ข่าวปนคน คนปนข่าว
* “พี่เต้” ต้องคิดหน่อยหรือเปล่า “สิระ เจนจาคะ” ไม่ธรรมดา พบว่า มีคดีกว่า 20 คดี ตั้งแต่ เช็คติดสปริง-หมิ่นประมาท-ทำร้ายร่างกาย-ฉ้อโกง
ศึกน้ำลายระหว่าง ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ หยามศักดิ์ศรี ส.ส.ด้วยกันจน “เต้” มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศิวิไลย์ อดรนทนไม่ไหวต่อการกระทำของ “สิระ เจนจาคะ” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนฯ บุกประชิดตัวทวงถามต่อหน้า แต่อีกฝ่ายนอกจากแจ้งความว่าถูก “เต้” ข่มขู่ แล้วยังตะโกนโหวกเหวก ร้องหา รปภ. และ ตำรวจ ให้ช่วยปกป้อง...ใครที่ได้ดูคลิปที่กลายเป็นไวรัลคลิปนี้ก็จะรู้สึกว่า “สิระ” ซึ่งเจ้าตัวย้ำเป็นคนสุภาพ พูดจาดี ทำไมกลับมาโดนคุกคามแบบนี้ !!
เรื่องพรรค์นี้ เช็กประวัติกันดูจริงๆ ก็คงรู้ละว่าระหว่าง “เต้” กับ “สิระ” ใครที่ดรามา ที่แน่ๆ สังคมมองภาพของ “สิระ” กับ บุคลิกชวนทะเลาะ ท้าชน มากกว่า ถือเป็น “ตัวจิ๊ด” ที่พลังประชารัฐด้วยกันยังส่ายหัว ด้วยวีรกรรมที่ผ่านๆ มา ย่อมยืนยันตัวตนของ “สิระ” ได้เป็นอย่างดี
เรียกได้ว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ “สิระ” มีคดีมากมาย
เท่าที่มีคนรวบรวมไว้ คดีความที่มีชื่อของ “สิระ” เป็นผู้กระทำผิดและเข้าไปเกี่ยวข้อง พบว่า มีคดีเกิดขึ้นในหลายท้องที่ รวมแล้วกว่า 20 คดี ตั้งแต่ เช็คเด้ง, ทำร้ายร่างกาย, หมิ่นประมาท, ฉ้อโกง แม้แต่คดีขับรถประมาท ก็มี
ว่ากันว่า บางคดี “สิระ” เคยถูกพิพากษาจำคุก และควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำด้วย เช่น คดีออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชี ศาลแขวงพระนครใต้ (ปทุมวัน) พิพากษาจำคุก 5 เดือน และคดีร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ ศาลแขวงปทุมวัน ถูกคุมขังระหว่างพิจารณา และถูกคุมขังตามคำพิพากษา
ลองมาไล่เรียงดูในพื้นที่ สน.ลุมพินี มีอยู่ 8 คคี เป็น คดีอาญาข้อหาออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชี 4 คดี, เช็คเด้งโดยผู้กล่าวหาคือ กรมสรรพากร 1 คดี ส่วนอีก 3 คดี เป็นข้อหาฉ้อโกง ปลอม และใช้เอกสารปลอม
คดีเหล่านี้ บางคดี “สิระ” ก็หลบหนี แต่ถูกจับภายหลัง และถูกพิพากษาจำคุกในเวลาต่อมา คดีอื่นๆ พนง.สอบสวน สั่งฟ้อง ถูกอายัดตัวเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ทีท้องที่ สน.บางขุนนนท์ “สิระ” ถูกกล่าวหาหลายคดีกว่า 12 คดี ส่วนใหญ่เป็นคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นในปีนี้ หนักไปทางข้อหาหมิ่นประมาท เช่น คดีอาญาที่ 47/2563 ลงวันที่ 27 ม.ค. 63 ข้อหาหมิ่นประมาท โดยการโฆษณา
- คดีอาญาที่ 74/2563 ลงวันที่ 1 ก.พ. 63 ข้อหาหมิ่นประมาท โดยการโฆษณา โดย 11 คดี เป็นคดีของปีนี้ อีก 1 คดี เป็นคดีเก่าในท้องที่นี้ เมื่อปี 56 ตามข้อมูลว่า เป็นคดี ทำร้ายร่างกาย
ส่วนท้องที่อื่นๆ สน.คลองวาฬ โดนข้อหา ขับรถประมาททรัพย์สินเสียหาย สน.แก้งสนามนาง คดีฉ้อโกงประชาชน โดยอัยการสั่งไม่ฟ้อง ที่ สน.เมืองปทุมธานี มีคดีอาญาข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ
เช่นเดียวกับที่ สน.สูงเม่น “สิระ” ถูกแจ้งความ เป็นคดีอาญาที่ 322/2540 ข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส
นี่คือวีรกรรมและคดีของ “ชลสิทธิ์” หรือ “สิระ เจนจาคะ” ที่วันนี้ต้องบอกว่าแค่บางส่วนเท่านั้น
“พี่เต้” ได้รู้แบบนี้จะไฝว้ “สิระ” ที่เจนจัดกว่า อาจต้องคิดหน่อยหรือเปล่างานนี้ ?
