"เพื่อไทย" ถล่มงบฯ เรือดำน้ำ อ้างเอกสาร”จีทูจี” เป็นเพียงข้อตกลง ที่ลงนามโดย เสธ.ทร. กับบริษัทเอกชน ไม่ใช่รัฐบาลจีน เตือน กมธ.งบฯ หากยังดึงดันต้องรับผิดชอบ ปชป.ร่วมค้าน บอกขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง สำคัญกว่า ส่วนประธานอนุกมธ.ฯ
วานนี้ (23ส.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พร้อมด้วยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะอนุกมธ.ครุภัณฑ์ ICTรัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน แถลงถึงกรณี การอนุมัติซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ที่ประชุม อนุกมธ. เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในตอนแรก มีมติเสมอกัน 4 ต่อ 4 แต่สุดท้ายนายสุพล ฟองงาม ประธานอนุกมธ.ฯ ลงมติเห็นชอบ ทั้งที่ตำแหน่งประธาน ไม่ควรลงมติ เนื่องจากต้องวางตัวเป็นกลาง แต่นายสุพล กลับมาออกเสียงด้วย ทำให้มติเป็น 5 ต่อ 4 เห็นชอบในการจัดซื้อเรือดำน้ำ
นายยุทธพงศ์ ยังได้แสดงเอกสารบันทึกข้อตกลงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่มีการระบุว่า เป็นสัญญาจีทูจี แต่เมื่อมาตรวจสอบกลับพบว่าไม่ใช่สัญญาจีทูจี แต่เป็นเพียงข้อตกลง และสัญญาที่เซ็นไป ก็เป็นเพียงแค่การจัดซื้อเรือดำน้ำ 1 ลำเท่านั้น ไม่มีลำที่ 2 หรือลำที่ 3 ไม่มีข้อผูกพันอะไร เอกสารที่ลงนามสัญญา ฝั่งไทย คือพล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ที่ดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารเรือ ในปี 2560 และฝั่งจีนที่ลงนามด้วย คือ บริษัทเอกชน ไม่ใช่รัฐบาลจีน
"ขอตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมจึงปกปิดเอกสารมาโดยตลอด หากเป็นสัญญาแบบจีทูจี ผู้ลงนามฝั่งไทยก็ไม่มีอำนาจลงนามแทนรัฐบาลไทย เพราะผู้มีอำนาจ คือ นายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ อีกทั้งยังไม่มีหนังสือมอบอำนาจจากรัฐบาลไทยด้วย และตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ก็ไม่สามารถรับมอบอำนาจได้ คนที่รับมอบอำนาจได้ คือ รมว.กลาโหมเท่านั้น ดังนั้นสัญญาดังกล่าวจึงต้องเป็นโมฆะ แต่เรื่องนี้ในคณะอนุกมธ.ฯ กองทัพเรือไม่สามารถชี้แจงได้เลย อ้างแต่เรื่องความมั่นคงทางทะเล ทั้งที่ความอดอยากของประชาชนในขณะนี้สำคัญกว่าเรือดำน้ำ"
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า วันพุธที่ 26 ส.ค.นี้ คณะกมธ.งบประมาณชุดใหญ่ จะให้อนุกมธ.ชี้แจง เรื่องเรือดำน้ำ ตนจะเสนอให้กมธ.ชุดใหญ่ ทบทวนเรื่องนี้ และขอให้กองทัพเรือ นำหนังสือสัญญามาแสดง หากแสดงไม่ได้ สัญญาจะต้องเป็นโมฆะ เนื่องจากไม่มีความโปร่งใส และหากคณะกมธ.ชุดใหญ่ ดึงดันให้ผ่าน ก็จะขอให้มีการเปิดเผยชื่อ จะได้รู้ว่า ใครเห็นความสำคัญของเรือดำน้ำ มากกว่าความอดอยากของประชาชน แต่หากโหวตแล้วยังแพ้เสียงส่วนใหญ่ในซีกรัฐบาล ก็จะเดินหน้าเพื่อฟ้องกับประชาชน เพราะเรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากลอย่างมาก ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยประกาศว่า ที่เลือกเรือดำน้ำจีน เพราะได้ของคุณภาพดี ในราคาประหยัด ซื้อ 2 แถม 1 แล้วทำไมวันนี้ กลายเป็นว่าซื้อเรือดำน้ำทั้งหมด 3 ลำ แปลว่าอะไร
"หากนายกฯ ยังดึงดันที่จะซื้อเรือดำน้ำ เชื่อว่าจะเป็นจุดจบของรัฐบาล และหากรัฐบาลเดินหน้าต่อจะขอเชิญชวนประชาชน ให้ออกไปร่วมการชุมนุมกับนิสิต นักศึกษา เพื่อขับไล่รัฐบาล" นายยุทธพงศ์ กล่าว
"ประธานอนุครุภัณฑ์ฯ"ยอมถอย
