“สนธิ” ชี้ “เนตร นาคสุข” ลาออกจากรอง อสส.ไม่พอ ต้องรับผิดชอบการสั่งไม่ฟ้อง“บอส อยู่วิทยา”ด้วย เพราะเป็นคำสั่งผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับ“วงศ์สกุล” อัยการสูงสุด เผยกรณีอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาลดาลถูกเรียกเงิน 5 ล้านเพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการทำมาหากินของนักการเมือง-ส.ส.ผ่านกลไกกรรมาธิการที่มีมานาน ระบุกรณี“จิมมี่ ไหล”ถูกจับ ทำให้สหรัฐฯ-อังกฤษสูญเสียฮ่องกงไปแล้ว ไม่สามารถใช้กระทบจีนอีกต่อไป ส่วนม็อบ “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” เมื่อ 10 ส.ค.เชื่อว่ามีต่างประเทศหนุนหลังแน่นอน หลังสหรัฐฯ หมดทางใช้ฮ่องกงเพื่อสู้กับจีน ก็หันมาไทย ซึ่งรัฐบาลมีจุดอ่อนเพราะมาจากรัฐประหาร ทำให้เป็นประเด็นนำไปปลุกปั่นคนได้ แต่ 10 ข้อเรียกร้องเพื่อโจมตีสถาบันกษัตริย์เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ถือว่าฮึกเหิมเกินไปเพราะโดนยุยงส่งเสริม เตือนแกนนำจะต้องเจออะไรบ้าง รัฐบาลจะไม่ปราบปราม แต่จะใช้กฎหมายเล่นงานทีละคนๆ ตอนนี้ถือว่าเล่นสนุกเกินไปแล้ว ต่อไปถ้าโดนอะไรบ้าง อย่าหาว่าไม่เตือน แนะ “พุทธพงศ์”ต้องฟ้องเฟซบุ๊กเรียกเงิน 5 หมื่นล้าน เพราะไม่ยอมปิดเพจที่โจมตีสถาบันกษัตริย์ทำให้ประเทศไทยเสียหาย
วันที่ 14 ส.ค. เวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจคุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูปSondhitalk ในประเด็นม็อบ "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" สนธิก็จะไม่ทนเหมือนกัน จะสอนลูกสอนหลานให้รู้ว่ามันไม่ได้สนุกเหมือนที่คิด แล้วจะรู้ว่านรกมีจริง มีคำถามไปถึงรองอัยการ เเละอัยการสูงสุดคดี บอสอยู่วิทยา ต้องรับผิดชอบอย่างไรต่อหลังจากนี้ พร้อมยังยืนยันว่า "อำนาจต้องจบที่ปลายกระบอกปืนเท่านั้น
คำต่อคำ SONDHI TALK [14 ส.ค. 63] : อำนาจ ต้องจบที่ปลายกระบอกปืนเท่านั้น ?
วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมาก ๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"
สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ
สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2563 หลังจากที่อาทิตย์ที่แล้วเราค่อนข้างจะวุ่นวายพอสมควรจากการออกรายการในเรื่องของคดีของนายบอส หรือวรยุทธ อยู่วิทยา กับอัยการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชื่อ เนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด
วันนี้เราก็มีเรื่องราวบางเรื่องราวที่จะพูด และก็เป็นเรื่องที่ใหญ่ ๆ ทุกเรื่อง เรื่องแรกที่ผมจะพูดในวันนี้ก็คือเรื่องของนายบอส แต่เป็นการพัฒนาการเหตุการณ์ไป เพราะว่าล่าสุด คุณเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ได้ลาออกไปแล้ว และขณะเดียวกัน คุณเนตร นาคสุข ได้ให้คำสัมภาษณ์บอกว่า ได้ตัดสินใจทำงานทุกอย่างด้วยดุลพินิจที่มั่นใจว่าถูกต้อง ซึ่งเดี๋ยวผมจะกลับมาในเรื่องนี้สักนิด หมดจากคุณเนตร นาคสุข แล้ว ก็ยังมีคำถามที่ผมจะต้องถามท่านอัยการสูงสุดต่อ ก็คือคุณวงศ์สกุล เพราะคำถามที่จะถามนี้ มีหลายคำถาม ซึ่งไม่มีใครตอบได้นอกจากท่านจะตอบได้
ต่อไปก็จะคั่นด้วยเรื่องของต่างประเทศ สั้น ๆ สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือ ผู้สมัครท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พรรคเดโมแครต โจ ไบเดน ในที่สุดก็ได้เลือกนางคามาลา แฮร์ริส หรือผมเรียกว่า กมลา แฮร์ริส มาเป็นรองประธานาธิบดี ผู้สมัครแข่งขันชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ในทีมของนายโจ ไบเดน
กมลา แฮร์ริส ทำไมถึงได้รับเลือก เดี๋ยวผมจะให้เหตุผล และให้มิติ ๆ หนึ่งให้ฟัง
เรื่องที่สาม คือเรื่องของข่าวต่างประเทศ เรื่อง นายจิมมี ไล
นายจิมมี ไล โดนทางการจีนจับเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในข้อหายุยงปลุกปั่น อยู่เบื้องหลังม็อบที่ฮ่องกง แล้วก็เข้าไปอยู่ในคุกประมาณ 24 ชั่วโมง หรือ 40 ชั่วโมง ประมาณนั้น แล้วศาลก็ให้ประกันตัวออกมา โทษฐานก่อการร้ายด้วยการยุยงปลุกปั่น โทษของจีน กฎหมายจีนที่เพิ่งใช้ในฮ่องกงในเรื่องกฎหมายความมั่นคง ก็จะมีโทษตั้งแต่ 3 ปี ถึง 20-30 ปี ขณะเดียวกัน ก็มีปรากฏการณ์คนฮ่องกงสนับสนุนนายจิมมี ไล จะสนับสนุนอย่างไรเดี๋ยวค่อยมาเล่าให้ฟัง แล้วจิมมี ไล เป็นใคร มาจากไหน ?
เรื่องที่สี่ที่ผมจะพูดก็คือ เรื่องอนุกรรมาธิการงบประมาณเรียกเงิน 5 ล้านบาท จากอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ซึ่งมีโครงการเสนอไป 1,200 ล้านบาท เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่า ในที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องลงรายละเอียดนิดหนึ่ง ผมอยากให้ท่านผู้ชมที่ชมรายการนี้ได้เข้าใจวิธีการจัดสรรงบประมาณ และวิธีการพิจารณางบประมาณ เป็นอย่างไร และมีช่องทางตรงไหนบ้างที่จะทำให้ ส.ส.ทำมาหารับประทานกับเงินงบประมาณก้อนนี้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เอาไปใช้จริง ๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องม็อบเยาวชนปลดแอก ซึ่งต่อจากเรื่องงบประมาณ เรื่องเยาวชนปลดแอกมีข้อคิดอยู่หลาย ๆ ข้อคิด ตลอดจนผมมีเรื่องราวที่จะแนะนำ หรือถึงขั้นสั่งสอนเด็กก็ได้ ว่า ที่คุณทำอยู่ตรงนี้ คุณรู้หรือเปล่าว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกคุณ จากประสบการณ์ชีวิต ในฐานะที่ผมเป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ผ่านมาหมดแล้วทุกเรื่องในเรื่องราวพวกนี้
สุดท้าย ลงด้วยเฟซบุ๊ก ในเรื่องของการที่ท่านรัฐมนตรีกระทรวงดีอี พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ท่านเริ่มปรับวิธีการทำงานใหม่ และผมก็มีข้อเสนอแนะว่า เฟซบุ๊ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟซบุ๊กในหน้าของ รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ของนายปวิน ซึ่งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต สอนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นตัวที่ปลุกปั่นกระแสขึ้นมาอย่างมากมาย ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
หลัก ๆ ก็จะเป็นประมาณนี้ แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องทั้งสองเรื่อง ผมมีเรื่องเล็ก ๆ 2 เรื่องจะเล่าให้ฟัง เรื่องแรก คือ ผมได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ "สื่อสารผ่านสายลม" เขียนโดยคุณฐากร ตัณฑสิทธิ์ คุณฐากร เป็นอดีตเลขาธิการ กสทช.
ท่านอยู่ในช่วงระหว่างที่มีการประมูลโทรศัพท์มือถือ 4G, 5G แล้วท่านก็ได้ทำอะไรหลายอย่าง ซึ่งหนังสือเล่มนี้ดีมาก เพราะว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังของการประมูล 4G ว่าคิดอย่างไร ทำอย่างไร และประมาณ 5G คิดอย่างไร ทำอย่างไร มีแม้กระทั่ง ... ท่านผู้ชมคงไม่รู้ว่าในยุคของท่านฐากร ตัณฑสิทธิ์ นั้นมีการประมูลหมายเลขสวย ๆ โทรศัพท์หมายเลขสวย ๆ อย่างเช่น เบอร์ 088-8888888 เขาตั้งราคาไว้ที่ 20 ล้านบาท อะไรทำนองนี้ หนังสือเล่มนี้ไม่มีขาย แต่แจกฟรี ท่านผู้ชมท่านไหนต้องการที่จะเอาหนังสือเล่มนี้ไปอ่านเพื่อประกอบและประดับความรู้ของตัวเอง ให้ส่งข้อความมาใน inbox ส่งมาเลยนะครับ แล้วบอกว่าอยากได้หนังสือ 1 เล่ม ให้ส่งไปที่ไหน ค่าส่งฟรีนะครับ ก็บอกมาแล้วกันว่าที่อยู่คือที่ไหน และชื่ออะไร แล้วทันทีที่หนังสือเข้ามาแล้วจะทำการจัดส่งให้
อีกเรื่องหนึ่งก่อนจะเข้าเรื่องของอัยการและตำรวจในเรื่องคดีบอส อยู่วิทยา ก็คือเรื่องของการขอขมาครั้งหลังสุดของคุณกุสุมา ศรีสวัสดิ์
คุณกุสุมา ศรีสวัสดิ์ เป็นคนระยอง จริง ๆ แล้วก็คือเป็นคนหาเช้ากินค่ำนั่นล่ะ อยู่ในอำเภอ ๆ หนึ่ง ฐานะก็ค่อนข้างจะไม่ค่อยสบายนัก คุณกุสุมา มาพร้อมกับคุณแม่และลูกสาวหรือน้องสาว ผมนึกไม่ออก แต่ว่ามากัน 3 คน ผู้หญิง 3 คน คุณกุสุมา เขียนด่าผมว่า "ไอ้เจ๊กลิ้มจอมขี้โกง" คุณกุสุมา มาขอขมาผม ก่อนที่ผมจะรับปากว่าให้อภัยหรือไม่ ผมก็อธิบายให้ฟังว่า คุณกุสุมา รู้หรือไม่ว่า คุณว่าผมขี้โกง ขี้โกงอะไร ? ซักไป ซักมา ซักไป ซักมา จนกระทั่งคุณกุสุมา รู้ว่าที่พิมพ์ลงไปว่า "ไอ้เจ๊กจอมขี้โกง" นั้น ก็เพราะว่าไปอ่านข่าวบางข่าว อ่านคอมเมนต์บางคอมเมนต์ที่ด่าว่าผม ก็เลยเอามาเขียน ผมขี้เกียจ เห็นคุณกุสุมา เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่สำคัญ เป็นคนหาเช้ากินค่ำ เหมือนคราวที่แล้วที่มาก็เป็นวินมอเตอร์ไซค์ ผมก็เลยให้อภัยไป คุณกุสุมา ก็เลยลงข้อความขอขมาผม แล้วก็ปักหมุดเอาไว้ในเพจของเธอ ซึ่งพวกเราก็เอามาลงไว้ในที่นี้
คุณกุสุมา ก็คงจะได้รับบทเรียน แล้วก็คงจะได้อ่านคอมเมนต์ของท่านผู้ชมหลายคนที่วิพากษ์วิจารณ์คุณกุสุมา แต่ขอยืนยันอย่างหนึ่งนะครับ คุณกุสุมา ไม่ได้รับการแจกถ้วยนะครับ ไม่มีถ้วยแจกให้ครับ
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามาพูดกันเรื่องของอัยการ ตำรวจ และบอส อาทิตย์ที่ผ่านมา หลายวันที่ผ่านมานี้ ข่าวใหญ่ชิ้นหนึ่ง ก็คือ คุณเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ได้ประกาศลาออก
ทีนี้ก่อนที่คุณเนตร จะประกาศลาออก สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งอัยการ ทั้งตำรวจ กลับลำคดีบอส อยู่วิทยา หมดเลย หมุนตัว 360 องศา 180 องศา 360 องศา เคยพูดอย่างไร วันนี้มาพูดอีกแบบหนึ่งแล้ว ยกตัวอย่าง ตำรวจนี่เห็นได้ชัด คือท่าน พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรองประธานคณะกรรมการตรวจสอบ ได้ชี้แจงว่า ผลจากการตรวจสอบแล้ว พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น ซึ่งในยุค 8 ปีที่แล้ว ที่รถนายบอสไปชนดาบวิเชียรจนตายนั้น คุณธนสิทธิ์ ตอนนั้นยศเพียงพันตำรวจตรี แล้วก็เป็นเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน พูดบอกว่าพิสูจน์แล้วว่ารถวิ่งประมาณ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่พอต่อมา มาเจอ ดร.สายประสิทธิ์ ซึ่งทางอัยการเอามาให้ ดร.สายประสิทธิ์ มาจากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งเป็นอดีตโรงเรียนช่างกล แล้วถูกพัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัย
ดร.สายประสิทธิ์ ซึ่งใบอนุญาตในการเป็นวิศวกร ขาดอายุ ก็มาบอกว่าวิ่งแค่ 70 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้นอัยการก็เรียก พ.ต.ต.ธนสิทธิ์ แตงจั่น เข้ามาให้การอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยให้การมาแล้วครั้งหนึ่งในฐานะเป็นตำรวจฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน คุณธนสิทธิ์ ไม่รู้ว่าไปตกลงอะไรกับทางจำเลย หรือตกลงกับใคร ผมไม่รู้ ก็เลยกลับคำให้การว่า ที่บอกว่าขับเร็ว 170 กว่ากิโลฯ นั้นไม่ใช่ มันน่าจะอยู่ที่ 70 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง
เอาล่ะ นี่คือสาเหตุที่ทำให้อัยการสามารถที่จะเอาประเด็นนี้มาเขียนและมาอธิบายความว่าถ้าขับเพียงแค่นั้น ไม่ได้ละเมิด ไม่ได้เลยความเร็วที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ เพราะฉะนั้นแล้ว นายบอส ไม่ได้ประมาท แล้วก็ดาบวิเชียรขับมอเตอร์ไซค์ตัดหน้า ก็เลยทำให้ชน ทำให้อัยการมีข้ออ้างว่า มันเลยเป็นเหตุสุดวิสัยที่นายบอสต้องชนดาบวิเชียร ก็เลยพิพากษา ก็เลยสั่งไม่ฟ้อง
