“สนธิ”ชี้ภาวะวิกฤติทำให้คนไทยหันพึ่ง“ไลฟ์โค้ช”มากขึ้น แต่ปัญหา“ไลฟ์โค้ช”ในไทย คือบางคนเป็นของปลอม แค่เอาหลักการที่หนังสือฝรั่งเขียนไว้หรือหลักธรรมในศาสนามาประยุกต์ใส่เทคนิกการพูด ก็มีคนเชื่อและติดตามจำนวนมาก จนบางคนหลงตัวเอง คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ พร้อมวิเคราะห์การเมือง 3 ป.กำลังใช้คดีความจับนักการเมืองเป็นตัวประกัน หลังจาก “สี่กุมาร”ลาออก ถ้าเอาพวกเขี้ยวลากดินเข้ามาแทนจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลตกต่ำ แฉเครือข่ายฟอกเงินค้ายาบ้าผ่านร้านทองที่มีเงินหมุนเวียนนับแสนล้านบาท แจงเมื่อครั้งอยู่ในเรือนจำไม่เคยขอออกมางานศพภรรยาเพราะรู้สิทธิของตัวเองดี ส่วนกรณี “ณัฐวุฒิ”ออกไปงานศพพ่อได้นั้นเพราะรัฐมนตรีสั่งราชทัณฑ์แก้ระเบียบให้
วันที่ 24 ก.ค.63 เวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” และช่องยูทูป Sondhitalk โดยวันนี้จะมาถึงคำว่าไลฟ์โค้ชคืออะไร ทำไมในสังคมไทยถึงมีเยอะมาก แต่ละคนก็มีแต่เรื่องดรามา โดยเฉพาะ ฌอน บูรณะหิรัญ และเบื้องลึกโผ ครม. ทำไมสุริยะถึงแห้วพลังงาน จริงๆ แล้วเจ้าของพรรคพลังประชารัฐตัวจริงเป็นใครมาดูกัน
รวมถึงกระแสในโซเชียลฯ ดรามากันเรื่อง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ออกมางานศพพ่อ ทำไมตอนนั้นคุณสนธิไม่ได้ออกมา เพราะอะไรฟังจากปากคุณสนธิ และอีกเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้ เรื่องม็อบมุ้งมิ้งที่กำลังเกิดขึ้น มุมมองเรื่องนี้เป็นอย่างไร ติดตามชมได้ในรายการ Sondhitalk : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง ep : 43 ชำแหละ LIFE COACH บทเรียนจากฌอน?
คำต่อคำ SONDHI TALK [24 ก.ค. 63] : ชำแหละ LIFE COACH บทเรียนจาก ฌอน ?
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2563 อยางเช่นเคยนะครับ ทุกๆ วันศุกร์เช้า ประมาณ 9 โมง 9 โมงเศษนิดๆ เรามาเจอกันในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เป็นประจำ ซึ่งแต่ละอาทิตย์ก็มีเรื่องราวต่างๆ ที่จะพูดถึงให้ฟัง แต่ว่าก่อนจะเข้ารายการก็มาพูดกันเรื่องช่องทางการรับชมกันนิดหนึ่ง
วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"
สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ
สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป
ท่านผู้ชมครับ คนที่ติดตาม ท่านผู้ชมอย่าลืมแชร์ออกไปมากๆเพื่อให้คนอื่นๆ ได้รับชม รับฟังไปพร้อมๆ กัน และผมถือโอกาสสวัสดีท่านผู้ชมที่กำลังดูอยู่ในช่องยูทูปด้วยนะครับ ที่้รับชมพร้อมๆ กัน ท่านผู้ชมครับ ในตอนนี้ทางเฟซบุ๊กคนที่เข้ามาชมไลฟ์บางคนจะเจอปัญหาที่ไม่มีเสียง ท่านผู้ชมต้องแก้โดยกดเข้าไปที่วิดีโออีกครั้ง เพื่อให้วิดีโอ play แล้วถึงจะมีเสียง เนื่องจากในตอนนี้เฟซบุ๊กปรับในเรื่องการแจ้งเตือน ที่สำคัญที่สุด อย่าลืมกด See First เอาไว้ ทางยูทูปก็ SUBSCRIBE เพื่อไม่พลาดทุกเรื่อง
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราก็จะฝากร้านให้เหมือนเดิมสำหรับท่านผู้ชมที่ต้องการจะฝากข้าวของที่ต้องการจะขายหรือต้องการเสนอให้กับท่านผู้ที่ให้ความสนใจเข้ามา
วันนี้มีเรื่องหลายเรื่องที่อยากจะพูด เรื่องแรกก็คงจะพูดเรื่องการปรับ ครม. คณะรัฐมนตรี สืบเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว แล้วเรื่องที่สองที่จะพูดก็คือ ผมจะพูดถึงเรื่องคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กับตัวผมเอง ในกรณีที่ตอนภรรยาผมเสียชีวิตแล้วผมไม่ได้ออกมางานศพ งานเผา ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม แต่คุณเต้นกลับได้ออกมา เดี๋ยวผมจะอธิบายความให้ฟัง แล้วก็ฟังตอนจบให้ดีๆ นะครับ แล้วเรื่องที่สามที่ผมอยากจะพูด ก็คือเรื่องของม็อบ ที่เขาเรียกกันว่า ม็อบมุ้งมิ้ง และเรื่องที่สี่ ก็จะเป็นเรื่องบางเรื่องที่มีข่าวออกมาแต่ไม่เคยมีใครเอามาขยายความ คือเรื่องการที่ตำรวจ ทีมงานภายใต้การนำของท่านรอง ผบ.ตร. ท่าน พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ได้จับยาบ้า 1,300 เม็ด แล้วสืบเนื่องต่อไป ไปค้นพบขบวนการฟอกเงินที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งคำนวณโดยคร่าวๆ แล้ว เขาว่าน่าจะเป็นหลักแสนล้านบาท แล้ววิธีการฟอกเงิน เขาฟอกกันอย่างไร ?
แล้วเผอิญในช่วงนี้ เรื่องต่อไปจะเป็นเรื่องการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา ทำไมต้องพูดเรื่องนี้ เพราะว่าตอนนี้มันโค้งสุดท้ายแล้ว อาทิตย์หน้าก็เป็นเดือนสิงหาคม สิงหาคม กันยายน ตุลาคม เหลืออีก 3 เดือน (90 วัน) ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ผมจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ก่อนดีกว่า เพื่อเป็นพื้นฐาน แล้วถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเมื่อไร หรือใกล้วัน แล้วผมจะอธิบายให้ฟัง ที่น่าสนใจที่ผมจะพูดให้ฟังก็คือว่า การคัดสรรผู้สมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งรองประธานาธิบดีของผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน ว่าจะมีใครบ้าง เดิมทีว่าจะมีผู้หญิงผิวสีประมาณ 4 คน และอีกคนหนึ่งก็มีชื่อติดในตอนต้นๆ แต่ตอนนี้เห็นเงียบหายไป คือ คุณแทมมี ดักเวิร์ธ หรือคุณลัดดา ดักเวิร์ธ คนไทยที่มีคุณพ่อเป็นคนอเมริกัน ไปเรียนทหารจบที่อเมริกาแล้วก็เป็นพลขับเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์ก แล้วก็โดนจรวดของอิรักยิงเข้าไป ทำให้ขาขาด 2 ข้าง ที่พวกเรารู้กันดี
และเรื่องสุดท้ายที่ผมคิดว่าเป็นที่น่าาสนใจสำหรับท่านผู้ชมมากๆ คือ เรื่องไลฟ์โค้ช (Life Coach) ท่านผู้ชมยังจำคุณฌอนได้ใช่ไหม ? หรือผู้กองเบนซ์ หรือครูอ้อย คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าไลฟ์โค้ช ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร และเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นอย่างไรบ้าง ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ
ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดเรื่องการเมือง เรื่องสี่กุมาร ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่ง แล้วสี่กุมารก็เขียนจดหมายลาออก รวมทั้งท่านรองนายกรัฐมนตรี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ได้เขียนจดหมายลาออกทันทีเลย แล้วผมก็ได้อธิบายความว่าเหตุมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร วันนี้ได้ข่าวมาว่าท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านได้คัดสรรเรียบร้อยแล้ว ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ว่าโผ ครม.เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งระหว่างนั้น ก่อนหน้านั้น ก็จะมีข่าวออกมาว่าคุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล ที่เป็นอดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ก็ปฏิเสธที่จะเข้ามาร่วม แล้วสรุปเรื่องราวคงจบลงที่คุณปรีดี ดาวฉาย อดีตประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย
ซึ่งคุณปรีดีก็เป็นเด็กปั้นของคุณปั้น คุณบัณฑูร ล่ำซำ ว่ากันว่าท่านนายกฯ ท่านไปขอร้องคุณบัณฑูร ช่วยเอาคุณปรีดีมาร่วมหน่อย คุณปรีดีก็คงจะมา แล้วจากการสนับสนุนของคุณปั้น คุณบัณฑูร ล่ำซำ เพราะว่าคุณบัณฑูร ล่ำซำ กับท่านนายกรัฐมนตรี สนิทสนมกันมากมาย หลายๆ เรื่องที่ท่านนายกฯ ก็ช่วยคุณบัณฑูรไป ในเรื่องของป่าเมืองน่าน ความผูกพันนี้ก็เลยเป็นผลพลอยได้ ทำให้คุณปรีดีต้องมาดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ แต่ผมเข้าใจว่าน่าจะควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีดูแลฝ่ายเศรษฐกิจด้วย
ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์ที่แล้วที่เรายกตัวอย่างให้ฟังว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในการเมืองช่วงนี้มันเกิดขึ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แล้วผมจะเล่าให้ฟังว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องที่คลาสสิกมาก เพราะว่ามันเน่าเหลือเกิน มันเป็นเรื่องการเมืองน้ำเน่าจริงๆ ซึ่งพูดไปก็ยังเสียใจไปว่าไหนใครว่าจะมีการปฏิรูปการเมือง ไม่ว่าจะเป็นลุงกำนันของผม คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ชูการปฏิรูปการเมืองก่อนมีการเลือกตั้ง หรือท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ชูเรื่องการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งในที่สุดแล้ว ในข้อเท็จจริงมันไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว
