นี่คือความจริง! แฉ “สถานทูต-เอ็นจีโอ” อีแอบ? ให้เงินแทรกแซง “ม็อบเยาวชนปลดแอก” “ดร.กิตติธัช” ชี้ ถือเป็น “กบฏ-ทรยศชาติ” “ดร.นิว” ขานรับช่วย “ภูมิวัฒน์” เปิดโปงเต็มที่ ขณะ “เพนกวิน” ยังห้าว เดินหน้า “ปฏิรูปสถาบัน”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (18 ส.ค. 63) เฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ของ ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง
โพสต์ประเด็น เนื่องจากกรณี นายภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมนวชีวิน (New Life Network) ที่อดข้าวประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาลก่อนหน้านี้ และแนวร่วมม็อบเยาวชนปลดแอก โพสต์เฟซบุ๊กประกาศแตกหักไม่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกแล้ว พร้อมแฉเบื้องหลังรับเงินสถานทูตและเอ็นจีโอ ระบุว่า
“เรื่องขัดแย้งในกลุ่มพวกเขา ก็ปล่อยเขาไป แต่ที่สังคมไทยและม็อบเองควรสนใจคือ “#เงินเคลื่อนไหวที่มาจากสถานทูต และ #NGOต่างชาติ” คือ สถานทูตไหน และองค์กรใด
(หลายคนอาจรู้อยู่แล้วว่าสถานทูตชาติไหน และองค์กร NGO อะไรบ้าง)
เพราะเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รัสเซีย หรือประเทศไหนๆ ก็ตามที่มีอธิปไตยสมบูรณ์ของตนเอง ย่อมถือว่า เป็นการ “แทรกแซงทางการเมือง” ระหว่างรัฐ
และตามข้อกฎหมาย หรือ รธน. ในแต่ละประเทศ ผู้กระทำการเหล่านั้น ย่อมถือเป็นความผิดฐาน กบฏ หรือ ทรยศต่อชาติบ้านเมือง (Treason)
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์หัวข้อ “#SAVEภูมิวัฒน์”
เนื้อหาระบุว่า “ขอฝากถึงน้องภูมิวัฒน์ หากน้องภูมิวัฒน์ต้องการที่จะเปิดโปง ขบวนการแทรกแซงประเทศไทย ที่มีสถานทูตของชาติตะวันตก คอยให้การสนับสนุนทางการเงินผ่าน NGOs รวมถึงเครือข่ายนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของม็อบ ปลุกระดมล้างสมองด้วยข้อมูลด้านเดียวที่บิดเบือนผ่านโซเชียลมีเดีย หลอกใช้เยาวชนและประชาชนชาวไทยเป็นเครื่องมือทางการเมือง
พี่ยินดีช่วยประชาสัมพันธ์ต่อเต็มที่ครับ”
ทั้งนี้ วันนี้ ในสังคมโซเชียลมีการเผยแพร่ข้อความจาก เฟซบุ๊ก Pumiwat Rangkasiwit หรือ นายภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมนวชีวิน (New Life Network) โพสต์ข้อความ ระบุว่า “ผมจะไม่มีวันสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกต่อไปแล้ว จะสู้แบบไหน ก็สู้แค่เพื่อให้ได้ผู้กดขี่คนใหม่ และทิ้งคนอื่นๆ ไว้ข้างหลัง หักความฝันของคนที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง
พี่ๆ ก็ดูไว้นะครับ ว่าผมเป็นมดงานพวกพี่มากี่ปี เป็นหนึ่งในคนที่พวกพี่บีบเค้นแรงงาน ให้เป็นบันได ให้เป็นที่เหยียบย่ำจนสามารถไปรับเงินสถานทูต นั่งรับเงินเดือนในตำแหน่งสำคัญๆ รับงานจาก NGO ต่างประเทศ เคลื่อนไหวตามการล็อบบี้ หรือตกเศษเงินให้น้องๆ หน้าใหม่ แต่ตัวเองหักไว้กินเอง 90% ผมไม่เอาด้วยหรอก ประชาธิปไตยส้น...นี่ที่ทำให้ผมต้องเสียเพื่อน เสียความรู้สึกกับคนที่ผมรัก เสียคนที่เคยเคียงข้างกันเป็นมิตรภาพที่งดงาม”
หลังจากข้อความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป นายภูมิวัฒน์ โพสต์อีกครั้ง ระบุว่า “ไหนๆ ก็มีพี่ๆ จากเพจ The METTAD ตามมาอ่าน และให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แล้ว ผมเองก็เกรงว่าจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ เลยอยากใช้พื้นที่ตรงนี้อธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะครับ ผมเอง เคลื่อนไหวในการต่อต้านคณะรัฐประหารนับตั้งแต่วันแรก ในฐานะเยาวชน และนักเคลื่อนไหวอิสระที่ไม่เห็นด้วยกับที่มาของอำนาจฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติที่ไม่มีความชอบธรรม
