xs
xsm
sm
md
lg

บีบหนัก! “อัษฎางค์” จับไต๋ “ทอน” ชี้เป้า “สถาบัน” “ช่อ-ปิยบุตร” ต้องแก้ “หมวดกษัตริย์” “ลี้ภัย” เติมไฟ “รัฐประหาร”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากแฟ้ม
ระวัง!บีบจนไม่มีทางเลือก “อัษฎางค์” จับไต๋ “ทอน” ชี้เป้าให้คนด่า “สถาบัน”? “ช่อ-ปิยบุตร” ดันทุรังสูง ต้องแก้ “หมวดกษัตริย์” “ตู่-จตุพร” ถามม็อบเอาอะไรแน่ ฟันธง ถ้ายึดตามข้อเรียกร้อง 10 ข้อ “รัฐประหาร” แน่

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (21 ส.ค. 63) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์หัวข้อ “ธนาธรปกป้องหรือโจมตีสถาบันฯ? โดยระบุว่า

“ก่อนอื่นขอบอกว่า ผมไม่ได้บอกว่า ธนาธรปกป้องหรือโจมตีสถาบันฯ แต่คนยี่ห้อธนาธรนั้น ทั้งเขาและเรา รวมทั้งคนไทย รู้กันอยู่แก่ใจ ว่ายี่ห้อนี้ ปกป้องหรือโจมตีสถาบันฯ
มีคนถามมาตลอดว่า เห็นคนแชร์กัน โดยโจมตีว่า ทำไม ประชาชนลำบากยากจน แต่รัฐบาลเอางบประมาณแผ่นดินจากเงินภาษีของประชาชน ไปถวายให้ในหลวงใช้ตั้งปีละ 3 หมื่นล้าน ในหลวงคนเดียวใช้เงินอะไรตั้ง 3 หมื่นล้าน

คือ พูดกันตรงๆ แบบที่ชาวบ้านโดนหลอก ให้เมาท์กันสนั่นเมืองว่า ในหลวง ผลาญเงินภาษีของประชาชน
วันนี้มีคำตอบ !
............................................................................
ธนาธรรู้อยู่เต็มอก เหมือนพวกเราอีกจำนวนมาก ว่า งบประมาณในหน่วยราชการในพระองค์ ไม่ใช่เงินที่ถวายให้ในหลวงใช้ส่วนตัว แต่เป็นงบที่หน่วยงานนั้นใช้

ขอยกตัวอย่าง หนึ่งในหน่วยงานที่สังกัดอยู่ในหน่วยราชการในพระองค์ คือ กรมทหารราบ ร.1 ร.11 ซึ่งก็คือหน่วยงานของกองทัพ ที่ย้ายจากกลาโหม มาเป็นหน่วยงานส่วนพระองค์

แล้วหน่วยงานกองทัพต้องใช้เงินงบประมาณสูงเป็นปกติอยู่แล้ว ยกตัวอย่าง เช่น มันมีงบซื้ออาวุธ แต่แทนที่มันจะโชว์ที่กลาโหม มันก็เปลี่ยนมาโชว์เป็นงบประมาณของหน่วยราชการในพระองค์

คนเลยเอาไปบิดเบือนได้ง่ายว่า งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน ถวายให้ในหลวงใช้ (ส่วนตัว) สูงมาก ผิดปกติ

พอเข้าใจมั้ยครับ
คือเงินงบประมาณในส่วนนี้ คืองบของหน่วยราชการในพระองค์ ไม่ใช่เงินที่ถวายให้ในหลวงใช้ส่วนพระองค์
............................................................................
คนไทยเป็นคนอ่านน้อย อย่างที่เขาพูดกันว่า อ่านไม่เกิน 8 บรรทัด แต่เนื้อหาที่ธนาธรพูดมายาวเป็น 80 บรรทัด คนที่อ่านแค่ 8 บรรทัดแรก ก็จะจบด้วยความเข้าใจผิดว่า
งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน ถวายให้ในหลวงใช้ (ส่วนตัว) สูงมาก ผิดปกติ

แต่ถ้าอ่านครบ 80 กว่าบรรทัด ก็จะเห็นข้อความที่ธนาธรพูดอย่างสวยงามว่า เข้าใจ ว่างบประมาณตรงนั้นในหลวงไม่ได้เอาไปใช้จ่ายส่วนพระองค์ แต่เป็นงบของ “หน่วยราชการในพระองค์” ซึ่งชื่อ “หน่วยงานในพระองค์” ไม่ได้หมายความว่า เป็นเงินที่เอาไว้ใช้ส่วนตัว แต่เป็นหน่วยงานราชการหน่วยงานหนึ่ง เหมือนหน่วยงานราชการทั่วไป แค่มีชื่อลงท้ายว่า หน่วยงานราชการ “ส่วนพระองค์” เท่านั้น

เพราะฉะนั้นพออ่านถึง 80 บรรทัดจะเจอข้อความนี้ ลองอ่านกันดู
............................................................................