ในตอนแรกสุดที่ผมเล่าให้ฟังเมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่า คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน และคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และในยุคนั้นก็มีอีก 1 ส. สมศักดิ์ สุริยะ และสมคิด เขาเรียกว่ากลุ่ม 3 ส. ซึ่งต่อมาภายหลังสมคิดก็ถอยตัวออกมา และสุริยะ กับสมศักดิ์ ก็ไม่อยากให้สมคิดอยู่กลุ่ม 3 ส. ก็เลยกลายเป็น 2 ส. ตั้งแต่แรกแล้ว
คุณสุริยะต้องการตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แล้วก็เรียกร้อง และข่าวว่ามาว่า ในเบื้องหลังข่าวบอกว่า ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ท่านได้สัญญากับคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าจะเอาตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานให้
ในช่วงแรกของการจัดตั้งรัฐบาล ถ้าท่านผู้ชมได้ติดตามข่าวคราวมาตลอด จะเห็นว่ามีความขัดแย้งมาตั้งแต่เริ่มแรกแล้วในตำแหน่งนี้ ทำไมตำแหน่งนี้ถึงสำคัญ ? ตำแหน่งนี้สำคัญเพราะว่าผลประโยชน์มันเยอะ ผลประโยชน์มันเยอะตรงไหน ? เพราะว่าเป็นกระทรวงที่คุม ปตท. ปตท.ยอดขายเป็นเกือบล้านล้านบาท กำไรปีละ 1-2 แสนล้านบาท เพราะฉะนั้นแล้วกิจการต่างๆ ของ ปตท.มีเต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทร่วมทุน หรือว่าจะให้ ปตท.มาลงทุนร่วมเพื่อจะผูกขาดสินค้าที่บริษัทนั้นร่วมทุนแล้วก็เอามาขายกลับคืนให้ ปตท. หลายต่อหลายข่าว
ทีนี้ ที่เกิดขึ้นมาก็คือว่า เผอิญในช่วงนั้นก็มีคนอยากนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเช่นกันในยุคที่ตั้งรัฐบาล และคนๆ หนึ่งก็คือ คุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณ คุณณัฏฐพลก็อยากนั่งกระทรวงพลังงาน ก็เลยเกิดอาการออกแรง ใช้กำลังภายในกัน มีความขัดแย้งกันมากมาย
ถ้าจำไม่ผิดคุณสุริยะถึงกับออกมาแถลงข่าวเลย กับคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ว่าไม่พอใจมากที่ตัวเองถูกเบียดบังตำแหน่ง ทั้งที่ให้สัญญากับตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว เผอิญในขณะนั้นเสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ ไม่เหมือนวันนี้ที่มีการซื้อตัว ส.ส.ฝ่ายตรงข้ามเข้ามา จ่ายเงินจ่ายทองมา แล้วก็ให้เขามาลงคะแนนเสียงให้รัฐบาล ทำให้รัฐบาลมีเสียงเกินไปประมาณ 30-40 เสียง หรือ 20-30 เสียง เพราะฉะนั้นแล้ว เสียงของคุณสมศักดิ์ กับคุณสุริยะ ก็เลยทำให้รัฐบาลกระเทือนพอสมควร แต่ในที่สุดแล้วผู้หลักผู้ใหญ่ ก็คือกลุ่ม 3 ป. ก็พูดกับคุณสมศักดิ์ กับคุณสุริยะ ว่าให้ใจเย็นๆ อดทนหน่อย ไปนั่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมแล้วกัน แล้วเดี๋ยวค่อยมาดูอีกที เมื่อมีการปรับ ครม.ก็จะเอาคุณสุริยะมานั่งกระทรวงพลังงาน
ท่านผู้ชมครับ บุญมีแต่กรรมมาบัง คุณสุริยะก่อนที่จะเข้ามาเป็น ส.ส. และก่อนที่จะเข้ามาพรรคพลังประชารัฐ มีการเลือกตั้งแล้วเข้ามาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ นั้น คุณสุริยะเคยออกรายการของคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ รายการ Inside Thailand ในคลิปคุณสุริยะพูดชัดเจนว่า "ถ้ามีการเลือกตั้งขึ้นมา พรรคพลังประชารัฐจัดตั้งรัฐบาล ผมเองจะปฏิเสธตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น คำพูดเป็นนาย ผมไม่ผิดคำพูด" ตรงนี้ก็เลยถือว่าเป็นกรรมเก่าที่คุณสุริยะต้องแบกมาจากวันที่พูดวันนั้นมาจนถึงวันนี้
พอคุณสุริยะมาอยู่ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับกระทรวงอุตสาหกรรมตอนนั้นก็คือเรื่องแบนสารพิษ 3 ยี่ห้อ ปรากฏว่ามีคุณสุริยะที่ปฏิเสธที่จะแบน คุณสุริยะบอกว่าสารพิษยังจำเป็นอยู่ อาจจะเป็นเพราะว่า ส.ส.ในสายคุณสุริยะ หรือแม้แต่คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน เอง ยังมีความต้องการจะเก็บสารพิษเอาไว้ เนื่องจากว่าเกษตรกรหรือคนที่ทำไร่ไถนาในสายของคุณสมศักดิ์ และพรรคพวกของคุณสุริยะนั้น ยังมีความจำเป็นต้องใช้สารพิษเพื่อกำจัดวัชพืช ก็เลยมีการไม่ยอมแบน ทั้งๆ ที่ทุกคนก็แบนหมดแล้ว กระทรวงเกษตรฯ แบน กระทรวงสาธารณสุขไม่เอาด้วย ตรงนั้นก็เลยเป็นตราบาปอันหนึ่งของคุณสุริยะ ในสายตาของชาวบ้าน ในสายตาของประชาชนที่เล่นโซเชียลฯ ว่าคุณสุริยะนี่ใช้ไม่ได้ ทำไมถึงไม่ยอมแบนสารพิษตามมติ นั่นก็คือบ่วงกรรมบ่วงที่ 2 ที่คุณสุริยะต้องแบกเอาไว้
พอมางวดนี้ พอสี่กุมารออก คุณสนธิรัตน์ออก ระหว่างก่อนที่คุณสนธิรัตน์จะออก ในการประชุม ครม.หลายๆ ครั้ง ทั้งคุณสุริยะ และคุณสมศักดิ์ ก็กระแทกกระทั้นคุณสนธิรัตน์ในที่ประชุม ครม. คุณสุริยะถึงกับพูดกับคุณสนธิรัตน์ เมื่อคุณสนธิรัตน์กำลังเสนอโครงการที่จะทำโรงไฟฟ้าชุมชนขึ้นมา โน่นนี่นั่น คุณสุริยะบอกว่า จะรีบทำไปทำไม แล้วหลังจากนั้นอีกอาทิตย์หนึ่ง คุณสมศักดิ์ ซึ่งอยู่กระทรวงยุติธรรม ท่านก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกระทรวงพลังงาน ปรากฏว่าท่านก็ไปโจมตีคุณสนธิรัตน์ที่อยู่กระทรวงพลังงาน คือคล้ายๆ กับหมายความว่า เหมือนกับรู้แน่นอน สนธิรัตน์จะไป เอ็งนั่งเฉยๆ นะ อย่าทำนะงานการต่างๆ เก็บเอาไว้ให้พวกเราทำ เอาล่ะ นั่นก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งซึ่งมันจะเสริมต่อยอดมาเรื่อยๆ ถึงเรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไป
พอสี่กุมารและสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกจากที่ไปปั๊บ คราวนี้เวทีว่างแล้วสิ ว่างตั้ง 4-5 ตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายกระทรวงพลังงาน ทันทีเลย คุณสุริยะแสดงเจตจำนงชัดเจนเลยว่าผมต้องนั่งพลังงาน ถึงขนาดที่ว่าล่าสุดพูดในทำนองที่ว่า ให้ผมนั่งสิ 6 เดือน ถ้าผมทำไม่ดี ผมจะออก ถึงขนาดเดิมพันตรงนั้นไปเลย โดยที่คุณสุริยะก็ลืมสัจจะวาจาที่ตัวเองได้ให้สัมภาษณ์คุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ที่รายการ Inside Thailand ที่ท่านผู้ชมจะเห็นในคลิปนี้ที่บอกว่า ถ้าพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล ผมจะไม่รับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น จนในที่สุด ข่าวถึงกับบอกว่าคุณสุริยะ กับคุณสมศักดิ์ กำลังจะระดม ส.ส.ในกลุ่มของตัวเองเพื่อจะแสดงพลังออกมา
ทีนี้ เรามาดูถึงด้านของท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บ้าง การที่สี่กุมาร+สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ออกแบบนี้ ผลตอบสนองถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นลบ เป็นลบหลายประการ ประการแรก คนมองว่า 4-5 คนนี้ตั้งใจทำงาน สนับสนุน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเจริญจาก 0.9 เปอร์เซ็นต์ ผ่านไป 2-3 ปี กลายเป็น 4.8 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับตัวเลขของใคร ถ้าตัวเลขของเมืองไทยก็บอก 4.8 ถ้าตัวเลขของเวิลด์แบงก์ บอก 4.1 แต่เอาเป็นว่าเขาสามารถทำให้เศรษฐกิจมันผงกหัวได้ จากการทำงานของสี่กุมาร และการทำงานของสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คนก็เลยตั้งคำถามว่า แสดงว่าท่านนายกฯ ท่านเล่นการเมืองมาก ท่านเอาการเมืองนำหน้าแล้ว ท่านไม่เอาชาติบ้านเมืองนำหน้า
ตรงนี้ อีกประการหนึ่งประกอบกับสิ่งที่ผมพูดไปอาทิตย์ที่แล้ว ที่ผมบอกว่าเสียดายท่านนายกฯ เสียดายตรงไหน ? เสียดายตรงที่ว่า วันที่สี่กุมารไปยื่นใบลาออก ท่านควรจะอยู่ทำเนียบรัฐบาล รับใบลาออกแล้วออกไปแถลงข่าวร่วมกัน บอกว่าเสียใจที่คน 4 คนนี้ต้องไป ผมเห็นใจ ผมเข้าใจดี และขอบคุณมากที่หนีออกไปเพื่อไม่ให้ผมได้รับความกดดันมาก แต่ผมอยากจะขอบคุณทั้ง 4 คน ต่อหน้าทุกคน ให้พี่น้องประชาชนได้ทราบว่าทั้ง 4 คนนี้ได้ช่วยงานชาติบ้านเมืองมาอย่างเต็มที่ และได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล แต่ท่านนายกฯ ไม่อยู่ ท่านนายกฯ หาเรื่องเดินทางไปศรีสะเกษ ตรงนี้ก็เลยกลายเป็นอีกลบหนึ่งที่ทำให้สังคมทั่วไปมองท่านนายกฯ ว่า ท่านนายกฯ ใจไม่ถึง ท่านนายกฯ หลอกใช้คน พอถึงเวลาการเมืองมา ท่านนายกฯ ก็ถีบคนพวกนี้ออกไป แล้วพวกวนี้ พอท่านนายกฯ แค่ส่งไลน์ไปบอก ดร.สมคิด ว่าผมมีความจำเป็นเรื่องการเมือง โน่นนี่ ปรากฏว่าแทนที่จะรอจนถึงเวลาปรับ ครม. พวกนี้ไม่ พวกนี้ เหมือนกับที่ผมเล่าให้ฟังว่าเหมือนกับนั่งเครื่องบิน แล้วพวกนี้อยู่ในห้องเครื่อง เมื่อท่านนายกฯ เป็นเจ้าของเครื่องบิน ท่านเดินไปบอก ส่งโน้ตเข้าไปหากัปตัน ซึ่งคือสมคิด บอกว่าการเมืองมาแบบนี้ ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนนะครับ พวกนี้ก็ ยินดีครับท่านนายกฯ เดินออกมาจากห้องเครื่อง คว้าร่มชูชีพคนละอันแล้วกระโดดร่มชูชีพหนีเครื่องบินลำนั้นไป ส่วนเครื่องบินลำนั้นจะหัวดิ่ง ถล่ม และล่มสลายอย่างไร 4 คนนี้ไม่สนใจแล้ว
