MGR Online - ประธาน นปช.ลั่น นปช.ยึดระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เตือนกลุ่มปลดแอกฯ ยึด 3 ข้อ หยุดคุกคาม ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยุบสภาไว้จะไปถึงปลายทางแน่ แต่ถ้าเรียกร้อง 10 ข้อทะลุเพดานจะเห็นการรัฐประหารและได้เผด็จการแน่นอน
ช่วงบ่ายวันนี้ (16 ส.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้กล่าวผ่าน รายการลมหายใจ PEACE TV กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะประชาชนปลดแอก บริเวณอนุสาวรีย์ชัยประชาธิปไตย โดยระบุว่า วันนี้ตนขอใช้คำว่า “16 สิงหา วันแห่งอนาคต”
“ผมนั้นเป็นประธาน นปช. มีอุดมการณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน และที่ผมต้องยืนหยัดเรื่องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น เพราะเป็นอุดมการณ์หลัก 1 ใน 6 ข้อของ นปช.ตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งบัดนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น” นายจตุพรกล่าว
จากนั้นนายจตุพรกล่าวว่า ผู้จัดงานจากคณะประชาชนปลดแอกในวันนี้น่าจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์หลายอย่างหากยืดหยัดใน 3 ข้อเรียกร้อง คือ หยุดคุกคามประชาชน ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และยุบสภา โดยยืนยันจุดยืน 2 เรื่อง ของการไม่เอารัฐประหาร และรัฐบาลแห่งชาติ ทั้งนี้ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาสังคมเพิ่งเคยเห็นขบวนการของคนหนุ่มสาวที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งข้อเรียกร้องก็มีความชอบธรรม จึงมีการขานรับจากประชาชนทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน รวมถึงภาคประชาชน
อย่างไรก็ตาม ประธาน นปช.มองว่า การดำรงความมุ่งหมาย 3 ข้อ 2 จุดยืน เพื่อให้ไปถึงปลายทางคือประชาธิปไตย โดยไม่ไปเกี่ยวกับ 10 ข้อเรียกร้องที่มาทีหลัง เนื่องจากหากไปเรียกร้อง 10 ข้อ ตนรับประกันว่า สังคมไทยจะได้เผด็จการ หรือการรัฐประหารแน่นอน
“นี่ต้องพูดอย่างหมดก้นบึ้ง ... ผมสนับสนุนแนวทาง 3 ข้อ 2 จุดยืนอันนี้ เพราะเป็นความชอบธรรมที่ไม่มีใครที่จะปฏิเสธกันได้ แต่ทันทีที่เสนอแนวทางทะลุเพดานกันนั้น หาหนทางชนะไม่เจอ และที่สำคัญที่สุดนั้น ในขบวนการการต่อสู้นั้น ประวัติศาสตร์ก็อธิบายความว่า เวลามีเรื่องทะลุเพดาน มีคนจัดการให้ ไม่ใช่จัดการเองเหมือนดังเช่นปัจจุบัน” นายจตุพรกล่าว จากนั้นจึงกล่าวถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 6 ตุลาคม 2519
“ถ้าเหนือจากข้อเรียกร้องและจุดยืนแล้ว ไอ้ที่เห็นมันไม่น่ากลัว ไอ้ที่น่ากลัวคือไม่เห็น และผมก็เชื่อว่าจุดจบก็คือภายในรุ่งสาง ก็แอ่นแอ๊นกันไป”
นายจตุพรกล่าวต่อว่า คนหนุ่มสาวทุกวันนี้ต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ และตัดไฟแต่ต้นลม ทั้งยังต้องแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ตนเชื่อว่าจะได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ พร้อมทั้งเตือนว่าการต่อสู้ที่เน้นเพียงแค่อารมณ์และความสะใจนั้นไม่มีวันชนะ
"เพราะฉะนั้น การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เรายืนยันว่าเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งก็ยืนกรานมา 14 ตุลาก็ยืนอย่างนี้ แต่ละเหตุการณ์ก็ยืนอย่างนี้ พฤษภาทมิฬก็ยืนอย่างนี้ เมษา-พฤษภาปี 53 เราก็ยืนอย่างนี้จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ..." ประธาน นปช.ระบุ และว่าประเทศไทยไม่เคยมีประชาธิปไตย 100% แม้แต่เพียงวันเดียวนับตั้งแต่ปี 2475 แต่ทั้งโลกก็ไม่มีเต็มใบ จะมากหรือจะน้อยเท่านั้นเอง แต่ของประเทศไทยนั้นไม่ถึงครึ่งใบ ซึ่งนี่คือโลกแห่งความเป็นจริง