ด้านนายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพปชร.ในฐานะ ประธานคณะอนุกมธ.ครุภัณฑ์ฯ ในคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 64 กล่าวว่า การลงมติเห็นชอบการจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้ได้ถูกโยงไปเติมเชื้อสถานการณ์การเมืองให้แรงยิ่งขึ้น ถึงจะอธิบายเหตุผลความจำเป็นที่ต้องจัดซื้อ ว่าเป็นการดำเนินการตามงบผูกพันที่ต้องเตรียมการจัดซื้อไว้แต่เนิ่นๆ กว่าจะจัดซื้อ และได้เรือดำน้ำมาต้องใช้เวลาอีกหลายปี อีกทั้งยังเป็นการผ่อนชำระเป็นงวดๆไม่ได้จ่ายครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม ประชาชนคงไม่รับฟัง ดูแล้วน่าห่วงต่อสถานการณ์การเมือง ดังนั้น ในการประชุมกมธ.งบประมาณฯวันที่ 26 ส.ค.นี้ ตนจะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาชั่งน้ำหนักให้ดี ถึงความขัดแย้งในประเทศที่จะตามมา ถ้ามีการซื้อเรือดำน้ำ กับความเสียหายที่ได้รับจากการเลื่อนซื้อเรือดำน้ำ อะไรจะเกิดผลกระทบมากกว่ากัน
"ถ้าเป็นไปได้อยากให้ที่ประชุม กมธ.งบฯ ทบทวนการจัดซื้อเพราะถ้าทำให้สถานการณ์การเมืองรุนแรงขึ้น ควรเลื่อนการจัดซื้อไปก่อน อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมจะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะมติของอนุ กมธ .ยังไม่ใช่มติชี้ขาด กมธ.ชุดใหญ่สามารถทบทวนได้ ก็ภาวนาให้กมธ.งบฯ ทบทวนเรื่องนี้" นายสุพล กล่าว
ปชป.จี้ทบทวนห่วงวิกฤตศก.มากกว่า
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่เห็นด้วยที่จะใช้เงินจำนวนมากไปซื้อเรือดำน้ำ ในขณะที่บ้านเมืองกำลังมีปัญหาเรื่องโควิด-19 ที่สร้างผลกระทบกับเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนจำนวนมาก เราควรยอมรับความจริงว่า ขณะนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง คนจำนวนมากวิตกกังวลเรื่องปากท้อง ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่สถานการณ์โควิด-19 ยังต้องอยู่กับเราไปอย่างไม่มีกำหนดแน่นอนว่าจะคลี่คลายเมื่อไร การใช้จ่ายเงินของภาครัฐ จึงควรใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดในการรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจ และสังคมที่ไม่ปกติเช่นในปัจจุบัน
"แม้กองทัพเรือจะอ้างว่าการมีเรือดำน้ำเป็นความจำเป็นทางด้านความมั่นคง แต่ในขณะที่บ้านเมืองยังมีปัญหาโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม ซ้ำเติมประเทศชาติ และประชาชนอยู่แบบนี้ ควรนำงบประมาณไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนจะดีกว่า จนกว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะคลี่คลายเข้าสู่สภาวะปกติค่อยพิจารณากันใหม่ได้ ส่วนที่มีความกังวลว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนนั้น ไม่น่าจะกังวลแต่อย่างใด เพราะจีนก็ทราบดีว่าไทยได้รับผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจ จากโควิด-19 อย่างไร จีนน่าจะเข้าใจและเห็นใจประเทศไทยมากกว่า ขอเรียกร้องให้ทบทวนชะลอการซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาทออกไปก่อน เพื่อนำงบประมาณไปใช้จ่ายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ที่กำลังประสบปัญหาอย่างมากอยู่ขณะนี้" นายองอาจ กล่าว
ทร.โต้พท.บิดเบือน เตรียมชี้แจงวันนี้
มีรายงานข่าวจากกองทัพเรือ ระบุ กรณีพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวนั้น เป็นการบิดเบือน และตัดตอน โดยพล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ได้สั่งการให้จัดแถลงข่าวในเรื่องดังกล่าว วันนี้ (24 ส.ค.)เวลา13.30 น. ที่ห้องชมวัง อาคารราชนาวิกสภา
สำหรับประเด็นที่เตรียมชี้แจงได้แก่ ความจำเป็นในเชิงยุทธศาสตร์ การจัดสรรงบประมาณของกองทัพเรือเอง โดยเลื่อนโครงการจัดหาเรือผิวน้ำโครงการจัดหาอากาศยานแล้วนำมาผูกพันงบประมาณในการจัดหาเรือดำน้ำ พร้อมทั้งเรื่องเอกสารข้อกฎหมายในการทำสัญญาแบบจีทูจี รวมทั้งอำนาจของ ผบ.ทร. ในการลงนามด้วย