ภาพ จากเฟซบุ๊กของนายอัษฎางค์ ยมนาค
ธนาธร...
“ท่านประธานครับ เหตุผลที่ผมถามคืออย่างนี้ครับ ทีแรกผมคิดว่าเมื่อปี พ.ศ. 2563 ที่มีการผ่าน พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ (พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562) ราบที่ 11 และราบที่ 1 จากกระทรวงกลาโหมให้กับส่วนราชการในพระองค์

“ผมเข้าใจว่างบที่เพิ่มขึ้นของส่วนราชการในพระองค์ คือ การรับงบประมาณของราบที่ 1 และราบที่ 11 มาจากกระทรวงกลาโหม”
............................................................................
ข้อความตรงนี้ของธนาธร (ขีดเส้นใต้ไว้เลย) ชี้ให้เห็นว่า เขาเข้าใจว่า “งบที่เพิ่มขึ้นของส่วนราชการในพระองค์ คือ การรับงบประมาณของราบที่ 1 และราบที่ 11 มาจากกระทรวงกลาโหม”

แล้ว สาเหตุที่งบประมาณในส่วนของ หน่วยราชการในพระองค์สูง ก็เพราะเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณของกองทัพ เพียงแต่ปัจจุบันถูกย้ายออกจากกองทัพไปสังกัด หน่วยงานราชการส่วนพระองค์

ส่วนข้อความในท่อนต่อไป ธนาธน พูดว่า....
............................................................................
“เพราะงบของกองทัพบกปีนี้ก็ “ลดลง” แต่จากเอกสารของกระทรวงกลาโหม ผมพบว่า การโอนกำลัง โอนไปแต่บุคลากร แต่กระทรวงกลาโหมยังถืองบประมาณไว้อยู่ ซึ่งก็คือปีละประมาณ 1,200 ล้านบาท ดังนั้นถ้าเป็นไปตามนี้หมายความว่า งบที่ “เพิ่มขึ้น” เกิดจากส่วนราชการในพระองค์เอง”

ข้อความตรงนี้ ธนาธร พยายามจะบอกว่า ลดลง หรือ เท่าเดิม กันแน่ แกล้งพูดวกไปเวียนมา ให้คนอ่านสับสนรึป่าว
............................................................................
ใครอ่านดีๆ ก็คงเข้าใจดีว่า เมื่อแยก ราบ 1 และ ราบ 11 ออกจากกลาโหม ไปหน่วยงานราชการส่วนพระองค์แล้ว ทำให้งบประมาณในส่วนของ หน่วยงานราชการส่วนพระองค์เพิ่มขึ้น (ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ)

ส่วนที่ผิดปกติ (ตามความเห็นของธนาธร) คือกลาโหม เพราะงบประมาณของกลาโหม ยังคงเท่าเดิม

เพราะฉะนั้น ถ้ายึด “ตามความเห็นของธนาธร” งบประมาณในส่วนของ “หน่วยราชการในพระองค์ เป็นปกติ” แต่ที่ผิดปกติคือ กลาโหม

เพราะฉะนั้น ธนาธร ต้องชี้เป้าให้คนจับตาหรือโจมตีก็แล้วแต่ ไปที่กลาโหม

ธนาธร กลับไปชี้เป้าให้คน “จับตาหรือโจมตีในหลวง” ผ่าน หน่วยงานราชการส่วนพระองค์ หรือไม่?
............................................................................
“ท่านประธานครับ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ ในภาวะวิกฤต เมื่อทุกหน่วยงานต่างพยายามตัดลดงบประมาณ เมื่อพี่น้องประชาชนและข้าราชการต่างก็ร่วมมือร่วมใจกันเสียสละ อดทน ต่อสู้ไปด้วยกัน หากส่วนราชการในพระองค์ยอมตัดลดงบประมาณลง ย่อมทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สูงเด่นขึ้น เพราะเมื่อประชาชนมองมาก็จะเห็นได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน”

ถ้าอ่านผ่านๆ มันดูเหมือนธราธรกำลังปกป้องสถาบันฯ

แต่อ่านดูดีๆ นี้มันไม่ใช่ธนาธร กำลังปกป้องสถาบันฯ แต่กำลังพูดให้ตัวเองดูดี ด้วยการชี้เป้าให้คนโจมตีสถาบันฯ หรือไม่?

