“ภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์” กลุ่มแนวร่วมนวชีวิน ยุติบทบาทม็อบปลดแอก ชี้สุดท้ายได้ “ผู้กดขี่คนใหม่” แฉถูกใช้เป็นบันไดให้คนบางกลุ่มรับเงินสถานทูต กินเงินเดือนตำแหน่งสำคัญ รับงาน NGO ต่างประเทศ เปิดใจต้านรัฐประหารวันแรกๆ แต่ไม่เคยมีใครให้ความสำคัญ นอกจากใช้ให้แบกของ ถูกชวนไปเป็นลูกจ้างชั้นต่ำ พบชนวนแตกหักมาจากเวที สน.บางเขน รอ 3 ชั่วโมงครึ่งไม่ให้ขึ้นเวที “หนุ่ย อภิสิทธิ์” อ้างทีมคุมเวทีไม่สะดวกใจ
วันนี้ (18 ส.ค.) ในโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่ข้อความจากเฟซบุ๊ก Pumiwat Rangkasiwit หรือ นายภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมนวชีวิน (New Life Network) โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ระบุว่า “ผมจะไม่มีวันสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกต่อไปแล้ว จะสู้แบบไหน ก็สู้แค่เพื่อให้ได้ผู้กดขี่คนใหม่ และทิ้งคนอื่นๆ ไว้ข้างหลัง หักความฝันของคนที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง
พี่ๆ ก็ดูไว้นะครับ ว่าผมเป็นมดงานพวกพี่มากี่ปี เป็นหนึ่งในคนที่พวกพี่บีบเค้นแรงงาน ให้เป็นบันได ให้เป็นที่เหยียบย่ำจนสามารถไปรับเงินสถานทูต นั่งรับเงินเดือนในตำแหน่งสำคัญๆ รับงานจาก NGO ต่างประเทศ เคลื่อนไหวตามการล็อบบี้ หรือตกเศษเงินให้น้องๆ หน้าใหม่ แต่ตัวเองหักไว้กินเอง 90%
ผมไม่เอาด้วยหรอก ประชาธิปไตยส้น...นี่ที่ทำให้ผมต้องเสียเพื่อน เสียความรู้สึกกับคนที่ผมรัก เสียคนที่เคยเคียงข้างกันเป็นมิตรภาพที่งดงาม”
หลังจากข้อความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป นายภูมิวัฒน์โพสต์ข้อความอีกครั้ง ระบุว่า “ไหนๆ ก็มีพี่ๆ จากเพจ The METTAD ตามมาอ่าน และให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แล้วผมเองก็เกรงว่าจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ เลยอยากใช้พื้นที่ตรงนี้อธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะครับ
ผมเองเคลื่อนไหวในการต่อต้านคณะรัฐประหารนับตั้งแต่วันแรก ในฐานะเยาวชน และนักเคลื่อนไหวอิสระที่ไม่เห็นด้วยกับที่มาของอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติที่ไม่มีความชอบธรรม ผมจึงไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งส่วนใด และไม่เคย 'ถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่ง' ของขบวนไหนมาตั้งแต่ต้น ที่พูดแบบนี้ก็เพราะไม่เคยมีส่วนร่วมในระดับใด นอกจากการช่วยแบกของ ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ แม้จะมีค่ายหรืออะไร ก็ไม่เคยถูกชวนไป
มีระยะหนึ่งที่ผมได้ร่วมงานการเมืองกับพรรคที่พวกที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยไม่ค่อยจะนิยมเท่าไหร่นัก (โดยไม่คำนึงว่า ถ้าไม่ทำ กูจะเอาอะไรกิน) ก็โดนตัดขาดจากความเป็นเพื่อนบ้าง ถูกทำให้กลายเป็นคนไม่รู้จักกัน ในขณะที่หลายคนได้ถูกชักชวนไปทำงาน ณ พรรคแห่งหนึ่ง ผมและเพื่อนหลายคนไม่ได้ถูกชวนไป หรือถูกชวนไปก็กลายเป็นลูกจ้างระดับต่ำที่ค่าแรงออกไม่ตรงเวลา หรืออยู่ในพื้นที่ซึ่งอ้างว่าเปิดความคิดเห็น แต่ไม่ถูกรับฟัง เพราะระดับของการศึกษา