วานนี้ (23ส.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พร้อมด้วยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะอนุกมธ.ครุภัณฑ์ ICTรัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน แถลงถึงกรณี การอนุมัติซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ที่ประชุม อนุกมธ. เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในตอนแรก มีมติเสมอกัน 4 ต่อ 4 แต่สุดท้ายนายสุพล ฟองงาม ประธานอนุกมธ.ฯ ลงมติเห็นชอบ ทั้งที่ตำแหน่งประธาน ไม่ควรลงมติ เนื่องจากต้องวางตัวเป็นกลาง แต่นายสุพล กลับมาออกเสียงด้วย ทำให้มติเป็น 5 ต่อ 4 เห็นชอบในการจัดซื้อเรือดำน้ำ
นายยุทธพงศ์ ยังได้แสดงเอกสารบันทึกข้อตกลงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่มีการระบุว่า เป็นสัญญาจีทูจี แต่เมื่อมาตรวจสอบกลับพบว่าไม่ใช่สัญญาจีทูจี แต่เป็นเพียงข้อตกลง และสัญญาที่เซ็นไป ก็เป็นเพียงแค่การจัดซื้อเรือดำน้ำ 1 ลำเท่านั้น ไม่มีลำที่ 2 หรือลำที่ 3 ไม่มีข้อผูกพันอะไร เอกสารที่ลงนามสัญญา ฝั่งไทย คือพล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ที่ดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารเรือ ในปี 2560 และฝั่งจีนที่ลงนามด้วย คือ บริษัทเอกชน ไม่ใช่รัฐบาลจีน
"ขอตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมจึงปกปิดเอกสารมาโดยตลอด หากเป็นสัญญาแบบจีทูจี ผู้ลงนามฝั่งไทยก็ไม่มีอำนาจลงนามแทนรัฐบาลไทย เพราะผู้มีอำนาจ คือ นายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ อีกทั้งยังไม่มีหนังสือมอบอำนาจจากรัฐบาลไทยด้วย และตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ ก็ไม่สามารถรับมอบอำนาจได้ คนที่รับมอบอำนาจได้ คือ รมว.กลาโหมเท่านั้น ดังนั้นสัญญาดังกล่าวจึงต้องเป็นโมฆะ แต่เรื่องนี้ในคณะอนุกมธ.ฯ กองทัพเรือไม่สามารถชี้แจงได้เลย อ้างแต่เรื่องความมั่นคงทางทะเล ทั้งที่ความอดอยากของประชาชนในขณะนี้สำคัญกว่าเรือดำน้ำ"
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า วันพุธที่ 26 ส.ค.นี้ คณะกมธ.งบประมาณชุดใหญ่ จะให้อนุกมธ.ชี้แจง เรื่องเรือดำน้ำ ตนจะเสนอให้กมธ.ชุดใหญ่ ทบทวนเรื่องนี้ และขอให้กองทัพเรือ นำหนังสือสัญญามาแสดง หากแสดงไม่ได้ สัญญาจะต้องเป็นโมฆะ เนื่องจากไม่มีความโปร่งใส และหากคณะกมธ.ชุดใหญ่ ดึงดันให้ผ่าน ก็จะขอให้มีการเปิดเผยชื่อ จะได้รู้ว่า ใครเห็นความสำคัญของเรือดำน้ำ มากกว่าความอดอยากของประชาชน แต่หากโหวตแล้วยังแพ้เสียงส่วนใหญ่ในซีกรัฐบาล ก็จะเดินหน้าเพื่อฟ้องกับประชาชน เพราะเรื่องนี้มีความไม่ชอบมาพากลอย่างมาก ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยประกาศว่า ที่เลือกเรือดำน้ำจีน เพราะได้ของคุณภาพดี ในราคาประหยัด ซื้อ 2 แถม 1 แล้วทำไมวันนี้ กลายเป็นว่าซื้อเรือดำน้ำทั้งหมด 3 ลำ แปลว่าอะไร
"หากนายกฯ ยังดึงดันที่จะซื้อเรือดำน้ำ เชื่อว่าจะเป็นจุดจบของรัฐบาล และหากรัฐบาลเดินหน้าต่อจะขอเชิญชวนประชาชน ให้ออกไปร่วมการชุมนุมกับนิสิต นักศึกษา เพื่อขับไล่รัฐบาล" นายยุทธพงศ์ กล่าว
"ประธานอนุครุภัณฑ์ฯ"ยอมถอย
