"สนธิ"ชี้ 7 ช่องโหว่อัยการยกเป็นข้ออ้างเหตุไม่ฟ้อง"บอส วรยุทธ" แต่ละข้อฟังไม่ขึ้น ส่อชัดจงใจช่วยให้หลุดคดี ย้ำชัดอัยการเจ้าของคดีเดิมสั่งฟ้องไปก่อนแล้ว อยู่ระหว่างรอนำตัวผู้ต้องหามาส่งศาล กลับมีคำสั่งใหม่เป็นไม่ฟ้อง นี่คือความพินาศของบ้านเมือง เมื่อกระบวนการยุติธรรมถูกปู้ยี่ปู้ยำ ไม่เชื่อว่าคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบจะพึ่งพาได้ เพราะตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยกันเอง
วันที่ 3 ส.ค. เวลาประมาณ 10.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” และช่องยูทูป Sondhitalk โดยวันนี้จะมาพูดถึงช่องโหว่ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง “บอส-วรยุทธ อยู่วิทยา” ทายาทกระทิงแดง
คำต่อคำ SONDHI TALK [3 ส.ค. 63] : เปิด 7 ช่องโหว่อัยการสั่งไม่ฟ้องทายาทกระทิงแดง
วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"
สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ
สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เหมือนกับวันจันทร์ที่แล้วที่ผมมีรายการพิเศษมาเรื่องของคดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส กรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง
เวลาผ่านไปประมาณอาทิตย์กว่า อัยการท่านก็ชี้แจงมา 7 ข้อ ว่าทำไมท่านถึงสั่งไม่ฟ้องนายบอส ผมอ่านดูแล้วผมมีความรู้สึกว่าผมจำเป็นจะต้องไลฟ์สดวันนี้ เพื่อจะให้ท่านผู้ชมได้รับทราบความคิดเห็นที่ผมมีต่อกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง 7 ข้อนี้ ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดไปทีละข้อหา สั้นๆ แต่ว่า 7 ข้อที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนี้ กลับไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ ผมมีเรื่องที่สำคัญกว่านี้ที่จะได้เล่าภาพรวมทั้งหมดให้ท่านผู้ชมฟัง แล้วท่านผู้ชมจะได้เข้าใจเลยว่ามันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร
อัยการได้มอบหมายให้คุณณัฐวสา ฉัตรไพฑูรย์ ท่านเป็นอัยการพิเศษฝ่ายสถาบันกฎหมายอาญา ท่านให้ความเห็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับเกณฑ์การพิจารณาสั่งคดีอาญา ก็คือพูดง่ายๆ ว่าอัยการวันนี้ไม่มีทางออกอะไร นอกจากจะอ้างข้อกฎหมายต่างๆ ว่ากฎหมายให้อัยการทำอย่างนี้นะ อัยการยึดถือกฎหมายนะ ข้อที่ 1 ท่านชี้แจงมาว่า เกณฑ์มาตรฐานที่พนักงานอัยการใช้ในการพิจารณาคดี คือ คดีต้องมีหลักฐานว่าพอฟ้องหรือไม่ คำว่าพยานหลักฐานพอฟ้อง ไม่ใช่เรื่องความเชื่อหรือความรู้สึก แต่เป็นการตรวจดูจากสำนวนการสอบสวนว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะนำไปพิสูจน์ให้ศาลลงโทษจำเลยนั้นหรือไม่ นั่นข้อแรกนะครับ
นี่ก็เป็นหลักเกณฑ์ง่ายๆ ที่คงจะไม่มีความเห็นอะไรทั้งสิ้น แต่ว่าในการที่จะได้หลักฐานมานั้น กระบวนการขั้นตอนของการได้หลักฐานมา หรือเมื่อได้หลักฐานมาแล้ว ตัวเองพอใจในหลักฐานที่มีอยู่หรือเปล่า หรือตัวเองคิดว่ามันมีข้อสงสัยหลายข้อที่จะต้องบอกให้พนักงานสอบสวนกลับไปสอบสวนเรื่องราวนี้ต่อไปหรือไม่ ตรงนี้กลับเป็นปมปัญหา อย่างเช่นกรณีที่เมื่อได้หลักฐานมาแล้ว ว่าตำรวจได้หลักฐานเช่นว่าคดีนี้ไม่สั่งฟ้องเพราะมีการขับรถโดยที่ไม่ประมาท โดยที่ความเร็วนั้นไม่ถึง 170 กิโลฯ แต่แค่ 70 หรือ 80 กิโลฯ แต่คำถามที่อัยการลืมถามตัวเองไปว่า กฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสี่ บัญญัติว่า การกระทำโดยประมาทได้แก่การกระทำผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจจะใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอหรือไม่ เมื่อมันเป็นเช่นนี้ จากหลักกฎหมายเห็นว่าถ้ามีเจตนาก็ไม่ผิดฐานประมาท แต่จะผิดฐานประมาทต้อง หนึ่ง ไม่มีเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอหรือไม่
ก็คือว่า โอเค จะไม่ผิด ไม่เป็นไร แต่คำถามก็คือว่า นายบอสได้ใช้ความระมัดระวังพอเพียงหรือไม่ เพราะว่ามาตรา 291 ผมไม่อยากจะสอนกฎหมายอัยการ เพราะผมไม่ได้จบกฎหมาย แต่ที่ผมเอาเรื่องนี้มาพูด ผมพูดคุยกับผู้พิพากษาหลายท่าน ตลอดจนสิ่งที่ผมพูดนี้ก็เป็นข้อเขียนของท่านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มาตรา 291 ท่านเขียนว่า ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องโทษ ประเด็นคือว่า แม้จะขับรถด้วยความเร็วต่ำ หรือด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด แต่เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุชนคนตายนั้น ก็มีความผิดอาญาฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย หากมีหลักฐานว่าผู้นั้นขับรถโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ แล้วย่อมมีความผิดฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ ตามมาตรา 291 ได้เสมอ