ทีนี้ มาวันนี้คุณธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ (สบ 4) กลุ่มงานตรวจเคมีฟิสิกส์ พิสูจน์หลักฐาน ได้มาให้การกับคณะกรรมการตำรวจ และได้กลับตัวใหม่ว่า ความเร็วรถวรยุทธ อยู่วิทยา ขณะเกิดเหตุ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เหมือนกับในสำนวนครั้งแรก ส่วนที่มาให้การภายหลังเมื่อปี 2559 เขาระบุว่า ความเร็วลดเหลือ 79.23 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยคุณธนสิทธิ์ อ้างกับคณะกรรมการว่า สับสนในการคำนวณข้อมูล ฉะนั้น "สับสนในการคำนวณข้อมูล" มันทำให้น้ำหนักของคดีมันต่างกันไปอย่างมหาศาลเลย เอาล่ะ ไม่เป็นไร
หลังจากนั้น อัยการท่านก็มาแนวใหม่ สรุปง่าย ๆ ท่านก็ยังโยนขี้ให้กับตำรวจอยู่เหมือนเดิม ซึ่งก็เป็นการโยนที่ถูกต้อง เพราะว่าตำรวจทำสำนวนจงใจที่จะช่วยนายบอส เหมือนกับที่ผมพูดไปคราวที่แล้วว่า ตำรวจที่โดน ป.ป.ช. ชี้ว่าผิดวินัยไม่ร้ายแรงนั้น ต้องเอามาพิจารณาใหม่ แล้วถ้าผิด ต้องสำรองราชการทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งท่านอดีตผู้กำกับโรงพักทองหล่อ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สมุทรปราการ ไปแล้ว ก็ปรากฏว่า พิสูจน์ชัดเจนว่าตำรวจไม่ยอมใส่ข้อหาคดีโคเคนเข้าไป คดียาเสพติดเข้าไป ทั้ง ๆ ที่มีผลตรวจสอบมาแล้วว่าเป็นยาเสพติด จนในที่สุดอัยการก็บอกว่า ฟ้องได้ ตำรวจทำใหม่ ให้มียาเสพติด ขับรถเร็วเกินกำหนด โน่นนี่นั่น ก็คือพูดง่าย ๆ ว่าทุกคนกลับลำหมดแล้ว กลับลำหมดเลย
ทีนี้ ที่ผมจะพูดวันนี้ ผมมีความจำเป็นต้องพูด คือคำให้สัมภาษณ์ของท่านรองอัยการสูงสุด คุณเนตร นาคสุข ท่านบอกว่าท่านจำเป็นต้องลาออกเพื่อรักษาองค์กร นั่นข้อแรก การลาออกของท่านไม่ได้รักษาองค์กรครับ รวมทั้งบรรดาองครักษ์พิทักษ์อัยการหลายคน ที่บอกว่าพวกเราต้องรักษาองค์กร ก็เพราะว่าพวกคุณคิดในแนวนี้ องค์กรมันถึงฉิบหายไงล่ะครับ เพราะว่าองค์กรไม่เคยผิด สำนักงานอัยการไม่เคยผิด ผิดที่คนบริหารสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะฉะนั้นแล้ว คำอ้างว่า คุณเนตร นาคสุข ลาออกเพื่อรักษาองค์กรนั้น เป็นคำอ้างที่เลื่อนลอย ฟังไม่ขึ้น
และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจำเป็นจะต้องพูด คือเรื่องท่านอัยการสูงสุด ท่านวงศ์สกุล ทุกครั้งที่มีเรื่อง ท่านจะไม่อยู่เลย ท่านจะหาเหตุไปดูงานที่ต่างจังหวัด แล้วท่านก็จะให้รองอัยการสูงสุด คือคุณเนตร นาคสุข เป็นคนจัดการ แม้กระทั่งคดีที่สั่งไม่อุทธรณ์คดีเรื่องเกี่ยวกับเงินกู้ไทยของคุณพานทองแท้ ชินวัตร ทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาออกมาแล้วมีความขัดแย้งกันระหว่างผู้พิพากษา 2 ท่าน เป็นเพียงแต่ยกประโยชน์ให้กับจำเลยที่ขัดแย้งว่าประโยชน์ต้องให้กับจำเลย เพราะฉะนั้นแล้วจำเลยก็เลยได้รับการยกฟ้องจากท่านผู้พิพากษาที่บอกว่าคุณพานทองแท้ ไม่ผิด ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว มีการทำรายงานบันทึกความเห็นของท่านผู้พิพากษาที่เห็นว่าคุณพานทองแท้ผิด แล้วก็ลงชื่อไปเรียบร้อยแล้ว ลำพังเพียงแค่นี้ก็รู้ว่ามติอันนี้ไม่ใช่เอกฉันท์ เนื่องจากว่าเข้าข่ายกฎหมายให้คุณกับจำเลย หากมีการพิจารณาและพิพากษาออกมา แล้วคำพิพากษาที่ให้คุณกับจำเลยนั้นมี ก็เลยต้องปล่อยตัวไป
ตรงนี้ถามท่านผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายทุกท่านแล้ว ท่านผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายทุกท่านยืนยันว่า อย่างไรก็ตาม จำเป็นจะต้องอุทธรณ์ ผมก็ถามคุณเนตร หน่อยว่า ตรงนี้เป็นดุลพินิจที่ถูกต้องหรือเปล่า ที่คุณเนตร ยืนยันว่าเป็นดุลพินิจที่ถูกต้อง และยังมีอีกเยอะครับท่านผู้ชม สำนักงานอัยการสูงสุด คดีสำคัญที่สำนักงานอัยการสูงสุดไม่ฟ้อง ไล่มาตั้งแต่สมัยที่คุณวราเทพ รัตนากร คุณวราเทพ อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีหวยบนดิน พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ก็ถูกสั่งไม่ฟ้องคดีว่าจ้างพรรคเล็ก สั่งไม่ฟ้องคุณเบญจา หลุยเจริญ ซึ่งช่วยคุณทักษิณ ชินวัตร ในเรื่องของภาษีอากร ในฐานะเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากรในตอนนั้น สั่งไม่ฟ้องคุณทักษิณ ชินวัตร สั่งไม่ฟ้องคุณบอส และสั่งไม่ฟ้องคุณอนันต์ อัศวโภคิน หลายๆ คดี อย่างเช่น คดีคุณอนันต์ อัศวโภคิน ท่านวงศ์สกุลท่านไม่อยู่ ตอนนั้นท่านเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ท่านจงใจทิ้งให้รองอธิบดีเป็นคนสั่งคดี โดยสั่งไม่ฟ้อง คุณอนันต์ โดนข้อหาฟอกเงิน โดยผูกพัน เกี่ยวโยงกับมูลนิธิธรรมกาย ฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่า ทุกเรื่องราวใหญ่ ๆ หลายเรื่อง ท่านอัยการสูงสุดท่านไม่อยู่ แล้วโดยหลักการแล้ว ตามระเบียบอัยการแล้ว อำนาจการสั่งไม่ฟ้อง เป็นอำนาจเฉพาะตัวของอัยการสูงสุด หมายความว่า ท่านอัยการสูงสุดจะมอบหมายใคร ถ้าอัยการสูงสุดอยู่ ก็จำเป็นจะต้องสั่งเอง แต่ถ้าไม่อยู่ อาจจะมอบหมายได้ แต่เผอิญท่านไม่อยู่ในทุก ๆ ครั้งที่มีคดีสำคัญที่จะสั่งไม่ฟ้อง ดุลพินิจนี้ถ้าสู้กันในศาล ท่านอัยการสูงสุดท่านแพ้นะ เพราะกลายเป็นว่าท่านสมรู้ร่วมคิด เป็นไปไม่ได้ ศาลจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ท่านวงศ์สกุล จะไม่รู้ว่ารองอัยการสูงสุดจะสั่งไม่ฟ้อง อย่างน้อยต้องมาปรึกษาท่านก่อน หรืออย่างน้อย มองในแง่ลบ ท่านก็เป็นคนสั่งอัยการสูงสุด งานนี้น่าจะสั่งไม่ฟ้องนะ คุณจัดการไปก็แล้วกันนะ แทนผม ผมไม่อยู่ หรือจะมีข้อตกลงอะไรเป็นพิเศษ ผมไม่รู้
ตรงนี้ต่างหากที่ผมอยากจะเรียนท่านผู้ชมทุกท่าน ตลอดจนคณะกรรมการที่กำลังพิจารณาเรื่องนี้ ว่าอย่าพิจารณาเฉพาะคดีบอส ต้องพิจารณาว่าท่านอัยการสูงสุดคนนี้ท่านเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า ท่านอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องในทางตรง แต่ในทางอ้อม ในความรับผิดชอบ ท่านต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ จะปล่อยให้ท่านลอยนวลไปไม่ได้
เอาล่ะ กลับมา สุดท้ายก่อนที่เราจะไปเรื่องอื่น อดีตรองอัยการสูงสุด ท่านเนตร นาคสุข ท่านพูดเลยว่าท่านใช้ดุลพินิจถูกต้องแล้ว ผมถามท่านนิด เวลาท่านต้องการจะพิสูจน์ว่าท่านไม่ผิด ท่านก็จะพูดคำเดียวว่า ตำรวจทำสำนวนมาอย่างนี้ ผมก็ต้องพิจารณาไปอย่างนี้ แต่เวลาท่านจะลาออก ท่านต้องการทำให้ตัวท่านเท่ ท่านก็บอกผมใช้ดุลพินิจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเมื่อเอาคำว่า "ดุลพินิจที่ถูกต้อง" เข้ามา ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ประเด็นก็คือว่า ถึงตำรวจจะทำสำนวนอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าท่านรู้จักใช้ดุลพินิจในกรณีนายบอส เช่น ข้อแรก ถ้าขับไม่เกิน 80 กิโล ฯ ทำไมชนแล้วต้องลากศพไปถึง 200 เมตร ถ้า 80 กิโล ฯ ถ้าเบรกจริง ๆ ภายในไม่เกิน 15-20 เมตร รถก็หยุดได้แล้ว แล้วทำไมศพต้องไปอีก 200 เมตร นั่นข้อแรก
ข้อที่สอง เมื่อชนแล้ว คนชนก็ไม่ได้ลงไปช่วย กลับขับรถหนีเข้าบ้าน คำถามก็มีต่อว่า ถ้าอย่างนั้น ขับรถโดยประมาทและชนคนตาย ตามมาตรา 291 ควรจะเปลี่ยนไป เจตนาฆ่า ได้หรือไม่ เพราะว่าชนแล้วลากไป 200 เมตร แล้วไม่ลงไปช่วย แล้วก็ขับรถเข้าบ้าน อันนี้คือดุลพินิจครับ ท่านรองอัยการสูงสุด ดุลพินิจซึ่งท่านสามารถจะใช้สติปัญญาของท่านในฐานะที่ท่าน กว่าท่านจะมาเป็นรองอัยการสูงสุด ท่านต้องเป็นอัยการมากี่ยุคกี่สมัย ท่านจับคดีมาไม่รู้ตั้งเท่าไร แค่นี้ท่านคิดไม่ออกหรือ นอกเสียจากว่าท่านมีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือเปล่าที่อยู่ในตัวท่าน ตรงนี้ต่างหากที่ผมอยากจะพูดให้ฟัง ตรงนี้จริง ๆ ที่ผมอยากจะพูดให้ฟัง
พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านคิดอย่างไรถึงจะเอาคำให้การของ ดร.สายประสิทธิ์ มา บอกว่า 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ท่านก็ต้องคิดออกสิว่า ถ้ารถมัน 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันจะชนแบบนี้ได้อย่างไร ถุงลมนิรภัยมันจะทำงานได้อย่างไร กระจกหน้าจะแตกได้อย่างไร มันต้องเกินกว่านี้ ท่านก็ต้องไม่เชื่อ ดร.สายประสิทธิ์ ซึ่งผมเข้าใจว่า ดร.สายประสิทธิ์ นั้นถูกนำเสนอมาโดยทนายฝ่ายจำเลย ท่านก็ต้องบอกว่า ไม่ได้ ผมต้องเรียกผู้เชี่ยวชาญสายอื่นมาพิสูจน์ ซึ่งในที่สุดก็พิสูจน์ว่า ดร.สธน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านบอกว่าคำนวณแล้ว 170 กว่า แน่นอน
อาจารย์สามารถ ราชพลสิทธิ์ ท่านก็บอกว่า ยังไงขับต้องเกิน 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แน่นอน เพราะฉะนั้นแล้วมันพิสูจน์ชัดเจนว่า ท่านรองอัยการสูงสุด ขอประทานโทษครับ ท่านไม่ได้ใช้ดุลพินิจที่ถูกต้อง ผิด ผมไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ผมคิดว่านี่คือเรื่องที่เป็นปัญหา แต่ไม่เป็นไรท่านผู้ชม เรื่องนี้สำหรับผมแล้ว ก็มีคณะกรรมการไต่สวนต่อไป
สำหรับผม ผมติดใจอยู่เรื่องเดียว ท่านผู้ชมคงเห็นพ้องกับผม ผมติดใจว่า คำสั่งที่สั่งไม่ฟ้องนั้นผิดกฎหมายหรือเปล่า ? เหมือนกับที่ท่านอรรถพล ใหญ่สว่าง ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการอัยการ ท่านเคยชี้แจงมาในบันทึกของท่าน ที่ท่านส่งให้ท่านวงศ์สกุล ตลอดจนท่านอาจารย์คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ท่านก็ชี้แจงให้ฟังว่า น่าจะผิดกฎหมาย คำถามคือ ผมอยากจะรู้ว่าสรุปแล้วคำสั่งที่ท่านรองฯ เนตร ท่านสั่งไปนั้น ผิดกฎหมายหรือไม่ ? เพราะว่าหลักการก็คือว่า เขาสั่งฟ้องไปแล้ว อัยการมีสิทธิ์ไหมที่จะสั่งไม่ฟ้อง ? ซึ่งหลายคนก็บอกว่า ถ้าอัยการสูงสุดคนปัจจุบัน วงศ์สกุล สั่งไม่ฟ้อง ย่อมมีสิทธิ์ทำได้ แต่ผมเอาคำพิพากษาของศาลฎีกามาพิสูจน์ชัดเจนว่า คำพิพากษาศาลฎีกาพูดชัดเจนว่า ถ้าอัยการสั่งฟ้องไปแล้ว อัยการคนใหม่จะมาสั่งไม่ฟ้อง กฎหมายไม่ให้ ไม่มีกฎหมายมารองรับความถูกต้องในการสั่งไม่ฟ้อง เพราะฉะนั้นแล้ว การสั่งฟ้องก็ยังมีผลตามกฎหมาย ตรงนี้ต่างหากท่านผู้ชม เห็นด้วยกับผมไหมครับว่าในที่สุดแล้ว ที่คาใจพวกเราทุกคนก็คือ คุณเนตร สั่งไม่ฟ้องนั้น ผิดกฎหมายหรือเปล่า ? และที่คาใจผมที่สุด คือ ท่านอัยการสูงสุด ท่านวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ ท่านเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า ? ท่านรับทราบด้วยไหม ? ผม ส่วนตัวเชื่อว่าท่านรู้เรื่องทุกเรื่อง ทุกขั้นตอน เพราะว่าท่านเป็นถึงอัยการสูงสุด และคดีต่างมันไม่ใช่คดีเล็ก ๆ มันเป็นคดีใหญ่ ๆ เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องนี้ที่ผมติดใจก็มีอยู่เพียงแค่นี้ล่ะครับ
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามาพูดเรื่องต่างประเทศ สั้น ๆ 2 เรื่องนะครับ เพราะว่าเราไม่ได้พูดเรื่องต่างประเทศมานานพอสมควรแล้ว แล้วเหตุการณ์ต่างประเทศได้พัฒนาไปไกลมาก ผมเองก็อยากเรียนให้ท่านผู้ชมทราบเหมือนกันว่ามีอะไรบ้างที่เกิดขึ้น เอาเป็นเรื่องสั้น ๆ นะครับ อาจจะ 2-3 เรื่อง เรื่องแรกก็คือว่า ในที่สุดแล้วผู้สมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากโดนัลด์ ทรัมป์ คือ อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในยุคสมัยท่านประธานาธิบดีบารัก โอบามา ตัดสินใจเลือกแล้ว