เอาล่ะ ตรงนี้ที่ผมพูดก็คือจุดอ่อนของท่านนายกฯ เพราะท่านนายกฯ กังวลอยู่ 2-3 เรื่อง เรื่องแรก คือท่านจะหาใครดีที่จะมาแทนสมคิด รัฐมนตรีฯ คลัง แล้วก็ผลักดันเศรษฐกิจ ผลักดันประเทศชาติต่อไป เท่าที่รับทราบ หลายๆ คน คุณประสารเอย คนโน้นคนนี้เอย ปฏิเสธที่จะมา คุณวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ซึ่งกำลังจะเป็นอดีตเพราะจะหมดวาระในเดือนตุลาคมนี้ หรือปลายปีนี้ ก็ปฏิเสธที่จะมา คุณวิรไทก็ไม่มา คุณประสารก็ไม่มา ก็เหลือแค่คุณปรีดี คุณปรีดีมาก็เพราะท่านนายกฯ ไปขอคุณบัณฑูร ล่ำซำ คุณบัณฑูร ล่ำซำ ก็เลยต้องไปขอคุณปรีดี หรืออาจไปกดดันคุณปรีดีให้มา ในที่สุดแล้วก็เลยเป็นอย่างนี้ ท่านนายกฯ ก็เลยกลัว กลัวว่า ตายล่ะ จะทำอย่างไร เพราะข่าวว่าคุณสุริยะจะมานั่งพลังงาน ถ้าท่านจัดโผ ครม.ใหม่ แล้วมีคุณสุริยะนั่งพลังงาน ก็อิ๊บอ๋ายครับท่านผู้ชม อิ๊บอ๋ายหมดเลยงานนี้ ท่านติดลบอยู่แล้ว ท่านก็จะยิ่งติดลบมากขึ้นกว่าเก่า ด้วยเหตุนี้ผมเชื่อว่าท่านไม่เอาคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
สังเกตอย่างหนึ่ง พอคุณสุริยะออกมาให้สัมภาษณ์ บอกว่าพี่ป้อม คือ พล.อ.ประวิตร สัญญาว่าจะให้ตำแหน่งนี้กับผม คือคำมั่นสัญญาที่เคยให้กัน แล้วพี่ป้อมของผมก็ออกมาให้สัมภาษณ์สวนทันทีเลย บอกว่า ผมไม่เคยสัญญาอะไรทั้งสิ้น นั่นคือสัญญาณบอกว่าเขาพร้อมที่จะหักคุณสุริยะแล้ว โดยที่ไม่ให้ตำแหน่งนี้กับคุณสุริยะ
ทีนี้ พอจะให้ตำแหน่งนี้กับคุณไพรินทร์ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาบอกว่ามีคนที่ 3 เข้ามา ชื่อ สุพัฒน์พงษ์
สุพัฒน์พงษ์ อยู่ในเครือ ปตท. ซึ่งผมก็ไม่รู้ ก็บริษัทภายใต้ ปตท.นี่ล่ะ แต่เป็นที่ปรึกษาของท่านนายกฯ มาหลายปีแล้ว และอยู่ในทีมงานเศรษฐกิจของท่านนายกฯ น่าจะมาแทนคุณไพรินทร์ เพราะว่าคุณไพรินทร์เองก็มีปัญหามาก ในขณะนี้ ตอนนี้ พวก ส.ส.ทั้งหลายในสายพลังประชารัฐก็กดดันต่อ บอกว่าโควตาพลังงานเป็นโควตาของพรรคพลังประชารัฐ เพราะฉะนั้นให้คนนอกมานั่งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นท่านหัวหมู่ทะลวงฟันคนหนึ่ง อย่างเช่น คุณไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งช่วงหลังๆ นี่ท่านก็เพี้ยนไปเยอะ ท่านแสดงเนื้อหาตัวตนที่แท้จริงออกมา
ท่านผู้ชมครับ การเมืองในพรรคพลังประชารัฐนั้นเขาจะมีขาใหญ่ ขาใหญ่ก็จะมีสมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เขาก็จะมีเสี่ยแฮงค์ ก็คือคุณอนุชา นาคาศัย เขาจะมีเสี่ยเฮ้ง คือสุชาติ ชมกลิ่น เฮ้ง-แฮงค์ สมศักดิ์ สุริยะ เป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายๆ กลุ่ม แต่กลุ่มที่รวมกันทุกอย่าง เฮ้ง แฮงค์ สมศักดิ์ สุริยะ นี่พอรวมกันแล้วจะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างจะใหญ่มาก แล้วก็พ่วงวิรัช รัตนเศรษฐ เข้าไปอีกคน เพราะฉะนั้นแล้วกลุ่มนี้ก็เลยเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลพอสมควร แล้ววิธีของกลุ่มพวกนี้เขาจะไม่แสดงอะไรออกเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นเพียงแต่ว่าเขาจะมีหัวหมู่ทะลวงฟันอยู่ 2-3 คน ที่มีหน้าที่ออกมาด่าคนโน้นออกมาด่าคนนี้ ว่าทำไมไม่ไปเสียที มาไล่สี่กุมารเป็นหมูเป็นหมา คนหนึ่งก็คือไพบูลย์ นิติตะวัน คนที่สอง คือ สิระ เจนจาคะ คนที่สาม คือ คุณชัยวุฒิ และคนที่สี่ คือ คุณชัยวัฒน์ แต่จะอย่างไรก็ตาม 4 คนนี้จะผลัดกันเวียนออกมา ไล่ที ด่าที เหน็บแนมที โน่นนี่นั่น เผอิญว่า 4 คนนั้นเป็นผู้ดีเกินไป ก็เลยรับไม่ได้ ก็เลยลาออกไป
ทีนี้ พอมาเป็นเช่นนี้แล้ว ก็แสดงว่าคุณสุริยะวืด ก็เหมือนอย่างที่เมื่อวานนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับเขียนเลย สุริยะวืดพลังงาน วืดพลังงานนี่้คุณสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์น่าสนใจมาก คุณสมศักดิ์บอกว่าผมไม่เรียกร้องอะไร ผมไม่ป่วนอะไรทั้งสิ้น ผมจะกลับไปทำงานของผมเหมือนเดิมแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะยังมีพลังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า เท่านั้นยังไม่พอ ป.ป.ช.ก็ดำเนินคดี ชี้แจงข้อกล่าวหาคุณอนงค์วรรณ เทพสุทิน ภรรยาคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ข้อหาทุจริตฝายแม้ว 770 ล้านบาท
ทุจริตฝายแม้วนี้เกิดขึ้นเมื่อปีงบประมาณปี 2551 สิบสองปีที่แล้ว สมัยที่คุณอนงค์วรรณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยที่ ป.ป.ช.ชี้ว่ามีการทุจริต มีการรับเงิน และมีการก่อสร้างฝายต้นน้ำ ปลูกหญ้าแฝกโดยมิชอบ หักเงินโครงการดังกล่าวเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมติดตามการเมืองเหมือนผม ท่านผู้ชมจะเห็นว่าการยื่นหรือดำเนินการคดีต่างๆ กับบรรดานักการเมือง นั่นคือการจับพวกนักการเมืองพวกนี้เป็นตัวประกัน ตอนนี้คุณสมศักดิ์ กับคุณสุริยะ ฝ่ายกลุ่ม 3 ป. รู้อยู่แล้วว่าไม่พอใจ เหตุการณ์ที่สุริยะโดนหัก 2 ครั้ง ครั้งแรกโดนหักยกที่ให้กับสนธิรัตน์ ครั้งที่ 2 คือครั้งนี้ โดนหักอีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่สุริยะยืนยันว่ารับปากเขาไว้เรียบร้อยแล้ว คือนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถให้สุริยะนั่งได้ เพราะว่าคุณสุริยะ ในภาพของสังคม ติดลบมากหลายเรื่อง อย่างที่ผมเล่าให้ฟังตอนต้น ท่านนายกฯ เองก็เริ่มติดลบแล้ว ในกรณีสี่กุมาร แล้วถ้าสุริยะมานั่งอีก เท่ากับว่ามันไม่ใช่ว่า ลบกับลบ เป็นบวก มันกลายเป็นสามลบ มันก็จะติดลบมากขึ้น เพราะฉะนั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ให้คุณสุริยะนั่งไม่ได้ แต่ไม่ต้องการให้การเมืองในพรรคพลังประชารัฐกระเพื่อม ก็เลยจับภรรยาของคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน คือคุณอนงค์วรรณ เป็นตัวประกัน โดยให้ ป.ป.ช.ตั้งข้อหา ซึ่งคดีนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 เงียบมาตลอดเลยท่านผู้ชม เงียบมาตลอด ไม่มี ไม่เลยแม้แต่นิดเดียวที่จะโผล่มา แล้วจู่ๆ ออกมาเมื่อวานนี้ หรือเมื่อวานซืน อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เป็นเพียงแต่แจ้งให้ทราบ ชี้มูลความผิดแล้วเรียกมาให้รับข้อกล่าวหา ซึ่งการเรียกมารับข้อกล่าวหานี้ ควรจะเรียกมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เรียก แต่นี่ถือว่าจับมาเป็นตัวประกัน แล้วยังไม่ใช่เพียงแค่นี้เพื่อให้คุณสมศักดิ์เงียบ ไม่ต้องมีฤทธิ์ ไม่ออกฤทธิ์ ไม่ออกอาวุธได้ แล้วยังจับหนังสือพิมพ์มติชนเป็นตัวประกันอีก ทำไมต้องเป็นหนังสือพิมพ์มติชน ? เพราะว่าเขาดำเนินคดีกับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคุณสุรนันทน์ เวชชาชีวะ กรณีที่จัดอีเวนต์ด้วยเงินประมาณ 200 กว่าล้านบาท แล้วผ่องให้เอกชนทำ แล้วสมรู้ร่วมคิดกัน โดยที่คำชี้แจงของ ป.ป.ช. ค่อนข้างจะชัดเจน ถ้าท่านผู้ชมอ่านระหว่างบรรทัด ท่านผู้ชมจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ เลย
คำชี้แจงของ ป.ป.ช.บอกว่า ที่ผิดคือรัฐมนตรี ข้าราชการที่รับงานไปแล้วดำเนินการตามคำสั่งรัฐมนตรี ไม่ผิด และที่ผิดอีกคนหนึ่งคือเอกชนที่รับงาน แล้วเอกชนที่รับงานมีใคร มี 2 เจ้า หนึ่งในนั้นก็คือหนังสือพิมพ์มติชนและเครือมติชน หนังสือพิมพ์และเครือหนังสือพิมพ์มติชน ทั้งข่าวสด ทั้งมติชน ทั้งมติชนสุดสัปดาห์ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเผด็จการทหาร เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ 3 ป. ไม่ว่าจะเป็นการพาดหัว ไม่ว่าจะเป็นเอาเรื่องราวที่ขึ้นหน้าปกมติชนสุดสัปดาห์ เชียร์ธนาธร ซ้ำเติม 3 ป. ซ้ำเติมรัฐบาลชุดนี้ตลอดเวลาด้วยวิธีการต่างๆ พวกนี้ก็เลยถือโอกาสจับมติชนเป็นตัวประกันไปเช่นกัน ก็คือเป็นจำเลย จะเห็นได้ชัดนะครับว่าตอนนี้การเมืองมันพัฒนามาถึงจุดตรงนี้แล้ว ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ประมาณวันที่ 18 กรกฎาคม มันมีเรื่องราวหนึ่งซึ่งผมอยากจะพูดให้ฟัง แต่ผมต้องอธิบายให้ฟังก่อนนะที่ผมพูดนี้ ผมไม่ได้ต้องการจะกล่าวหาใครทั้งสิ้น แต่ผมต้องการจะอธิบายความให้ฟังว่าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร คือเรื่องราวที่กรมราชทัณฑ์ท่านอนุญาตให้คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สามารถจะออกมาในงานเผาศพของบิดาได้ในวันที่ 18 กรกฎาคม