นั่นก็คือ กฎหมายไม่ใช่ประเด็นเรื่องขับรถเร็ว หรือประมาท หรืออะไรก็ตาม ไม่ใช่ ประเด็นที่กฎหมายระบุชัดเจน มาตรา 291 ว่าคุณจะขับอย่างไรก็ตาม คุณจะปั้นพยานหลักฐานขึ้นมา คุณจะเอาความเท็จเข้ามาใส่ในสำนวนสอบสวน หรือคุณจะหาพยานกลับชาติมาเกิด 2 คน นายจารุชาติ กับ พล.อ.ท.จักรกฤช เอามาให้การทีหลัง ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นก็คือว่า เมื่อมีคนตายแล้ว คุณต้องรับผิดชอบ เพราะว่าไม่มีคำว่าเหตุสุดวิสัย เพราะว่าถ้าคดีนี้ขึ้นต่อศาล นายบอสก็ต้องผิด เพราะถ้านายบอสยืนยันว่าขับรถแค่ 70-80 กิโลเมตรฯ แล้วถ้าจักรยานวิ่งเข้ามาชนจริงๆ 70-80 กิโลเมตรฯ มันเบรกได้ทันที แล้วดาบวิเชียรก็ไม่ตาย นี่คือข้อ 1 ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่สุด อัยการท่านหลงประเด็น หรือท่านอาจจะไม่หลงประเด็น อาจจะมีความพยายามต้องการช่วยเหลือจำเลย
ข้อที่สองที่อัยการพูดมา คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันในการกระทำของผู้ต้องหา ไม่มี ไม่มีได้อย่างไรครับ ผมเรียนถามว่า ศพของดาบวิเชียรที่ตาย แล้วรถนายบอส เฟอร์รารี คันละหลายสิบล้าน ลากศพดาบวิเชียรไปถึง 200 เมตร จากจุดเกิดเหตุ ไม่มีพยานยังไง ประจักษ์พยานคือการตายของคน ประจักษ์พยานคือการเสียหายของรถ ประจักษ์พยานคือนายบอสเป็นคนขับ แล้วท่านก็ไปใช้ประเด็นของเหตุสุดวิสัย ซึ่งตามกฎหมายมาตรา 291 ที่ผมชี้ให้ดู เขาบอกว่าความเร็วไม่ใช่ประเด็นสำคัญ คุณจะขับแค่ 30 กิโลฯ ก็ได้ แต่ถ้าคุณชนรถแล้วเกิดมีคนตาย แสดงว่าคุณไม่รอบคอบ ไม่ระมัดระวังเพียงพอ เอาล่ะ โทษคุณอาจจะน้อยลง ในที่สุดแล้วศาลอาจจะบอกว่าคดีนี้มีโทษสูงสุด 10 ปี แต่เห็นจำเลยทำอย่างนี้ พิพากษาลงโทษจำเลย 3 ปี แต่จำเลยได้ให้การเยียวยาผู้เสียหายไปแล้ว ดังต่อไปนี้ 1..2..3..4.. และเป็นการทำความผิดครั้งแรกของจำเลย ก็มีเหตุอันควรที่จะให้รอลงอาญาได้ ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง ต้องจับประเด็นนี้ให้ถูกนะครับ ทุกคนตอนนี้หลงประเด็นหมด ทุกคนเถียงว่าความเร็วมันต้องเท่านี้ ความเร็วต้องต่ำกว่า 70 เพราะถ้าสูงกว่านั้นจะกลายเป็นขับรถเร็วโดยประมาท ทำให้คนตาย แต่ประเด็น 291 บอกว่าจะประมาทหรือไม่ประมาท ไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุด คุณจะขับรถเท่าไรก็ได้ ไม่สำคัญ แต่ถ้ามีคนตายต้องถือว่าผิด ผมคิดว่าตรงนี้อัยการท่านพลาด พลาดไปเยอะนะครับ
เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้อที่สองก็ยังพูดต่อว่า คือพูดเถียงกันเรื่องความเร็วของรถ อัยการก็จะบอกว่าที่ตำรวจบอกว่า 170 กว่านั้น แท้ที่จริงแล้วตำรวจมาให้การใหม่ อันนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่ และมิหนำซ้ำถ้าจะเอาเรื่องนี้เข้ามาถกเถียงกัน เราก็จะเห็นได้ชัดว่ามีความเห็นจากนักวิชาการ นักวิศวะหลายคน ในภายหลังที่ชี้ให้เห็น ให้ดูว่าไม่น่าจะเป็น 70 หรือ 80 กิโลเมตรฯ แม้กระทั่ง ดร.สายประสิทธิ์ จากสถาบันพระจอมเกล้าฯ ท่านเองโดนซักมากๆ ท่านก็ปากคอสั่น ท่านบอกว่าผมวัดความเร็วจากโทรศัพท์มือถือ คือเอาโทรศัพท์มือถือไปถ่าย กล้องซีซีทีวี เพราะฉะนั้นก็อาจจะมีความไม่แม่นยำ เพราะฉะนั้นแล้วประเด็นนี้เถียงกันไม่จบ แต่ผมเชื่อในความเห็นต่างๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ หลายคนได้เข้ามาพูดจาและเข้ามาอธิบายความ เป็นนักวิศวะใดก็ตาม
ข้อที่สาม อัยการท่านพูดอย่างไร ท่านบอกว่าประจักษ์พยาน 2 คน ซึ่งมาให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติม โดยคณะกรรมาธิการของ สนช.ร้องขอให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมนั้น คำถามมีอย่างนี้ครับ กรรมาธิการของ สนช.มีอำนาจอะไรที่จะส่งพยานเพิ่มเติมมาให้ ถ้าจะมีอำนาจ มีอำนาจอยู่อย่างเดียว ก็คือ อยู่ภายใต้เผด็จการแล้วอัยการกลัว เพราะยุคนั้นเป็นยุคของ คสช.ตั้ง สนช. ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับว่าฤทธิ์ของอำนาจเผด็จการมันสามารถจะบิดเบือน สามารถสร้างพยานเท็จขึ้นมาได้ แล้วพยาน 2 คนนี้ผมเรียกว่าพยานกลับชาติมาเกิด หรือก่อนหน้านี้ผมเรียกว่าพยานแม่นาคพระโขนง มาอย่างไร แล้วหายไปตั้ง 8 ปี จู่ๆ ก็โผล่มา โผล่มาโดยที่เลขาธิการของคณะกรรมาธิการนี้ยัดเข้ามา ขอให้พิจารณา แล้วแม้กระทั่งตรงนี้ เดี๋ยวผมจะพูดต่ออีกประเด็นหนึ่ง นี่ผมชี้ให้ดู นี่ก็คือสิ่งที่อัยการชี้ อัยการชี้ว่า ที่สำคัญคือพยานทั้งสองคนย่อมต้องรับผิดชอบตามกฎหมายอันมีโทษทางอาญา หากให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน ดังนั้นเมื่อคดีไม่มีพยานบุคคลเมื่อใดที่รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุมาให้การเป็นอย่างอื่นและไม่มี ก็คือพูดง่ายๆ ว่า พยานพวกนี้ อัยการเชื่อทันทีเลย แล้วเดี๋ยวผมจะกลับมาเรื่องนี้ หรือว่าพูดตอนนี้เลยก็ได้
อัยการท่านเชื่อเรื่องนี้ พยานสองคน ถ้าตามการพิจารณาคดีทั่วไป ท่านต้องตั้งคำถามว่า คุณสองคนนี้มาอย่างไร ถึงจะมาจากคณะกรรมาธิการ สนช. ก็ไม่ได้แปลว่าคุณมีน้ำหนักเพียงพอ เพราะว่าเรื่องตั้ง 8 ปี คุณไม่โผล่หน้ามาเลย คุณดันทะลึ่งมาโผล่หน้า 8 ปีให้หลัง และกำลังจะสั่งไม่ฟ้องอยู่ เมื่อคุณโผล่มาปั๊บ คุณสรุปสำนวนคดีแล้วคุณสั่งไม่ฟ้อง ตรงนี้คือพฤติกรรมและการกระทำที่มีข้อสงสัย และน่าสงสัย ตรงนี้อัยการไม่กล้าพูด