ตำแหน่งรองประธานาธิบดี ผู้หญิงซึ่งมีตัวเลือกอยู่ประมาณ 4-5 คน และใน 4-5 คนนั้น ก็มีคุณลัดดา ดักเวิร์ธ หรือที่เขาเรียกว่า แทมมี ดักเวิร์ธ สาวไทยซึ่งมีคุณพ่อเป็นคนอเมริกัน แล้วก็เป็นคนที่เป็นทหารอเมริกันแล้วก็นั่งอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ แล้วโดนผู้ก่อการร้ายอิรักยิงใส่เฮลิคอปเตอร์ ทำให้ขาต้องขาด 2 ข้าง ปัจจุบันเธอเป็นวุฒิสมาชิก มาจากรัฐอิลลินอยส์ คุณลัดดา ดักเวิร์น ก็เป็นหนึ่งในบุคคลซึ่งเลือก แต่ในที่สุดแล้ว โจ ไบเดน ก็เลือกคุณคามาลา แฮร์ริส ซึ่งผมจะเรียกว่า กมลา
คามาลา แฮร์ริส นั้น พ่อเป็นคนจาเมกา แม่เป็นคนอินเดีย สองคนสามี-ภรรยาได้เจอกันสมัยที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เมืองเบิร์กลีย์ (UC, Berkeley) ทั้งสองคนเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่ง คามาลา แฮร์ริส ก็เลยกลายเป็นคนผิวดำ คือจาเมกา แล้วมีเชื้อสายเอเชีย ซึ่งก็คือแม่ที่เป็นคนอินเดีย แล้วคุณคามาลา แฮร์ริส ที่ผมเรียกว่า กมลา แฮร์ริส นั้น เป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เธอก็มาสายกฎหมาย แล้วเธอก็ต่อสู้มาตลอด เธอเคยเป็นถึงอัยการรัฐ เธอเป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่เป็นอัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย คือที่อเมริกานั้น ทุก ๆ รัฐจะมี State Attorney เป็นของรัฐ ส่วนเมืองลงไปเขาก็เรียกว่า District Attorney (DA) อย่างเช่น เมืองแมนฮัตตันในนิวยอร์ก ก็จะมี DA (District Attorney) ถ้าเป็นในระดับกระทรวงยุติธรรม ซึ่งอัยการขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรม เขาก็จะเรียกว่า AG (Attorney General) ก็คืออัยการสูงสุดนั่นเอง
กมลา ก็ผ่านเส้นทางของการสมัครรับเลือกตั้งเป็นเป็นสมาชิกสภาคองเกรส แล้วก็ไปเป็นวุฒิสมาชิก ว่ากันว่าในวงการการเมืองนั้น กมลา เป็นคนแรงและเป็นคนไม่กลัวใคร และเป็นคนปากถึงมือถึง หมายความว่า ไม่พอใจอะไรก็ใส่เป็นชุดเลย เหมือนอย่างที่เมื่อวานซืน ทันทีที่ได้รับเลือก กมลา ก็บอกว่าเขายินดีที่จะเข้ามาสู้กับโจ ไบเดน เพื่อโค่นล้มทรัมป์ ผู้ที่ทำให้อเมริกาพินาศฉิบหายจนทุกวันนี้ ในหลาย ๆ เรื่อง ยังไม่ทันไรเลย เธอออกหมัดก่อนเลยทันที แน่นอนที่สุดนายทรัมป์ ก็เลยตอบโต้มา สิ่งที่ผมพยายามจะพูดให้ฟังก็คือว่า ทีมของไบเดน จะเป็นทีมผสม เป็นลักษณะออกไปในแนวทางเพื่อเยียวยาความเจ็บปวดของสังคมอเมริกันในเรื่องของการเหยียดผิว
โจ ไบเดน พื้นเพทางครอบครัวเป็นเมืองเพนซิลเวเนีย เป็นชาวบ้านธรรมดา ทำมาหากิน เป็นชนชั้นกลางคนหนึ่ง ค่อนข้างกลางมาต่ำนิดหนึ่ง คุณกมล แฮร์ริส พ่อกับแม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ แล้วก็สู้ชีวิตมา ตอนหลังพ่อกับแม่หย่ากัน ก็จะต้องทำงานต่อไป แล้วก็ช่วยเหลือตัวเองร่ำเรียน แล้วก็มีน้องสาว ชื่อไมญา สองคนพี่น้องดูแลตัวเองกันมาตลอด สองคนนี้ก็เลยเป็นตัวอย่างของคนผิวสี ซึ่งกมลา แฮร์ริส นั้นก็จะเป็นคนที่มีทั้งเชื้อแอฟริกา ก็คือจาเมกา และมีทั้งเชื้อเอเชีย ก็คืออินเดีย เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้คะแนนเสียงจากคนดำด้วยกัน และคนเชื้อสายเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นคนจีน คนอินเดีย หรือว่าคนชาติต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งเม็กซิกัน ก็มีโอกาสที่จะได้ขึ้นมา
ล่าสุด มีโพลล่าสุดจากเมือง ๆ หนึ่ง วัดความนิยมของโจ ไบเดน และทรัมป์ ปรากฏว่า โจ ไบเดน ได้ 58 เปอร์เซ็นต์ ทรัมป์ ได้ 41 เปอร์เซ็นต์ ห่างกัน 17 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ทรัมป์ก็ออกอาวุธหมดแล้ว ออกทุกอย่างเลย กลั่นแกล้งหมดเลย เพราะว่าในช่วงโควิด-19 นั้น อาจจะมีการเลือกตั้งโดยผ่านการใช้ไปรษณีย์ ซึ่งเขาเลือกตั้งมาตั้งนานแล้วในอเมริกาโดยใช้ไปรษรณีย์ แล้วไม่เคยมีข้อผิดพลาด อาจจะมีการโกงกันบ้าง แต่เขาคำนวณดูแล้วว่า ใน 1 ล้านคน มีโกงกันแค่ 2 คน ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญเลย นายทรัมป์ ก็บอกว่าไม่อยากให้เลือกตั้งโดยผ่านไปรษณีย์ เพราะว่าอาจจะมีการโกงขึ้นมา แต่ในที่สุดต้านกระแสไม่ได้ เพราะว่าหลักฐานมีชัดว่าในอดีตอเมริกาได้มีการเลือกตั้งโดยผ่านไปรษณีย์มาแล้ว นายทรัมป์ ก็เลยใช้วิชามาร ใช้อย่างไรรู้ไหม ? ไอ้หมอนี่ออกคำสั่งหักงบประมาณไปรษณีย์ของอเมริกาทันทีเลย ให้งบประมาณน้อยลง เพื่อให้ทำงานยากขึ้น ร้ายกาจไหมท่านผู้ชม
เพราะฉะนั้นแล้ว ในขณะนี้ต้องถือว่าเป็นทางการแล้ว อาทิตย์หน้า โจ ไบเดน จะมีการประชุมพรรคเดโมแครตอย่างเป็นทางการ เพื่อเลือกโจ ไบเดน เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งและกมลา แฮร์ริส เป็นรองประธานาธิบดี ชิงตำแหน่ง หลังจากนั้นไปอีก 1 อาทิตย์ แต่ว่าของเขา ทางเดโมแครตจะประชุมโดยผ่านออนไลน์ เพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะให้มีคนไปชุมนุมเยอะ เนื่องจากว่ามีโควิด-19 หลังจากนั้นไปอีก 1 อาทิตย์ รีพับลิกันก็จะประชุมเหมือนกัน เพื่อเลือกนายทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 และนายไมก์ เพนซ์ เป็นรองประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เพราะฉะนั้นแล้ว ฤดูการเลือกตั้งอเมริกากำลังเกิดขึ้นแล้วท่านผู้ชม และผมจะพยายามหาโอกาส สิ่งที่ผมจะอธิบายให้ฟัง คือการเลือกตั้งของอเมริกา สักครั้งหนึ่ง ท่านผู้ชมจะได้มีความรู้มากขึ้น เพราะหลายเรื่องที่ต้องอธิบาย เพราะอเมริกานั้นมีลักษณะการเลือก 2 แบบที่ต้องไปด้วยกัน แบบหนึ่ง เรียกว่า Popular Vote / One Man One Vote ผมได้ 15 คะแนน ท่านผู้ชมได้ 12 คะแนน ผมชนะ แต่ขณะเดียวกัน การที่ผมได้ 15 ไม่ได้แปลว่าผมจะได้ เพราะยังมี Electoral Vote แล้ว Electoral Vote คืออะไร ? ผมต้องอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง
ท่านผู้ชมครับ เมื่อประมาณ 4 วันที่แล้ว วันที่ 10 สิงหาคม มีสุภาพบุรุษ อายุ 71 ปีคนหนึ่ง ที่ฮ่องกง ชื่อ จิมมี ไล ซึ่งจิมมี ไล เป็นเจ้าของเครือข่ายสื่อมวลชนที่มีชื่อ และค่อนข้างใหญ่ในฮ่องกง ในไต้หวัน คือเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ชื่อ APPLE DAILY คือหนังสือพิมพ์รายวัน APPLE ผิงกั่วรื่อเป้า จิมมี ไล ถูกควบคุมตัวภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ที่จีนเอามาใช้ในฮ่องกง
จิมมี ไล ถูกแจ้งข้อกล่าวหาอื่น ๆ เกี่ยวกับองค์กรและการส่งเสริมการประท้วงเมื่อปีที่แล้ว โดยข้อกล่าวหานั้น กล่าวหาบริษัทของจิมมี ไล คือ NEXT Media ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์ APPLE DAILY และเป็นผู้สนับสนุนประชาธิปไตยรายวันที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง หากจิมมี ไล ถูกตัดสินว่าผิด สมรู้ร่วมคิดในต่างประเทศ เขาต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือตลอดชีวิต สำหรับความผิดลักษณะร้ายแรง
หลังจากข่าวจับกุมจิมมี ไล แพร่สะพัด คนฮ่องกงก็แห่ไปซื้อหนังสือพิมพ์ของเขาในวันอังคารที่ 11 เพื่อเป็นที่ระลึก ในปี 2563 ทำให้หนังสือพิมพ์ของเขา ซึ่งมียอดขายอยู่ 70,000 ฉบับต่อวัน ต้องพิมพ์ถึง 550,000 ฉบับต่อวัน นอกจากนั้นแล้ว คนฮ่องกงที่เป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ต้องการแสดงออกถึงจิตใจที่สนับสนุนนายจิมมี ไล ก็พากันไปซื้อหุ้นบริษัทของนายจิมมี ไล ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ก็คือจากรายงานที่ออกมา ผู้ที่ถือหุ้นเป็นรายย่อยทั้งนั้น ซื้อคนละ 10,000 เหรียญฮ่องกงบ้าง 2,000 เหรียญฮ่องกงบ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านผู้ชมเชื่อไหม จนกระทั่งหุ้นของจิมมี ไล APPLE DAILY หรือบริษัท NEXT MEDIA ก่อนที่จะถูกจับ และก่อนที่ชาวฮ่องกงจะไปรุมซื้อ ราคาแค่ 9 สตางค์ต่อ 1 หุ้น ยังไม่ถึง 10 สตางค์เลย ผมเอาเงินฮ่องกงเป็นเงินบาทแล้วกัน 9 สตางค์ ปรากฏว่าสามวันให้หลัง ราคาหุ้นขึ้นมาจนกระทั่งถึงประมาณ 1.10 บาท (1,200 เท่า) สามวัน ผิดปกติมาก นั่นคือการทุ่มเทจิตใจ ทุ่มเทการสนับสนุนทางใจให้กับนายจิมมี ไล โดยผ่านการซื้อหุ้นบริษัทของเขา นี่คือลักษณะการแสดงออกทางสัญลักษณ์ เพราะว่าจะทำอย่างอื่นก็ทำไม่ได้
ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่าสมัยก่อน ก่อนที่จีนจะเอากฎหมายความมั่นคงมาใช้ในฮ่องกงนั้น การประท้วงอะไรก็ตาม จะโดนจับในข้อหาแบบนี้ไม่ได้ เพราะว่าในกฎหมายของฮ่องกงไม่มีข้อหาแบบนี้ ข้อหายุยง ปลุกปั่น แตกแยก หรือในการที่จะใช้บริษัทเข้ามาสนับสนุนในการประท้วงเพื่อก่อให้เกิดความไม่สงบ หรือความวุ่นวาย และอาจจะก่อให้เกิดประเด็นปัญหาต่าง ๆ ขึ้นมา มันไม่มีกฎหมายที่มารองรับตรงนี้ นี่ต้องทบทวนความจำนิดหนึ่ง ในข้อตกลงในการโอนฮ่องกงกลับคืนมาให้จีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 (1997) นั้น มีระบุข้อตกลงว่า ฮ่องกงจะต้องร่างกฎหมายความมั่นคงขึ้นมา ตามมาตรา 7 แต่ว่าตั้งแต่ปี 2540 จนกระทั่ง 2563 ยี่สิบสามปี ไม่มีการร่างกฎหมายนี้ มีการพยายามร่างกฎหมายหลายครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีการประท้วงขึ้นมา พอมีการประท้วงขึ้นมา จีนบอกไม่ไหวแล้ว ถ้าอย่างนั้นจีนจะร่างกฎหมาย เอากฎหมายความมั่นคงนี้ ซึ่งจีนร่าง แล้วเอามาใส่ในฮ่องกงทันทีเลย ตูม ในฐานะที่จีนเป็นเจ้าของฮ่องกง นั่นคือที่มานะครับ
จิมมี ไล คือใคร ? จิมมี ไล เป็นคนกวางตุ้ง เขาเกิดที่เมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง จีนแผ่นดินใหญ่ จิมมี ไล ตระกูลของเขาเป็นคนรวย แต่หลังจากที่คอมมิวนิสต์เข้ามายึดประเทศจีนในปี 1949 หรือ 2492 พรรคคอมมิวนิสต์ชนะสงครามกลางเมือง และทำให้พรรคก๊กมินตั๋งของอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชก ต้องหลบหนีไปอยู่ที่เกาะไต้หวัน ทรัพย์สินของตระกูลจิมมี ไล ก็เลยถูกรัฐบาลชุดคอมมิวนิสต์ยึดไปหมดเลย ทำให้เขาต้องตกระกำลำบาก
จิมมี ไล ทำงานทุกอย่าง สมัยเด็ก ๆ ไปช่วยยกกระเป๋าให้นักเดินทางตามอาชีพ แล้วตำนานว่า เขาได้เคยกินช็อกโกแลตเป็นครั้งแรกในการไปยกกระเป๋า แล้วเขาติดอกติดใจมาก และเขารู้ว่าช็อกโกแลตนี้มาจากฮ่องกง เขาก็เลยใฝ่ฝันว่าเขาจะต้องไปฮ่องกงให้ได้ ในที่สุดแล้ว เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากญาติคนหนึ่ง ก็เดินทางจากมาเก๊าเข้าฮ่องกง แล้วเขาก็ทำงานในโรงงานผลิตถุงมือ เริ่้มงานด้วยการเป็นคนกวาดพื้น ไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นผู้จัดการโรงงาน แค่อายุ 20 ปี จิมมี ไล ก็เริ่มฝึกภาษาอังกฤษและเริ่มพูดกับเพื่อน เขามีเงินออมอยู่ 2,000 เหรียญฮ่องกง ไปเล่นหุ้น ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำมาถึง 150,000 เหรียญฮ่องกง เขาก็เลยเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนซื้อโรงงานทอผ้า แล้วก่อตั้งบริษัทขึ้นมา เขาใช้เวลาไม่กี่ปี ทำให้เขามีเงินสะสมอยู่ 300 ล้านดอลลาร์
พ.ศ. 2518 จิมมี ไล สามารถสร้างโรงงานทอผ้า ชื่อ Comitex ซึ่งเพิ่งล้มละลายก่อนที่จะรับทำเสื้อผ้าให้กับลูกค้าสหรัฐ ฯ เจ้าใหญ่ ๆ หลังจากที่ซื้อมาแล้ว เขารับทำเสื้อผ้าให้กับบริษัท J.C. Penny, Montegomery Ward แล้วในที่สุด จิมมี ไล ... ท่านผู้ชมที่เคยไปฮ่องกง ซื้อเสื้อผ้ารุ่นราวคราวเดียว ประมาณสัก 30-40 ปีที่แล้ว จิมมี ไล ก็เลยออกแบรนด์ของตัวเองชื่อ GIORDANO ท่านผู้ชมเชื่อไหม ขายดิบขายดี ออกแบบสวยมาก เท่ ชิค สำหรับคนหนุ่มคนสาว คนรุ่นใหม่ 30 ประเทศ มีสาขาอยู่ 2,400 แห่ง แล้วที่มีสาขามากที่สุดคือประเทศจีน และมีพนักงานทำงานมากถึง 8,000 คน