**เนชั่นเอฟเฟกต์ น่าเห็นใจแบรนด์สินค้าถอนโฆษณาก็โดน ไม่ถอนก็โดน อยู่ไม่เป็นเพราะความสุดขั้วของทั้งสื่อและอีแอบหลังเยาวชนแท้ๆ
ปรากฏการณ์ แบรนด์สินค้าต่างๆ พากันทยอยประกาศถอนโฆษณาจากสื่อในเครือเนชั่น หลังจากที่กระแสโซเชียลฯ ปลุกพลังแฮชแท็ก “#แบนสปอนเซอร์เนชั่น” และ “#แบนเนชั่น” ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะไม่พอใจการนำเสนอข่าวการชุมนุมของกลุ่มประชาชนปลดแอก ของสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี น่าสนใจยิ่ง
งานนี้ แบรนด์สินค้าต่างๆ ที่ถูกกดดันแจ้งว่ามีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนที่ชัดๆ เช่น บริษัท เดลิเวอรี่ ฮีโร่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการส่งอาหารฟู้ดแพนด้า (Foodpanda) เป็นรายแรกๆ ที่ออกมาประกาศขอถอนตัว
ตามมาด้วย บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด ในเครือโรงพยาบาลยันฮี ออกแถลงการณ์ระบุว่า บริษัทฯได้ทบทวนแผนการโฆษณาน้ำดื่ม ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ แล้ว บริษัทฯได้ตัดสินใจระงับการโฆษณาทางสำนักข่าวเนชั่น ทีวี ทันที
ว่ากันว่า ยังมีหลายบริษัทที่ถูกอ้าง และโซเชียลฯ นำมาเชื่อมโยงว่าเป็นสปอนเซอร์ให้เนชั่น เช่น ไทยประกันชีวิต หรือบริษัท ศิริบัญชา จำกัด ผู้ผลิตแอลกอฮอล์ ชื่อดัง ก็ถูกโซเชียลฯ ข้างฝ่ายแบนเนชั่นกระหน่ำ ทั้งที่ไม่ได้ลงโฆษณา หรือ หมดสัญญาโฆษณาไปแล้ว
ถ้ามองด้วยใจที่เป็นธรรม งานนี้ก็ต้องเห็นใจแบรนด์สินค้าทั้งหลาย เพราะเรื่องธุรกิจกับความขัดแย้งในสงครามความเห็นทางการเมืองนั้น ต้องถูกลากโยงเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมีแคมเปญรณรงค์ปลุกกระแสในโซเชียลฯ แน่นอนว่า ต้องถูกบังคับให้ “เลือกข้าง” หากไม่ถอนก็โดน แต่เมื่อถอนออกมาแล้ว ก็โดนข้างฝ่ายที่เชียร์เนชั่น กล่าวหาหรือถูกผลักให้ไปอยู่กับขบวนการล้มเจ้า จาบจ้วงเบื้องสูง
เรื่องนี้ มันก็เลยกลายเป็นเรื่อง “อยู่ไม่เป็น” ของแบรนด์สินค้า ทั้งๆ ที่สองฝ่ายต่างเล่นกันเลอะเทอะ ไปกันใหญ่ !!