อัยการอ้างว่าพยานทั้งสองคนต่างให้การว่าตนขับรถตามหลังรถยนต์ที่ผู้ต้องหาขับในช่วงเกิดเหตุในความเร็วระดับเดียวกัน ไม่เกิน 80 กิโลฯ ท่านผู้ชมครับ คุณมีหลักฐานไหมที่ขับรถตามมา คุณไม่มี คุณมีแค่คำให้การเท่านั้น ในรูปกล้องวิดีโอมีรถปิกอัพคันหนึ่งวิ่งไป แล้วในปิกอัพคันนั้นมีสองคนนั้นนั่งอยู่หรือเปล่า เมื่อไม่มี และไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ชัดว่าสองคนนั้นนั่งอยู่ในรถคันนี้ ต้องถือว่าไม่น้ำหนักและเลื่อนลอย และการให้การของพยานอีกคนหนึ่ง พล.อ.ท.จักรกฤช เป็นคำให้การที่ตลกขบขันที่สุด ถ้าท่านผู้ชมเป็นอัยการ หรือทีมอัยการ ถ้าท่านวางตัวเป็นกลาง และท่านไม่รับงานใครมา ท่านก็รู้ว่าเป็นคำให้การที่ไม่มีน้ำหนักเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะท่าน พล.อ.ท.จักรกฤช ท่านบอกว่าท่านออกมาตอนเช้าเพราะท่านจะไปทำบุญตักบาตรที่วัด ตีห้ากว่า แล้วท่านให้นายจารุชาติ นายจารุชาติคือใคร ? นายจารุชาติที่เพิ่งตายไป ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้จักกับ พล.อ.ท.จักรกฤช เลย ปรากฏว่าเมื่อเช็กประวัติแล้ว นายจารุชาติมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณชูชัย ซึ่งเป็นอดีต ส.ว.เชียงใหม่ และเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลชื่อ เจแอล ยูไนเต็ด ซึ่งได้รับสปอนเซอร์มาจากตระกูลอยู่วิทยา โดยคุณเฉลิม อยู่วิทยา เป็นคนให้สปอนเซอร์โดยผ่านทางคุณสมัคร ทนายความของคุณเฉลิม แล้วจู่ๆ พล.อ.ท.จักรกฤช มาเจอนายจารุชาติ ซึ่งจบ ป.4 ไม่มีการศึกษา ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ แต่เป็นเด็กอยู่ที่เชียงใหม่ แล้วจู่ๆ ไอ้บ้านั่นขับรถปิกอัพตอนตีห้ากว่า อัยการท่านสอบหรือเปล่าว่าคุณมาทำอะไรกรุงเทพฯ ขับรถตีห้ากว่า ในขณะนั้น แล้วคุณไปรับ พล.อ.ท.จักรกฤช ที่ไหน ทำไมถึงต้องไปรับกัน คุณรู้จักกันได้อย่างไร นี่คือหน้าที่อัยการ แต่อัยการละเลยเรื่องนี้ไปหมดเลย เพราะฉะนั้นแล้ว ข้อที่สามที่อัยการพูด ฟังไม่ขึ้นเป็นอันขาด
ข้อที่สี่ อัยการอ้างว่าผู้กระทำความผิดก็เป็นเพียงแต่ข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ซึ่งจะประกอบด้วยพยานหลักฐานอื่น โดยหากอาศัยลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าวเพียงอย่างเดียว แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อ้างเป็นเหตุในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นเหตุให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นตายนั้นได้ และเมื่อพยานหลักฐานอื่นในสำนวนการสอบสวนมีไม่เพียงพอจะฟ้อง ลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าวไม่ทำให้คดีมีพยานหลักฐานพอฟ้องในฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตาย ท่านผู้ชมครับ ผมพูดไปแล้วเมื่อกี้ ปัญหาไม่ใช่ว่าขับรถโดยประมาทหรือไม่ประมาท ปัญหาคือคุณจะขับรถด้วยความเร็วเท่าไรก็ตาม เท่าที่คุณอ้างเพื่อลดความเร็วของรถมาเพื่อให้ดูว่าไม่ประมาท แต่เมื่อมีคนตาย แสดงว่าคนที่ชนคนตายนั้น เป็นคนที่ไม่ระมัดระวัง กฎหมายระบุชัด มาตรา 291 กฎหมายระบุชัด คุณก็ผิด ส่วนคุณจะผิดสถานเบาหรือสถานหนัก ก็ไปว่ากันที่ศาล คุณอาจจะผิดสถานเบา เพราะคุณบอกคุณขับรถภายใต้เท่านี้ มอเตอร์ไซค์มาตัดหน้าคุณ นี่เขาเรียกว่าสร้างเหตุการณ์เอื้ออำนวยเพื่อให้ขึ้นศาลแล้วต้องได้รับรอลงอาญา แต่เผอิญพ่อแม่ของนายบอสไม่ยอมให้ขึ้นศาล ก็เลยต้องให้พวกคุณ อัยการสั่งไม่ฟ้องให้ได้ นี่คือที่มา
ข้อห้า ส่วนประเด็นที่ปรากฏตามข่าวว่ามีหนังสือของมหาวิทยาลัยมหิดลแจ้งพนักงานสอบสวนว่าตรวจพบสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องหานั้น ไม่ปรากฏเอกสารหลักฐานดังกล่าวในสำนวนการสอบสวนแต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีผู้ต้องหาฐานยาเสพติดแต่อย่างใดเช่นกัน นี่คือการอธิบายแบบซื่อบื้อ อธิบายแบบปัดๆ ไป ไม่มีหลักฐานส่งมา คือพูดง่ายๆ ว่า อัยการกำลังพูดว่าคดีทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่ว่าจะคดีอะไรก็ตาม ถ้าตำรวจผู้สอบสวนไม่ได้ส่งเรื่องเข้ามา หรือส่งเรื่องเข้ามาแล้วมีอยู่เพียงแค่นั้น อัยการก็จะพิจารณาตามข้อหาตรงนั้น ไม่พิจารณามากกว่านั้น ท่านผู้ชมฟังแล้วเชื่อไหม ท่านอัยการที่ร่างข้อตอบโต้ 7 ข้อนี้ ท่านอายบ้างหรือเปล่า
ในข้อเท็จจริงแล้ว ถึงตำรวจจะสอบสวนส่งมาอย่างไร เมื่อท่านดูแล้ว หน้าที่ของท่านคืออะไร ? หน้าที่ของท่านก็คือ กระบวนการยุติธรรมกลางน้ำใช่ไหม ? ท่านต้องดูว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนมาครบประเด็นไหม ? น่าจะมีพยานอื่นอีกไหม ? ท่านสามารถ ท่านอย่ามาอ้างว่าส่งมาแค่ไหนผมก็ดูแค่นั้น นี่คือการพูดไม่เป็นความจริง ในข้อเท็จจริงถ้าท่านทำงานตรงไปตรงมา ท่านดูแล้วพฤติกรรมมันไม่น่าจะใช่อย่างนี้นะ เอ้า คุณไปสอบมา สอบพยานใกล้เคียงมา ทำไมถึงนี่ถึงนิสัยแบบนี้ ทำไมถึงนิสัยแบบนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ คุณไปสอบมาหน่อยได้ไหม ว่าทำไมจู่ๆ นายจารุชาติถึงมาขับรถให้ พล.อ.ท.จักรกฤช รู้จักกันสมัยไหน เพราะว่าคุณกำลังใช้ดุลพินิจ คุณก็ต้องสอบเพิ่มเติม แต่คุณบอกว่า ตำรวจส่งอะไรมา ผมก็สอบเพียงแค่นั้น