ก็เลยมีคนต่างๆ นานาออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ทีคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ตอนที่ภรรยาเสียชีวิต และกำลังจะฌาปนกิจศพนั้น เขาขอออกมา แล้วไม่ให้เขาออกมา ข้อเท็จจริงข้อแรกที่ผิดพลาด ประการแรก ท่านผู้ชมครับ ทำความจริงให้ปรากฏ หนึ่ง ผมไม่เคยขอ ผมเข้าไปในเรือนจำวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559 ภรรยาผมเสียชีวิตประมาณต้นเดือนตุลาคม แล้วหลังจากนั้น 7 วัน งานศพจัดที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ก็มีการเผา ผมรู้ตัวผมเอง ผมรู้ว่าวันที่ผมเดินเข้าคุก เมื่อศาลฎีกาพิพากษาแล้ว ผมเป็นนักโทษ ผมรู้ว่าเมื่อผมเป็นนักโทษแล้ว ผมไม่มีสิทธิอะไร แม้แต่ถ้าพ่อตาย แม่ตาย เมียตาย ผมต้องทำใจ เพราะผมเป็นนักโทษ แล้วตอนนั้นท่านอธิบดี ท่านกอบเกียรติ ก็มีนักข่าวไปถามท่านว่า อย่างนี้คุณสนธิจะออกมางานศพได้หรือเปล่า ท่านกอบเกียรติก็ชี้แจงให้ฟังว่า ออกไม่ได้ เหตุผลที่ออกไม่ได้ ก็เพราะว่าคุณสนธิเพิ่งเข้าไป คนที่ออกได้ต้องอยู่แล้วสักพักหนึ่ง 2-3 ปี และต้องเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม และเหลือจำนวนที่จะต้องจำคุกต่อไปอีกไม่นานนัก สรุปก็คือ ออกไม่ได้ ซึ่งในข้อเท็จจริงผมไม่ได้ติดต่อขอออกเลย เป็นเพียงแต่ผู้สื่อข่าวไปถาม ว่านักโทษสนธิ ลิ้มทองกุล จะสามารถออกมาเผาศพภรรยาได้หรือไม่ คุณกอบเกียรติก็เลยพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ อย่างกับว่าผมขอท่านออก ผมไม่ได้ขอเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผมรู้ว่าผมไม่ควรขอ ขอไปทำไม เสียเปล่าๆ
ท่านผู้ชมจำเอาไว้อย่าง วันหลังถ้าท่านจะขอเรื่องอะไร ถ้าท่านรู้ว่าขอไม่ได้ อย่าไปขอ อย่าไปขอในชีวิตนี้ อมเลือดเอาไว้ เผอิญผมทำใจได้ตั้งแต่ต้น และอีกอย่าง รัฐมนตรีตอนนั้นคือ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา อย่างไรท่านก็ไม่ให้ แล้วไปขอทำไม และอีกอย่างผมทำใจไว้แล้ว เมื่อเป็นนักโทษแล้ว ปิดประตูทุกเรื่องที่เราเคยทำได้ในอดีต
เอาล่ะ มากรณีของคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ บ้าง คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ออกมางานศพของบิดาในวันที่ 18 กรกฎาคม บิดาของคุณณัฐวุฒิเสียชีวิตในวันที่ 14 มีการแก้ระเบียบกรมราชทัณฑ์ แก้เสียใหม่ จากแต่ก่อนนักโทษต้องชั้นดีขึ้นไป หรือชั้นดี หรือชั้นเยี่ยม กลายเป็นนักโทษชั้นกลาง ชั้นกลางหมายความว่า วันแรกที่เข้าไปในคุก ท่านเป็นนักโทษชั้นกลาง อีก 4 เดือนถึงจะเป็นนักโทษชั้นดี หลังจากนั้นอีก 6 เดือน ถ้าทำตัวดี สอบผ่านชั้นได้ ก็เป็นดีมาก แล้วอีก 6 เดือนค่อยเป็นชั้นเยี่ยม
กรมราชทัณฑ์สั่งแก้ว่าจากนี้ไป ตั้งแต่นักโทษชั้นกลางขึ้นไป ถ้ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกมาในงานศพบิดา เขาเปลี่ยนแล้วนะ เฉพาะบิดาหรือมารดา ภรรยาไม่ได้แล้ว เอาเฉพาะบิดา ก็สามารถจะยื่นเรื่องออกได้ ก็ปรากฏว่าท่านแก้ระเบียบวันที่ 16 คุณณัฐวุฒิออกมาวันที่ 18 คุณพ่อเสีย 14 หลังจากนั้นสองวันแก้ระเบียบ วันที่ 16 อีกสองวันคุณณัฐวุฒิออกมา ที่พูดนี่ไม่ใช่อะไร ผมดีใจกับคุณณัฐวุฒิ ที่คุณณัฐวุฒิได้ออกมาแล้วไปเคารพศพบิดา ไปร่วมงานฌาปนกิจศพบิดา ในวินาทีสุดท้าย ในวันสุดท้ายที่บิดากำลังจะถูกฌาปนกิจ ผมเห็นใจ ผมเข้าใจ และผมไม่ได้ติดใจอะไรทั้งสิ้น แต่ผมต้องการชี้ให้ดูว่า กรมราชทัณฑ์ท่านออกระเบียบวันที่ 16 ท่านผู้ชมต้องตามผมมา ถ้าท่านผู้ชมเข้าใจระบบราชการ อธิบดีกรมราชทัณฑ์จะไม่มีวันที่จะแก้ระเบียบนี้ ถ้ากระทรวงไม่ได้สั่งให้แก้ ท่านผู้ชมครับ "อธิบดีกรมราชทัณฑ์จะไม่มีวันแก้ระเบียบนี้ ถ้ากระทรวงไม่สั่งให้แก้" แล้วใครในกระทรวงที่สั่งให้แก้ ก็ไปคิดดูเอาเองก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า จริงๆ แล้วอยากให้นักโทษทุกคนที่บิดาหรือมารดาเสีย แล้วต้องไปงานศพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันเผา ไม่ต้องไปวันสวดศพหรอกครับ ไปแค่วันเผา หรือจะไปแค่วันสวดศพวันเดียวก็พอ อยากให้ทุกคนได้เท่าเทียมกันหมด แล้วถ้าคุณณัฐวุฒิได้มางวดนี้ ถึงจะมีการช่วยเหลือกัน ผมเฉยๆ ผมเห็นใจเขา และก็เผอิญแอดมินของผมที่อยู่เพจ ก็ไปเอาข่าวนี้มา ก็มีคนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์กัน ผมต้องขอโทษ เดี๋ยวผมจะให้แอดมินเอาข่าวนี้ออกไป ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องมนุษยธรรม แต่ว่าผมเพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า แน่นอนที่สุด มีการแก้ระเบียบ เพื่อให้คุณณัฐวุฒิได้ออกมาเคารพศพของคุณพ่อ ซึ่งผมเห็นด้วย ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และผมดีใจด้วยที่คุณณัฐวุฒิได้ออกมา ก็เลยต้องชี้แจงให้ท่านผู้ชมฟังในกรณีเรื่องนี้ แต่ท่านผู้ชมต้องเข้าใจนะครับ ยืนยันนะครับ ผมไม่เคยขอออกเลยแม้แต่นิดเดียว ฉะนั้นที่บอกว่า ทำไมทีคุณสนธิขอออก ถึงไม่ได้ออก ทำไมคุณณัฐวุฒิขอออก ถึงได้ออก ผมไม่เคยขอออกครับ ท่านผู้ชม ไม่เคยครับ ไม่เคยเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนท่านอธิบดีกอบเกียรติ ท่านก็เกษียณอายุไปแล้ว ได้ข่าวว่าสุขภาพท่านก็ไม่ค่อยดี ส่วนท่าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ท่านก็กลายเป็นองคมนตรีไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวต่างๆ มันเฉกเช่นลมที่มันพัดผ่านตัว มันสัมผัสตัวแล้วมันก็ไป ผมไม่เคยติดอกติดใจอะไร ก็เลยต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังเสียก่อน
เรื่องต่อไปที่ผมอยากจะพูด คือเรื่องม็อบ ที่เขาเรียกม็อบมุ้งมิ้ง เรื่องม็อบ สิ่งหนึ่งที่ผมไม่สบายใจ คือเรื่องม็อบผมไม่ได้ขัดขวาง ผมคิดว่าสิทธิเสรีภาพของคนที่จะแสดงออกควรจะเปิดโอกาสให้เขาแสดงออกได้ การที่เขาทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้น ก็เป็นความผิด เพราะว่าคุณตั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เอาไว้กั๊ก ไม่ให้มีการแสดงออก เป็นปกติธรรมดา เมื่อคุณบีบบังคับเขา เขาก็มีความรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องออกมาแสดงออกแล้วงานนี้ แต่ว่าทุกครั้งที่มีการแสดงออก จะมีตัวแทรก ตัวแทรกคือใคร ? ตัวแทรกก็คือคนหนุ่มคนสาวบางคนที่ถือป้ายจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรง
ทีนี้ ปัญหามันละเอียดอ่อนมาก มันละเอียดอ่อนตรงไหน ? มันละเอียออ่อนตรงที่ว่า ถ้าเราดูให้ดีๆ แล้ว เมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ทุกคนก็จะบอกว่าม็อบมุ้งมิ้งเป็นม็อบที่จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ ไม่ใช่นะ อุปมาอุปไมยเหมือนสมัยก่อนที่เสื้อแดงประท้วง แล้วเรามีคนอย่างจักรภพ เพ็ญแข เรามีคนอย่างคนโน้นคนนี้ โน่นนี่นั่น ที่โดนมาตรา 112 เรามีคนอย่างจอม เพชรประดับ เรามีคนอย่างคนโน้นคนนี้ ซึ่งแสดงออกด้วยการต้องการล้มล้างกษัตริย์ แล้วเราจะไปเหมาว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดไม่รักกษัตริย์ได้อย่างไร ไม่ใช่ ในการชุมนุมมักจะมีตัวแทรก จะแทรกด้วยความเจตนาหรือแทรกโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือวางแผนที่จะแทรกเพื่อให้เกิดความวุ่นวาย
ท่านผู้ชมครับ ผมกำลังมองว่าในขณะนี้คนที่วางแผนอยู่จริงๆ ลึกๆ เขาจัดตั้งให้คนหนุ่มคนสาว นักศึกษาบางคนถือป้ายที่เลวทรามต่ำช้าแบบนี้ ด่าว่าสถาบันกษัตริย์ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ผมเห็นด้วยกับการใช้สิทธิเสรีภาพ ว่าไม่ควรจะปิดกั้นเขา แต่ใช้โอกาสของการใช้สิทธิเสรีภาพนั้นจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ ผมถือว่าไม่ถูกต้อง จริงๆ ยุทธศาสตร์ของคนที่วางอยู่ตรงนี้คือ ต้องการก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นมา เขาต้องการจะให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ หรือฝ่ายทางราชการปราบปรามอย่างเด็ดขาด เข้ามาจับคนพวกนี้ออกไปดำเนินคดี เพราะฉะนั้นแล้ว ผมไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าจะเหมาม็อบทั้งหมดเป็นม็อบล้มเจ้า ไม่ใช่