ความจริงฝ่าย “ม็อบปลดแอก” ที่มีเยาวชนเป็นแนวร่วมมากมาย ก็กำลังก้าวข้ามพ้นกับดักของกลุ่มคน “อีแอบ” ที่อยากจะครอบงำเยาวชน ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียกร้อง “10 ข้อ” ที่พุ่งเป้าสถาบันฯ อันกระทบกระเทือนจิตใจคนส่วนใหญ่ของประเทศ จนลดลงมาเหลือการเรียกร้อง “3 ข้อ” ซึ่งมีผลต่อคำชื่นชมเด็กๆ เยาวชน และ น่าจะได้ใจคนมากมาย ที่คิดเห็นตรงนี้เหมือนๆ กัน
เห็นได้จากการที่ม็อบปลดแอกของเยาวชน มีคนเข้าร่วมมากขึ้นเป็นลำดับ นับแต่สลัดหลุดการถูกลากเข้าไปในกลุ่มล้มเจ้า
ด้าน “เนชั่น” หากนำเสนอข่าวอย่างสื่ออาชีพที่ควรจะเป็นมากกว่าการยั่วยุ ปลุกปั่น ไม่ผลักใครที่เห็นต่างให้กลายเป็นพวกชังชาติอย่างไม่มีลดละ ไม่ฟังเหตุและผล กลับยึดติดอคติต่อเยาวชนผู้เรียกร้อง เหมารวมไปกับพวก “อีแอบล้มเจ้า” สุดท้ายบีบบังคับให้สังคมต้องเลือกข้าง
ผลจึงทำให้คนอีกกลุ่มที่เห็นคล้อยกับ “เนชั่น” เกลียดชังอีกฝ่าย ใครที่ถอนโฆษณาจากเนชั่น ก็เลยกลายเป็นถูกโซเชียลฯ อีกกลุ่มตามราวี กล่าวหาว่า เป็นพวกชังชาติ ไม่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไปซะงั้น
เรื่องนี้จึงน่าเห็นใจผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจที่ต้องมีโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทำการตลาดโดยสุจริตใจเป็นอย่างยิ่ง
สะท้อนว่า ถ้าทุกคนมีสติ สื่อทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น สังคมก็คงอยู่เป็น และว่ากันไปตามสิทธิ เสรีภาพ การแสดงออกตามครรลองตามกรอบของกฎหมาย ที่พึงมี
งานนี้ เป็นความเปราะบางทางอารมณ์ของสังคม ใช้ความรู้สึกห้ำหั่นกัน รังแต่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
เวลานี้ “สติ” เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
**ว่าด้วยดรามากับข้อเท็จจริง เรื่องเรือดำน้ำ ถูกใจใคร ขัดใจใคร ฟังขึ้นมั้ยอันนี้แล้วแต่ความคิดเฉพาะบุคคล
กรณี ดรามาจัดซื้อ “เรือดำน้ำ 2 ลำ” มูลค่า 22,500 ล้านบาท ต้องจับตาและรอคอยคำชี้แจงของ “พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์” ผบ.ทร. ซึ่งได้สั่งการให้แถลงข่าวเรื่องทั้งหมดในวันนี้ (24 ส.ค.) เวลา 13.30 น. ที่ห้องชมวัง อาคารราชนาวิกสภา
ฟังว่า ประเด็นที่ทร.เตรียมชี้แจงได้แก่ ความจำเป็นในเชิงยุทธศาสตร์ การจัดสรรงบประมาณของกองทัพเรือเอง โดยเลื่อนโครงการจัดหาเรือผิวน้ำโครงการจัดหาอากาศยาน แล้วนำมาผูกพันงบประมาณในการจัดหาเรือดำน้ำครั้งนี้