ส่วนข้อเจ็ด ข้อสุดท้าย อันนี้เป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้ เป็นสูตรสำเร็จของอัยการ อัยการจะพูดแบบนี้ อย่างไรก็ดี แม้พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ก็ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องต่อศาลเอง นอกจากนี้แล้ว ในกรณีที่ปรากฏพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ก็อาจมีการรื้อฟื้นคดีโดยพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนพยานหลักฐานใหม่ เพื่อดำเนินคดีผู้ต้องหานั้นใหม่ได้ตามกฎหมาย ท่านผู้ชมครับ "อย่างไรก็ดี แม้พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ก็ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องต่อศาลเอง" ท่านผู้ชมครับ ดาบวิเชียร กลั่นประเสริฐ คงต้องจุดธูปบวงสรวงเรียกวิญญาณท่านกลับมา แล้วก็ยื่นฟ้องต่อศาลเอง ดาบวิเชียร กลั่นประเสริฐ พ่อตายไป แม่ตายไป เมียเลิกราไป ลูกก็ไม่มี คุณไม่ต้องไปตัดสิทธิผู้เสียหายหรอก เพราะเขาไม่มีปัญญาฟ้องอยู่แล้ว เพราะว่ามีการตัดตอนไปเรียบร้อยแล้ว มีกระบวนการวางแผนเอาเงินไปให้พี่ชายและพี่สะใภ้ของดาบวิเชียร แล้วก็มีการเซ็นว่าจะไม่รื้อฟื้นเรื่องนี้ต่อไป ไม่ใช้สิทธิอะไรต่อไป แล้วคุณพูดออกมาทำไม นี่คือสูตรสำเร็จในการอธิบาย ท่านผู้ชมครับ พวกเราไม่ใช่คนกินแกลบ ใช่ไหม ? ฟังเรื่องนี้ก็รู้แล้วว่า งานนี้อัยการเสกสรรค์ปั้นแต่ง ปั้นทุกอย่างออกมา
ท่านผู้ชมครับ น่าสนใจมาก ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ท่านพูดชัดเจนมาก ผู้กระทำผิดในฐานะขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามกฎหมายอาญา มาตรา 291 กฎหมายบอกอย่างนี้ ท่านพีระพันธุ์บอกมา แม้ผู้ที่ถูกชนตายจะมีส่วนประมาท ก็คือตอนที่อัยการบอกว่า ดาบวิเชียรประมาท เพราะขับรถไปตัดหน้า จะตัดหน้าหรือชนท้าย เดี๋ยวเราค่อยมาว่ากันอีกทีในข้อเท็จจริงแล้วคือชนท้าย ท่านผู้ชมตามผมมา รถเฟอร์รารีคันละเกือบสามสิบล้าน มันมีถุงลมใช่ไหม พอชนเสร็จเรียบร้อย ถุงลมมันทำงาน ท่านผู้ชมต้องชนด้วยความเร็วขนาดไหนถุงลมถึงจะทำงาน เข้าใจหรือยัง เพราะฉะนั้นแล้ว เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้อัยการไม่ได้เอาเข้ามาพิจารณาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่ากำลังจะพิจารณาเพื่อสั่งไม่ฟ้อง ก็เลยตัดประเด็นพวกนี้ออกไป ซึ่งอัยการสามารถบอกว่า จากการซึ่งขับรถด้วยความเร็วนั้น เชื่อได้ว่าจะต้องขับเกินกว่ากฎหมายบังคับ และต้องขับรถด้วยความเร็วสูง เพราะว่าชนรถมอเตอร์ไซค์ ท่านผู้ชมครับ เฟอร์รารีชนรถมอเตอร์ไซค์ มันต้องชนท้ายแบบลอยไปเลย ด้วยเหตุนี้แรงกระแทกที่แรง มันก็เลยทำให้ถุงลมมันออกมา แค่นี้อัยการท่านคิดไม่เป็นหรือ เพราะฉะนั้นจึงเชื่อได้ว่ารถคันนี้ไม่สามารถขับรถตามปกติได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วถุงลมนิรภัยจะไม่มีวันที่จะหลุดออกมาแล้วป้องก้นคนขับ ทำไมท่านอัยการไม่พูดตรงนี้บ้าง ทำไมท่านอัยการไม่เอาประเด็นตรงนี้มาพิจารณาบ้าง
ดังนั้น แม้ผู้ถูกชนตายจะมีส่วนประมาทด้วย ก็ไม่เป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดโดยประมาทไม่มีความผิด กฎหมายระบุชัดเจน ท่านผู้ชม มาตรา 291 ถึงแม้ว่าดาบวิเชียรจะตัดหน้าคุณจริง แต่ไม่ได้ทำให้นายบอสไม่มีความผิด หรือไม่ต้องรับโทษทางอาญา หากแต่เป็นเพียงเหตุลดหย่อนรับความผิดทางแพ่งเท่านั้น ส่วนทางอาญาอย่างมากก็เป็นเหตุให้ศาลลงโทษน้อยลงบ้างก็เท่านั้น แต่ไม่ใช่เหตุที่จะสั่งไม่ฟ้องผู้กระทำผิดในฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามกฎหมายอาญามาตรา 291
ท่านผู้ชมตามผมมา ถ้าดำเนินคดีดีๆ โดยไม่เข้าข้างใคร พิจารณาดีๆ ถ้าสมมุติว่าเขาขับ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับรถโดยประมาท ในกรณีแบบนี้เข้าข่ายอะไร ? เข้าเงื่อนไขมาตรา 288 มาตรา 288 คืออะไร ก็คือ ตามกฎหมายอาญา เจตนาฆ่า ทำให้กลายเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 288 โทษถึงประหารชีวิต มิใช่ความผิดฐานขับรถโดยประมาทตามกฎหมายอาญา มาตรา 291 อีกต่อไป ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังครับ
เพราะฉะนั้นแล้ว 7 ข้อ จริงๆ แล้วผมไม่อยากจะชี้แจงเลย 7 ข้อนี้ แต่จำเป็นเพราะท่านพูดออกมาแล้ว ทีนี้ที่ผมจะพูดกับท่านผู้ชมตรงนี้ ไม่ยาวนัก ท่านรอฟังความสนุกสนานวันศุกร์นี้ก็แล้วกัน
วันนี้เรามาตอบ 7 ประเด็นตามที่อัยการแถลงข่าวมา สังคมก็จะหลงทาง หลงกล และหลงประเด็น ในสาระสำคัญทางคดีนี้ ทั้งในแง่กฎหมายและในข้อเท็จจริง หลงยังไง ? ให้ผมมาตั้งประเด็นให้ใหม่ดีกว่า แล้วจะเป็นประเด็นที่หักล้าง 7 ประเด็นที่อัยการตั้งโจทย์มาให้สังคมหลงประเด็นโดยปริยายอีกด้วย