ความสำเร็จของจิมมี ไล เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อเขาเริ่มมีความขัดแย้งกับจีน เหตุผลเพราะว่าเขามีความประสงค์ที่จะให้ฮ่องกงมีสิทธิเสรีภาพตามที่ควรจะมี เขาไม่ต้องการที่จะให้ฮ่องกงกลับไปอยู่ในเงื้อมมือจีน จิมมี ไล เป็นคนที่ถือพาสปอร์ตอังกฤษและแคนาดา เขามีทรัพย์สินอยู่ที่อังกฤษและแคนาดา เขาสามารถที่จะไปอยู่ต่างประเทศได้ ในที่สุดแล้ว จิมมี ไล ก็ตัดสินใจที่จะแสดงออกความคิดของเขาด้วยการตั้งหนังสือพิมพ์ ชื่อ APPLE DAILY โดยใช้เงินประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา แล้วก็ออกมา ปรากฏว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่ขายดิบขายดีอยู่ในอันดับ 2 ของฮ่องกง ในยุคนั้น สมัยนั้น ปี 2540 หนังสือพิมพ์ก็มียอดพิมพ์วันละ 400,000 ฉบับ
หลังจากนั้น จิมมี ไล ก็ขยายสื่อของตัวเองไปอยู่ที่ไต้หวัน โดยที่เขาทำนิตยสารรายสัปดาห์หรือรายเดือนเล่มหนึ่ง ชื่อว่า NEXT MAGAZINE บนเกาะไต้หวัน และปี 2546 หนังสือพิมพ์ APPLE DAILY ก็ไปเกิดขึ้นที่ไต้หวัน
ความหวังของจิมมี ไล ที่จะให้คนฮ่องกงยืนหยัด เขาเตรียมพร้อมอพยพไปอยู่อังกฤษ แต่จิมมี ไล ก็เป็นคนที่ไม่ยอมทิ้งฮ่องกงไป และเขาอยู่เบื้องหลังในการประท้วงทุกครั้ง แล้วก็ว่ากันว่า เขาคือคนที่จัดเงินจัดทองให้กับทีมงานประท้วง
จีนโกรธจิมมี ไล มาก จีนตั้งฉายาจิมมี ไล ว่าเป็นคนทรยศของจีน เนื่องจากว่าจิมมี ไล เป็นตัวแทนในเรื่องสิทธิเสรีภาพ และเป็นจังหวะที่อเมริกาต้องการที่จะปะทะกับจีนในเรื่องพวกนี้ ก็เลยใช้จิมมี ไล เป็นตัวแทน เชิญจิมมี ไล ไปอเมริกาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ไปกล่าวสุนทรพจน์ ไปสนับสนุนให้กำลังใจ และในที่สุดแล้ว จิมมี ไล ก็เลยหลุดปากออกมาในการให้สัมภาษณ์กับทางสหรัฐอเมริกาในฟอรัมหลาย ๆ ฟอรัม โดยที่กล่าวหาจีน เขาก็น่าจะพูดมีเหตุมีผลพอสมควร
ผมอ่านให้ฟังนะคำให้สัมภาษณ์ของเขา เขาบอกว่า วิธีการควบคุมผู้คนของจีนทุกวันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เคยมีเผด็จการผู้ใดที่มีความสามารถในการควบคุมผู้คนได้อย่างเบ็ดเสร็จเหมือนกับที่สี จิ้นผิง มี เพราะไม่เคยมีใครที่มีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่รู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน และรู้ว่าคุณไปที่ไหนบ้าง
ถ้าคุณพูดอะไรผิด พวกเขาจะรู้ทันที เพราะเขามีกล้องซีซีทีวีที่จับ จับใบหน้าปั๊บเขาจะรู้เลยว่าคุณพูดอะไร คุณเป็นใคร คุณชื่ออะไร ถ้าคุณมีแบล็กลิสต์อยู่ ก็จะปรากฏออกมา ถ้าคุณพูดอะไรผิด พวกเขาจะรู้ทันที และคุณจะไม่สามารถ ... คือที่เมืองจีนเขามีอย่างนี้ ถ้าผิดเรื่องพวกนี้แล้ว คุณจะไม่สามารถซื้อตั๋วรถไฟ ซื้อตั๋วเครื่องบิน คุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่หลายแห่ง คุณจะไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้ และถ้าคุณกลายเป็นอาชญากร ถ้าคุณเดินเข้าไปในโรงหนัง ที่ประตูทางเข้า เขาจะรู้รูปร่างหน้าตาคุณ และสามารถเข้าจับกุมคุณได้ทันที วิธีการควบคุมเช่นนี้เป็นสิ่งที่ในอดีตไม่เคยมีเผด็จการคนใดมีมาก่อน และปัจจุบันมีได้ เพราะว่าจีนใช้เทคโนโลยีนี้
จิมมี ไล พูดต่อว่า ดังนั้นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของสี จิ้นผิง ก็คือ เมื่อคุณมีนวัตกรรมการควบคุมผู้คนอย่างเบ็ดเสร็จแบบที่ไม่เคยมีใครเคยมีมาก่อน เช่นนี้แล้ว กลับกลายเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะคุณไม่เคยฝึกทักษะในการควบคุมมันมาก่อน คุณไม่เคยฝึกทักษะในการป้องกันการลุกฮือขึ้นต่อต้านของผู้คน เพราะประวัติศาสตร์คือการลองผิดลองถูก คุณไม่สามารถอยู่ ๆ ก็สร้างอะไรบางอย่างขึ้นมา และคิดเอาว่าเพราะคุณมีอำนาจในการควบคุม ผู้คนจึงต้องยอมก้มหัวให้ ผมคิดว่านี่คือเรื่องอันตรายประการหนึ่งที่สี จิ้นผิง สร้างขึ้นมาเอง
เพราะฉะนั้นแล้ว ด้วยเหตุผลนี้ จิมมี ไล ถึงสนับสนุนการประท้วงที่ฮ่องกงในทุกรูปทุกแบบ จนกระทั่งเขาได้ถูกจับไปเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม และวันพุธที่ 12 สิงหาคม เขาอยู่ในคุกประมาณ คืนวันที่ 10-10 วันที่ 12 เขาได้รับการประกันตัวออกมาแล้ว เช่นเดียวกับผู้ถูกจับกุมรายอื่น ๆ สรุปแล้วเขาถูกควบคุมตัวประมาณ 40 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า จีนเริ่มเอาจริงเอาจังมากขึ้นในขณะนี้ และด้วยเหตุนี้ ซึ่งตรงนี้ผมจะมาพูดตอนท้าย ในเรื่องการชุมนุมของประเทศไทย ตรงนี้สายของอเมริกา และสายของอังกฤษ ในขณะนี้ต้องถือว่าอังกฤษและอเมริกาสูญเสียฮ่องกงไปหมดแล้ว จากการที่จีนใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับนี้ เพราะว่าไม่สามารถจะใช้คนอย่างจิมมี ไล ได้ และไม่สามารถจะมายุยงส่งเสริมอะไรได้ เพราะว่าในการที่จะให้คนในท้องถิ่นใดลุกฮือขึ้นมานั้น ฝรั่งจะช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ฝรั่งจะใช้คนกลาง ซึ่งเป็นคนมีเงิน ให้คน ๆ นี้เป็นคนจ่ายเงิน จ่ายเงินออกไป เพราะฉะนั้นแล้ว อังกฤษต้องถือว่าสูญเสียฮ่องกงไปแล้ว และอังกฤษไม่ยอม เพราะว่าอังกฤษสูญเสียผลประโยชน์ในฮ่องกงไปอย่างมหาศาล อเมริกาก็ไม่สามารถจะใช้ฮ่องกงเป็นตัวก่อการเพื่อกระทบจีนอีกต่อไป เพราะฉะนั้น ความเป็นสากล ความขัดแย้งระหว่างจีนและอเมริกานั้น ลามจากฮ่องกง เข้ามายังประเทศไทยแล้ว และการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์เมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่เป็นเรื่องเป็นราว พอจะเห็นร่องรอยของฝรั่ง ร่องรอยของต่างชาติ ที่เข้ามาหนุนหลังในบางเรื่องในการชุมนุมครั้งนี้ ซึ่งประเดี๋ยวผมจะพูดในตอนท้าย
ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันพุธที่ 5 สิงหาคม เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งเป็นวันที่ผมไลฟ์สดเรื่องคดีบอสเป็นครั้งที่ 2 ในวันพุธที่ 5 วันนั้นเผอิญที่รัฐสภามีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ 2 หนึ่งในระเบียบวาระ คือ การพิจารณางบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล วงเงิน 1,276 ล้านบาท ระหว่างที่นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กำลังอธิบายโครงการให้พิจารณา
มีรายงานว่า ส.ส. ในคณะอนุกรรมาธิการได้ซักถามอย่างหนัก จนกระทั่งอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เปิดเผยกลางที่ประชุม โป๊ะแตกเลยกลางที่ประชุม บอกว่า มีอนุกรรมาธิการบางคนเรียกเงินผม 5 ล้านบาท แลกกับการผ่านงบประมาณ แล้วท่านอธิบดีก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมไปเลย คือทิ้งระเบิดแล้วเดินออกไปเลย ไม่สนใจแล้ว จัดการเองแล้วกัน เซ็งเหลือเกิน มารีดไถเงิน
ก็ปรากฏว่าได้มีข้อมูลมาว่า มี ส.ส. คนหนึ่ง โทรศัพท์ไปคุยกับอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ก่อนเข้าประชุม บทสนทนาเป็นอย่างนี้ ท่านผู้ชม
ส.ส.- ถ้าไม่ให้ตัดงบประมาณ 1,200 ล้านบาท จะขอโครงการขุดบ่อบาดาลภาคอีสาน
อธิบดี- ไม่ได้
ส.ส.- ถ้าอย่างนั้นขอ 5 แล้วกัน
อธิบดี- บอกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ของ 1,200 ล้านบาท ก็เท่ากับ 60 ล้านบาท
ส.ส.- ไม่ใช่ 5 หมายถึง 5 ล้านบาท
อธิบดี- จะเอาจากไหนให้
ส.ส.- ให้ไปขอผู้รับเหมา
อธิบดี- ปฏิเสธ
ท้ายที่สุด ส.ส. ก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นเจอกันในห้องประชุม"
เจอกันก็เลยโดนบี้ โดนซัก โดนสอบ เหมือนกับว่าจะต้องตัดงบประมาณก้อนนี้ออกให้ได้ ท่านอธิบดีก็เลยโป๊ะแตก ก็เลยลุกขึ้นมาประกาศว่า (ขอโทษนะครับ พูดแบบตามแถวบ้านผม) ก็มึงมาไถเงินกู 5 ล้านบาท ถ้าไม่ให้ มึงจะไม่ผ่านงบประมาณให้กู กูไม่เอาแล้ว กูไม่เล่นกับมึงแล้ว แล้วก็เดินออกไปเลย ก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
มาย้อนดูคณะอนุกรรมาธิการแผนงานบูรณาการ มีใครบ้าง
1. น.ส. แนน บุณย์ธิดา สมชัย จากพรรคประชาธิปัตย์ (ลูกสาวของคุณอิสสระ สมชัย) เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการ
2. คุณอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ จากพรรคเพื่อไทย รองประธานคนที่หนึ่ง
3. คุณจักรัตน์ พั้วช่วย พลังประชารัฐ รองประธานคนที่สอง
4. คุณศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ พรรคเพื่อไทย รองประธานคนที่สาม
5. คุณสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ ภูมิใจไทย รองประธานคนที่สี่
6. คุณสุทิน คลังแสง เพื่อไทย ประธานที่ปรึกษาอาวุโส
7. คุณสุรสิทธิ์ วงศ์วิทยานันท์ พลังประชารัฐ ประธานที่ปรึกษา
8. คุณสาธิต อุ๋ยตระกูล พลังประชารัฐ โฆษก
9. ผศ.สิตางคุ์ พิลัยหล้า นักวิชาการเชี่ยวชาญการจัดการน้ำ โฆษก
10. คุณนันทนา สงฆ์ประชา ประชาภิวัฒน์ เลขานุการ
11. คุณบุญแก้ว สมวงศ์ เพื่อไทย ที่ปรึกษา
12. คุณคมเดช ไชยศิวามงคล เพื่อไทย ที่ปรึกษา
13. คุณจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ เพื่อไทย ที่ปรึกษา
14. คุณพีรเดช คำสมุทร ก้าวไกล ที่ปรึกษา
15. คุณฐิตินันท์ แสงนาค ภูมิใจไทย ที่ปรึกษา
16. คุณธารา ปิตุเตชะ ประชาธิปัตย์ ที่ปรึกษา
17. คุณอัฏฐพล โพธิพิพิธ ประชาธิปัตย์ ที่ปรึกษา
18. คุณศิริพงษ์ รัสมี พลังประชารัฐ ที่ปรึกษา
19. คุณรณเทพ อนุวัฒน์ พลังประชารัฐ ที่ปรึกษา
20. คุณเจริญ เรี่ยวแรง พลังประชารัฐ ที่ปรึกษา
สรุปแล้วใน 20 คนนี้ มีอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่โทรศัพท์ไปหาท่านอธิบดี ท่านผู้ชมครับ คน ๆ นี้ผมรู้ชื่อมาแล้ว แต่ผมไม่พูด พูดไม่ได้ แต่ถ้าท่านผู้ชมสังเกตเห็น ลองไปทบทวน ทบทวนดูว่าผมเรียกชื่อใครไปบ้าง ก็ไม่รู้นะ ท่านไปตีความเอาเอง
เอาล่ะ ท่านผู้ชม วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องวิธีทำมาหากินของ ส.ส. กับการจัดงบประมาณ
งบประมาณนั้น ก่อนที่จะก้าวไปสู่คณะอนุกรรมาธิการต่าง ๆ ก็คือ งบประมาณประจำปีมันจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี สมมุติว่างบประมาณประจำปีนี้ ก็จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม แล้วไปสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ปีหน้า เพราะฉะนั้นก่อนจะถึง 1 ตุลาคม งบประมาณจะต้องผ่านสภาฯ เรียบร้อย สภาฯ จะต้องอนุมัติให้มีสิทธิ์ใช้งบประมาณก้อนนี้ได้
ทีนี้ การจัดทำงบประมาณเขาจัดทำกันอย่างไร? คือทุกกระทรวง ทบวง กรม สำนักงานอิสระ องค์กรอิสระ ทุกคน เมื่อถึงเวลาจะต้องทำงบประมาณแล้ว เขาจะแจ้งให้ทราบ คุณเตรียมตัวส่งค่าใช้จ่ายที่คุณต้องการในปีหน้า ตั้งแต่ 1 ตุลาคม ปี 2563 จนถึง 30 กันยายน 2564 คุณมีค่าใช้จ่ายอะไร บอกมา แรก ๆ หลัก ๆ ก็เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องเงินเดือน ค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน รองลงมาก็เป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของอุปกรณ์ต่าง ๆ ครุภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ต้องซื้อ ต่อมาก็จะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของการที่จะสร้าง ก่อสร้างอะไร อย่างเช่น จะสร้างตึกตรงนี้ จะสร้างโรงพยาบาลเพิ่มอีกโรงหนึ่ง จะเอาไปซื้อที่ดินผืนนี้ จะสร้างตรงนี้ จะขยายส่วนต่างตรงนี้ จะซื้ออุปกรณ์ ถ้าทางเทคโนโลยีก็บอกว่าต้องซื้อซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาตัวหนึ่ง บ่อน้ำบาดาลก็บอกว่าต้องมีงบประมาณมาขุดบ่อน้ำบาดาลตามจังหวัด ฯลฯ เมื่อทำเรียบร้อยแล้ว อธิบดี ผมยกตัวอย่างอธิบดีกรม ๆ หนึ่ง ก็จะเอาข้อมูลทั้งหมดนี้ ที่ตัวเองมีอยู่ ส่งไปให้ปลัดกระทรวงของตัวเองดู ปลัดกระทรวงก็ไปแจ้งรัฐมนตรี ทุกคนก็จะทำอย่างนี้หมด พอทำหมดแล้วก็เอาไปส่งให้กับสำนักงบประมาณ