ผม จึงไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งส่วนใด และไม่เคย “ถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่ง” ของขบวนไหนมาตั้งแต่ต้น ที่พูดแบบนี้ ก็เพราะไม่เคยมีส่วนร่วมในระดับใด นอกจากการช่วยแบกของ ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ แม้จะมีค่ายหรืออะไร ก็ไม่เคยถูกชวนไป มีระยะหนึ่งที่ผมได้ร่วมงานการเมืองกับพรรคที่พวกที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ค่อยจะนิยมเท่าไหร่นัก (โดยไม่คำนึงว่า ถ้าไม่ทำ กูจะเอาอะไรกิน) ก็โดนตัดขาดจากความเป็นเพื่อนบ้าง ถูกทำให้กลายเป็นคนไม่รู้จักกัน
ในขณะที่หลายคนได้ถูกชักชวนไปทำงาน ณ พรรคแห่งหนึ่ง ผมและเพื่อนหลายคนไม่ได้ถูกชวนไป หรือถูกชวนไปก็กลายเป็นลูกจ้างระดับต่ำที่ค่าแรงออกไม่ตรงเวลา หรืออยู่ในพื้นที่ซึ่งอ้างว่าเปิดความคิดเห็น แต่ไม่ถูกรับฟัง เพราะระดับของการศึกษา ระหว่างทาง ผมได้เจอหลายคนที่ต้องเจ็บปวด ต้องเสียใจ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องส่วนตัว (ทั้งแบบเรื่องส่วนตัวจริงๆ หรือการนำเรื่องส่วนตัวมาใช้โจมตีกัน) ได้ถามหลายๆ คน บางคนไม่ขอตอบ บางคนไม่ขอพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป
หลายคนได้ระบายออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะฉะนั้น เรื่องที่ผมพูด ไม่ได้เพียงมาจากสิ่งที่ผมได้เห็น แต่ยังเป็นประสบการณ์ร่วมที่หลายๆ คนได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการที่ขาดการมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะด้วยความบอบช้ำทางจิตใจที่ไม่สามารถทำใจได้ว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นมาจากเพื่อนร่วมทาง คนที่เคยพูดเรื่องนี้ไปก่อนผม บางคนโดนปล่อยภาพว่า ไปกินเหล้ากับตำรวจ เลยโดนบอกว่า เป็นสาย ทั้งๆ ที่ภาพนั้นแ...งมาจากคนที่ปล่อยซึ่งแม่งก็ไปกินด้วยกัน
บางคนที่เอาเรื่องเหล่านี้ไปพูด โดนโทร.ขู่ทำร้าย บ้างเองก็ถึงขั้นโดนขู่วางเพลิง (มีช่วงหนึ่ง ที่พวกอกหักเอามาย้อนคุยกัน ว่าเป็นช่วงที่นักกิจกรรมเข้าโรงพยาบาลบ้ากันเป็นโขยง ก็ตลกๆ ดี)
ในเรื่องหาเศษหาเลยนั้น ผมยังยืนยันอยู่ว่า แทบจะทั้งหมด ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว หรือที่มาจากการบริจาคของพี่น้องผู้ศรัทธาในตัวเหล่าคนที่เป็นนักสู้ และผมยังยืนยันได้ว่า มันแทบจะทุกคนที่ร่วมทาง ที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบในการสูญเสียโอกาสทางอนาคตหลายๆ ทาง ในขณะพวกที่เป็น “ลูกอีแอบ” บางคน ยังมีอนาคตเต็มที่ และไม่กลับไปทักทายคนเหล่านั่นราวกับว่าไม่เคยรู้จักกัน
บนทางของผม มันคือการต่อสู้กับเหล่ามิตร ผมจึงเคยอกหัก แต่กลับมาต่อสู้อีกครั้ง เคลื่อนไหวอีกครั้งบนเส้นทางของตัวเองและแนวร่วม ที่ถอดบทเรียนความผิดพลาด และเจ็บช้า ถ้าผมจะตาสว่างจากอะไร ผมก็คงตาสว่างจากเหล่าผู้กดขี่ ทั้งผู้กดขี่ต่อประชาชน และผู้กดขี่ที่เป็นวีรชนเอกชน ที่เหยียบหลังผู้อื่นไปบนเส้นทางประชาธิปไตย การต่อสู้ของผมต่อเหล่าผู้มีอำนาจเหล่านี้จะไม่มีวันจบ จนกว่าสังคมนี้จะมีเสรีภาพ เสรีภาพที่แท้จริงที่ไม่ใช่เพียงแต่ต้องพูดเรื่องของผู้มีอำนาจได้อย่างหมดเปลือก แต่ยังต้องพูดถึงความไม่ชอบมาพากลทุกอย่างได้ในทุกระดับ
การต่อสู้ของผมต่อ จะยังดำเนินไปจนกว่าเราจะมีสังคมที่ไร้ซึ่งความเหลื่อมล้ำ ทางโอกาส ทางอำนาจ ทางสังคม ทางการศึกษา แม้แต่ในทางที่เหลื่อมล้ำในระดับการมีส่วนร่วมกับกระบวนการทางประชาธิปไตยทุกรูปแบบ อย่านับผมว่า เป็นฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่ผมกลับมายืนบนสนามนี้ ผมเลิกเรียกตัวเองว่าแบบนั้นไปแล้ว ผมนับว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ จะสู้แบบที่ต้องมีผู้กดขี่คนใหม่ ผมไม่สู้ด้วย และถ้ามีผู้กดขี่คนใหม่ ผมนี่แหล่ะ จะหาทางฆ่าพวกแม่งก่อนใครเลย...