ประการแรก ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าคดีนี้ยุติไปตั้งนานแล้ว เพราะอัยการสั่งฟ้องไปแล้ว แต่มีการขัดต่อรัฐธรรมนูญ แทรกแซงการทำงานของอัยการเจ้าของสำนวนหรือไม่ นี่คำถามที่ต้องตอบ อัยการออกมาชี้แจงข้อแรกว่าพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง โดยอ้างพยานหลักฐานที่มาจากคณะกรรมาธิการกฎหมายฯ สนช. ที่นำเสนอพยานหลักฐานใหม่ โดยเอาสองคนที่กลับชาติมาเกิด แล้วก็มาประนีประนอมกัน เพื่อให้อาจารย์คนใดคนหนึ่งระบุว่าการขับรถเร็ว 177 ไม่ใช่ อ้างอิงจากนักวิชาการเพียงคนเดียว พยานบุคคลที่อ้างว่าอยู่ในเหตุการณ์ 2 คน จึงไม่มีเหตุให้คดีพลิก และแถลงข่าวในส่วนของอัยการคดีได้สิ้นสุดแล้ว แต่การแถลงข่าวสามข้อแรกนั้นทำให้พวกเราหลงประเด็น เพราะความจริงแล้วคดีนี้อัยการได้สั่งฟ้องไปแล้ว จึงขอศาลออกหมายจับ ไม่มีใครไปก้าวล่วง อำนาจอัยการสั่งฟ้องได้ เพียงแต่ยังนำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องศาลไม่ได้เท่านั้นเอง
ท่านผู้ชมครับ อัยการสำนักคดีอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งเป็นเจ้าของคดี ได้เห็นพ้องว่า ข้อมูลที่ตำรวจส่งมาให้ โดยที่ สน.ทองหล่อ ส่งมาให้สำนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นข้อมูลเพียงพอที่จะฟ้องได้ จึงสั่งฟ้องจำเลยเป็นที่ยุติไปแล้ว แต่เพราะเนื่องจากจำเลยไม่ได้มารายงานตัว อัยการจึงขอให้ศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับ ศาลอาญาเห็นพ้องด้วย จึงอนุญาตให้ออกหมายจับนายวรยุทธ อยู่วิทยา เพราะฉะนั้นแล้วขั้นตอนหลังจากนั้นจึงต้องต่อสู้กันในขั้นศาลแล้ว ไม่สามารถจะกลับมาทบทวนใดๆ ได้แล้ว ข้อต่อสู้เพิ่มเติมหลังจากนั้นต้องสู้กันชั้นศาลอย่างเดียว และนี่คือประเด็นที่นอกเหนือจากคำแถลงของอัยการ 7 ข้อนั้น
ท่านผู้ชมครับ อัยการศาลอาญากรุงเทพใต้ได้สั่งฟ้องนายวรยุทธไปแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วจะมากลับคำสั่งฟ้องของอัยการศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่ได้ ท่านผู้ชมผมมีหลักฐานด้วย คำสัมภาษณ์ของ ร.ต.ต.พงษ์นิวัมน์ ยุทธภัณฑ์บริการ อัยการสูงสุดในเวลานั้น ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2560 สามปีที่แล้ว สามปีกว่า ในวันที่ยื่นขอหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ความตอนหนึ่งในข้อความในเว็บของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ท่านพูดว่า ที่ผ่านมาพนักงานอัยการได้พิจารณาให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหามาถึง 6 ครั้ง หากสั่งคดีล่าช้าอีกอาจจะเกิดความเสียหายต่อคดี เป็นที่เคลือบแคลงของสังคมและกระทบภาพลักษณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุดได้
นอกจากนี้แล้ว ยังปรากฏความผิดบางฐานที่อัยการมีคำสั่งฟ้อง แม้จะขาดอายุความในวันที่ 3 กันยายน 2560 โดยได้กำหนดให้ส่งผู้ต้องหาในวันที่ 27 เมษายน ภายในเวลาราชการ แต่ถึงบัดนี้ผู้ต้องหาก็ยังไม่มา อัยการสูงสุดจึงใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ 2553 มาตรา 15 พิจารณากรณีเหตุร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาแล้วเห็นว่าคงมีเฉพาะพยานหลักฐานในส่วนการจัดทำรายงานและความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งให้การไว้เป็นพยานต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่เคยพิจารณามาก่อน นั่นคือข่าวอัยการสูงสุดยืนยันว่าพนักงานอัยการได้สั่งฟ้องแล้ว มีคำสั่งสั่งฟ้องแล้ว นอกจากนั้นยังมีข่าวจากเว็บไซต์ผู้จัดการ มีคลิปด้วยครับ นายสุทธิ กิตติศุภพร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้เปิดเผยในวันเดียวกันว่า ทนายความของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ทายาทเจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มกระทิงแดง ได้ประสานขอเลื่อนฟังคำสั่งฟ้องกรณีขับรถเฟอร์รารีชนดาบวิเชียร กลั่นประเสริฐ อดีตผู้บังคับหมู่ปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 ตามที่ได้นัดหมายเวลา 14.00 น. โดยอ้างเหตุผลเหมือนเดิมว่าติดภารกิจต่างประเทศ ซึ่งอัยการได้ยืนยันไม่ยอมให้เลื่อนรับฟังคำสั่งฟ้องได้อีกแล้ว ทั้งนี้ ได้ส่งหนังสือขอเลื่อนดังกล่าวให้อัยการสูงสุดพิจารณาเพื่อออกหมายจับนายวรยุทธต่อไป
ขอย้ำ ท่านอธิบดีอัยการศาลอาญาใต้ จะไม่ยอมให้เลื่อนรับฟังคำสั่งฟ้องได้อีกแล้ว แสดงว่าคำสั่งฟ้องออกมาแล้ว แต่ว่าทนายไปอ้างว่านายวรยุทธขอเลื่อน ไม่มารับฟัง ท่านก็บอกว่าไม่ให้เลื่อนแล้ว นอกจากนั้นยังมีเรือโทสมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ยังได้ให้สัมภาษณ์ในวันเดียวกันอีกด้วยว่า วันนั้น วันเดียวกัน ส่วนพยานหลักฐานอื่นนอกนั้นได้เคยมีการร้องขอความเป็นธรรมและได้พิจารณายุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรมไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับความเห็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานเดิม จึงให้ยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม หยุดตรงนี้ก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทางนายบอสก็วิ่งไปหาเครือข่าย ยื่นเรื่องต่อกรรมาธิการยุติธรรมและการกระทำของตำรวจ คือจะเอากรรมาธิการนั่นล่ะเข้าไปรับเรื่องร้องเรียนแล้วเอาพยาน 2 ปาก ซึ่งเป็นพยานกลับชาติมาเกิด ยัดเข้าไป กรรมาธิการก็เล่นเกมกับเขาด้วย เข้าใจหรือยังครับท่านผู้ชม ไล่เรื่องมา