เมื่อไปถึงสำนักงบประมาณแล้ว สำนักงบประมาณก็จะตรวจสอบความถูกต้องขั้นแรกก่อน ท่านผู้ชมครับ เวลาของบประมาณ มันเป็นสูตร สมมุติว่าท่านมีค่าใช้จ่ายต้องใช้ประมาณ 100 ล้าน ก็จะขอไป 120 เผื่อตัด ตัดไปตัดมาอาจจะเหลือ 100 ก็เท่ากับวงเงินที่ตัวเองต้องการสร้างใช้ และนี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่สำนักงบประมาณรู้อยู่แล้ว ว่ามันบวกอยู่แล้ว บวกเพื่อให้แพงขึ้น เพื่อให้ตัด เพราะฉะนั้นสำนักงบประมาณก็มีหน้าที่ตัด ตัดไปก่อน ขั้นแรก ตัดไป คุยกันไปคุยกันมา บางทีตัดไปตัดมาแล้ว อธิบดีหรือรัฐมนตรีหรือปลัดกระทรวงมีความรู้สึกว่าถูกตัดมากไป ก็เลยเข้าไปคุยกับสำนักงบประมาณ ว่าท่านครับ ท่านตัดมากจนเกินไป อันนี้มีความจำเป็นจริงๆ ก็ต่อรองกันไปต่อรองกันมา ในที่สุดก็ลงตัวในตัวเลขที่วิน ๆ ก็คือทั้งสองฝ่ายยอมรับกันได้ เมื่อมันจบแล้วก็เอาเรื่องตรงนี้เสนอคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีก็เอาเข้าสภาฯ งบประมาณแผ่นดินมีอะไรบ้าง ท่านนายก ฯ ก็ออกมาแถลง งบประมาณปีหน้าเราตั้งเอาไว้ 3,230,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้จะเป็นของการศึกษาเท่านี้ จะเป็นของกลาโหมเท่านี้ จะเป็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เท่านี้ จะเป็นของกระทรวงคมนาคมเท่านี้ แล้ว ส.ส. ที่อยู่ในสภา ฯ โดยเฉพาะฝ่ายค้าน ก็จะออกมาโจมตี การตั้งงบประมาณครั้งนี้ไม่ได้ตั้งเพื่อที่จะพัฒนาประเทศ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องเงินเดือน แล้วไม่มีอะไรที่ใหม่ ไม่มีการลงทุนใหม่ ๆ เกิดขึ้น ไม่ได้ไปเน้นเรื่องการลงทุนทางด้านคน ไปเน้นในเรื่องของวัตถุ ก็ว่ากันไป ตามวาทกรรมของ ส.ส. แต่ละคน บางคนก็ขอให้ได้วิพากษ์วิจารณ์งบประมาณเพื่อที่จะออกทีวี ให้คนที่บ้านได้เห็นว่า ส.ส. กูได้พูดแล้ว
ทีนี้พอผ่านไปแล้ว วาระแรก ทุกคนก็ยกมือ ให้/ไม่ให้ รัฐบาลก็ต้องได้แน่นอน เพราะรัฐบาลกุมเสียงข้างมากอยู่ในสภา ฯ เมื่อได้มาแล้วก็เป็นขั้นตอนต่อไป นี่คือขั้นตอนการทำมาหารับประทาน ถ้าเป็นภาษานักเลง คือ ขั้นตอนทำมาหาแดก ต้องขอประทานโทษนะครับ แต่ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น ก็มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา ท่านผู้ชมไม่เคยสงสัยหรือว่าทำไม ส.ส. แต่ละคนถึงกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเข้าไปเป็นคณะกรรมาธิการ และการเป็นคณะกรรมาธิการนั้นก็ไม่จำกัดเฉพาะ ส.ส. นะ คนนอกก็เข้าไปได้ อย่างเช่นหลาย ๆ คนที่ ... แม้กระทั่งคุณวิรัช รัตนเศรษฐ ซึ่งเป็นประธานวิปของพรรคพลังประชารัฐ
ในตอนแรกถูกกีดกันไม่ให้เป็นกรรมาธิการ คุณวิรัช ก็เลยออกฤทธิ์ออกเดช แสดงฤทธิ์แสดงเดช จำได้ไหมท่านผู้ชม ทำให้การประชุมสภา ฯ ล่มครั้งหนึ่ง เพราะ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ เข้าไปครบ นั่นคือฝีมือคุณวิรัช รัตนเศรษฐ
พอตอนหลัง พอสี่กุมารออกไปแล้ว คุณสันติ พร้อมพัฒน์ ก็ขึ้นมาเป็นประธานกรรมาธิการแทน คุณสันติ ก็เลยเอาคุณวิรัช รัตนเศรษฐ เข้ามานั่งในคณะกรรมาธิการ
ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าถ้าเป็นนักการเมืองรุ่นเก่า เท่าที่ผมจำได้ เซียนเลย ปรมาจารย์เลยในเรื่องการนั่งกรรมาธิการงบประมาณ ไม่เคยมีใครกินปู่ชัย ชิดชอบ ของผม ปู่ชัยนี่ ไม่ว่าในยุคไหนสมัยไหน ต้องอยู่ในคณะกรรมาธิการ แล้วพี่บรรหาร ศิลปอาชา ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้นั่งในกรรมาธิการ เพราะว่าตัวเองเป็นรัฐบาล คุณบรรหารเล่นการเมืองมา สมมุติว่า 20 ครั้ง อาจจะมีสักครึ่งครั้งที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล นอกนั้นเป็นรัฐบาลหมด เพราะคุณบรรหารเคยพูดบอกว่า ถ้าไม่เป็นรัฐบาลแล้วมันอดอยากปากแห้ง เป็นรัฐบาลถึงจะมีเงินมีทองใช้ แต่คุณบรรหาร ศิลปอาชา จะมีความสามารถอย่างหนึ่ง คุณบรรหาร ศิลปอาชา จะคุมสำนักงบประมาณทุกครั้ง และสามารถจะให้สำนักงบประมาณโยกงบ ฯ กระทรวงนี้ไปลงกระทรวงนั้น ไปลงพื้นที่นั้น ท่านผู้ชมเข้าใจคำว่า "โยกงบ" ไหม ? ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง
อุปมาอุปไมยสมมุติว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน มันคล้าย ๆ กัน ไม่ต่างกันนัก สมมุติว่ากระทรวงเกษตร ฯ กรมวิชาการเกษตร ตำแหน่งอธิบดีจะว่าง ก็จะมีพ่อค้าต่าง ๆ ที่วิ่งเต้นแล้วก็สนิทกับรองอธิบดีคนนี้ เห็นว่ารองอธิบดีคนนี้ใจถึง มือถึง ถึงหมดทุกอย่าง ก็จะเอาเงินก้อนหนึ่งไปเต๊ย ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง สมัยคุณมนตรี พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตำแหน่งอธิบดีในกระทรวงคมนาคมนั้น ต้องเสียเงินทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอธิบดีกรมทางหลวง ซึ่งคุมงบประมาณการก่อสร้างเยอะแยะไปหมดเลย พ่อค้าต่าง ๆ ผู้รับเหมาต่าง ๆ จะเอาเงินเต๊ยมา อธิบดีกรมทางหลวงสมัยนั้นก็อาจจะราคาสัก 100 ล้านบาท สมัยนั้นนะ สมัยนี้เท่าไร ? เมื่อคนนี้ขึ้นเป็นอธิบดีปั๊บ รัฐมนตรีได้เงินไป รัฐมนตรีก็ตั้งคนนี้เป็นอธิบดี อธิบดีก็ต้องตอบแทนบุญคุณผู้รับเหมาต่าง ๆ ที่เอาเงินมาเต๊ย ฉันใดฉันนั้น เวลา ส.ส. หรือผู้ใหญ่ในรัฐบาล หรือเจรจาตกลงกัน บางทีฝ่ายค้านก็ตกลงกันว่า อันนี้ผมขอได้ไหม ขอได้ไหมเพื่อเอามาลงในพื้นที่ผม อันนี้เขาเรียกว่า "งบตกเบ็ด"
งบตกเบ็ด ก็คือว่า ส.ส. ฝ่ายค้าน ต้องการจะเอางบก่อสร้าง หรืองบขุดฝาย ทำฝาย มูลค่า 2,000 ล้าน มาลงจังหวัดตัวเอง หรือมูลค่า 1,000 กว่าล้าน มาลงจังหวัดตัวเอง รัฐบาลอาจจะให้ โดย ส.ส. ฝ่ายค้านจะบอกว่า ท่านให้ผมมา แล้วผมจะย้ายพรรคไปอยู่พรรคท่าน เห็นไหม นี่เขาถึงเรียกว่า "งบตกเบ็ด"
ทีนี้ มันแปลว่าอะไรล่ะ ? เวลางบประมาณไปลงในพื้นที่ ผู้รับเหมา ส่วนใหญ่จะเป็นงบก่อสร้าง งบขุด งบทำถนน งบก่อสร้าง อันนั้นเป็นงบที่ชัดเจนและมากที่สุด เพราะว่าในจังหวัด ๆ หนึ่ง จะมีผู้รับเหมากี่คน ผู้รับเหมาจะผูกกับ ส.ส. คนนี้เอาไว้ พองบตกลงมาปั๊บ มาตรงนี้ ผู้รับเหมาคนนั้น 99.99 เปอร์เซ็นต์ ก็จะได้งบนี้ไป ประมูล จะด้วยวิธีใดก็ตาม เมื่อได้ไปแล้วก็ต้องมีแบ่งกัน ให้ ส.ส. คนนี้ไปเท่าไร kick back กลับมาถึงใคร ? ถึงกรรมาธิการที่ผ่านงบ ฯ นี้ให้ สุดแล้วแต่สิ สมมุติว่า 1,000 ล้าน ได้มา 200 ล้าน 20 เปอร์เซ็นต์ 200 ล้าน อาจจะให้ ส.ส. 100 ล้าน อีก 100 ล้าน กระจายไป กลับไปสู่กรรมาธิการพิจารณาเฉพาะงบนี้ ตอนนั้นที่ให้ผ่านแล้วเอาไปลงจังหวัดนี้ได้ เห็นไหมท่านผู้ชม นี่คือวิธีการ
เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัด เมื่อมีคณะกรรมาธิการมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการพิจารณาแล้ว งบต่าง ๆ ที่มีอยู่ ที่สำคัญที่สุดคืองบลงทุน และงบจัดซื้อจัดจ้าง งบอันหนึ่งเป็นงบที่ทุกคนแย่งกันทึ้ง แล้วเมื่อวานนี้ เป็นวันที่อนุกรรมาธิการงบวิจัยกำลังประชุมกัน คนที่เป็นหัวหอก เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ชื่อคุณวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีต ส.ส. พรรคที่ถูกยุบไป นั่งอยู่ ทำไมใคร ๆ ก็ชอบงบวิจัย ?
ท่านผู้ชม งบวิจัย 100 บาท ต้นทุนจริง ๆ เอาไปให้ใครทำวิจัย 50 บาท อีก 50 เข้ากระเป๋า ส.ส. เข้ากระเป๋ารัฐมนตรี เข้ากระเป๋าผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นฟันธงได้เลย ค่าใช้จ่ายงบวิจัยจะมีสัก 10,000 ล้านบาท 100,000 ล้านบาท 50,000 ล้านบาท ตกอยู่ในมือ ส.ส. เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัด
งานของการทำวิจัยมีแต่คนต้องการจะแย่ง สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเราจะต้องคุยกันก็คือว่า ถ้าสมมุติว่างบประมาณมาปั๊บ ถ้างบปีไหนตั้งงบไว้สูง มีความจำเป็นต้องมีลงทุนมากขึ้น กระทรวงการคลังก็จะเอางบที่เสนอมาของปีหน้าตั้งเอาไว้ แล้วกระทรวงการคลังก็จะเรียกฝ่ายหารายได้ คือใคร ? กรมสรรพากร กรมศุลกากร เรียกมา ว่าปีหน้าคุณมีเงินเท่าไร เขาจะบอกว่า อาจจะขาด 200,000 ล้านครับ เขาก็ต้องใช้วิธี 200,000 ล้านนั้น เป็นเงินกู้ คือรัฐบาลต้องมากู้ มาปิดงบ ให้ครบ 200,000 ล้าน เพราะฉะนั้นแล้วส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหา เพราะว่าเป็นร่างกฎหมายของรัฐบาล
เมื่อไปถึงสภา ฯ แล้ว ก็จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการก็จะประกอบด้วยฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน แต่ว่าฝ่ายรัฐบาลก็จะเป็นคนที่คุมกรรมาธิการนี้ แต่ว่าฝ่ายค้านก็คุยกับฝ่ายรัฐบาลได้ อย่างเช่น อยากได้อะไร อยากให้มีงบสร้างถนน โรงเรียน โรงพยาบาล ในจังหวัดของตัวเอง เผื่อจะได้มีโครงการ เกิดการประมูล รับเหมา จะได้มีช่องทางทำมาหากินได้ อย่างที่ผมบอก ก็ไปเจรจากับรัฐบาล ขอความช่วยเหลือผลักดัน อันนี้ก็อยู่ในหัวข้อ "งบตกเบ็ด" อย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปเมื่อกี้นี้
ทีนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ จะมาจากสัดส่วนรัฐบาลและฝ่ายค้าน ตำแหน่งหลัก ๆ จะมากันหมด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ในขณะนี้ที่กำลังมีปัญหาอยู่ก็คือว่า เนื่องจากว่าตัวรัฐมนตรี ฯ คลังคนเก่า สี่กุมาร ได้ออกไปแล้ว ก็เลยรอรัฐมนตรี ฯ คลังคนใหม่ที่จะเข้ามา ซึ่งคุณปรีดี ดาวฉาย ก็น่าจะเข้ามานั่งทำงานแล้ว ผมไม่รู้ว่าคุณปรีดี ดาวฉาย จะรู้เรื่องงบประมาณดีมากเหมือนกับคุณอุตตม หรือเปล่า แต่เอาเถอะ
ด้วยความที่เป็นกรรมาธิการชั้นกรรมาธิการวิสามัญของสภา ฯ ไม่ใช่กรรมาธิการสามัญ จึงทำให้สามารถตั้งคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส. มาเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ณ ได้ แม้แต่คนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองยังเป็นได้ เช่น คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ไม่ถูกตัดสิทธิ์การเป็นกรรมาธิการในสภา ฯ ก็เลยทำให้กรรมาธิการ ฯ งบปีนี้ พรรคก้าวไกลจึงเสนอชื่อคุณธนาธร มาเป็นกรรมาธิการงบประมาณได้
ท่านผู้ชมครับ ความสำคัญของร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ฯ ที่ถือเป็นกฎหมายสำคัญนั้น มีเม็ดเงินพิจารณาแต่ละปีเป็นล้านล้านบาท ปีนี้ 3 ล้านล้านบาท ที่สำคัญเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ให้ซิกแซก เป็นเรื่องของคนใจกล้าหน้าด้าน รวมทั้งเป็นช่องทางในการสร้าง connection กับข้าราชการทุกหน่วยงานเพื่อหวังผลประโยชน์ของนักการเมือง จึงทำให้เสือหิว เสือโหย ทั้ง ส.ส. สอบได้ และสอบตก ตลอดจนพวกคนการเมืองที่อยู่ในแต่ละพรรคการเมืองจ้องอยากจะหยิบชิ้นปลามันเป็นกรรมาธิการทั้งสิ้น
