัน vs“เต้” เสนอเปิดกาสิโนเสรี
โลกโซเชียลฯ คอมเมนต์กันกระหน่ำ ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร หลังจากคณะทำงานแก้ปัญหา ศึกษาการพนัน และบ่อนการพนันออนไลน์ ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “สิระ เจนจาคะ” นั่งเป็นประธานได้เชิญ “พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตรองผู้กำกับการ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล และ “อภิรักษ์ ชัยอานนท์” หรือ “เสี่ยโป้" มาให้ข้อมูล และปรึกษาหารือเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาการพนัน
เหตุผลของการดึงเอาเสี่ยโป้เน็ตไอดอลที่มีชื่อในวงพนันและอดีตตำรวจที่มีภาพของผู้รู้เรื่องบ่อน พอเข้าใจได้ว่า เจตนาของกมธ.เพราะต้องการใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ ความรู้ความเข้าใจของคนทั้งสองมาใช้หาวิธีแก้ไขปัญหาการพนัน
ทั้ง “สันธนะ” และ “เสี่ยโป้” กมธ. มองว่า เป็นคนที่จะตอบโจทย์ โดยเห็นว่าการพนันออนไลน์ในสังคมไทยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และมากขึ่นเรื่อยๆ จึงมีความเห็นว่า ควรจะต้องทำการศึกษาปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยตั้งธงว่า จำเป็นต้องมีการปราบปรามอย่างจริงจัง
บังเอิญชื่อเสียงของ “เสี่ยโป้และสันธนะ” จัดอยู่ในโซนสายดาร์ก ที่ยากจะทำให้สังคมส่วนใหญ่ยอมรับได้ จึงทำให้มีคนจำนวนมากแสดงความเห็นผ่านโลกโซเชียลฯ ไม่เห็นด้วย เรียกว่า “ทัวร์ลง” คณะ กมธ. ภายในเวลาอันรวดเร็ว วิจารณ์กันต่างๆ นานา ว่าประเทศไทยตกต่ำถึงที่สุดแล้วหรืออย่างไร ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องเชิญทั้งสองคนมาเป็นที่ปรึกษา เพราะการแก้ปัญหาการพนัน มีนักวิชาการ และผู้ที่เชื่อถือได้ที่สังคมให้การยอมรับมากกว่าสันธนและเสี่ยโป้ อีกนับไม่ถ้วน
ในอีกฟากหนึ่ง มีความเห็นไม่น้อยกลับเห็นว่า การแก้ไขปัญหาการพนันด้วยการปราบปราม ยิ่งทำให้วงจรส่วยเบ่งบาน ผลประโยชน์ยิ่งตกอยู่กับเครือข่ายผู้มีอิทธิพล
ทางเลือกในการแก้ปัญหาการพนันวันเดียวกันนี้ “เต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ พูดถึงการสนับสนุน ร่างพระราชบัญญัติ หรือ พ.ร.บ. บำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ว่า ขณะนี้ อยู่ระหว่างการเตรียมตั้งคณะกรรมาธิการ หรือ กมธ. 1 ชุด คือ คณะกรรมาธิการศึกษาการเปิด Entertainment Complex หรือ กาสิโนถูกกฎหมาย ซึ่งจะมีทั้งการเล่นในสถานที่จริง และการเล่นแบบออนไลน์ โดยปัจจุบันอยู่ในวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีทั้งพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน ร่วมกันสนับสนุนร่างดังกล่าว เชื่อว่า รายได้จำนวนนี้มีเพียงพอต่อการดูแลประชาชน 12 ล้านคน โดยสามารถเปิดให้เล่นออนไลน์ และเล่นในสถานที่จริงได้
ว่ากันว่า แนวคิดและหลักการจะเปิดให้เล่นเฉพาะชาวต่างชาติ และชาวไทยที่มีฐานะดี ซึ่งหากมีรายรับปีละ 1.6 ล้านล้านบาท ก็จะเสียภาษีเข้ารัฐประมาณ 1 ล้านล้านบาท จึงสามารถแบ่งมาสมทบให้กับ พระราชบัญญัติบำนาญแห่งชาติได้ ปีละประมาณกว่า 3 แสนล้านบาท เมื่อบวกกับรายได้ของกองสลากอีก ปีละประมาณกว่า 1 แสนล้านบาท ก็เพียงพอต่อการดูแลชีวิตของประชาชนที่อายุเกิน 60 ปี ที่ประกอบอาชีพอิสระทั้งหมด... นี้คือแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำเข้าสมทบในกฎหมายดังกล่าว หากมีเหลือ ก็สามารถนำไปชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จากที่ใช้ไปกับสถานการณ์โควิด-19 ได้อีก
ระหว่างเอาเซียนพนันมาปราบเซียนพนัน เพื่อแก้ปัญหาพนัน หรือทำให้ถูกต้องตาม “เต้” มงคลกิตติ์ เสนอเปิดเสรีกาสิโน เห็นด้วยกับแนวทางไหน ก็เชิญปุจฉา-วิสัชนา กันบนโลกความเป็นจริงกันได้เลย .