เรื่องของนายบอสก็เลยมีการให้อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้แจ้งพนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้ได้ตัวนายวรยุทธมาฟ้องตามคำสั่งต่อไป สอง ความสำคัญ ข้อความสำคัญของเรือโทสมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าอย่างนี้ ท่านผู้ชมตั้งใจฟังให้ดีๆ นะครับ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เรือโทสมนึก เสียงก้อง พูดว่า ความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญจะเป็นอาจารย์ที่ชื่ออะไรไม่รู้ล่ะ อาจารย์ที่บอก 170 น่ะ ความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานเดิม จึงให้ยุติเรื่องร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้ได้ตัวนายวรยุทธมาฟ้องตามคำสั่งต่อไป
ท่านผู้ชมครับ คดีนี้ยุติหรือยัง ยุติแล้ว และมีคำสั่งฟ้องไปแล้วอย่างแน่นอน ไม่มีใครมาแทรกแซงการทำงานสำนวนนั้นได้ แล้วก็จะดึงกลับไปที่อัยการอื่นก็ไม่ได้ รองอัยการสูงสุดก็ไม่ได้ จะกลับไปเรียกร้องขอความเป็นธรรมที่กรรมาธิการใดๆ ก็ไม่มีผล หลักฐานและพยานอื่นใดที่จะใช้เพื่อการต่อสู้ในชั้นศาลเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่คุณต้องเตรียมไป เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับกระบวนการดำเนินคดีอาญา มาตรา 141 ถ้ารู้ตัวผู้กระทำผิด แต่เรียกหรือยังจับตัวไม่ได้ เมื่อได้ความตามการสอบสวนอย่างใดให้ทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือควรสั่งไม่ฟ้อง ส่งไปพร้อมกับสำนวนสอบสวนยังพนักงานอัยการ ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าควรสั่งฟ้อง ก็ให้จัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ได้ผู้ต้องหามา ถ้าผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศ ให้พนักงานอัยการจัดการเพื่อขอส่งตัวข้ามแดนมา
ดังนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 141 คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส เรดบูล นั้น พนักงานสอบสวนมีความเห็นให้สั่งฟ้องแล้วแน่นอน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 141 พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ก็ได้สั่งฟ้องตามความเห็นพนักงานสอบสวน เพียงแต่นายวรยุทธหลบหนี จึงยังไม่ได้ฟ้องศาล แต่ได้สั่งฟ้องไปแล้ว ส่วนศาลอาญากรุงเทพใต้เห็นตามความที่อัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ซึ่งสั่งฟ้องไปแล้ว ศาลอาญากรุงเทพใต้จึงเห็นว่ามีมูล จึงออกหมายจับตามคำขอของอัยการ ฉะนั้นคดีก็เลยเป็นอำนาจของสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ด้วยเหตุนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้จึงเป็นผู้ออกหมายจับ ไม่เกี่ยวกับอัยการคนอื่น หรือกรรมาธิการอื่น ท่านผู้ชมตามผมมา
รัฐธรรมนูญมาตรา 248 วรรคสอง บัญญัติว่า พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดี และปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยเร็ว เที่้ยงธรรม และปราศจากอคติโดยทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจพนักงานอัยการท่านอื่น มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งพนักงานอัยการที่สั่งฟ้องผู้ต้องหาไปแล้ว และมีคำสั่งใหม่เป็นสั่งไม่ฟ้อง
ท่านผู้ชมครับ นี่คือประเด็นใหญ่ที่สุดกว่าทุกประเด็น ประการที่สอง การที่อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ยืนหยัดข้อเท็จจริงและสั่งฟ้องไปแล้ว จึงเกิดกระบวนการวิ่งเต้น แทรกแซงคำสั่งฟ้อง ใช่หรือเปล่า จึงขอถามกรรมาธิการ สนช. ใช่หรือเปล่า เขาสั่งฟ้องไปแล้ว แล้วกรรมาธิการ สนช.ท่านรับเรื่องเขามา ท่านเข้าไปแทรกแซงเขาหรือเปล่า เริ่มจากคณะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ รับเรื่องราวร้องทุกข์จากทนายนายบอส เพื่อเป็นกลไกหาประเด็นให้สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งไม่ใช่เจ้าพนักงานในสำนวน ทำการแทรกแซงใช่หรือไม่ ท่านผู้ชมตามผมมา
มันมีคณะกรรมการในกรรมาธิการยุติธรรมและกิจการตำรวจ 2 คน ให้ความเห็นขัดแย้งกัน คนแรก พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะอดีตกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ กล่าวชี้แจงอย่างนี้ กรรมาธิการฯ มีความเห็นตรงกันเกือบทั้งคณะว่าไม่รับเรื่องนี้ไว้พิจารณา ไม่เคยมีความเห็นทางคดี พล.ต.ท.ศานิตย์ พูดวันที่ 28 แต่พอมาวันที่ 29 นายธานี อ่อนละเอียด สมาชิกวุฒิสภา และอดีตเลขาธิการกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ แถลงข่าวว่า กรรมาธิการฯ มีมติให้รับเรื่องนี้เอาไว้และมีมติส่งให้อัยการสูงสุดและอธิบดีอัยการเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวจึงจำเป็นต้องเปิดเผยว่าใครพูดเท็จ พูดจริง แต่ต้องเปิดเผยรายงานการประชุมวันวาระดังกล่าว ใครลงมติอย่างไร และมีมติหรือไม่ เห็นหรือยังท่านผู้ชม นี่ต้องพิสูจน์กันแล้ว เพราะว่านายธานี อ่อนละเอียด บอกว่ากรรมาธิการฯ มีมติให้รับเรื่อง แต่ พล.ต.ท.ศานิตย์ บอกว่าไม่ได้รับเรื่อง เสียงส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ให้รับเรื่องนี้ ใครโกหกกันแน่ ถ้าสมมุติสิ่งที่ พล.ต.ท.ศานิตย์ พูดจริง แสดงว่ามีไอ้โม่งสั่งการมาให้แอบเอาเรื่องนี้เข้าแล้วก็ส่งอัยการสูงสุดอย่างลับๆ ถ้าไม่มีอะไร น่าสงสัยอย่างหนึ่ง