ที่จับจ้องกันจนเป็นเค้กก้อนใหญ่ นั่นคือการหาผลประโยชน์จากการเป็นกรรมาธิการงบ ฯ ทั้งชุดใหญ่ และชุดเล็ก ชุดใหญ่คืออะไร ? คือกรรมาธิการชุดใหญ่ ชุดเล็ก คือคณะอนุกรรมาธิการที่ตั้งขึ้นมา 8 ชุด ทำหน้าที่คัดกรองโครงการต่าง ๆ ให้เรียบร้อยแล้วค่อยส่งเข้าไปสู่กรรมาธิการชุดใหม่ แปลว่าอะไร ? แปลว่าทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่มีการเชื่อมสะพานต่อกัน แล้วหลายคนที่นั่งในชุดใหญ่ ก็มานั่งในชุดเล็กด้วย ก็หมายความว่า ถ้าชุดเล็กตกลงแล้ว ผ่านให้แล้ว เข้าชุดใหญ่แล้วจะไม่มีปัญหา จะผ่านให้ได้แน่นอน เพราะฉะนั้นแล้ว ผลประโยชน์ ข้อตกลงกันส่วนใหญ่จะตกลงกันที่ชุดเล็กก่อน เท่าไร งบจ่ายผมมา นั่นคือที่มาว่าทำไมท่านอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลจึงถูกไถเงิน 5 ล้านบาท แต่นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ ยังมีอีกเยอะ มีข้อตกลงกันระหว่างอธิบดี กับปลัดกระทรวง อธิบดีก็อยากได้งบประมาณมา ปลัดกระทรวงก็อยากให้งบประมาณไม่ถูกตัด เพราะว่ารัฐมนตรีจะได้ไม่ลงมาจัดการ เพราะถ้าปลัดกระทรวงคนไหน อธิบดีกรมไหน ของกระทรวงไหน เสนองบประมาณไป 100 บาท ถูกตัดไป 50 บาท คราวนี้ล่ะ อธิบดีเจ็บตัว ปลัดกระทรวงก็เจ็บตัว โดนโยกย้ายต่าง ๆ นานา ทุกคนก็อยากจะทำให้รัฐมนตรียิ้มแย้มแจ่มใส
บางคน ส.ส. สอบตก หรือไม่ได้เป็น ส.ส. ไม่ได้เป็น ก็โวยวาย อย่างเช่น คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ จำได้ไหมท่านผู้ชม จอมแฉทางการเมืองและนักตรวจสอบประจำสภา ฯ ได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทย เพราะไม่พอใจคนในพรรคเพื่อไทย ไปสกัดกั้นไม่ยอมให้เป็นกรรมาธิการงบรายจ่ายชุดใหญ่ในปีนี้ เลยออกมาแฉว่าโดนคนเพื่อไทย อักษรย่อ พ.พาน ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณภูมิธรรม หรือเปล่านะครับ แต่ผมขอประทานโทษนะครับ อาจจะไม่ใช่นะ แต่สุดท้ายเรืองไกร ก็ยังมีกำลังภายใน จนได้เป็นอนุกรรมาธิการงบ ฯ ที่ตั้งขึ้นมา 8 ชุด เรียกว่าชุดใหญ่ไม่ได้ ก็ขออยู่ในชุดเล็ก
การพิจารณาของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ฯ จะพิจารณาแบบเรียงตามรายมาตรา ที่สำนักงบประมาณได้มีการเรียงระดับกระทรวงเอาไว้ ส่วนใหญ่แล้ว ในที่ประชุม แต่ละหน่วยงานจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง บางหน่วยงานเป็นหน่วยงานเล็ก ไม่ค่อยมีอะไรมาก งบไม่เยอะ ไม่มีประเด็นอะไรน่าสนใจ ถ้าพิจารณาก็จะใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง งบประมาณที่น้อย และเป็นงบประมาณที่ไม่สามารถทำมาหากินได้ จะประชุมกันสั้น ๆ แต่ถ้ามีงบจัดซื้อจัดจ้างมาก ก็จะทำให้หน่วยงานมีประเด็นหารือกันมาก การพิจารณาจะใช้เวลาหลายชั่วโมง บางหน่วยงานกรรมาธิการไล่บี้ ไล่ถาม แทบจะทุกรายการ ทุกโครงการ บางรายก็กร่างจะโชว์พาว ก็มีการขู่ว่าชี้แจงไม่ขึ้น ตั้งงบไว้สูงเกินไป ฟุ่มเฟือย จะแขวนเอาไว้ก่อน อีก 2 วัน ค่อยมาใหม่ หรือขู่จะตัดงบ ตัดโครงการกลางที่ประชุม ต่อหน้าปลัดกระทรวง กลางวงประชุม ทำเอาอธิบดีเสียหน้า ผวาจะโดนเฉือนงบ หายไปทีหลายสิบล้าน เป็นร้อยล้าน โดนตัดไปจะทำให้ถูกปลัดกระทรวงและรัฐมนตรีต้นสังกัดไม่พอใจ เพราะฉะนั้นอธิบดีต้อง fight สุดฤทธิ์สุดเดช ไม่ให้งบของตัวเองโดนเฉือน โดนตัด ไม่อย่างนั้นก็จะถือว่าสอบไม่ผ่านในสายตาของรัฐมนตรีต้นสังกัด
ลูกเล่นแบบแขวรเอาไว้ก่อน รอพิจารณาอีกรอบ ของกรรมาธิการที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายไม่ให้อำนาจกรรมาธิการ คือกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ให้อำนาจกรรมาธิการเพิ่มงบ แต่ตัดลดงบได้ ก็เลยมี ส.ส. นักการเมือง ใช้วิธีหาผลประโยชน์จากงบประมาณ โดยการไปตัดงบแต่ละกระทรวงมา สมัยก่อนนะ ตัดหมดเลยนะ แล้วเอามาไว้ตรงกลาง แล้วเรียกว่าเป็นงบ ส.ส. แต่งบนี้ลงพื้นที่ให้ ส.ส. แต่ตอนหลังรัฐธรรมนูญใหม่ 2540 เขายกเลิกไปแล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะไปตัดงบทุกกระทรวงแล้วมาไว้ตรงกลางให้เป็นงบ ส.ส. ก็ใช้ไม่ได้ แต่ท่านผู้ชมครับ "นักการเมือง คือ นักการเมือง"
เมื่องบ ส.ส. ถูกตัด ก็ยังหาช่องทางทำมาหากิน คือแม้ไปขอมาเป็นงบ ส.ส. ไม่ได้ แต่ใช้วิธีขู่ข้าราชการจะตัดงบ หากไม่ต้องการโดนตัดก็ต้องมีผลประโยชน์มาแลกเปลี่ยน อันเป็นช่องทางให้พวกกรรมาธิการเสือโหยจะใช้วิธีนี้เพื่อเจรจาติดต่อกันเป็นการส่วนตัว จะคุยกับอธิบดีก่อน คุยกับปลัดกระทรวงก่อน แบบลับ ๆ คุยกันที่สภา ฯ ก็มี คุยกันที่ห้องลับนอกสภา ฯ เพื่อต่อรอง นัดไปกินข้าวกันข้างนอก ท่านครับ งบประมาณท่านจะเข้ามาแล้วนะ เรื่องนี้ผมนั่งดูอยู่นะ ผมว่าผมจะตัด ท่านจะให้ผมตัดไหม ? อย่าตัดเลยครับ มันไม่พอใช้จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นงานนี้ขอได้ไหม ให้บริษัทนี้เป็นคนรับงานไป ผมจะผ่านให้ แต่ท่านจำได้นะ งานนี้ต้องขอให้บริษัทนี้ได้งานไป ปลัดกระทรวง กับอธิบดี ไม่มีทางเลือก เพื่อที่จะให้ได้งบประมาณมา
เขาจะให้ผู้รับเหมาคนไหน หรือผู้ที่ประกอบกิจการอะไรมา เอางานนี้ไปได้ เขาไม่แคร์ แต่ขอให้งานมันออกมาตรงตามสเปกที่เขาต้องการ เขาถือว่าเขาทำงาน ได้ KPI ถูกต้องทุกประการ บางรายไม่ขู่ตัดงบ ไม่แขวนงบ แต่ไปคุยล็อบบนี้อธิบดี/ปลัดกระทรวง อย่างที่ผมบอก ฝากฝังเลยนะ บางราย เอาบริษัทนี้ไป
กระทรวงที่มีเรื่องทำนองนี้มาก ๆ หลัก ๆ ก็คือกระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข เพราะเป็นหน่วยงานที่มีการก่อสร้าง ทำโครงการอะไรต่างๆ เยอะ ๆ มีการจัดซื้อจัดจ้าง รับเหมากันเยอะ ระยะหลังคณะกรรมาธิการฯ งบก็เริ่มกินเนียนกันมาก ทำกันแบบไม่โจ่งแจ้ง ใช้วิธีให้ไปคุย ไปตกลงกันก่อน ตกลงกันก่อนที่จะเข้าอนุกรรมาธิการ ที่กรรมาธิการชุดใหญ่ตั้ง กรรมาธิการชุดใหญ่จะเป็นคนตั้งอนุ ฯ ที่ 1 อนุ ฯ ที่ 2 อนุ ฯ ที่ 3 อนุ ฯ ที่ 4 อนุ ฯ ที่ 5 แล้วเขาจะรู้ว่าอนุกรรมาธิการชุดที่ 1 รับผิดชอบอะไร ชุดที่ 2 รับผิดชอบอะไร เขาก็จะกระซิบคนของเขาให้ไปคุยกันก่อน ก่อนที่จะตั้งอนุ ฯ เมื่อคุยกันรู้เรื่องแล้วค่อยเอาโครงการต่าง ๆ ที่มาลงอนุ ฯ 1 อนุ ฯ 2 อนุ ฯ 3 อนุ ฯ 4 อนุ ฯ 5 อนุ ฯ 6 อนุ ฯ 7 อนุ ฯ 8 พอเข้าประชุมชุดใหญ่ก็จบ เพราะอะไร ? เพราะอนุ ฯ มันผ่านให้แล้ว เมื่ออนุ ฯ ผ่านให้แล้ว คนที่นั่งอยู่ในอนุ ฯ ก็เป็นคนของกรรมาธิการชุดใหญ่ พี่ ๆ เรียบร้อยแล้วพี่ เขารับปากแล้ว เดี๋ยวจะมีโครงการมาอย่างนี้ พี่ผ่าน เดี๋ยวเรามีบริษัทเราอยู่ที่นั่น เขารับปากว่าเดี๋ยวเขาจัดการให้ พอขึ้นไปชุดใหญ่ ชุดใหญ่ก็ผ่านให้ เห็นหรือยังครับท่านผู้ชม
อนุกรรมาธิการของคณะกรรมาธิการงบชุดใหญ่ ปัจจุบัน พบว่าปี 2563 ตั้งมามากกว่าปีที่แล้ว จากที่เคยตั้งส่วนใหญ่เป็น 5 คณะ รอบนี้ 8 คณะ เพราะอะไร ? เงินมันเยอะขึ้น สอง สัดส่วนที่ต้องแบ่งมามากขึ้น ก็เลยกลายเป็นทางใครทางมัน ถนนใครถนนมัน พื้นที่ใครพื้นที่มัน
ฉะนั้นตอนนี้พวกเสือหิวทั้งหลายจะติดต่ออธิบดีกันเต็มไปหมด ก็เขารู้นี่ว่ากรมไหนบ้างของบประมาณอะไรมา ชื่ออะไร ? อธิบดี เดี๋ยวก็โทรมาแล้ว ผม ส.ส. พรรคนี้ครับ อยู่คณะกรรมาธิการงบประมาณ ผมกำลังจะพิจารณางบของท่านอยู่ ท่านมีเวลาว่างมากินข้าวกับผมหรือไม่ อธิบดีจะรู้ทันทีเลยว่างานนี้คืองานไถเงิน แต่ในเมื่อเงินมันไม่ใช่เงินของอธิบดี เป็นเงินของประเทศชาติ อธิบดีไม่แคร์ ขอให้ไม่ตัดงบ ฯ มาแล้วกัน ส่วน
ที่ผมไม่รู้ว่าเขาจะตั้งมาหาสวรรค์วิมานอะไรกันนักหนา เปลืองเบี้ยประชุม ค่าแอร์สภา ฯ จะมาอ้างว่าเพื่อช่วยกลั่นกรองก็ฟังไม่ขึ้น เพราะผมดูพฤติกรรมแล้ว ตั้งมาเพื่อแบ่งเค้ก แบ่งกันกิน แบ่งกันโกง แบ่งกันตบทรัพย์ รีดไถมากกว่า หรือพูดง่าย ๆ พวกนี้คือพวกตบทรัพย์ รีดทรัพย์ ลักเล็กขโมยน้อย ยังไม่ถึงขั้นปล้นสะดม ผมเรียกว่าลักเล็กขโมยน้อย เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นว่าไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ ที่ท่านอธิบดีท่านมาโวยวายว่าท่านโดนไถ 5 ล้านบาท เพราะมันเป็นของมันอย่างนี้มานานแล้ว เป็นมานานแล้วจริง ๆ
อย่างที่ผมยกตัวอย่าง งบวิจัย เป็นงบเหมือนอาหารจานใหญ่ กินง่าย คล่องคอ เพราะเป็นงบที่ทางกระทรวงตั้งมา แต่ละโครงการเกินราคาว่าจ้างความเป็นจริงไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป นี่เป็นรายการงาบรายการใหญ่ที่นักการเมืองหมายตารอเขมือบกัน ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ และนี่คือการเมืองเมืองไทย
ท่านผู้ชมคิดเหมือนผมไหม เราจะผ่านความเน่าเฟะแบบนี้ไปได้อย่างไร ผมคิดไม่ออก นักการเมืองก็คิดออก แต่คิดออกอย่างเดียว ต้องเป็นระบบอย่างนี้ กูต้องมีส่วนเข้าไป ท่านผู้ชมตั้งอะไรก็ตาม มันจะมีช่องโหว่ให้พวกนี้เข้าไปแล้วก็ตบทรัพย์ แล้วการตบทรัพย์งบประมาณแผ่นดิน เป็นการตบทรัพย์ที่เนียน เพราะว่าเงินค่าก่อสร้างจะไปลงที่ไหน ถ้าผ่านไปแล้ว ไปลงจังหวัดไหน มันต้องมีผู้รับเหมา แล้วผู้รับเหมาแต่ละจังหวัด หรือคนที่จะต้องมาประมูลงานไปพวกนี้ ไม่มีหรอกครับที่จะไม่รู้จักพวก ส.ส. หรือคนที่เกี่ยวข้อง รู้กันอยู่แล้ว แล้วยิ่งถ้ากรมเห็นด้วย กระทรวงเห็นด้วย ปลัดกระทรวงเห็นด้วย เพราะว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้วจะผ่านงบก้อนนี้ให้ และตกลงกันแล้วว่าจะให้บริษัทนี้ บริษัทพวกนี้ก็จะได้งานไปทำ แล้วก็เข้ากระเป๋าตัวเอง เข้าใจหรือยังครับท่านผู้ชม เห็นด้วยกับผมไหมว่าเมืองไทยมันเน่าสุดที่จะเน่า
ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม เวลาค่ำ ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งท่านผู้ชมทุกท่านก็คงจะรู้อยู่อย่างมาก ผมคิดว่าเรื่องนี้สามารถมองได้หลายมิติ มิติหนึ่งทางสากล ผมมีความเชื่อมั่นว่านักศึกษาและแกนนำนักศึกษาที่เข้ามาร่วมในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุน จะด้วยคำปรึกษา หรือเส้นทางการเดิน หรือแม้กระทั่งในบางกรณีเรื่องเงินทองจากต่างประเทศ ยกตัวอย่างให้ฟังง่าย ๆ
การประท้วงครั้งนี้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ถ่ายทอดสดโดยเว็บไซต์ประชาไท เว็บไซต์ประชาไทย คนบริหาร/แอดมิน คือคุณจีรนุช คุณจีรนุช เคยโดนข้อหา 112 มาก่อน แต่เผอิญศาลยกฟ้อง เว็บไซต์ประชาไทนั้นมีหลักฐานลงอยู่ในต่างประเทศ ในสหรัฐอเมริกาว่าได้รับเงินสนับสนุนจาก NED (National Endowment for Democracy)
NED คืออะไร ? Human Rights Watch คืออะไร ? CFR (Council on Foreign Relations) คืออะไร ? ก็คือสภาแห่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งสามตัวนี้คือหน่วยงานที่แยกออกมาอย่างไม่เป็นทางการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และจะได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสภาคองเกรส คุณจีรนุช เป็น Fellow คือเป็นสมาชิกของ NED ถ้าจำไม่ผิด ได้รับเงินสนับสนุนเป็นล้าน เพื่อจะมาทำเว็บไซต์นี้ แล้วก็มาถ่ายทอดสด Voice TV ก็ถ่ายทอดสดเช่นกัน แต่ Voice TV ยังรู้จักบันยะบันยัง หลาย ๆ คำพูดที่พูดจาก้าวร้าวอย่างสุด ๆ ที่อยู่บนเวที ผมเข้าใจว่าคงจะลบทิ้งไป แต่เว็บไซต์ประชาไท เปิดหมด ข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ตลอดจนหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาชูป้ายอะไรพวกนี้ เว็บไซต์ประชาไทเป็นคนจัดการหมดทั้งสิ้น
ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมเพิ่งพูดเรื่องจิมมี ไล เมื่อกี้นี้ ฮ่องกงตอนนี้จบแล้ว เพราะทั้งอังกฤษและอเมริกาไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวในฮ่องกงได้ เพราะประเทศจีนเอาจริง เอาจริงถึงขนาดส่งทหารเข้ามาในฮ่องกง 10,000 กว่าคน พร้อมที่จะต่อสู้หรือป้องกันการลุกฮือขึ้นมา เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อฮ่องกงหมดไป เป้าหมายต่อมาที่จะต้องมาคือเมืองไทย และผมเชื่อว่าอีกหน่อยก็คงต่อไปที่มาเลเซีย