**วัดขนาดของใจกันดู ระหว่างสมยศ-มาดามแป้ง ใครใหญ่กว่า
มาว่ากันที่วงการฟุตบอลไทยเวลานี้ไม่มีเรื่องไหนที่จะถูกพูดถึงและแฟนบอลให้ความสนใจไปมากกว่าเรื่องปัญหาการเงินของสมาคมฟุตบอลและสโมสรสมาชิกในไทยลีก
ระหว่างที่ปัญหาไม่มีทางออก “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทั่นนายกสมาคมฯ ที่ออกมาเคลื่อนไหวก่อนหน้าบอกว่า สมาคมฯแย่แล้ว บักโกรก กรอบหนักจนไม่มีเงินพอจะใช้จ่ายแม้แต่จะจ้าง VAR เทคโนโลยีที่ฟุตบอลลีกมาตรฐานเขาใช้กัน แต่พอ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสรท่าเรือ จัดเงินบริจาคให้ 16 ล้าน เป็นข่าวเกรียวกราว จุดประกายความหวังกับทีมร่วมลีกที่ตั้งใจจะยกระดับฟุตบอลไทยเทียบสากล ทั่นนายกฯ กลับปัดไม่มีเยื่อใยบอกว่าทำไม่ได้ ไม่รับ อ้างว่าจะพยายามหาเงินของสมาคมฯมาจ่ายเอง
มาวันนี้ เห็นว่า “พล.ต.อ.สมยศ” กะโชว์ความเป็นผู้นำ รุ่นใหญ่ ใจป๋า เปิดโครงการกองทุน President’s Fund 2 โดยควักเงินครอบครัวร่วม 43 ล้านบาท ตะโกนก้องเป็นบุรุษขี่ม้าขาวมาเพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงินของสโมสรสมาชิกไทยลีกอีก ในรูปแบบกู้ยืมเงินโดยไม่มีดอกเบี้ย ทีมไหนต้องการมาเอาไปเลย ทีมไทยลีกทีมละ 1ล้าน 16 ทีมก็ 16ล้าน ลีกรองลงมาก็ลดหลั่นลงไป ไทยลีก 2 ไม่เกินทีมละ 500,000 บาท รวม 18 ทีม 9 ล้าน บาท ส่วนสโมสรไทยลีก 3 ให้กู้ไม่เกินทีมละ 250,000 บาท รวม 72 ทีม 18 ล้านบาท โดยให้ทีมที่กู้ไปกำหนดการชำระหนี้ จะหักออกจากเงินสนับสนุนในฤดูกาล 2564 ตามจำนวนของเงินที่กู้ยืม เรียกว่า คงไม่มีนายกฯคนไหนใจป๋าให้มากกว่านี้ แถมเป็นเงินครอบครัว เพียงแตมีข้อแม้ จะขอให้ยืมแค่ปีเดียวแล้วเก็บคืน
อันว่า ใจแบบนี้ก็น่าจะดูดี หากไม่มีอีกความเคลื่อนไหวจาก “มาดามแป้ง” ที่พอสมาคมฯ บอกปัดเงินช่วย VAR 16 ล้าน สปอนเซอร์จากเมืองไทยประกันภัย และแล้ว “มาดามแป้ง” ก็ตัดสินใจโยกเงินก้อนนี้ไปช่วยเหลือทีมไทยลีก 3 ทั้ง72 ทีม เอาไปแบ่งกันแบบไม่ต้องมากู้ ไม่ต้องติดหนี้บุญคุณใคร
ขั่วโมงนี้ระหว่าง “สมยศ” กับ “มาดามแป้ง” ถ้าว่าวัดขนาดของใจ คงจะรู้กันว่า ใจของใครนั้นใหญ่กว่ากัน.