ระหว่างทาง ผมได้เจอหลายคนที่ต้องเจ็บปวด ต้องเสียใจ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องส่วนตัว (ทั้งแบบเรื่องส่วนตัวจริงๆ หรือการนำเรื่องส่วนตัวมาใช้โจมตีกัน) ได้ถามหลายๆ คน บางคนไม่ขอตอบ บางคนไม่ขอพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป หลายคนได้ระบายออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะฉะนั้น เรื่องที่ผมพูด ไม่ได้เพียงมาจากสิ่งที่ผมได้เห็น แต่ยังเป็นประสบการณ์ร่วมที่หลายๆ คนได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการที่ขาดการมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะด้วยความบอบช้ำทางจิตใจที่ไม่สามารถทำใจได้ว่าความเจ็บปวดเหล่านั้นมาจากเพื่อนร่วมทาง คนที่เคยพูดเรื่องนี้ไปก่อนผม บางคนโดนปล่อยภาพว่าไปกินเหล้ากับตำรวจ เลยโดนบอกว่าเป็นสาย ทั้งๆ ที่ภาพนั้นแ...งมาจากคนที่ปล่อยซึ่งแม่งก็ไปกินด้วยกัน
บางคนที่เอาเรื่องเหล่านี้ไปพูด โดนโทร.ขู่ทำร้าย บ้างเองก็ถึงขั้นโดนขู่วางเพลิง (มีช่วงหนึ่งที่พวกอกหักเอามาย้อนคุยกัน ว่าเป็นช่วงที่นักกิจกรรมเข้าโรงพยาบาลบ้ากันเป็นโขยง ก็ตลกๆ ดี)
ในเรื่องหาเศษหาเลยนั้น ผมยังยืนยันอยู่ว่า แทบจะทั้งหมดใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว หรือที่มาจากการบริจาคของพี่น้องผู้ศรัทธาในตัวเหล่าคนที่เป็นนักสู้ และผมยังยืนยันได้ว่า มันแทบจะทุกคนที่ร่วมทางที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบในการสูญเสียโอกาสทางอนาคตหลายๆ ทาง ในขณะที่พวกที่เป็น 'ลูกอีแอบ' บางคน ยังมีอนาคตเต็มที่ และไม่กลับไปทักทายคนเหล่านั่นราวกับว่าไม่เคยรู้จักกัน
บนทางของผม มันคือการต่อสู้กับเหล่ามิตร ผมจึงเคยอกหัก แต่กลับมาต่อสู้อีกครั้ง เคลื่อนไหวอีกครั้งบนเส้นทางของตัวเองและแนวร่วม ที่ถอดบทเรียนความผิดพลาด และเจ็บช้ำ
ถ้าผมจะตาสว่างจากอะไร ผมก็คงตาสว่างจากเหล่าผู้กดขี่ ทั้งผู้กดขี่ต่อประชาชน และผู้กดขี่ที่เป็นวีรชนเอกชน ที่เหยียบหลังผู้อื่นไปบนเส้นทางประชาธิปไตย
การต่อสู้ของผมต่อเหล่าผู้มีอำนาจเหล่านี้จะไม่มีวันจบ จนกว่าสังคมนี้จะมีเสรีภาพ เสรีภาพที่แท้จริงที่ไม่ใช่เพียงแต่ต้องพูดเรื่องของผู้มีอำนาจได้อย่างหมดเปลือก แต่ยังต้องพูดถึงความไม่ชอบมาพากลทุกอย่างได้ในทุกระดับ
การต่อสู้ของผมต่อจะยังดำเนินไปจนกว่าเราจะมีสังคมที่ไร้ซึ่งความเหลื่อมล้ำ ทางโอกาส ทางอำนาจ ทางสังคม ทางการศึกษา แม้แต่ในทางที่เหลื่อมล้ำในระดับการมีส่วนร่วมกับกระบวนการทางประชาธิปไตยทุกรูปแบบ
อย่านับผมว่าเป็นฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่ผมกลับมายืนบนสนามนี้ ผมเลิกเรียกตัวเองว่าแบบนั้นไปแล้ว ผมนับว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ
จะสู้แบบที่ต้องมีผู้กดขี่คนใหม่ ผมไม่สู้ด้วย และถ้ามีผู้กดขี่คนใหม่ ผมนี่แหล่ะ จะหาทางฆ่าพวกแม่งก่อนใครเลย
จะสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็จะได้มา ด้วยกระบวนการที่มีความเป็นประชาธิปไตยในทุกระดับ
ผมไม่เคยกลัวไอ้อีหน้าไหน และผมเชื่อเสมอ ว่าการพูดความจริง ไม่เคยส่งผลเสียเท่ากับการตระบัดสัตย์กับมวลชน อย่านับรวมผมเป็นพวกเดียวกันกับคนที่ไม่นับว่าผมเป็นพวกเดียวกัน ผมมีการต่อสู้ของผม พวกเขาบางคนเหล่านั้นมีการต่อสู้ของพวกเขา”
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ในเฟซบุ๊กเดียวกันนี้ ยังเผยแพร่บทสนทนาที่คาดว่าจะเป็นจุดแตกหักที่นำไปสู่การยุติบทบาทของนายภูมิวัฒน์ ซึ่งโพสต์ข้อความระบุว่า “อนุสติทีมอคติ กับการอำลาวงการนักกิจกรรมฝั่งประชาธิปไตย หลังเป็นลิ่วล้อแบกหามมานานครับ” โดยพบว่ามาจากกรณีการจับกุมนายอานนท์ นำภา ทนายความ และนายภาณุพงษ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง แกนนำกลุ่มเยาวชนภาคตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย ในข้อหายุยงปลุกปั่นและข้อหาอื่นๆ และกลุ่มเยาวชนปลดแอกมีการจัดชุมนุมที่ สน.บางเขน เมื่อคืนวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีความพยายามจากบุคคลบางกลุ่มไม่ให้นายภูมิวัฒน์ขึ้นเวทีปราศรัย โดยบทสนทนาระหว่างเพื่อนกับนายภูมิวัฒน์ได้สอบถามว่า แกนนำไม่ให้ขึ้นเวทีปราศรัยเหรอ เจ้าตัวตอบว่าไม่รู้ ความจริงจะกลับตั้งแต่เวลา 20.00 น. แต่น้องอีกคนก็ถามว่า “พี่จอนไม่ขึ้นเหรอ” ตนจึงตอบตกลงว่าจะขึ้นเวทีก่อนกลับ