ม็อบล้มเจ้านั้นมีกลุ่มคนไม่กี่คนที่ต้องการจะแทรกเข้ามาแล้วสร้างเรื่อง ท่านผู้ชมลองหลับตาวาดภาพตามผมมา ถ้าสมมุติว่าเมื่อวานนี้มีคน หรือตอนที่ชุมนุมม็อบมุ้งมิ้งพวกนี้แล้วมีทหารหรือตำรวจเข้ามาชุดหนึ่ง แล้วจับตัวคนที่ถือป้ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เอาขึ้นรถไป คราวนี้วุ่นวายล่ะ ก็เป็นจังหวะเหมาะเลยที่จะทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังนั้น ปลุกระดมคน ว่าพวกนี้ผิดตรงไหน พวกนี้แค่ออกมาแสดงโน่นนี่นั่น ถึงกับกล่าวหากันไปกล่าวหากันมา ผมถึงบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด
และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องการจะชี้ให้เห็น ตอนนี้เรื่องคุณมารีญา พูลเลิศลาภ อดีตมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2017 กำลังเป็นเรื่องเป็นราว ที่เป็นเรื่องเป็นราวเพราะคุณมารีญาได้โพสต์ข้อความสนับสนุนการชุมนุม ท่านผู้ชมครับ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าคุณมารีญาไม่ใช่คนที่สนับสนุนการล้มเจ้า แต่คุณมารีญาเป็นลูกฝรั่ง แม่เป็นคนไทย ไปอยู่เมืองนอก สมัยอยู่ประเทศไทยก็เรียน ISB พอจบ ISB แล้วก็ไปต่อปริญญาตรีที่เนเธอร์แลนด์ คนที่โตมาในสังคมฝรั่ง เขาเห็นว่าการเรียกร้องอะไรก็ตาม การแสดงความเห็นนั้นไม่ควรจะไปปิดกั้น ผมคิดว่าสิ่งที่คุณมารีญาต้องการแสดงออก ก็คือสนับสนุนการแสดงออกที่บริสุทธิ์ และที่สงบ และสันติ เหมือนกับยุคที่ผมประท้วงก็คือสงบและสันติ ไม่ใช้ความรุนแรง และไม่ใช้วาจาที่หยาบคาย เพราะฉะนั้น คุณมารีญา เจตนาผมดูแล้ว ไม่ใช่ต้องการล้มเจ้า
แต่น่าเสียดายที่คุณมารีญากลับถูกคุณปารีณาถล่ม บอกนางงามชั่ว ผมคิดว่าคุณปารีณาไม่ควรจะพูดเช่นนี้ และถึงกับไปบอยคอตสินค้าต่างๆ ที่คุณมารีญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ว่าห้ามซื้อ ห้ามโน่นห้ามนี่ ผมคิดว่าถ้าเรามองภาพด้วยความเป็นธรรมแล้ว คุณมารีญาเพียงแต่ทำหน้าที่ตามจิตใต้สำนึก และเขาก็ไม่ได้แสดงออกด้วยการสนับสนุนคนที่ถือป้ายล้มเจ้านั้น เป็นคนที่เขาเห็นด้วย เขาพูดในลักษณะว่าการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของคนนั้น ไม่ถูกต้อง และควรจะชุมนุมอย่างสงบและสันติ
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมต้องชี้แจงให้ฟังนิดหนึ่ง ว่าผมไม่ได้เห็นด้วยกับม็อบพวกที่แสดงออกด้วยการล้มเจ้า แต่ผมเห็นด้วยไหมกับการแสดงออกในความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับรัฐบาล ? ผมเห็นด้วย และควรจะมีมากขึ้น เหตุผลเพราะว่าไม่มีใครตรวจสอบรัฐบาลเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการที่เบื้องหน้าเบื้องหลังมีคนที่จะเข้ามาปลุกปั่นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล หรือกลุ่มของคุณธนาธร ซึ่งกลุ่มคุณธนาธรก็ถูกกล่าวหาเช่นกันว่าอยู่เบื้องหลัง ซึ่งถ้าเขาทำอย่างนั้นจริง ผมก็ไม่เห็นด้วย ท่านผู้ชมทำความเข้าใจกับตรงนี้สักนิดนะครับ
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมมีเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเท่าไรนัก แต่สำหรับผมแล้ว เมื่อผมเจาะลึกลงไปในเบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นเรื่องที่ใหญ่ระดับชาติ
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2563 หรือประมาณ 1 เดือนกับ 4-5 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลัง 4 กองบัญชาการ หลายร้อยนาย ภายใต้การควบคุมและสั่งการโดย พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบด้านงานป้องกันและปราบปราม หลายร้อยนายนี้ได้ดำเนินการปฏิบัติการตรวจค้นจุดต้องสงสัย 12 จุด ทั้งกรุงเทพมหานคร ตรัง พังงา และระนอง ที่โยงกับคดียาเสพติด เพื่อติดตามจับกุมตัว 10 ผู้ต้องหาตามหมายจับและความผิดฐานฟอกเงิน ที่น่าตกใจคือ ผู้ต้องหานั้นเป็นทั้งประธานกรรมการ และคณะกรรมการบริหาร บริษัทที่เป็นเครือข่ายร้านทองที่ประกอบกิจการค้าส่ง ผลิตทองรูปพรรณที่วังบูรพา ชื่อบริษัทจำกัด (บจก.) ชมพู ชื่อจีนคือ บ้วนหลี พบพฤติกรรมการฟอกเงินเครือข่ายยาเสพติดของแก๊งดาวเรือง จนผลประกอบการสูงถึง 3,000 ล้านบาท
ตำรวจเปิดดูงบการเงินของบริษัทเจ้าของร้านทอง ก็ถึงบางอ้อ มีความผิดปกติ 2557-2558 บริษัทร้านทองนี้ขายได้แค่ปีละประมาณ 41-42 ล้านบาท กำไรแค่ล้านกว่าบาท แค่ปีเดียว 2559 รายได้จาก 41-42 ล้านบาท ขึ้นมาเป็น 344 ล้านบาท แต่กำไรกลับเหมือนเดิม คือ 1 ล้านบาท อีกหนึ่งปีถัดมา ปี 2560 รายได้พุ่งจากการขาย 300 กว่าล้านบาท เป็น 2,338 ล้านบาท กำไร 11 ล้านบาท พอปี 2561 รายได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 3,008 ล้านบาท แต่กำไรยังเหมือนเดิม คือ 11 ล้านบาท ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง
แสดงว่าขบวนการยาเสพติดนี้มันมีหลายขบวนการ มันมีผู้ผลิต นักบิน เขามีศัพท์ เรียกว่านักบิน คือคนที่ขนยาเสพติดไป แล้วก็เอาไปจำหน่าย คนที่รับรายเล็กรายน้อย บางคนก็รับไป 500 เม็ด บางคนก็รับไป 1,000 เม็ด โน่นนี่นั่น แต่พวกนักบิน เวลาขน ขนทีละหลายหมื่นเม็ด เป็นแสนเม็ด เป็นล้านเม็ด เป็นสิบกว่าล้านเม็ด ทีนี้เงินทองที่ได้มา ถ้าระดับล่าง ขายบนถนน มันก็เอาเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่พวกระดับที่มีส่งมาเป็นแสนเม็ด ล้านเม็ด สิบล้านเม็ด เงินไปไหน ? มันต้องฟอก แล้วช่วงนี้ หลังจากที่ตำรวจชุดนี้เข้าไปจับแล้ว ก็จะค้นพบว่าเงินที่หายไป ที่ได้จากยาเสพติด วิธีฟอกคือเอาไปซื้อทอง ซื้อทองไว้ แล้วเวลาฟอกเงินจากทองอีกทีหนึ่ง พวกร้านทองพวกนี้จะทำอย่างไร ? ท่านผู้ชมเชื่อไหม ใช้พม่า และใช้อินเดีย เพราะแขกอินเดียต้องการทองมาก พวกนี้จะเอาเงินเข้ามาซื้อทองจากร้านทองที่รับฟอกเงินพวกนี้ แล้วก็ขนทองไป แล้วก็เอาเงินมาจ่ายคืนให้ ก็เป็นการฟอกเงินอีกชั้นหนึ่งแล้ว เพื่อที่จะสืบหาไม่เจอ
แล้วในการโอนเงินสมัยนี้ ถ้าโอนเงิน 1 ล้าน ท่านจะต้องระบุลงไปว่าเบิกกับใคร โอนให้ใคร มาจากไหน คือต้องมีตัวตน เป็นผู้เป็นคน แต่พวกขบวนการฟอกเงินยาเสพติดไม่ใช้โอนเงินด้วยการไปธนาคาร ใช้โอนผ่าน ATM เพราะ ATM ไม่ต้องลงเอกสารอะไรทั้งสิ้น สมมุติว่าจะโอนเงินก้อนนี้ เข้าไปที่ร้านทอง สมมุติว่ามีเงินอยู่ประมาณ 10 ล้านบาท โอนเข้าร้านทอง ก็ไม่ยากอะไร ก็ไปหา ATM สัก 40-50 เครื่อง แบ่งๆ กันไปโอน โอนเครื่องละ 50,000-100,000 บาท ต่อครั้ง วันหนึ่งโอนสัก 10 ครั้ง ก็ 1 ล้าน ไม่ต้องรายงานใครทั้งสิ้น แล้วเงินก็จะไปปรากฏในบัญชีของร้านทองพวกนี้ ร้านทองพวกนี้เท่าที่เจรจากันระหว่างผู้ค้ายาเสพติดกับร้านทองพวกนี้ ก็คือเมื่อเงินไปแล้ว ก็จะเอาทองออกมาให้ แล้วทองออกมางวดนี้ ร้านทองจะทำหน้าที่เป็นคนขายให้ด้วย ขายให้ใครล่ะ ? ขายให้พม่า ขายให้แขกอินเดีย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับ
เพราะฉะนั้นการที่จะปราบปรามยาเสพติด มันมีหลายขั้นหลายตอน ประการแรก สมัยก่อนกฎหมายปราบปรามยาเสพติดเป็นกฎหมายเดี่ยว และเป็นกฎหมายที่ค่อนข้างจะล้าสมัย ก็คือว่าเป็นกฎหมายที่บอกว่า ถ้าสมมุติว่าท่านจับผู้ต้องหาและมียาเสพติดได้ ก็สรุปว่าคนนั้นผิด แต่ผู้สมรู้ร่วมคิดไม่ผิด ทำอะไรไม่ได้ แต่พอช่วงหลังกฎหมายแก้ออกมาได้เยอะ ก็มีจาก พ.ร.บ.ยาเสพติด 2522 ที่ผมบอกว่าต้องมีของกลางอยู่กับตัว แล้วตอนหลังก็มี พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 2534 ขยายความออกไปอีก แล้วข้อที่ 3 พ.ร.บ.ฟอกเงิน 2542 และข้อที่ 4 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 เพราะฉะนั้นแล้วก็จะเห็นได้ชัดเลยว่า กฎหมายก็พยายามที่จะไล่ตามความทันสมัยของการค้ายาเสพติด หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่า อีกหน่อยสมมุติว่าท่านผู้ชมนั่งอยู่ในรถ หรือนั่งอยู่ที่บ้าน สมมุติว่าท่านผู้ชมเป็นผู้หญิง มีแฟนคนหนึ่ง ท่านผู้ชมไม่เคยทราบเลยว่าเขาทำงานอะไร รู้แต่ว่าเขามีเงินมีทอง และเขาก็ดูแลเราดี เราขาดเหลือเงินทอง เขาก็เอาเงินทองมาช่วยเรา เราอยากจะซื้อบ้านสักหลัง เขาก็ให้เงินเรากู้ยืม เขาก็อาจจะให้กู้ยืมโดยไม่มีดอกเบี้ย หรือเขาอาจจะซื้อบ้านให้เรา เพราะเขารักเรา เขาชอบเรา จู่ๆ เขาขับรถมาที่บ้าน บอกว่า น้องๆ ไปไหม ไปช่วยพี่ซื้อของหน่อย พี่กำลังจะไปธุระ ไปช่วยพี่เลือกของหน่อย น้องก็ไม่รู้ น้องก็ขึ้นไป ระหว่างขึ้นไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ตำรวจปราบปรามยาเสพติดกำลังตามคนๆ นี้อยู่ เมื่อตามคนๆ นี้อยู่ ตำรวจก็เรียกรถหยุด พอเรียกรถหยุดก็จับคนที่ขับรถ ค้นในรถมียาเสพติดอยู่ ตีซะว่ามียาบ้าประมาณ 200,000 เม็ด พอมียาเสพติดอยู่ปั๊บ ปรากฏว่าคนที่ขับรถ เป็นเจ้าของรถ ก็ผิดอยู่แล้ว แต่ท่านผู้ชมซึ่งเป็นแฟนเขา นั่งอยู่ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ท่านก็เข้าข่ายกรณีสมรู้ร่วมคิด ก็ต้องติดไปด้วย แล้วในเรือนจำมีพวกสมรู้ร่วมคิดพวกนี้ ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่รู้เรื่อง