ผมจะมีอะไรให้ดูอย่าง ถ้าเรื่องนี้ไม่มีอะไรซ่อนเร้น ปกปิด หรือมีมติจริง ภายในสัปดาห์นี้ คุณชวน หลีกภัย ได้รับการติดต่อจากอดีต ส.ว. คุณรสนา โตสิตระกูล และเลขาฯ รัฐสภา จะต้องให้หนังสือรายงานฉบับดังกล่าว ก็คือหนังสือรายงานว่า มติรับหรือเปล่า หรือไม่รับ แต่ถ้ามีคนบงการอยู่ข้างหลัง และไม่มีมติคณะกรรมาธิการฯ จริง ท่านทั้งสองนี้อาจจะไม่ได้รับเอกสารทั้งหมดนี้ ประการที่สาม ท่านผู้ชม ถ้าสมมุติว่าคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ของ สนช. ไม่เคยมีมติ แล้วใครเป็นคนลงนามและหนังสือส่งอัยการสูงสุด ใคร? ใครเป็นผู้แอบอ้างมติคณะกรรมาธิการฯ หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นปัญหาที่ท่าน พล.อ.ประวิตร ท่านต้องชี้แจง ท่านอาจจะบอกไม่รู้อะไรทั้งสิ้น คือในกรรมาธิการนี้มีน้องชายของท่านประวิตรอยู่ 2 คน คนหนึ่งเป็นประธาน อีกคนหนึ่งเป็นกรรมาธิการ
คุณรสนา ผมสนใจมาก จดหมายที่ยื่นให้กับคุณชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ซึ่งคุณชวนเดิมนัดหมายว่าจะมารับหนังสือเมื่อวันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง คุณชวนเบี้ยว ไม่มาเลย อ้างว่าติดภารกิจกะทันหัน โดยเฉพาะในประเด็นหนังสือที่ร้องขอ ไม่ใช่เพียงรายงานประชุมเท่านั้น ยังขอเรื่องสำคัญกว่านั้นอีก คือขอดูหนังสือนำส่งอัยการสูงสุดและอธิบดีอัยการที่อ้างว่าเป็นผลรายงานคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ นั้น ดูว่าใครเป็นคนลงนาม โดยเฉพาะหากไม่ได้เป็นมติคณะกรรมาธิการจริง แปลว่ารายงานอันนั้นแอบอ้างกรรมาธิการอันเป็นเท็จ เมื่อเปิดเผยผู้นำส่งแล้ว ก็ควรจะเปิดเผยข้อความนำส่งนั้นว่าเป็นอย่างไร หากเข้าข่ายการแทรกแซงอำนาจอัยการเจ้าของสำนวน ก็จะได้ดำเนินคดีกับบุคคลนั้นอย่างชัดเจน ใช่ไหมท่านผู้ชม เพราะไม่มีสิทธิ์
ประการที่สี่ มีการดำเนินการที่อ้างว่าเป็นรายงานของกรรมาธิการการกฎหมายฯ ด้วยความอคติ ในการรวบรวมพยานหลักฐานหรือไม่ คำแถลงของอัยการที่อ้างรายงานคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ เป็นหลัก โดยคำแถลงอัยการข้อสามและสี่นั้น อ้างถึงความเร็วของรถ ต่อมาถูกหักล้างด้วยภาพวิดีโอ และจับผิดได้ว่าความเร็วของผู้เชี่ยวชาญนั้นมาจากการถ่ายภาพจากโทรศัพท์มือถืออีกทอดหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นภาพที่ไม่ถูกต้อง สะท้อนให้เห็นอคติที่ไม่ได้อยู่บนหลักฐานที่แท้จริง ใช่ไหมครับ ท่านผู้ชมเข้าใจใช่ไหมครับ ก็คือถกเถียงกันว่าความเร็วนั้น เขาบอกความเร็วจริงๆ มันต้อง 70 แต่ในข้อเท็จจริงก็คือว่า ดร.คนนี้ ได้ภาพจากวิดีโอด้วยการถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้ดูวิดีโอตัวจริง แล้ววันนี้นักวิชาการจำนวนมาก รวมทั้งคนรักชาติบ้านเมือง ต่างจับโกหกเรื่องความเร็วของรถยนต์ จากหลักฐานกล้องวงจรปิดของตำรวจ อย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่ 70-80 กิโลฯ มัน 177 แล้วถ้ามันยัง 177 อยู่ แสดงว่าเข้ามาตรา 288 เจตนาฆ่า ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง
วิ่งเต้นให้ลดออกจาก 288 เจตนาฆ่า มาเป็น 291 ก็คือขับรถโดยประมาท หรือว่าไม่ผิดในเรื่องของการทำให้คนตายนั้น ประมาทแต่ไม่ได้เจตนาฆ่า นอกจากนั้น ผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามในรายการตอบโจทย์ เขาไปออกรายการไทยพีบีเอส ไม่ยอมตอบว่าได้พบกับทนายนายบอส อยู่วิทยา หรือไม่ อันเป็นจรรยาบรรณพื้นฐานของนักวิชาการ ที่ต้องแจ้งเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนต่องานวิชาการของตัวเอง สะท้อนให้เห็นข้อพิรุธของผู้เชี่ยวชาญ ด็อกเตอร์จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ คนนั้น
นอกจากนั้นแล้ว การสืบพยานของกรรมาธิการฯ ที่อ้างพยานใหม่ 2 ปาก ก็ไม่สามารถพิสูจน์ความจริงว่าได้อยู่ในที่เกิดเหตุหรือเปล่า เป็นการอ้างปากเปล่าลอยๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่มุ่งหวังผลให้ออกมาเป็นการช่วยเหลือนายบอสอย่างชัดเจน ท่านผู้ชม ทั้งหมดที่ผมเล่าให้ฟัง อัยการก็รับลูกเลย ไม่ดำเนินการคิดหาพยานอื่นเพิ่มเติม ถือเป็นขบวนการสมรู้ร่วมคิดในการช่วยเหลือจำเลยอย่างชัดเจนหรือไม่ ท่านผู้ชมคิดเอง
ทั้งคำแถลงของอัยการ ของนายธานี อ่อนละเอียด สมาชิกวุฒิสภา และอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ อ้างว่าเพราะมีการร้องเรียนฝ่ายเดียว จึงรายงานไปฝ่ายเดียว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีการร้องเรียนมา หรือคัดค้านหลักฐานหรือพยานเท็จ ท่านผู้ชมครับ คำถามที่ผมมีกับนายธานี ว่า ก็พวกคุณแสวงหาหรือไปตั้งคำถามคนที่คัดค้านหรือเปล่าว่ามีการร้องเรียนฝ่ายเดียว คุณเคยเผยแพร่รายงานหรือแถลงข่าวให้ประชาชนทราบหรือไม่ ถ้าพวกคุณไม่บอก และงุบงิบทำรายงานกันเอง ใครที่ไหนจะมาคัดค้านได้