สำหรับ นายภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ หรือ จอห์น วัย 20 ปี แกนนำกลุ่มแนวร่วมนวชีวิน (New Life Network) ก่อนหน้านี้ เคยอดข้าวหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อประท้วงการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาปากท้อง ปรับปรุงสวัสดิการของรัฐ และมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ตกงานทันที หากรัฐบาลไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องเหล่านี้ให้ลาออกไป นอกจากนี้ ยังเคยร่วมกับกลุ่มทวิตเตอร์ จัดกิจกรรมวิ่งแฮมทาโร่ไล่รัฐบาลอีกด้วย
.
ซึ่งหลังจากที่ นายภูมิวัฒน์ โพสต์ข้อความดังกล่าวไปเมื่อช่วงคืนที่ผ่านมา ขณะนี้เฟซบุ๊กที่เจ้าตัวใช้ก็หายไปจากโลกโซเชียลโดยไม่ทราบสาเหตุ
------------------------------
แหล่งข่าว
https://www.thansettakij.com/content/445933
ด้าน เฟซบุ๊ก “เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak” ของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“ขอบคุณพี่น้องทุกคนที่ #สนับสนุน10ข้อเรียกร้อง ของเรา ข้อเรียกร้องของเราทั้ง 10 ข้อ ถือเป็นหลักการขั้นพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่นเดียวกับ อังกฤษ ญี่ปุ่น หรือประเทศสแกนดิเนเวีย ผมและเพื่อนๆ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ขอยืนยันว่า เราจะยึดมั่นในข้อเรียกร้องทั้ง 10 ข้อและจะต่อสู้เพื่อทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาชนต่อไป เพราะสู้ทั้งที ถ้าไม่สู้ให้ถึงต้นตอก็ไม่มีวันจบในรุ่นเรา”
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ หลายคนคลางแคลงใจมาตลอด ว่า เหตุใด ม็อบเยาวชนปลดแอก จึงเกิดขึ้นเหมือนมีการจัดตั้ง เหมือนมีงบประมาณสนับสนุนจากที่ใดสักแห่งหรือหลายแห่ง ที่หวังใช้เยาวชนไทยเป็นเหยื่อ โดยมีคนระดับแกนนำคอยชัดใยอยู่เบื้องหลัง จนมีลักษณะร่วมกันอย่างเป็นขบวนการ
แล้วที่เห็นได้ชัดอีกอย่าง ทุกครั้งที่อำนาจรัฐ-ราชการ บังคับใช้กฎหมาย กับการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายม็อบเยาวชนดังกล่าว ก็จะมีองค์กรต่างประเทศหลายองค์กร ออกมาปกป้อง และดิสเครดิตอำนาจรัฐ-ราชการ จนกลายเป็นเรื่องใช้อำนาจคุกคาม ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือรักษาอำนาจ และกระทำรุนแรงต่อผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นเยาวชน ทั้งหลายเหล่านี้ มักเกิดขึ้นทุกครั้ง
กระทั่ง การออกมาแฉของ “ภูมิวัฒน์” วันนี้ ไม่เพียงทำให้สังคมไทยตางสว่าง หากแต่ยังน่าคิด กรณี “ดร.กิตติธัช” เห็นว่า
“เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ว่าในอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รัสเซีย หรือประเทศไหนๆที่มีอธิปไตยสมบูรณ์ของตนเอง ย่อมถือว่า เป็นการ “แทรกแซงทางการเมือง” ระหว่างรัฐ และตามข้อกฎหมาย หรือ รธน. ในแต่ละประเทศ ผู้กระทำการเหล่านั้น ย่อมถือเป็นความผิดฐานกบฏ หรือ ทรยศต่อชาติบ้านเมือง (Treason)”
แถมวงเล็บเอาไว้ด้วยว่า (หลายคนอาจรู้อยู่แล้วว่าสถานทูตชาติไหน และองค์กร NGO อะไรบ้าง) อย่างนี้ จะเก็บเอาไว้ทำอะไร อย่างน้อยน่าจะจัดการกับปัญหาได้แล้ว หรือหลายคนที่ว่า ไม่มีคนที่มีหน้าที่แก้ปัญหาเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าอย่างนั้นก็น่าขายหน้าอยู่เหมือนกัน แต่ขั้นนี้แล้ว ระดับรัฐบาลคงหาข้อมูลได้ไม่ยาก หรือไม่จริง!?