เหตุผลที่พวกนี้ กระทรวงต่างประเทศอเมริกามีนโยบายที่จะให้เมืองไทยวุ่นวาย ก็เพราะว่าอเมริกากำลังเผชิญหน้ากับจีน และประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น ๆๆ กองทัพบกไทยซึ่งสมัยก่อนซื้ออาวุธหลัก ๆ จากอเมริกาทั้งสิ้น ช่วงหลังก็เริ่มไปซื้อรถถังจากจีน หรือแม้กระทั่งเคยมีการซ้อมรบระหว่างไทยกับจีน การลงทุนของจีน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูง ก็อยู่ในประเทศไทย และประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของ "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกแบบมา
ท่านผู้ชมครับ ประเทศไทยในขณะนี้มีจุดอ่อนหลาย ๆ จุด เหตุผลเพราะว่าเป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นมาจากอำนาจเผด็จการ และยังคงอำนาจเผด็จการ ต่อยอดอำนาจด้วยคนชุดเก่าที่ยึดอำนาจมา เพราะฉะนั้นนี่เป็นจุดอ่อนที่อเมริกาสามารถที่จะปลุกปั่นคน และกระแทกเข้าไป และผมเชื่อว่าทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างประเทศ มองว่าสถาบันกษัตริย์ก็เป็นสถาบันที่มีจุดแข็งของสังคมไทย แต่ก็ ในขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนอยู่บางจุด จึงใช้คนพวกนี้ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า อเมริกาในฮ่องกง ลงไปให้คำปรึกษา ให้การสนับสนุน สนับสนุนอย่างไร ? สนับสนุนอย่างเช่น จิมมี ไล ไปอเมริกา ไปเจอวุฒิสมาชิก ไปนั่งแสดงสุนทรพจน์ ไปเจอคนในสภาคองเกรส ไม่ได้ต่างอะไรกับโจชัว หว่อง ซึ่งเป็นผู้นำในการประท้วงในฮ่องกง ก็ไปที่อเมริกาเช่นกัน หรือก็ไม่ได้ต่างไปกว่าธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ไปอเมริกาแล้วก็ไปเจอวุฒิสมาชิก เพราะฉะนั้นแล้วสายคนพวกนี้กำลังเป็นสายของอเมริกาและทางยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษ เพราะอังกฤษกับอเมริกาจับมือกัน
ผลประโยชน์ในฮ่องกง อังกฤษหมดไปแล้ว มีวิธีเดียวเท่านั้นคือต้องสร้างรัฐบาลในประเทศไทยให้เป็นรัฐบาลที่เป็นเพื่อนกับทางตะวันตก และแข็งกร้าวกับจีน แล้วจะทำอย่างไรได้ล่ะ ? ก็ต้องล้มรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งเผอิญ ... ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมเคยพูดว่าพวกคุณสู้กันทุกวันนี้ ฝั่งหนึ่งทางนี้ ฝั่งหนึ่งทางนี้ ผมนี่อยู่ไม่เป็น เพราะผมไม่ต้องการทั้งซ้ายและขวา ผมไม่ต้องการทั้งรัฐบาลที่มีการสืบทอดอำนาจ และผมก็ไม่ต้องการกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลัง แต่ว่าเป็นเอเยนต์ของต่างชาติ
ท่านผู้ชมครับ Human Rights Watch นักรักษาสิทธิมนุษยชน มันไม่เคยรักษาสิทธิมนุษยชนของคนอเมริกัน ประเทศของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว กลับมาทะลึ่งสนใจสิทธิมนุษยชนในเมืองไทย ในประเทศจีน คนผิวดำโดนฆ่าขนาดไหน มีปัญหาในเรื่องของการเหยียดผิว Human Rights Watch ไม่ได้ออกโรงมากเหมือนกับในสมัยนี้ และไป ๆ มา ๆ ก็มีการตั้งเพิ่มอีก เขาเรียกว่านักกฎหมายของ Human Rights นักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ซึ่งคุณอานนท์ นำภา เป็นตัวแทนขึ้นมา ถูกไหมท่านผู้ชม เริ่มจะเห็นหรือยัง
ท่านผู้ชมลองนึกภาพดู เดี๋ยวผมจะเล่าให้เด็ก ๆ ฟัง ผมอยากจะเล่าให้คุณเพนกวิน และคุณรุ้ง คุณเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณรุ้ง ปนัสยา สิทธฺจิรวัฒนกุล นี่ลูกคนจีนแน่ ๆ มีเชื้อจีนอย่างแน่นอนที่สุด เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ประสบการณ์ของผม แล้วผมจะถามคุณสองคนว่าคุณพร้อมหรือยัง และอีก 31 คน ที่เขากำลังจับตาดูอยู่ พร้อมหรือไม่กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟัง
ท่านผู้ชมครับ เป็นครั้งแรกที่บนเวทีในวันที่ 10 พวกนี้เปิดหน้าชกกับสถาบันกษัตริย์ ผมไม่ได้สนใจ ผมสนใจอยู่อย่างเดียว ว่าเป็นครั้งแรก และผมเห็นว่านักศึกษาธรรมศาสตร์ก็เอาความชอบธรรม ผมพูดถึงสโมสรนักศึกษาธรรมศาสตร์นะครับ เอาความชอบธรรมในการทำตัวเองด้วยการเชิญอาจารย์มหาวิทยาลัยทั้งหมด 110 ท่าน เข้ามาสนับสนุนการกระทำของเขาว่าถูกต้อง ไม่ผิด มีสิทธิที่จะแสดงออกได้ในเรื่องความเห็นต่าง ๆ
ท่านผู้ชมครับ ถ้าจะมาประท้วงเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตย มี ส.ว. ที่ไหน 250 คน แล้วมายึดอำนาจ อธิปไตยของปวงชน ผมเห็นด้วย ถ้าจะประท้วงเรื่องของเครือข่ายผู้อยู่เบื้องหลังของการคอร์รัปชัน ผมเห็นด้วย ถ้าจะประท้วงเรื่องความไม่ชอบมาพากล ไม่โปร่งใสของรัฐบาล ผมเห็นด้วย ถ้าจะประท้วงเรื่องเกี่ยวกับระบบการศึกษาที่เรียนไปแล้ว จบออกมาหางานทำไม่ได้ ผมเห็นด้วย แต่จู่ ๆ มาพลิกประเด็น ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ไปแล้ว กลายเป็นประเด็น 10 ข้อ ที่จะโจมตีสถาบันกษัตริย์ ผมใช้คำพูดนี้นะท่านผู้ชม "โจมตีสถาบันกษัตริย์" แล้วหลาย ๆ ข้อที่อ้างอิงมานั้น ผมคิดว่าไม่มีเหตุไม่มีผล คนที่รู้เรื่องดี อย่างเช่น ห้ามไม่ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย คุณรู้หรือเปล่าว่ากษัตริย์ ควีนเอลิซาเบธ พระราชินีอังกฤษ ยังมีอำนาจอยู่จนทุกวันนี้ที่จะปลดนายกรัฐมนตรีได้ แล้ว 10 ข้อ ที่เขียนมา มันคุ้น ๆ ตาผม ถ้าผมจำไม่ผิด คุณปิยบุตร แสงกนกกุล เคยพูดลักษณะหนึ่ง หลาย ๆ ข้อในสิบข้อนี้มาตลอด คุ้น ๆ หรือว่าคุณปิยบุตร อยู่เบื้องหลังในการที่จะแสดงออกใน 10 ข้อนี้ ผมไม่รู้ แต่ถ้าผมจำไม่ผิด ถ้าไปค้นข้อมูลเก่า ๆ แล้ว คุณปิยบุตร ออกไปปราศรัย ไปพูดที่นี่ ไปพูดที่นั่น รู้สึกว่าเหมือนกับเป็นคำสั่งสอนของคุณปิยบุตร ว่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงสถาบันกษัตริย์ ต้องใช้ 10 ข้อนี้ คุ้น ๆ ครับ ผมไม่แน่ใจ และผมก็จะไม่ประหลาดใจถ้าจริง ๆ แล้วคุณปิยบุตร อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เป็นที่น่าสังเกต ท่านผู้ชม
คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คุณพรรณิการ์ วานิช คุณปิยบุตร แสงกนกกุล เงียบสนิทในเรื่องนี้ ถอยกันเป็นแถว เพราะว่านึกไม่ถึงว่าปฏิกิริยาต่อต้านจะออกมาแรงมาก รัฐบาลฉลาด รัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นใคร ผมเชื่อ ฝ่ายความมั่นคงมีชื่อ มีนามสกุล มีเส้นสายหมด เส้นทางการเงินใครเป็นคนสนับสนุน ท่านผู้ชมครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ให้เด็ก ๆ ฟัง เขาคงไม่ฟังผมหรอก เผลอ ๆ เขาจะเรียกผมว่าสลิ่มเสียด้วยซ้ำ แต่ผมไม่แคร์ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะผมก็เหลืออดเหมือนกัน ธรรมศาสตร์ไม่ยอมทน สนธิก็ไม่ยอมทนเหมือนกัน ตอนนี้ เพียงแต่ว่าสนธิไม่ยอมทนกับพวกคุณ และสนธิก็ไม่ยอมทนกับพวกทหารที่ปกครองบ้านเมือง
ทำไมผมถึงไม่ยอมทนกับทหารที่ปกครองบ้านเมือง ? ก็เพราะว่าปกครองกันอย่างนี้ ก็เลยเปิดช่องว่าง จุดอ่อน ทำกันอย่างนี้ ก็เลยเปิดช่องว่างจุดอ่อนให้ต่างชาติมาใช้เด็กของเราโดยผ่านคนกลาง เข้ามาปลุกปั่น แล้วก็มีคนที่ใช้ไม่ได้ 2 คน ที่เป็นเทพในสายตาของเด็กพวกนี้ คนหนึ่ง คือ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
ชื่อเดิมชื่อ สุรชัย อดีตเป็นคนทำงานกระทรวงการต่างประเทศ จบปริญญาตรีที่รัฐศาสตร์จุฬาฯ แล้วไปจบปริญญาโท-ปริญญาเอก ที่โซแอส (SOAS : School of Oriental and African Studies) มหาวิทยาลัยลอนดอน ตอนนี้เป็นอาจารย์สอนเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ อยู่ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ที่ญี่ปุ่น อีกคนคือคุณสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตคนได้ทุนหลวงไปเรียน ตอนนี้ลี้ภัยอยู่ที่ฝรั่งเศส สองคนนี้ถูกเชิดชูยิ่งกว่าบิดาของผู้ประท้วงเสียอีก ซึ่งผู้ประท้วงก็ไม่ค่อยได้แคร์ ไม่ได้แคร์อะไรอยู่แล้ว
ท่านผู้ชมครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าพวกนี้ไม่รู้ ผมเคยพูดมานานแล้วว่านรกกำลังมาหาพวกคุณ ถึงตอนนั้นคุณอย่ามาโวยวาย ผมนี่อยู่บนเวทีมาก่อนพวกคุณ ผมอยู่บนเวที เวลาคนอยู่บนเวทีนั้น ของมันขึ้นจริงๆ มันไม่รู้ว่ามันพูดอะไรออกไป แต่พอลงมาแล้วเหงื่อแตกพลั่กเลย หลุดไปได้อย่างไรแบบนี้ พูดเอามันอย่างเดียวนี่นา ตอนผมชุมนุมอยู่ รถไฟ รถจัดไฟ คนจัดเวที จัดยังไม่ทันไรเลย ตำรวจตามมาแล้ว บอกคุณไปทำได้อย่างไรตรงนี้ ไปข่มขู่เขา สรรพากรติดตามเช็กบิล แล้วผมถามหน่อยสิ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จัดกันที่ธรรมศาสตร์ ที่ลานพญานาค คุณคิดว่าเป็นอุปกรณ์ธรรมเหรอ มันขนาดมินิคอนเสิร์ตเลยนะ รถเอย ไฟเอย ทุกอย่าง ใครออกเงิน ?
อย่างน้อยที่สุด สมัยผมประท้วง ประชาชนใส่เงินมา วันนี้พ่อแม่พี่น้อง ประชาชน ได้บริจาคเงินมาเท่านี้แล้วนะครับ เงินก้อนนี้ก็เอาไปใช้จ่าย แต่จู่ ๆ เวทีขึ้นตู้ม รถชั้นดีขึ้น แสงไฟ สีเสียง ทุกอย่าง เป็นมิติคอนเสิร์ต มีคนบอกผมว่าคุณธนาธร เป็นคนจ่ายเงิน ผมไม่เชื่อ ก็ฟังหูไว้หูก็แล้วกัน เพราะว่างานนี้ค่าเวทีหลายแสนบาท ค่ารถที่ไปถ่ายทอดหลายแสนบาท ไม่ธรรมดา นักศึกษาเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ดูกันแค่นี้ก็รู้ว่ามีคนอยู่เบื้องหลังเพื่อให้เกิดเรื่องขึ้นมา เพื่อให้เกิดการปราบปรามขึ้นมา คุณฟังผมนะครับ ไม่มีการปราบปรามหรอก เชื่อผม แต่จะเอากฎหมายบี้คุณทีละคน ๆ เข้าไปขึ้นศาล คุณอานนท์ คุณไม่ต้องเก่งหรอก คุณเป็นทนายใช่ไหม ไม่เป็นไร เจอเข้าไปสัก 7-8 คดี แล้วคราวที่แล้วคุณได้ประกันตัว ศาลบอกคุณแล้วว่าห้ามทำแบบนี้อีกระหว่างที่คุณประกันตัว นี่คุณมาทำอีก แล้วถ้าคนไปยื่นคำร้องต่อศาลให้ถอนประกันคุณ พอถอนประกันคุณปุ๊บ คุณก็ต้องเข้าคุก แล้วคุณว่ารัฐ กรมราชทัณฑ์มันขึ้นอยู่กับใคร ? ขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรม แล้วกระทรวงยุติธรรมขึ้นอยู่กับใคร คุณอานนท์ ? กระทรวงยุติธรรมขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดนี้ เขาไม่ต้องทำอะไร เขาแค่เรียกอธิบดีกรมราชทัณฑ์มา บอกว่าท่านอธิบดี ช่วยกรุณาใช้ระเบียบ อย่าให้มีการล่วงละเมิด ตรงไปตรงมา คุณอานนท์ คุณไม่เคยนอนคุก ผมนอนมาแล้ว คุณอย่ามาเฮ้าเลี่ยนเก่ง เพราะคุณยังไม่เจอนรก
คุณเข้าไปปั๊บ สมมุติว่าเขาไม่เอาคุณเข้าหรอกเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เขาเอาคุณเข้าคลองเปรม เขาก็ไม่ทำอะไร เขาก็จับคุณยัดเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง คุณก็เข้าไปนอนในห้อง ๆ นั้น นี่ผมไม่ได้พูดถึงเฉพาะคุณอานนท์นะ พูดเผื่อถึงคุณเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ ด้วย อ้วนๆ นี่ น่ารัก เหมือนตุ๊กตา คุณโดนจับโยนเข้าไปในห้องเล็กนิดเดียว นอนกัน 120 คน คุณนอนหงายไม่ได้ คุณต้องนอนตะแคงทั้งคืน เช้า หกโมงครึ่ง คุณลงมา น้ำไม่พออาบ เขาให้อาบคนละ 3 ขัน อาหารก็ไม่ให้สั่งเข้ามา คุณต้องกินอาหารที่หลวงจัดให้ เสร็จแล้วมีคนมาเยี่ยม มาเยี่ยมคุณก็เยี่ยมได้ปกติธรรมดา 15 นาที ตัด แล้วถ้าสมมุติว่าคุณยื่นประกันตัว แล้วเขาฝากขังงวดต่อไป แล้วถ้าสมมุติว่าคุณยื่นประกันตัวระหว่างที่เขาฝากขัง สมมุติว่าศาลไม่ให้ประกันตัว ผมโดนมาแล้ว 116 กฎหมายความมั่นคง อำนาจมันกว้าง ผมเห็นด้วย ผมเห็นด้วยกับคุณว่ากฎหมายนี้เป็นกฎหมายเผด็จการ แต่มันมีอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว กฎหมายเผด็จการ แล้วตำรวจก็ต้องค้านการประกันตัว แล้วศาลก็บอกว่าคำร้องขอประกันตัวขอให้ยกไป ฟังไม่ขึ้น จบ คุณก็ต้องกลับไปอยู่ในบางขวางอีก หรือว่าไปอยู่คลองเปรม คุณอยู่สัก 7 วันนี่คุณเปื่อยเลยนะ อุดมการณ์ของคุณไม่รู้หายไปไหนเลย ผมจะบอกให้คุณรู้ แล้วคุณนอนข้าง ๆ ใครรู้ไหม ไอ้คนฆ่าข่มขืนน่ะ นอนข้าง ๆ คุณ ข้างขวาของคุณ ข้างซ้ายใครรู้ไหม ? คนปล้นชิงทรัพย์ ฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย คุณจะไปพูดเรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยในคุกกับใคร ใครเขาจะฟังคุณ ไม่มีใครเข้าใจ แล้วคุณไปว่าเขาไม่ได้นะ เพราะเขาจะใช้กฎหมายเล่นงานคุณทีละคน ๆ แล้วเขาเป็นอำนาจรัฐ คุณรู้เรื่องอัยการหรือยัง ผมนี่รู้ ถ้าคุณชนะศาลชั้นต้น อัยการอุทธรณ์ ถ้าคุณชนะอุทธรณ์ อัยการฎีกา
เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ รุ้ง ปนัสยา สิทธฺจิรวัฒนกุล ถ้าคุณต้องโดนกฎหมายเล่นงานอย่างนี้ไป อย่างน้อยอีก 6 ปี กว่าจะถึงศาลฎีกา ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณจะได้ประกันตัว คุณได้ประกันวันนี้ วันหน้าอาจจะไม่ได้ประกันก็ได้ คุณเข้าใจหรือยัง สมัยที่ผมประท้วงอยู่ ผมต่อสู้เพื่อพระมหากษัตริย์ ผมยังโดนยิง 200 นัด แล้วคุณไปประท้วงงวดนี้เพื่อล้มพระมหากษัตริย์ คุณจะโดนอะไรนี่ผมยังนึกไม่ออกเลยนะ
คุณยังไม่เข้าใจอีกหรือ คุณพ่อ คุณแม่ ของคุณพริษฐ์ ชิวารักษ์ ตลอดจนคุณพ่อ คุณแม่ ของคุณปนัสยา สิทธฺจิรวัฒนกุล ฟังหน่อยสิ ใครรู้จัก เอาคลิปของผมอันนี้ไปให้พ่อแม่ของเด็กสองคนนี้ฟัง คุณสนุกนักหรือ คุณเรียนปีไหนผมก็ไม่รู้หรอกนะ คุณปนัสยา สิทธฺจิรวัฒนกุล เรียนคณะสังคมและมานุษยวิทยา โฆษกสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) คุณพริษฐ์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมเชื่อว่าอีก 1-2 ปี คุณก็จบ ถ้าคุณไม่ต้องเข้าคุกนะ คุณก็จบ แต่ถ้าคุณจบแล้วคุณต้องเดินขึ้นศาลตลอดเวลา หรือว่าพ่อแม่ของคุณมีเงิน ก็ตามสบาย เรื่องของคุณ แล้วคุณไม่ต้องบอกหรอกว่าเขาจะตามฆ่า เขาตามคุณอยู่แล้ว เพนกวิน หนูอ้วน เขาตามคุณอยู่แล้ว ผมนี่โดนตามตลอด ผมโดนดักฟังโทรศัพท์ โดนเฝ้าหน้าบ้าน มิหนำซ้ำปกป้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังโดนยิง แล้วคุณจะโค่นล้มกษัตริย์ แล้วคุณจะโดนอะไร คุณเข้าใจหรือยัง คุณอย่าหลงตัวเอง อย่าลืมตัวเอง เวลาคุณอยู่บนเวที คุณลืมตัว ของมันขึ้นใช่ไหม คุณรุ้ง คุณขึ้นไป คุณอ่านแถลงการณ์ 10 ข้อ คุณเอนจอย คุณสนุกสนาน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อาจารย์อีก 110 คน ที่เห็นชอบ คุณน่าจะเห็นชอบสิทธิการแสดงออก แต่คุณไม่ควรจะเห็นชอบการที่ออกมาแถลง 10 ข้อนั้น เพราะมันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ทำให้เด็กมาแถลง
ถ้าท่านอาจารย์ 110 คน เห็นชอบด้วย ทำไมท่านอาจารย์ 110 คน ซึ่งมีชื่อหมดแล้ว ทำไมท่านไม่เข้าชื่อกันทั้ง 110 คน รวมทั้งเด็ก แล้วท่านถวายฎีกาไปที่สำนักพระราชวังล่ะ ถ้าท่านอยากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ทำสิ ไม่ใช่มาทำตัวเป็นอีแอบ พอมีเรื่องมา อาจารย์ ... คณะสังคมศาสตร์ ... คณะอักษรศาสตร์ ... จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ... ศิลปากร ... เชียงใหม่ ... เห็นชอบที่เด็กพวกนี้ทำ เพราะเด็กพวกนี้เป็นการแสดงความเห็นตามสิทธิที่รัฐธรรมนูญมาตรา 60 มอบให้ คุณหยุดได้แล้ว คุณเข้าไปร่วมกับเขาเลยดีกว่า 10 ข้อนั้นร่างมาเลย แล้วคุณก็ลงชื่อไป ลงไปเลยนะ ลงตำแหน่งแห่งที่ ตำแหน่งที่คุณเรียนหนังสือ แล้วคุณก็บอกว่าทำอย่างนั้นได้อย่างไร เดี๋ยวรัฐเข้ามาแกล้ง นี่คือประเด็น ถ้าคุณเล่นกับเขาอย่างนี้ คุณก็ต้องยอมให้เขาแกล้ง เหมือนผม ทั้งยอมให้แกล้ง ทั้งยอมให้จับติดคุก และยอมโดนยิง คุณพร้อมจะเป็นอย่างผมหรือเปล่า แล้วคุณคิดว่าประชาชนเขาชอบคุณทั้งประเทศหรือ ประชาชนเขาอยากรู้ว่าชีวิตเขาจะดีขึ้นอย่างไร ประชาชนเขาอยากรู้ว่าความยุติธรรมที่รัฐบาลชุดนี้หาให้ไม่ได้ ที่โดนอัยการ โดนตำรวจรังแก พวกเขาจะได้ไหม ประชาชนเขาอยากรู้ว่าค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ที่มันแพง จะมีทางให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ได้ไหม ประชาชนเขาอยากรู้ว่านักการเมืองที่โกงกินจะมีทางไหนไหมที่ทำให้การเมืองดีกว่านี้ แล้วคุณก็อยากรู้ นักศึกษาก็อยากรู้ ว่าเวลาพวกคุณจบไปแล้ว คุณหางานทำได้ไหม ถ้าคุณหางานทำไม่ได้ คุณอยากรู้หรือเปล่าว่าระบบการศึกษาที่คุณเรียนอยู่มันเหมาะหรือไม่เหมาะกับยุคสมัยนี้ ควรจะปฏิรูป ปฏิวัติกระทรวงศึกษาฯ เสียใหม่ เขาอยากรู้เรื่องพวกนี้
คุณเล่นมากเกินไปแล้ว คุณสนุกมากเกินไปแล้ว คุณไม่เข้าใจคำว่า Law of Compensation ใช่ไหม คุณต่อยอะไรเข้าไป คุณต่อยผนัง คุณเจ็บมือไหม ? เจ็บ เพราะว่าผนังมันสะท้อนความแข็งมาที่มือคุณ จากนี้ไป ถ้าคุณจะต้องโดนอะไรบ้าง อย่าหาว่าผมไม่เตือนคุณ ผมเตือนคุณ ถ้าผมเป็นพ่อเป็นแม่คุณ ผมตบคุณคว่ำแล้วนะ ทะลึ่ง หาความเดือดร้อนมา วิธีประท้วงมีหลายวิธี วิธีแสดงออกมีหลายวิธี ทำไมจะต้องเล่นกันแรงแบบนี้ 10 ข้อ แล้วคุณน่ะซ่า พอคุณอยู่ในธรรมศาสตร์ คุณมีรั้วรอบขอบชิดใช่ไหม คุณมีความรู้สึกปลอดภัยเพราะเป็นพื้นที่ของคุณ คุณออกไปข้างนอกสิ คุณก็วิ่งกันตีนขวิด คุณไม่มีอะไรหรอก คุณพร้อมจะเจ็บปวด เจ็บตัว เจ็บใจ เหมือนอย่างที่พวกผมหลายคนโดนมา คุณพร้อมหรือยัง นี่ผมพูดกับคุณเหมือนกับผู้ใหญ่ ซึ่งคุณอาจจะไม่เคารพผมก็ได้ แต่ผมจะเตือนคุณว่าให้คุณเตรียมรับดี ๆ ยังดีนะมาสายผม ถ้าคุณไปสาย พล.ต. เหรียญทอง นั่นสายโหดนะ
เพราะฉะนั้นแล้ว ใครก็ตามเอาเงินสนับสนุนการจัดครั้งนี้ เขารู้หมดแล้ว เงินทองมาจากใคร เขารู้หมดแล้ว ถ้าสมมุติ ถ้าเกิดเป็นคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คุณคิดว่าไทยซัมมิทของคุณจะอยู่ยงคงกะพันหรือเปล่า คุณจะไปเผาบ้านเขานี่ เขาก็ต้องเผาคุณก่อนสิ ใช่ไหม
ท่านผู้ชมครับ ผมนี่เซ็งจริง ๆ ผมอยู่ไม่เป็นจริง ๆ ผมไม่รู้จะอยู่ตรงไหน ตอนนั้น ผมอยู่ข้างเด็ก แต่เด็กมันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเยอะเหลือเกิน ไอ้คนที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังก็อยากให้มีการปราบอย่างรุนแรง มันอยากให้มีการปฏิวัติ ออกไป เอาให้มันปฏิวัติ เอาให้มันมาปราบ แล้วในที่สุดคนเจ็บคนตายคือนักศึกษา
ท่านผู้ชมครับ เคยมีคนเรียกผมว่าไดโนเสาร์ ตอนนี้ แต่ไดโนเสาร์นี่ ศักดิ์ศรีสปีชีส์ยังสูงกว่าเหี้ยใช่ไหม ทำไมไดโนเสาร์อย่างผมยังมีชีวิตอยู่ ที่มีชีวิตอยู่เพื่อออกมาปราบเหี้ยอย่างพวกมึง ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง มากเกินไป ก้าวร้าวเกินไป เลือกประเด็นสู้ผิด เลือกผิดมาก ๆ ฮึกเหิม โดนยุยงส่งเสริม คุณรู้เรื่องประวัติศาสตร์ดีแค่ไหน คุณคิดว่ายุคของคุณ สถาบันกษัตริย์จะไม่มีเหลือแล้วหรือ นายปวิน ก็อยู่ญี่ปุ่นไปจนตาย ท่านผู้ชมครับ เรื่้องนี้เป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้จริง ๆ ต้องขอประทานโทษที่พูดแรง
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นรายการที่ค่อนข้างยาวนิดหนึ่ง ผมจะจบเรื่องรายการเฟซบุ๊ก เฟซบุ๊กขณะนี้กำลังมีปัญหากับประเทศไทย คุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ได้มีมาตรการอันใหม่มาที่จะจัดการกับเรื่องเพจซึ่งทำร้ายประเทศไทยมา 2-3 เพจ และหลาย ๆ เพจ คุณพุทธิพงษ์ เคยแจ้งเรื่องเพจซึ่งทำร้ายประเทศไทยส่งไปให้เฟซบุ๊กที่เมืองไทย เฟซบุ๊กที่เมืองไทยก็บอกว่าเฟซบุ๊กที่เมืองไทยทำหน้าที่ทางการตลาด ต้องส่งไปที่สิงคโปร์ คุณพุทธิพงษ์บอกว่าส่งไป สมมุติว่าส่งไป 100 เรื่อง เฟซบุ๊กก็จัดการให้ 40 เรื่อง อีก 60 ก็ปล่อยเฉย ยูทูป คุณพุทธิพงษ์บอกว่าส่งไป 100 เรื่อง เขาจัดการให้ 90 เรื่อง ต่างกับเฟซบุ๊ก เฟซบุ๊กบอก ถ้าต้องการ เอาหมายศาลมา ในที่สุดคุณพุทธิพงษ์ก็เลยจัดหน่วยงาน ๆ หนึ่ง พอเช็กว่าทำร้ายประเทศไทยปั๊บ ไปยื่นขออำนาจศาลเลย อำนาจศาลก็จะออกหมายให้ทันที ก็จะเอาหมายนี้ส่งไปที่เฟซบุ๊ก และถ้าเฟซบุ๊กยังไม่ตอบกลับมาหรือจัดการอย่างไร ผ่านไป 15 วัน คุณพุทธิพงษ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ก็จะออกมาตรการทันทีเลย สั่งปรับเฟซบุ๊ก ผมคิดว่าไม่พอ คุณพุทธิพงษ์ครับ สถาบันหลักของประเทศไทยนั้น จะต้องได้รับการปกป้อง ผมพูดถึงสถาบันนะครับ ผมพูดถึงสถาบันกษัตริย์ เพราะฉะนั้นแล้วประเทศไทยเสียหาย ประเทศไทยควรจะเรียกร้องความเสียหาย รัฐบาลไทยควรที่จะให้อัยการฟ้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจากเฟซบุ๊กที่ไม่ปิดเพจพวกนี้ในประเทศไทย คุณไม่ต้องไปปิดทั่วโลก แต่ว่าอันไหนที่เข้ามาในประเทศไทย ไม่ให้ดู ฟ้อง เรียกค่าเสียหายสัก 50,000 ล้านบาท ประเทศไทยเสียหายนี่
คุณพุทธิพงษ์ครับ เชื่อผมสิ ได้ผล เพราะทำไมรู้ไหม ? เพราะมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ไม่ใช่คนที่รักสิทธิเสรีภาพ แต่เป็นคนที่รักเงิน ทุกครั้งเขาทำอะไรก็ตาม เขาต้องการให้มีคนเข้าเฟซบุ๊กเยอะ ๆ เพื่อจะขายโฆษณาได้ เมื่อขายโฆษณาได้แล้ว เขาได้สตางค์ เขาถึงอ้างว่าต้องเปิดเสรีให้ทุกคนเข้า แต่เขาไม่ได้คำนึงถึงธรรมเนียมประเพณีของชาติต่าง ๆ ของท้องถิ่น ที่คนที่ไม่ปรารถนาดีก็จะใช้เฟซบุ๊กเป็นตัวแทน อย่างเช่น เฟซบุ๊กที่ชื่อ "รอยัลมาร์เก็ตเพลส" ของคุณปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ คนพวกนี้ หรือคุณสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คนพวกนี้ทำร้ายประเทศชาติไปมาก ไม่ยอมปิด ผมคิดว่าถ้าถึงวันนั้นแล้ว ถ้าจำเป็นต้องบังคับให้เฟซบุ๊กทำตามข้อเรียกร้อง ผมเชื่อว่าประเทศไทยไม่ได้เรียกร้องให้ต้องปิดเฟซบุ๊ก เฉพาะตัวที่หาเรื่องกับสถาบันบางสถาบันในประเทศไทย เฉพาะพวกนั้นเท่านั้น ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ และผมมีข้อเสนอในอนาคต คงไม่ใช่ EP. นี้ เพราะ EP. นี้เวลานานไปแล้ว ผมมีข้อเสนอที่จะทำให้มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก จะต้องเอามาใส่ใจกับขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นของแต่ละประเทศ
สมมุติว่า มีคนที่ออกเฟซบุ๊กแล้วไปด่าศาสนาอิสลามในมาเลเซีย คุณจะปิดไหม ถ้าคุณไม่ปิด ผมอยากรู้ว่านายกรัฐมนตรีมาเลเซียคิดอย่างไร
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ต้องขออภัยที่ผมพูดจาก้าวร้าวไปบ้าง แต่ไม่เป็นไรครับ ใครที่เป็นแฟนของเพนกวิน หรือคุณสายรุ้ง เชิญเข้ามาถล่มผมได้ เพราะว่าผมอายุมากแล้ว ผมผ่านโลกมามากแล้ว ผมเห็นโลกแห่งความเป็นจริงมามากกว่าพวกคุณเยอะ พวกคุณยังยืนอยู่บนความเพ้อฝัน ผมชอบการ์ตูนของบัญชา คามิน ท่านผู้ชมดูก็แล้วกัน แต่ละคนบอกว่า มันต้องจบในรุ่นกู โน่นน่ะ ตายไปแล้วก็หลายรุ่น ยังไม่จบ มารุ่นนี้ พวกคุณพูดว่าต้องจบในรุ่นนี้ จบอะไร ? คุณจบ หรือเขาจบ ? เชื่อผมสิ คุณใช้จิตที่บริสุทธิ์ในการประท้วง แล้วประท้วงในเรื่องที่มันมีเหตุมีผล ดีกว่าที่คุณจะไปอ้างว่าปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นมันขึ้นอยู่กับสถาบันกษัตริย์ มันไม่ใช่ครับ
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ต้องขอหยุดเพียงแค่นี้ และขอลาไปก่อน สวัสดีครับ