ประการที่ห้า คำแถลงของอัยการข้อ 5 ข้อ 6 ว่าประเด็นที่ปรากฏตามข่าวหนังสือของมหาวิทยาลัยมหิดล แจ้งพนักงานสอบสวนว่าตรวจพบสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องหานั้น ไม่พบอยู่ในสำนวนการสอบสวน และไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเรื่องยาเสพติดแต่อย่างใด ท่านผู้ชมครับ นี่้แสดงให้เห็นถึงอคติอย่างชัดเจน เพราะเมื่ออัยการและตำรวจพบหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญอย่างชัดเจนแล้ว อัยการก็สามารถสั่งให้พนักงานสอบสวนนำฟ้องเพิ่มเติมได้ แต่อัยการกลับแถลงผ่านไปลอยๆ เหมือนไม่สนใจในข้อเท็จจริงแห่งคดี
ประการที่หก คำแถลงอัยการอ้างในข้อที่ 7 ว่าไม่ตัดสิทธิ์ผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องต่อศาลเอง ผมเล่าให้ฟังไปแล้ว ก็ผู้เสียหายตายไปแล้ว คนตายพูดไม่ได้นี่ พ่อก็ตาย แม่ก็ตาย เมียก็เลิกราไป สุดท้าย ประการที่เจ็ด คดีนี้จะยุติอย่างไรกันแน่ ระหว่างพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนสั่งฟ้อง ศาลอาญากรุงเทพใต้ อัยการศาลอาญากรุงเทพใต้ หรืออัยการนอกสำนวนสั่งไม่ฟ้อง ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง อัยการในสำนวน เจ้าของสำนวนสั่งฟ้อง กับอัยการนอกสำนวน สั่งไม่ฟ้อง สมควรที่ศาลอาญากรุงเทพใต้จะได้พิจารณาว่าเจ้าพนักงานอัยการนอกสำนวนสั่งไม่ฟ้องนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และสมควรจะเพิกถอนหรือไม่
ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เศร้ามาก และเป็นเรื่องที่บัดซบจริงๆ คำแถลงอัยการว่าอัยการไม่สามารถนำข่าวเรื่องโคเคนจากหนังสือพิมพ์ได้ ต้องรอพยานและหลักฐานจากตำรวจตั้งเรื่องสอบสวนมา ท่านผู้ชมครับ ตำรวจตั้งเรื่องอย่างไรรู้ไหม ? ตำรวจตั้งเรื่องก็คือว่า โคเคนนั้นค้นพบเพราะว่านายบอสไปทำฟัน นี่คือตำรวจตั้งเรื่อง เสร็จเรียบร้อยแล้วพอโดนสวนกลับ ทันตแพทย์คนนั้นบอกผมไม่เคยใช้โคเคน ตำรวจหน้าแตก ตำรวจก็เลยพลิกประเด็น และคนที่เอามาชี้แจงคือ พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ผมต้องขอเตือนท่านนิดหนึ่ง พล.ต.อ.ศตวรรษ พูดว่าอย่างไรรู้ไหม ? ท่านบอกว่าท่านเรียกแพทย์ที่รักษานายบอสมาให้ข้อมูล ซึ่งแพทย์ยืนยันว่า บอสได้รับยาบรรเทาอาการอักเสบ ไม่มีส่วนผสมของสารเสพติด จากนั้นตำรวจได้นำผลการตรวจดังกล่าวไปสอบสวนแพทย์ทั้งสองโรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าเป็นสารเสพติดหรือไม่ โดยแพทย์ให้ความเห็นว่า ผลการตรวจดังกล่าวอาจจะเกิดจากยาปฏิชีวนะที่อาจจะส่งผลลวงต่อการตรวจ หรือเป็นสารเสพติดจริง
ท่านผู้ชมครับ ตำรวจโดยการแถลงของ พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ท่านผู้ชมจำชื่อคนนี้ไว้ดีๆ นะ ผมเกือบสับสนว่าเป็นฌอน บูรณะหิรัญ เพราะว่าพูดเหมือนฌอน บูรณะหิรัญ เลย คุณศตวรรษพูดบอกว่า แพทย์ให้ความเห็นว่าผลการตรวจดังกล่าวอาจจะเกิดจากยาปฏิชีวนะที่อาจจะส่งผลลวงต่อการตรวจหรือเป็นสารเสพติดจริง คำถามข้อแรก ผมอยากจะถาม ประการแรก คุณมีชื่อแพทย์คนนั้นไหม สองโรงพยาบาล เอามาหน่อยได้ไหม ผมอยากให้สังคมตรวจสอบว่าท่านพูดอย่างนี้จริงหรือเปล่า ข้อที่สอง ถึงแม้ท่านจะพูดจริง ท่านมีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ได้ว่า อาจจะเกิดจากยาปฏิชีวนะที่อาจจะส่งผลลวงต่อการตรวจหรือเป็นสารเสพติดจริง ถ้าท่านพูดอย่างนี้ ถ้าท่านมีหลักฐาน ก็แสดงว่าอีกหน่อยการทำโคเคนมันไม่ต้องทำให้ยากลำบากแล้วไม่ใช่หรือ ก็เอายาปฏิชีวนะผสมผสานเข้าไป แอนตีไบออติกเข้าไป ก็ทำโคเคนขึ้นมาได้ มันจะบ้ากันไปแล้ว ท่านผู้ชมเห็นหรือยังมันช่วยกันทุกประเด็น อัยการก็ช่วย ตำรวจก็ช่วย นี่ล่ะครับท่านผู้ชม นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมต้องไลฟ์สดวันนี้ รับไม่ได้จริงๆ ท่านผู้ชม แล้วรอพบวันศุกร์นี้
ท่านผู้ชมครับ ขอบคุณมากครับ ไลฟ์สดวันนี้ จากเฟซบุ๊กเข้ามา 7,500 คน ยูทูปเข้ามา 7,400 คน ท่านผู้ชมครับ ก่อนจบ ผมจะพูดความในใจสักนิดหนึ่ง ท่านผู้ชม ผมอายุ 73 แล้ว พฤศจิกายนนี้ ผมอายุ 73 แล้ว ผมอายุมากแล้ว ผมเหมือนตะวันตกดิน ที่ผมรับไม่ได้เลยเรื่องนี้ และผมไม่กลัว อะไรจะเกิดขึ้นกับผมก็เกิดได้ ผมไม่แคร์ เพราะผมคิดว่าความยุติธรรมเป็นเสาหลักค้ำจุนชาติบ้านเมือง การที่อัยการและตำรวจมาปู้ยี่ปู้ยำเสาหลักชาติบ้านเมืองนี้ ประชาชนจะพึ่งใคร นี่คือความพินาศฉิบหายของชาติบ้านเมือง และถ้าไม่สามารถทำความจริงให้ปรากฏ ผมไม่อยากจะเห็นหรอกคณะกรรมการอัยการ คณะกรรมการตำรวจ มันก็ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยพวกมันเอง ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง แล้วถ้าเราไม่สามารถพึ่งพาได้ สังคมเราล่มสลาย ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมต้องออกมาต่อสู้เรื่องนี้ และผมจะไม่ถอยเป็นอันขาด และผมจะพูดเรื่องการปรับโครงสร้างอัยการ เพราะอะไร พูดขยายความจากวันจันทร์ที่แล้ว ในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ อย่าพลาดนะครับวันศุกร์ รับรองว่ามีทีเด็ดแน่นอน สวัสดีครับ