ข้อแตกต่างระหว่างตำรวจไทยกับตำรวจต่างประเทศจะมีอย่างนี้ คือทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดที่ต่างประเทศเป็นคนคิดขึ้นมา ว่าถ้าคุณเกี่ยวข้องกัน ถึงคุณจะไม่ได้เป็นคนทำโดยตรง แต่คุณมีส่วนช่วยเหลือเขา ก็สมรู้ร่วมคิด แต่ต่างประเทศจะลงลึกไปนิดหนึ่ง สมมุติว่าคุณเป็นคนที่นั่งรถไปด้วย และคุณไม่ได้เกี่ยวข้องจริงๆ แล้วคุณพิสูจน์ได้ว่าคุณนั่งอยู่ที่บ้านตอนเวลานั้น แล้วจู่ๆ คนนี้ก็ขับรถมารับ แล้วคุณก็ไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นใคร ตำรวจจะละเว้นคนๆ นี้เอาไว้ จะไม่ดำเนินคดี แต่ว่าตำรวจไทยส่วนใหญ่จะใช้วิธีการไม่ให้เสียเวลา เหมาเข่งไปเลย ตำรวจไทยชอบพูดอย่างนี้ว่า ให้ไปหลุดที่ศาลก็แล้วกัน ถ้าศาลไม่เห็นด้วย ซึ่ง 99 เปอร์เซ็นต์ ไปถึงศาลแล้วไม่หลุดเลย เพราะศาลท่านค่อนข้างจะเข้มงวดมากในเรื่องของกรณียาเสพติด
ท่านผู้ชมรู้ไหมครับ ตอนนี้นักโทษล้นคุกขนาดไหน ? นักโทษตอนนี้มีอยู่ 368,472 คน แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมในจำนวนนี้ มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่เกี่ยวกับยาเสพติด ? 79 เปอร์เซ็นต์ครับท่านผู้ชม หรือว่าใน 368,472 คน มีอยู่ 291,456 คน เป็นคดียาเสพติด อีก 11 เปอร์เซ็นต์ หรือ 41,259 คน มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ อีก 7 เปอร์เซ็นต์ หรือ 27,589 คน มีความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย และอีก 3 เปอร์เซ็นต์ เป็นความผิดอื่นๆ ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่ายาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่มากๆ และปัญหาใหญ่ในขณะนี้ก็คือว่า คนที่ค้ายาเสพติดขาใหญ่ ถ้าไม่มีที่ฟอกเงิน มันจะตายเอา มันก็ต้องเอาเงินที่ได้มาไปซื้อทรัพย์สิน ซื้อบ้าน ซื้อโน่นซื้อนี่ เหมือนกับผู้ใหญ่วอ ชื่อจริงๆ ชื่อ นายวรวุฒิ รัตนภูริธนากูล เป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 ต.ท่าอุแท อ.กาญจนดิษฐ์ เขาถูกจับเมื่อเดือนเมษายน 2562 ในข้อหาขายยาเสพติดประเภท 1 (ยาไอซ์ ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย และตำรวจยึดทรัพย์มูลค่านับร้อยล้านบาท
ผู้ใหญ่วอ เป็นไปมาอย่างไร ? ผู้ใหญ่วอ อดีตเคยติดคุกข้อหาลักพระพุทธรูป พ้นโทษคดีลักทรัพย์เมื่อปี 2558 แต่เผอิญในคุก ผู้ใหญ่วอมีโอกาสได้เจอขาใหญ่ที่ค้ายาและติดคุกอยู่ ได้วิชามาเยอะ เขาสอนว่าต้องทำอย่างนี้ ขายอย่างนี้ ผู้ใหญ่วอจิตใจก็เป็นพวกลักเล็กขโมยน้อยอยู่แล้ว ก็เลยคิดทำงานใหญ่ ก็เลยค้ายา เปิดบ่อน ร่ำรวย พอเปิดบ่อนร่ำรวย เงินไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีที่ฟอก คือไปฟอกที่ร้านทอง ผู้ใหญ่วอก็เลยเอาเงินมาซื้อมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ เดวิดสัน รถหรูบีเอ็มดับบลิว บ้านใหญ่โต เปิดร้านขายเหล้า ตีสนิทคนใหญ่คนโตในจังหวัด เงินหมุนเวียนของผู้ใหญ่วอต่อปีตกปีละเป็นพันล้านบาท จะเห็นได้ชัดว่า พอจับยาเสพติด อายัดทรัพย์ ก็จบแล้ว ซึ่งจริงๆ มันไม่ควรจะจบ เคล็ดลับที่จะต้องทำก็คือว่า จะต้องหาไปจุดที่ทรัพย์ที่ได้จากยาเสพติดนั้นถูกเอาไปซักล้างอย่างไร และผ่องออกไปอย่างไร แล้วโค่นล้มตรงนี้ไปเสีย เมื่อโค่นล้มตรงนี้ไปแล้วเรียบร้อย มันก็จะทำให้ขบวนการยาเสพติดชะงักและก็จะเช็กได้ง่ายขึ้น เช็กง่ายตรงไหน ? ตรงที่ว่า พวกนี้พอไม่มีที่จะไปฟอกเงินแล้ว พวกนี้ก็เอาทรัพย์สินไปซื้อที่ดิน สร้างบ้าน ซื้อรถยนต์
ขาใหญ่จริงๆ จะไม่แสดงออก ขาใหญ่จริงๆ ถ้าได้เงินมาแล้ว ฟอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่อย่างสมถะ สมถะจริงๆ เพราะฉะนั้นถึงจับไม่ค่อยได้ จะจับได้เฉพาะใครก็ตามที่... สมมุติท่านผู้ชมอยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง จู่ๆ บ้านตรงกันข้าม ซึ่งเห็นว่าเป็นบ้านไม้เล็กๆ วันดีคืนดีซื้อที่เพิ่มอีก 2-3 ไร่ สร้างบ้านอย่างกับคฤหาสน์ราชวัง สมัยก่อนขับปิกอัพคันหนึ่ง เดี๋ยวนี้มี SUV ของเบนซ์ มีรถฟอร์ด แรปเตอร์ คันละ 1 ล้านกว่าบาท มีมอเตอร์ไซค์คันละ 1 ล้านกว่าบาท เพราะฉะนั้นแล้ว ลำบาก จับก็จับได้แค่นั้นเอง แล้วก็ต้องแสวงหาต่อไปเพื่อจับ จับเป็นจุดๆ จับเป็นตัวๆ แต่พวกนี้กลับไม่ใช่ขาใหญ่ ขาใหญ่อาจจะเป็นบ้านธรรมดา ปกติธรรมดา
ยาเสพติดตอนนี้มีอยู่หลายระดับ ระดับหนึ่ง คือคนติดยา ค้ายา พร้อมของกลาง พวกนี้จะโดน พ.ร.บ.ยาเสพติด พ.ศ. 2519 และ 2532 คือถ้าจับกุมคนร้าย 1 คน ก็จะได้ผู้ต้องหา 1 คน ระดับที่สอง พวกสมรู้ร่วมคิด สนับสนุน พวกนี้จะโดน พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามฯ พ.ศ. 2534 หากจับคนร้ายได้ 1 คน อาจจะสาวไปยังเครือข่ายได้อีก 2 คน ระดับที่สาม เป็นระดับนายทุน ไม่แตะหรือมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พวกนี้จ่ายเงินอย่างเดียว ไม่แตะต้องยา มีคนเดินให้ มีนักบินทำให้ จับตัวได้ยากขึ้น พวกนี้ต้องใช้ พ.ร.บ.ฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาช่วย หากจับคนร้ายได้ 1 คน อาจจะสาวไปถึงคนร้ายได้อีก 20 คน ระดับสี่ คือระดับร้านทอง บุคคลที่เกี่ยวข้อง / เกี่ยวข้องสัมพันธ์ (ช่วยเหลือในการเปิดบัญชี/ทำธุรกรรม/แปรรูปทรัพย์สิน/ฟอกเงิน ฯลฯ) ต้องใช้ พ.ร.บ.ฟอกเงิน 2542 พวกนี้ถ้าจับได้ 1 คน จะมีคนเกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 30 คน เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าการจับกุมร้านทองครั้งนี้ ร้านบ้วนหลี ที่วังบูรพา เป็นการเริ่มต้น คือตำรวจไปทลายเครือข่ายยาเสพติด แก๊งดาวเรือง ซึ่งเป็นเครือข่ายยาเสพติดในแถบจังหวัดภาคกลาง ก็ไปเจอหลักฐาน ก็เลยไปยึดทรัพย์ร้านทอง บจก.ชมพู ย่านวังบูรพา
ตำรวจที่เกี่ยวข้องบอกว่ามียอดการทำธุรกรรมต้องสงสัยสูงถึง 59,000 ล้านบาทต่อปี จริงๆ แล้วนี่คือปฐมบทของการทำลายเครือข่าย ธุรกรรมต้องสงสัยซึ่งทางตำรวจประสานงานไป ปปง. ก็มีธุรกรรมเงินสด ธุรกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน ก็คือจู่ๆ รวยขึ้นมา ไปซื้อที่ซื้อทาง โน่นนี่นั่น ธุรกรรมอันเหตุควรสงสัย มูลค่าการเงิน โอนเงินออกและเงินเข้า
ทีนี้มันมีอีกเครือข่ายหนึ่ง ถ้าท่านผู้ชมฟังแล้วท่านผู้ชมจะช็อก เครือข่ายนี้เป็นเครือข่ายที่ตำรวจกำลังดำเนินการอยู่ มีเครือข่ายที่ใหญ่กว่าเครือข่ายแก๊งดาวเรือง ที่ฟอกเงินผ่านร้านทองย่านวังบูรพา อีกหลายเท่า เครือข่ายนี้เกิดขึ้นจากการจับยาบ้าเพียง 1,300 เม็ด สู่การทลายเครือข่ายฟอกเงินแสนล้าน ตำรวจเรียกคดีนี้ว่าคดีฟอกเงินร้านทอง 7 จังหวัดภาคใต้ มีสุราษฎร์ธานี มีหลายจังหวัด และตำรวจเอาข้อมูลนี้มาแล้วก็เอาเข้าไปสู่ Big Data ซึ่ง Big Data ของตำรวจปราบปรามยาเสพติดจะมีข้อมูลเต็มไปหมดเลย พอเอาเข้าไปแล้วมันจะมีเส้นสายโยงกันไปโยงกันมา มีทั้งหมายจับ มีทั้งประวัติต้องโทษ บุคคลพ้นโทษ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ การโจรกรรม อาวุธเข้ามาประกอบ เมื่อนำข้อมูลที่จับได้ที่สุราษฎร์ธานี 1,300 เม็ด ไปประมวลผลในระบบ Big Data ที่ผมเรียนให้ทราบ ก็จะได้เส้นทางทางการเงินเชื่อมโยงย้อนหลังไปเครือข่ายยาเสพติดจังหวัดอื่นๆ อีก 6 จังหวัด มีนครศรีธรรมราช มีกระบี่ มีพังงา มีภูเก็ต มีชุมพร และมีระนอง เพราะฉะนั้นแล้วพวกนี้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นเครือข่ายใหญ่ และที่สำคัญที่สุด พวกนี้จะเอาเงินไปที่ไหน ? ปรากฏว่าเอาเงินไปฟอกเครือข่ายร้านทอง
มีร้านทองร้านหนึ่งที่เขาให้ฉายาว่า เฮีย ช. จากการสืบสวนปรากกว่า ร้านทองเฮีย ช. มีเครือข่ายธุรกรรมต้องสงสัย มูลค่าเงินหมุนเวียนมากถึง 170,759,005,830.01 บาท (หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดร้อยห้าสิบเก้าล้านบาท) ท่านผู้ชมครับ ร้านทองมีเงินหมุนเวียนตลอดเวลาถึงหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นล้านบาท
พอไปเปิดงบการเงินของร้านทองเฮีย ช. จะพบว่ามีผิดปกติอย่างมาก เหมือนร้านทอง บจก.ชมพู ท่านผู้ชมครับ ปี 2559 รายได้ร้านนี้มีอยู่ 431 ล้านบาท ขาดทุน 162,966 บาท ปี 2560 รายได้กระโดดจาก 431 ล้าน เป็น 6,096 ล้านบาท กำไร 1 ล้านบาท ปี 2561 รายได้ 4,090 ล้านบาท แล้ว 2562 คือปีที่แล้ว ตัวเลขล่าสุดเพิ่มจากปี 2561 เป็น 8,000 กว่าล้านบาท