เพราะอย่างที่ผมอธิบายไปแล้วว่า งบประมาณที่เพิ่มขึ้นในส่วนของหน่วยราชการในพระองค์ ความจริงคืองบเดิมของกระทรวงกลาโหม เพียงแต่ถูกโอนย้ายสังกัดจากกลาโหมไปเป็นหน่วยราชการในพระองค์

แปลว่า งบประมาณในส่วนของหน่วยราชการในพระองค์ เป็นปกติ แต่ที่ผิดปกติ คืองบประมาณของกลาโหมที่ยังเท่าเดิม
แต่ธนาธร ใช้วิธี ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว หรือไม่?
ว่า งบประมาณในส่วนของหน่วยราชการเพิ่มขึ้น และในส่วนของกลาโหมก็เพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่ กลาโหมเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น (ตามความเห็นของธนาธร)
............................................................................
“ท่านประธานครับ อย่างไรฝากสำนักงบประมาณนะครับ จาก chart (แผนภูมิ) ที่ผมได้นำเสนอให้ดูแล้วว่า ในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2561 ถึงปี 2564 มีการ revise (แก้ไขใหม่) งบประมาณเพิ่มขึ้นในอัตราที่น่าตกใจทุกปี

ผมเองก็เกรงว่า ถ้าไม่โปร่งใส จะทำให้พระเกียรติเสื่อมเสีย ก็ฝากให้ท่านช่วยนำข้อความของผมไปถึงส่วนราชการในพระองค์ด้วย ด้วยความหวังดีนะครับ ขอบคุณครับ”
............................................................................
เมื่อธนาธรพูดว่าเข้าใจ แล้วทำไมยังเหมือนว่า ชี้เป้าให้คนโจมตี ทั้งกลาโหม และหน่วยงานราชการส่วนพระองค์ ซึ่งธนาธนน่าจะรู้อยู่ว่า ชาวบ้านจะเข้าใจผิดว่า เป็นงบประมาณที่ให้ในหลวงใช้ส่วนตัว

ธนาธร พูดหล่อๆ ว่า เป็นห่วงว่าประชาชนจะเข้าใจผิด จะทำให้ในหลวงเสื่อมเสียพระเกียรติ ซึ่งฟังเหมือนธราธรกำลังปกป้องสถาบันฯ

แต่ความจริง ธนาธรกำลังชี้เป้าให้คนโจมตีสถาบัน หรือไม่?
............................................................................
หมายเหตุ ไม่ได้เจาะจงว่า ธนาธรคือไอ้โม่ง เพราะคำว่าไอ้โม่ง คือ คนที่ปิดหน้า และทำกันเป็นขบวนการ แต่เอาธราธรมาเป็นตัวอย่าง เพราะสิ่งที่ธนาธรพูดออกมา ช่วยเปิดอธิบายและจุดประสงค์ของไอ้โม่ง

เรื่องมันยาวและเข้าใจยากสักหน่อย ด้วยคารมคมคายของคนรูปหล่อ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านอ่านรอบเดียวไม่เข้าใจ โปรดอ่านซ้ำ เพราะผมก็อ่านอยู่หลายรอบถึงเข้าใจว่า ธนาธรเล่นคำ หรือเล่นกล หรือเล่นใคร อยู่หรือไม่
https://www.facebook.com/382592748811072/posts/918985981838410/?extid=5tWByQFSoo9wjnWw&d=n
https://progressivemovement.in.th/article/1001/

ภาพ “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน ด้านเพจคณะก้าวหน้า-Progressive Movement โพสต์คลิป น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้าที่พูดประเด็นพระมหากษัตริย์ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน โดยยกกรณีกษัตริย์สเปน ว่า ขานรับกระแสมวลชน คือ หนทางรอดของฝ่ายอนุรักษนิยมในสเปน

โดยระบุว่า “สเปน หนึ่งในประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อันมั่นคงแข็งแรง กำลังเดินทางผ่านหมุดหมายใหญ่ทางการเมือง เมื่อสถาบันกษัตริย์ถูกตั้งคำถามอย่างหนักจากคดีอื้อฉาวทางการเงิน

อดีตกษัตริย์ ฆวน การ์โลส ถูกตั้งข้อหาพัวพันในคดีฟอกเงินระดับนานาชาติ กลายเป็นกระแสกดดันในประเทศ แม้แต่ฝ่ายกษัตริย์นิยมในสเปนก็ต้องขานรับ ปรับตัวด้วยการที่นายกฯ ต้องเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ หมวดที่ว่าด้วยการคุ้มครองกษัตริย์ไม่ต้องให้รับผิดตามกฎหมาย รวมถึงให้กษัตริย์ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินตามมาตรฐานเดียวกับนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เพื่อลดกระแสความไม่พอใจจากสาธารณชนที่อาจบานปลายไปถึงขั้นขอกลายเป็นสาธารณรัฐ ซึ่งรัฐธรรมนูญเปิดทางให้ทำได้ผ่านการประชามติ

ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อให้สถาบันกษัตริย์ เคียงคู่กับระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคงและสง่างาม”

ภาพ นายปิยบุตร แสงกนกกุล จากแฟ้ม
เช่นเดียวกัน ที่รัฐสภา นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ข้อเสนอการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ควรทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นเจ้าของร่วมกันกับรัฐธรรมนูญฉบับที่จะมีการยกร่างใหม่ มีฉันทามติร่วมกัน หลังที่ประชุมรัฐสภารับหลักการและมีการตั้งกรรมาธิการแล้ว ควรยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 269-272 เพื่อยกเลิก ส.ว.ชุดปัจจุบัน และหาก ส.ว.จะคัดค้านเพื่อปกป้องตัวเอง คงดูไม่จืด เพราะ ส.ว. ต้องตระหนักว่า เป็นจุดด่างดำของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และหาก ส.ว. ต้องการกลับเข้าทำหน้าที่ ก็ควรเข้าสู่กระบวนการตามปกติ

“ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ควรห้าม ส.ส.ร. แก้ไขในหมวด 1- 2 เนื่องจาก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองของรัฐได้ และหากมีการล็อกห้าม ส.ส.ร.แก้ไขในหมวด 1 หรือ หมวด 2 (พระมหากษัตริย์) ก็อาจจะเกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่หลังทูลเกล้าฯ มีพระราชกระแสรับสั่งให้มีการแก้ไขในหมวด 2”
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk ที่น่าสนใจ เมื่อพูดถึงข่าวลือรัฐประหาร

นายจตุพร กล่าวว่า โดยไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองใน 10 ข้อเสนอ ซึ่งข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ มีขึ้นระหว่างชุมนุมที่ธรรมศาสตร์จะไม่ทนเมื่อ 10 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ในบางเวที

“ถ้าการชุมนุมยึดหลักเรียกร้อง 3 ข้อ 2 จุดยืน 1 ความฝันแล้ว ปลายทางได้ประชาธิปไตย ถ้าขยับไปถึงการเรียกร้อง 10 ข้ออีก ท้ายที่สุดจะหนีไม่พ้นการรัฐประหาร”

อีกอย่างข่าวลือการรัฐประหาร มาจากคนไทยลี้ภัยในประเทศฝรั่งเศส และญี่ปุ่น เปิดเผยออกมา ดังนั้น หากการเคลื่อนไหวมี 10 ข้อมาผสมด้วยจะจบลงด้ายการยึดอำนาจ วันนี้เราต้องถามกันว่า เราต้องการอะไร ถ้าต้องการประชาธิปไตยที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องยืนตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ 2 จุดยืน 1 ความฝัน แต่หากเอาตามข้อเรียกร้อง 10 ข้อ จะได้เผด็จการ 100%...
แน่นอน, ทั้งหมดเป็นเรื่องที่คนไทยต้องใช้วิจารณญาณอย่างมีเหตุผล ในการตัดสินใจทางการเมือง เมื่อมีโอกาส ท่ามกลางกระแสต่อสู้ระหว่าง ประชาธิปไตยแบบไทย กับ ประชาธิปไตยแบบตะวันตก ซึ่งเป้าหมายในการล้มล้างก็อย่างที่คนไทยรับรู้อย่างชัดเจนแล้วในเวลานี้

เหนืออื่นใด ที่ต้องระวังอย่างสูง ก็คือ การบีบให้ไม่มีทางเลือก อาจนำมาสู่การยึดอำนาจอีกครั้ง และดูเหมือนบางฝ่ายก็ต้องการเช่นชั้น เพราะพวกเขาเชื่ออยู่ลึกๆ ว่า ประชาชนจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ม็อบเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ฮึ่มๆ อยู่ในเวลานี้

และประวัติศาสตร์ก็สอนให้รู้อยู่แล้วว่า จะนำไปสู่การปราบปราม กล้าหรือไม่ ถ้ากล้าปราบปราม หรือ ทำให้เกิดความรุนแรง คนบางกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังก็จะฉวยโอกาสทำให้เกิดสงครามกลางเมือง และนำต่างประเทศเข้ามาแทรกแซง เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง

หมากเกมนี้ วิเคราะห์ไม่ยาก หากแต่จะปล่อยให้มันล่วงเลยไปถึงขั้นนั้นหรือไม่ หลายคนเตือนเอาไว้แล้ว ถ้ายังคิดว่าเป็นเรื่องไกลเกินตัว ก็ไม่รู้จะเตือนอะไรอีกแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น