ด้านนายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพปชร.ในฐานะ ประธานคณะอนุกมธ.ครุภัณฑ์ฯ ในคณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 64 กล่าวว่า การลงมติเห็นชอบการจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้ได้ถูกโยงไปเติมเชื้อสถานการณ์การเมืองให้แรงยิ่งขึ้น ถึงจะอธิบายเหตุผลความจำเป็นที่ต้องจัดซื้อ ว่าเป็นการดำเนินการตามงบผูกพันที่ต้องเตรียมการจัดซื้อไว้แต่เนิ่นๆ กว่าจะจัดซื้อ และได้เรือดำน้ำมาต้องใช้เวลาอีกหลายปี อีกทั้งยังเป็นการผ่อนชำระเป็นงวดๆไม่ได้จ่ายครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม ประชาชนคงไม่รับฟัง ดูแล้วน่าห่วงต่อสถานการณ์การเมือง ดังนั้น ในการประชุมกมธ.งบประมาณฯวันที่ 26 ส.ค.นี้ ตนจะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาชั่งน้ำหนักให้ดี ถึงความขัดแย้งในประเทศที่จะตามมา ถ้ามีการซื้อเรือดำน้ำ กับความเสียหายที่ได้รับจากการเลื่อนซื้อเรือดำน้ำ อะไรจะเกิดผลกระทบมากกว่ากัน
"ถ้าเป็นไปได้อยากให้ที่ประชุม กมธ.งบฯ ทบทวนการจัดซื้อเพราะถ้าทำให้สถานการณ์การเมืองรุนแรงขึ้น ควรเลื่อนการจัดซื้อไปก่อน อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมจะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะมติของอนุ กมธ .ยังไม่ใช่มติชี้ขาด กมธ.ชุดใหญ่สามารถทบทวนได้ ก็ภาวนาให้กมธ.งบฯ ทบทวนเรื่องนี้" นายสุพล กล่าว
ปชป.จี้ทบทวนห่วงวิกฤตศก.มากกว่า
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่เห็นด้วยที่จะใช้เงินจำนวนมากไปซื้อเรือดำน้ำ ในขณะที่บ้านเมืองกำลังมีปัญหาเรื่องโควิด-19 ที่สร้างผลกระทบกับเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนจำนวนมาก เราควรยอมรับความจริงว่า ขณะนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง คนจำนวนมากวิตกกังวลเรื่องปากท้อง ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่สถานการณ์โควิด-19 ยังต้องอยู่กับเราไปอย่างไม่มีกำหนดแน่นอนว่าจะคลี่คลายเมื่อไร การใช้จ่ายเงินของภาครัฐ จึงควรใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดในการรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจ และสังคมที่ไม่ปกติเช่นในปัจจุบัน
"แม้กองทัพเรือจะอ้างว่าการมีเรือดำน้ำเป็นความจำเป็นทางด้านความมั่นคง แต่ในขณะที่บ้านเมืองยังมีปัญหาโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม ซ้ำเติมประเทศชาติ และประชาชนอยู่แบบนี้ ควรนำงบประมาณไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนจะดีกว่า จนกว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะคลี่คลายเข้าสู่สภาวะปกติค่อยพิจารณากันใหม่ได้ ส่วนที่มีความกังวลว่าจะกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนนั้น ไม่น่าจะกังวลแต่อย่างใด เพราะจีนก็ทราบดีว่าไทยได้รับผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจ จากโควิด-19 อย่างไร จีนน่าจะเข้าใจและเห็นใจประเทศไทยมากกว่า ขอเรียกร้องให้ทบทวนชะลอการซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ วงเงิน 22,500 ล้านบาทออกไปก่อน เพื่อนำงบประมาณไปใช้จ่ายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ที่กำลังประสบปัญหาอย่างมากอยู่ขณะนี้" นายองอาจ กล่าว
ทร.โต้พท.บิดเบือน เตรียมชี้แจงวันนี้
มีรายงานข่าวจากกองทัพเรือ ระบุ กรณีพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวนั้น เป็นการบิดเบือน และตัดตอน โดยพล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ได้สั่งการให้จัดแถลงข่าวในเรื่องดังกล่าว วันนี้ (24 ส.ค.)เวลา13.30 น. ที่ห้องชมวัง อาคารราชนาวิกสภา
สำหรับประเด็นที่เตรียมชี้แจงได้แก่ ความจำเป็นในเชิงยุทธศาสตร์ การจัดสรรงบประมาณของกองทัพเรือเอง โดยเลื่อนโครงการจัดหาเรือผิวน้ำโครงการจัดหาอากาศยานแล้วนำมาผูกพันงบประมาณในการจัดหาเรือดำน้ำ พร้อมทั้งเรื่องเอกสารข้อกฎหมายในการทำสัญญาแบบจีทูจี รวมทั้งอำนาจของ ผบ.ทร. ในการลงนามด้วย