เงินยาเสพติดเอาไปฟอกผ่านร้านทอง ก็จะมีการจ้างแขกอินเดียแถวพาหุรัดเอาทองแท่งไปแปรรูปหยาบๆ แล้วใช้กองทัพมดขนออกนอกประเทศไทยไปทางเหนือ จุดหมายปลายทางคือส่งไปพม่า ช่วงหลังการท่องเที่ยวบูม นักท่องเที่ยวตลาดอินเดียมามาก ก็จะมีนักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่มหนึ่งที่รับจ้างออกไปยังฝั่งพม่า มีนักท่องเที่ยวที่รับจ้างนำทองรูปพรรณหยาบๆ คือตัดเป็นชิ้นๆ ไปฝั่งพม่า
เพราะฉะนั้นแล้ว ตำรวจก็เลยลองค้นย่านพาหุรัด ซึ่งพบร้านแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ ลักษณะเป็นร้านแลกเปลี่ยนเงินตรา เป็นโพยก๊วน ทำหน้าที่ฟอกเงินให้กับขบวนการยาเสพติด และความผิดอื่นๆ เกือบทุกประเภท เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าช่วงหลังนี่ ตำรวจปราบปรามยาเสพติดคนหนึ่งทำงานมานานแล้ว เล่าให้ผมฟัง ว่าการฟอกเงินของขบวนการยาเสพติดปัจจุบัน ทำธุรกรรมผ่านร้านทองเป็นหลัก ไม่ผ่านธนาคาร แล้วเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะใช้พยานหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ ต้องใช้หลักฐานประกอบและพยานแวดล้อม คดีนี้อีกหลายเดือน เพราะเฮีย ช. จะอ้างว่าไม่รู้ ไม่เจตนา แค่ขายทอง แต่ว่าตำรวจได้ใช้หลักฐานพยานแวดล้อมพิสูจน์ว่ารอบตัวเฮีย ช. ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ค้ายาเสพติด
ท่านผู้ชมครับ นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่เป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง เงินหมุนเวียนเฉพาะร้านทองอย่างเดียวเป็นแสนล้าน ตอนนี้ แล้วมีกี่ร้านที่เป็นเครือข่ายที่ทำแบบนี้ ถ้าพูดกันตรงๆ คนพวกนี้คือนายทุนที่แท้จริงที่สนับสนุนเรื่องยาเสพติด ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ ใหญ่มากๆ ไม่ใช่ใหญ่ธรรมดา ถ้าเราไม่สามารถโค่นล้มขบวนการนี้ได้ เมื่อมีนายทุนอยู่แบบนี้ ขบวนการยาเสพติดจะไม่มีวันตาย
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราไปพูดถึงเรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้ ในสหรัฐอเมริกา จริงๆ แล้วเรื่องนี้ผมไม่ค่อยได้พูดเท่าไรนัก พูดน้อยมาก แทบจะไม่ได้พูโเลย ผมตั้งใจว่าใกล้ๆ เดือนพฤศจิกายน ผมว่าจะร่ายยาวสักครั้งหนึ่ง อธิบาย เพราะตอนนั้นภาพหลายๆ อย่างจะเริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว แต่วันนี้จำเป็นต้องเล่าความคืบหน้าให้ฟังนิดหนึ่ง เพราะมันเป็นความคืบหน้าหลายๆ ประการ ประการแรก คะแนนเสียงของนายทรัมป์ตามโจ ไบเดน อยู่ประมาณ 9.5-10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกานั้น ถือว่าค่อนข้างจะสูงมากๆ เลย ตามมาแบบนี้แปลว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ นายทรัมป์แพ้แน่นอน คำถามมีอยู่ว่า จากวันนี้เป็นต้นไป วันที่ 24 ไปจนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งมีเวลาอีก 3 เดือนกว่านิดๆ นายทรัมป์จะตีตื้นขึ้นมาอย่างไร
สิ่งแรกที่เห็นชัดเจนคือนายทรัมป์ตอนนี้ เมื่อวานซืน นายทรัมป์ให้กระทรวงการต่างประเทศสั่งให้ประเทศจีนปิดสถนกงสุลที่เมืองฮูสตันแล้ว โดยหาเรื่อง อ้างว่าสถานกงสุลที่ฮูสตันนั้นเป็นศูนย์รวมของสายลับต่างๆ ซึ่งนักวิเคราะห์ทางการเมืองเขาก็อธิบายว่า นี่คือการขยับทางการเมืองเพื่อที่จะโจมตีจีน และเอาจีนขึ้นมาเป็นผู้ร้ายอีกครั้งหนึ่งในช่วงใกล้ๆ วันเลือกตั้ง เพื่อที่จะให้คะแนนเสียงนายทรัมป์ขึ้นมา จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ดูกันต่อไป แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุด ตอนนี้ประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นว่านายทรัมป์ไม่สามารถจะแก้ปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ได้ และเป็นตัวการที่ทำให้คนอเมริกันติดเชื้อเยอะขนาดนี้ แล้วก็ตายมากขนาดนี้ เพราะความหน่อมแน้มหรือความใช้ไม่ได้ของนายทรัมป์ ซึ่งนายทรัมป์นับวันแต่ละวันที่ผ่านไปๆ เหมือนกับถูกตบหน้าทุกวัน จนกระทั่งนายทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้ที่ต่อต้านการใส่หน้ากาก ถึงกับต้องใส่หน้ากากด้วยตัวเอง แล้วทวีตออกไป บอกประชาชนชาวอเมริกันว่าถึงเวลาต้องใส่หน้ากากแล้ว เพื่อป้องกันเชื้อโรค ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็ด่านายแอนโทนี ฟาวซี ว่าไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก เพราะการใส่หน้ากากคือการแพร่เชื้อ คือคนมันบ้าน่ะ ท่านผู้ชม
แต่วันนี้ผมจะพูดถึงโจ ไบเดน - โจ ไบเดน ถ้าได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีต่อจากนายทรัมป์ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ โจ ไบเดน อายุ 78 ปีแล้ว จะเป็นประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา 78 ปีของคนฝรั่ง กับ 78 ปีของคนไทย หรือคนเอเชีย ไม่เหมือนกันนะ ผมนี่ 73 แล้ว แต่โจ ไบเดน สุขภาพไม่ดี ถึงแม้จะดูสมบูรณ์ แต่ฝรั่งแก่เร็ว ตายง่าย คนก็เลยคาดคะเนว่า ดีที่สุดคือโจ ไบเดน อยู่ได้ 1 เทอม คือ 4 ปี พอ 4 ปี ไบเดนก็ 82 แล้ว 82 โจ ไบเดน ไม่เล่นแล้วเทอมที่สอง เพราะฉะนั้นแล้วตัวรองประธานาธิบดีจะเป็นคนที่สำคัญที่สุด คือจะต้องเป็นคนที่ Carry the flag ถือธงต่อจากโจ ไบเดน แต่ถ้าสมมุติโจ ไบเดน 78 แล้ว อยู่ได้ 1 ปี แล้วหัวใจวายตาย ซึ่งเป็นไปได้สูงมาก อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ขนาดคุณเติมศักดิ์ จารุปราณ ของผม แค่นั่งอ่านข่าวอยู่ที่นิวส์วัน ลุกขึ้นมาก็ล้มตึงลงไปเลย ทั้งๆ ที่อายุเพิ่งจะ 40 กว่า แล้วก็ยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชตอนนี้ ยังพูดไม่ค่อยได้ แต่รู้สึกตัวแล้ว นับประสาอะไรกับโจ ไบเดน 78 แล้ว แล้วงานระดับประธานาธิบดี เป็นงานที่เยอะมาก มหาศาล ความกดดันสูง เพราะฉะนั้นแล้วถ้าโจ ไบเดน เป็นอะไรไป รองประธานาธิบดีจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีทันทีเลย
โจ ไบเดน ในขณะนี้ก็เลยจำเป็นต้องสรรหารองประธานาธิบดี ซึ่งในหลักการของทีมหาเสียงของนายโจ ไบเดน เขาบอกว่าเขาพยายามจะเอาคนผิวสีขึ้นมาเป็นรองประธานาธิบดี เพื่อแสดงถึงความสามัคคีกันระหว่างคนผิวสีกับคนผิวขาวในอเมริกา และในการเลือกครั้งแรกๆ นั้น มีคนไทย ก็คือคุณลัดดา หรือแทมมี ดักเวิร์ธ ก็มีชื่อติดอยู่ด้วย
คุณแทมมี ดักเวิร์ธ เป็นวุฒิสมาชิกจากรัฐอิลลินอยส์ เป็นผู้หญิงที่เก่งและเป็นผู้หญิงที่สวนนายทรัมป์ได้ถึงลูกถึงคน ดอกต่อดอก นายทรัมป์เคยกล่าวหาแทมมี ดักเวิร์ธ แทมมี ดักเวิร์ธ ก็สวนกลับไปว่า นายร้อยเท้าเดือย หมายความว่าอย่างไร ? คือนายทรัมป์ อดีตเป็นคนที่หนีทหาร ไม่ยอมไปสมัครเกณฑ์ทหารตามหลักการเกณฑ์ทหาร แล้วมันอ้างว่า เนื่องจากว่าเท้ามีเนื้องอกออกมา มีกระดูกงอก เขาก็เรียกว่าเท้าเดือย แทมมี ดักเวิร์ธ หรือคุณลัดดา ดักเวิร์ธ ก็เรียกมันว่านายร้อยเท้าเดือย
แทมมี ดักเวิร์ธ เป็นผู้หญิง แม่เป็นคนไทย คุณพ่อเป็นทหารอเมริกัน ต้นตระกูลของแทมมี ดักเวิร์ธ สายสามี และสายพ่อของสามี เป็นต้นตระกูลของทหารอเมริกันในยุคปฏิวัติ ในยุคสงครามกลางเมือง ย้อนกลับไปเป็นร้อยปี แทมมี ดักเวิรธ์ ขาขาด 2 ข้าง จากระเบิดที่ผู้ก่อการร้ายอิรักยิงเฮลิคอปเตอร์ที่เธอเป็นคนขับ แบล็กฮอว์ก ทำให้ขาขาด 2 ข้าง และเธอก็แต่งงานแล้ว สามีเป็นทหาร เธอเป็นผู้หญิงที่ใจถึงและที่สำคัญเธอรักเมืองไทยมาก เธอพูดไทยได้ชัดมาก แต่ว่าตอนนี้ ล่าสุดชื่อของแทมมี ดักเวิร์ธ หรือคุณลัดดา ดักเวิร์ธ ตกไปแล้ว ก็มีผู้หญิงดำอยู่ 4 คน ที่โจ ไบเดน คิดอยู่
คนแรกชื่อคามาลา แฮร์ริส คือใคร ? คามาลา แฮร์ริส คือวุฒิสมาชิกจากรัฐแคลิฟอร์เนีย คามาลา แฮร์ริส มีเชื้ออินเดีย คนๆ นี้เป็นคนเก่งมาก รู้เรื่องกฎหมายดี และเป็นศัตรูคู่อาฆาตของทรัมป์ คนที่สอง ชื่อ วาล เดมิงส์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนฯ จากเขต 10 ฟลอริดา ก็คือเป็น Congress Woman
วาล เดมิงส์ น่าสนใจมาก เคยเป็นตำรวจมา 27 ปี และเป็นผู้บัญชาการตำรวจเมืองออร์แลนโดคนแรกที่เป็นผู้หญิง เป็นอยู่ 4-5 ปี (2550-2554) คนที่สาม ชื่อ คีชา แลนซ์ บอตทอมส์
คนนี้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองแอตแลนตา และคนนี้มีเรื่องมีราวกับผู้ว่าการมลรัฐจอร์เจีย ซึ่งเมืองแอตแลนตาอยู่ในมลรัฐจอร์เจีย ทะเลาะเบาะแว้งกันหนัก เพราะคนๆ นี้ออกมาตรการให้ทุกคนใส่หน้ากาก ผู้ว่าการรัฐซึ่งเป็นรีพับลิกัน ไม่เห็นด้วย ออกคำสั่งผู้ว่าการรัฐให้ยกเลิกมาตรการของเมืองแอตแลนตา แล้วคีชา ก็เลยฟ้องศาลในเรื่องนี้ แล้ววันนี้ผู้ว่าการรัฐจอร์เจียก็คงจะหน้าแตก เย็บไม่ติด เพราะว่าเจ้านาย คือไอ้ทรัมปบ้า กลับลำ 360 องศา บอกว่าขอให้ทุกคนใส่หน้ากาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่คีชาทำ ก็ถูกต้อง คนสุดท้าย คือซูซาน ไรซ์ เป็นอดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงในรัฐบาลชุดโอบามา แล้วคนที่ห้า ก็คือ คาเรส แบส ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนฯ Congress Woman จากแคลิฟอร์เนีย