นี่คือ ปฏิกิริยาของกองทัพเรือ ต่อดรามาเรือดำน้ำ ที่หลายฝ่ายของสังคมกำลังถกเถียง จับเรื่องนี้มาเป็นประเด็น และเรียกร้องให้ทบทวนการจัดซื้อ หลัง คณะอนุกรรมาธิการคุรุภัณฑ์ รัฐวิสาหกิจและทุนหมุนเวียน ใน กมธ.พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 มีมติเห็นชอบ
แน่นอนว่า ที่เป็นประเด็น และเกิดดรามาการจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้ขึ้นมา บางฝ่ายต้องการโยงไปเพิ่อเติมเชื้อสถานการณ์การเมือง ให้ไฟโหมแรงยิ่งขึ้น ยิ่งนำงบฯ ไปเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจ จากผลกระทบโควิด-19 ทำให้กระทบความรู้สึกของประชาชน เสียงไม่เห็นด้วยก็มาเต็มพรึ่บในโลกโซเชียลฯ จนแฮชแท็ก “#ประชาชนไม่เอาเรือดำน้ำ” ฮอตฮิตติดลมบน
ว่ากันว่า ก่อนที่คณะอนุฯ กมธ. จะลงมติเห็นชอบ กองทัพเรือได้เข้าชี้แจงถึงสองครั้ง โดยความจริงเรือดำน้ำนั้น ซื้อไปแล้ว 1 ลำ ส่วน 2 ลำนี้ เป็นลำที่ 2 กับ 3 ซึ่งจะต้องซื้อคู่กัน จะได้ราคาถูกกว่า และเรือดำน้ำคู่นี้ มีการตกลงว่าต้องทำสัญญาและจ่ายเงินงวดแรก ตั้งแต่งบประมาณปี 63 แล้ว แต่ทางกองทัพเรือ เห็นว่าช่วงสถานการณ์โควิด-19 มีความจำเป็นจะต้องใช้เงินไปช่วยเหลือ จึงขอเลื่อนการทำสัญญาตาม “เอ็มโอยู” ที่ทำกับทางจีน มา 1 ปี แต่ปีนี้ทางจีนไม่ให้เลื่อนแล้วจึงมีความจำเป็นต้องทำตามสัญญาตาม “เอ็มโอยู” ที่ทำไว้
ในส่วนของจำนวน 22,500 ล้านบาท ปีนี้ ไม่ได้จ่าย 22,500 ล้านบาท ทั้งจำนวน แต่จ่ายเพียง 3,000 ล้านบาทเศษ ตกลำละประมาณ 1,500 ล้านบาท และจ่ายค่างวดประมาณอีก 6-7 งวด เฉลี่ยงวดละ 3,000 ล้านบาท สรุปว่าไม่ได้เป็นการใช้เงิน 22,500 ล้านบาท ในปีนี้ปีเดียว
ฟังว่าแม้ “กองทัพเรือ” จะอธิบายเหตุผลความจำเป็นที่ต้องจัดซื้อว่า เป็นความจำเป็นในเชิงยุทธศาสตร์ การดำเนินการตามงบฯผูกพันที่ต้องเตรียมการจัดซื้อไว้แต่เนิ่นๆ กว่าจะจัดซื้อและได้เรือดำน้ำมา ต้องใช้เวลาอีกหลายปี อีกทั้งยังเป็นการผ่อนชำระเป็นงวดๆ ไม่ได้จ่ายครั้งเดียวดังกล่าว แต่พอเกิดกระแสที่ประชาชนไม่พอใจ ก็น่าจับตามองว่าในการประชุม กมธ.งบประมาณ ชุดใหญ่ วันที่ 26 ส.ค.นี้ จะออกหัวออกก้อย อย่างไร
ฟังว่า อาจจะมีการเสนอให้ที่ประชุม ชั่งน้ำหนักระหว่างการซื้อเรือดำน้ำ กับความเสียหายที่ได้รับจากการเลื่อนซื้อเรือดำน้ำ อะไรจะเกิดผลกระทบมากกว่ากัน และเป็นไปได้ที่จะเสนอให้ที่ประชุม กมธ.งบฯ 64 “ทบทวนการจัดซื้อ” เพราะหวั่นว่า ดรามาจะขยายผลลุกลามไปถึงสถานการณ์การเมือง
เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องติดตามว่าด้วยดรามากับข้อเท็จจริงเรื่องเรือดำน้ำ จะถูกใจใคร ขัดใจใคร ฟังขึ้นมั้ย อันนี้แล้วแต่ความคิดเฉพาะบุคคล