ทีมงานจึงลงคิวให้กับทีมเวทีชุดแรก แต่ปรากฏว่าทุกคนมีหมายกันหมด (กรณีผู้ต้องหา 31 รายชื่อ) เลยกลับกันไปก่อน ทีมคุมเวทีชุดต่อมาก็มึนงง ตนถามว่าคิวที่เท่าไหร่ก็บอกว่าไม่รู้คิว คนอื่นได้พูดหมด ยกเว้นตนที่ยืนรอจนถึงเวลา 23.30 น. นายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์ หรือหนุ่ย อภิสิทธิ์ สมาชิกขบวนการประชาธิปไตยใหม่ (NDM) ถึงเพิ่งมาบอกว่า ทีมนี้ไม่สะดวกใจให้ตนขึ้นพูด จึงตอบไปว่าโอเค ไม่เป็นไร ตนทำกิจกรรมตรงนี้มาตั้งนาน เป็นลิ่วล้อแบกของ ขนของตั้งนาน แต่ขึ้นพูดครั้งเดียวให้ไม่ได้ ตนไม่ทำต่อแล้วก็ได้ ซึ่งตนไม่เป็นอะไรถ้าจะไม่ให้ขึ้น แต่เพื่อนอีก 3 คนที่ไปด้วย ต้องรอกันหมดตลอด 3 ชั่วโมง เสียเวลาคนอื่นเขา ถ้าไม่ให้ขึ้น ก็น่าจะบอกกันตั้งแต่แรก จึงไม่รู้สึกอะไรกับการไม่ให้ขึ้นเวที แม้จะอคติกับตนก็ไม่ว่า เข้าใจว่าบางคนแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่เป็น แต่ก็ควรตรงไปตรงมา ไม่ใช่คดงอจนน่าเกลียดขนาดนี้
ต่อมา นายภูมิวัฒน์ได้แชร์สเตตัสชวนให้มาชุมนุมจากผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่อ้างว่ามิตรภาพดีๆจะเกิดขึ้นในม็อบแน่นอน ระบุว่า "มิตรภาพดีๆ เกิดขึ้นในม็อบครับ เช่นการกีดกันไม่ให้ขึ้นเวทีแล้วให้ยืนรอสี่ชั่วโมงทั้งที่ไล่กูกลับบ้านเลยอาจจะง่ายกว่าก็เป็นมิตรภาพดีๆ อีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจครับ"
นอกจากนี้ นายภูมิวัฒน์ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวปล่อยว่าจะควบคุมตัว น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง โฆษกสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย สนท. ระบุว่า “ผมเป็นห่วงในแง่ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล แต่ผมไม่กลัว ถึงสิ่งที่รู้ว่าจะเกิดอยู่แล้ว ผมไม่กังวล กับภาพที่ผมเห็นมาแล้วไม่รู้กี่รอบ และเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ต้องเสียน้ำตามาไม่รู้กี่ครั้ง ที่เรื่องราวเหล่านี้หวนกลับมาราวกับว่ามันจะไม่มีวันจบ นี่ไม่ใช่เวลาที่เราต้องกลัว ถ้าคุณกลัว ผู้มีอำนาจทำสำเร็จ ถ้าคุณกังวลจนไม่กล้าขยับตัว คุณกลายเป็นหมากของความสับสน และจะทำให้การต่อสู้ของพวกเขา ไร้คุณประโยชน์ต่อเส้นทางอันยาวไกล อย่าไปรบกวนจิตใจอันเข้มแข็งของพวกเขาในช่วงเวลาเหล่านี้ เขาเดินมาสู่จุดที่ต้องประเมินรอบตัวมามากพอ และนี่คือเวลาที่เขาต้องใช้กำลังเต็มที่ ไปกับการรับมือในสถานการณ์ตรงหน้า อย่าไปรบกวนพวกเขาโดยไม่จำเป็น #SavePanusaya”
สำหรับนายภูมิวัฒน์ แรงกสิวิทย์ หรือจอห์น วัย 20 ปี แกนนำกลุ่มแนวร่วมนวชีวิน (New Life Network) ก่อนหน้านี้เคยอดข้าวหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อประท้วงการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาปากท้อง ปรับปรุงสวัสดิการของรัฐ และมีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ตกงานทันที หากรัฐบาลไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องเหล่านี้ให้ลาออกไป นอกจากนี้ยังเคยร่วมกับกลุ่มทวิตเตอร์ จัดกิจกรรมวิ่งแฮมทาโร่ไล่รัฐบาลอีกด้วย