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าตอนนี้ไบเดนกำลังพิจารณาอย่างหนักสำหรับคนที่จะมาเป็นรองประธานาธิบดี เพราะว่าการตั้งรองประธานาธิบดีครั้งนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีนั้น มีนัยมาก อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าถ้าไบเดนเป็นอะไรไป คนนี้จะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีต่อไป ใครจะไปรู้ อาจจะเป็นประธานาธิบดีผู้หญิงผิวสีคนแรก ต่อจากผู้ชายผิวสีคนแรก คือบารัก โอบามา หรือถ้านายไบเดนอยู่ครบ 4 ปี นายไบเดนก็ไม่เล่นต่อยุคที่สอง ก็คงจะให้รองประธานาธิบดีเป็นตัวสมัครขึ้นไปอีกที เพราะฉะนั้นบทบาทของรองประธาธิบดีในยุคไบเดน จะเป็นบทบาทที่ไม่เหมือนรองประธานาธิบดีในอดีตเลยแม้แต่นิดเดียว
ท่านผู้ชมครับ คงไม่มีใครไม่ได้ยินชื่อหนุ่มน้อยที่ชื่อ ฌอน บูรณะหิรัญ ใช่ไหมครับ ไลฟ์โค้ช หรือผู้กองเบนซ์ หรือครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง และอีกหลายๆ ท่าน วันนี้ผมจะมาพูดเรื่องไลฟ์โค้ชให้ท่านผู้ชมฟังสักนิดหนึ่ง
ไลฟ์โค้ช (LIFE COACH) คืออะไร ? ไลฟ์โค้ช คือบุคคลที่ถูกว่าจ้างเพื่อทำหน้าที่แนะนำใครสักคนเกี่ยวกับวิธีทำอย่างรไให้ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานดังที่เขาต้องการ ปัจจุบันนี้ไลฟ์โค้ชเป็นธุรกิจที่เป็นจริงเป็นจังในอเมริกามาก และพูดกันตรงๆ แล้ว อเมริกาคือจุดเริ่มเกิดของไลฟ์โค้ช แล้วพวกไลฟ์โค้ชหลายคน รวมทั้งผู้กองเบนซ์ด้วย ได้ไปเรียนต่อวิธีการทำไลฟ์โค้ชในอเมริกา เขามีการสอนให้คนออกมาทำไลฟ์โค้ช ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ทำหน้าที่ที่จะแนะนำเรื่องเกี่ยวกับชีวิตให้ประสบผลสำเร็จ ให้ชีวิตมีความสุข และมีหน้าที่การงานดังที่เขาต้องการ
ไลฟ์โค้ช จริงๆ แล้วครั้งแรกเกิดจากการซึ่งคนๆ หนึ่งเขามาโค้ชเรื่องเทนนิส กีฬา ในปีทศวรรษที่ 1960 คนๆ นี้ชื่อ ทิโมธี กัลวีย์ (Timothy Gallwey) เป็นอดีตกัปตันเทนนิสของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แล้วเขามาเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ The Inner Game of Tennis เกมภายในของกีฬาเทนนิส เขาตีพิมพ์ออกมาครั้งแรกเมื่อประมาณ 2515 ยอดขายดังเป็นพลุแตกเลย ได้ประมาณ 1 ล้านเล่ม
ส่วนไลฟ์โค้ชที่เป็นธุรกิจจริงจังในอเมริกานั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ.1980 โดยสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ชื่อ โธมัส ลีโอนาร์ด (Thomas J. Leonard) เขาเป็นนักวางแผนทางการเงินของอเมริกา เขาสังเกตว่าเวลาที่เขาแนะนำลูกค้าของเขาในเรื่องการเงิน ลูกค้ากลับต้องการคำแนะนำในเรื่องการใช้ชีวิตให้มีความสุข มากกว่าการลงทุนและเงิน เขาก็เลยมาศึกษาและพัฒนาศาสตร์ด้านไลฟ์โค้ชจนโด่งดัง
ส่วนกัลวีย์ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มในทางโค้ชทางกีฬา แต่ไม่ได้ทำธุรกิจไลฟ์โค้ชอย่างจริงๆ กัลวีย์ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง แล้วจากการกระทำของกัลวีย์ ก็เลยทำให้ผู้ฝึกสอนกีฬา เขาไม่ได้ทำการฝึกสอนเพียงเฉพาะสภาพร่างกาย หรือวิธีการออกกำลังกาย การสร้างกล้ามเนื้อ เทคนิคการแข่งขัน แต่ผู้ฝึกสอนกีฬายังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตและประเด็นปัญหาจิตวิทยาของนักกีฬาด้วย ว่าในทางจิตวิทยา นักกีฬาวิ่งให้เร็วขึ้นอีกนิดได้ไหม หรืออะไรเป็นตัวดึงสมาธิของนักกีฬาออกจากเกมการแข่งขันไป
จากเกมกีฬา ก็เข้าสู่บอร์ดบริหารบริษัท และคนทั่วไป หลังจากนั้นที่อเมริกาคนในแวดวงธุรกิจก็ใช้วิธีเดียวกับที่ไปแนะนำในเรื่องกีฬา มาใช้ในธุรกิจบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในบริษัท ในกลุ่มผู้บริหารของบริษัท หรือ Board Room จึงเป็นที่มาของอาชีพใหม่ เขาเรียกว่า Business Coaching หรือโค้ชทางธุรกิจ ซึ่งโค้ชทางธุรกิจก็แบ่งหมวดหมู่ออกย่อยไปเป็น โค้ชการเป็นผู้นำ โค้ชการบริหารงาน โค้ชการบริหารการเงิน โค้ชเส้นทางอาชีพ หลังจากนั้นไม่นานโค้ชทางธุรกิจก็ขยับ เปลี่ยน ขยับเข้าไปลึกอีก คือโค้ชครัวเรือน กลายเป็นไลฟ์โค้ช โค้ชในชีวิต ให้คำแนะนำการบริหารความสัมพันธ์ อยู่กับสามี สามีไม่ซื่อสัตย์ทำอย่างไร ในทำนองนั้น การจัดการครอบครัว มีลูก แต่ลูกติดโทรศัพท์มือถือเหลือเกิน จะแก้ปัญหาอย่างไร การจัดการเวลาทำงานกับงานอดิเรก
ทีนี้ ในสังคมยุคใหม่มันมีหลายมิติมเหลือเกินในวิถีชีวิตใหม่ๆ มันมีความเร็วที่เร่งขึ้นเรื่อยๆ และก็มีความกดดันสูง ทำให้ไลฟ์โค้ชกลายเป็นเรื่องที่คนสนใจกันมากขึ้นเรื่อยๆ และได้รับความนิยมสูง โดยปัจจุบันไลฟ์โค้ชเป็นอาชีพที่สามารถทำเงินได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีการเปิดสถาบันฝึกสอน มีการสอบใบรับรอง ใครจะเป็นไลฟ์โค้ช ไปเรียนได้ เหมือนอย่างที่ผู้กองเบนซ์ไปเรียน มีสอบเอาใบรับรอง ปัจจุบันมีการประเมินกันว่าทั่วโลกมีไลฟ์โค้ชมืออาชีพอยู่ประมาณ 100,000 คน
ในส่วนของประเทศไทยนั้น การเข้ามาของไลฟ์โค้ชเกิดขึ้นมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะเป็นศาสตร์หรืออาชีพจริงจังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อเทคโนโลยีมันพัฒนามากขึ้น เมื่อเฟซบุ๊กสามารถที่จะไลฟ์สดได้ และได้รับความนิยมอย่างยิ่งในยุคสังคมออนไลน์ (Social Media) แพร่หลาย ไลฟ์โค้ชชื่อดังของประเทศไทยก็มีราคา (cost) แพงที่สุดในประเทศไทย 5 อันดับแรก
อันดับที่ 1 เป็นขาใหญ่เลย อำนาจแห่งการคิดดี อบรม 2 วัน 25,000 บาท ของครูอ้อย เข็มทิศชีวิต หรือฐิตินาถ ณ พัทลุง ซึ่งเป็นคนที่เขียนหนนังสือ "เข็มทิศชีวิต" แล้วผันตัวมาเป็นไลฟ์โค้ช ครูอ้อยได้รับการศึกษาที่ดีมาก จบปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยลอนดอน ครูอ้อยเคยทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ให้กับบริษัทในเครือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทำงานที่บริษัทเจมโมโปลิส ร่วมหุ้นกับเพื่อนตั้งบริษัทไดมอนด์ ทูเดย์ รวมไปถึงเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท เวิร์คกิ้ง ไดมอนด์ แต่สิ่งที่ทำชื่อเสียงให้กับครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง คือการออกหนังสือ How to หรือที่เรียกว่า เข็มทิศชีวิต ในปี 2547 ซึ่งมีการโปรโมตเรื่องราวของเธอในทำนองว่า อยากรู้ไหมว่าทำไมผู้หญิงคนนี้สามารถปลดหนี้ที่มีร่วมร้อยล้านบาท ภายใน 2 ปี ได้อย่างไร พร้อมกับรายละเอียดถึงประวัติชีวิตช่วงหนึ่งของเธอก่อนหน้านั้น ว่านอกจากจะต้องสูญเสียสามีตัวเองแล้ว เธอยังต้องเป็นหนี้กว่าร้อยล้านที่สามีก่อไว้ โดยเธอไม่ได้รับรู้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดว่าจะสู้เพื่อลูก และได้มีโอกาสหันหน้าไปพึ่งธรรมะ ครูอ้อยได้ไปเรียนกับคุณแม่สิริ กรินชัย เธอก็พบทางสว่าง และเธอก็เอาเรื่องราวต่างๆ นี้มาถ่ายทอดในหนังสือ แต่จริงๆ แล้ว ด้วยความสัตย์จริง การปลดหนี้ของครูอ้อย ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการขายกิจการที่มีอยู่บางส่วนออกไป รวมทั้งเนื้อหาของหนังสือส่วนใหญ่ก็เป็นการสรุปจากเนื้อหาหนังสือต่างประเทศ จริงๆ สรุปครูอ้อยก็เอาประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองมา แล้วก็เอาเนื้อหาหนังสือต่างประเทศ มาปรับแนวคิดให้เข้ากับคนไทย แต่ว่าเผอิญเนื้อหาเล่มนั้นมันโดนใจคนหลายคน ก็ตีพิมพ์อยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะมีเล่ม 2 ออก ที่เรียกว่า กฎแห่งเข็มทิศ และเล่ม 3 คือ กฎแห่งความสุข ฉะนั้นจะเห็นว่าเป็นเรื่องของชีวิต ออกมาพร้อมกับเปิดคอร์สหลักสูตรเข็มทิศชีวิตที่มีคนสนใจมาก โดยไม่สนใจราคาว่า 25,000 นี่ก็เยอะพอสมควร
ช่วงหลังๆ ก็มีคอร์สอบรมราคาแพงขึ้นมา ก็เลยตกเป็นข่าวดัง เจ้าตัว คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง ออกมากล่าวหาพระปราโมย์ ปราโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี ในทำนองว่า มีพฤติกรรมยักยอกเงินบริจาค และที่ดิน อวดอุตริมนุษยธรรมและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแม่ชีอรนุช ซึ่งเป็นอดีตภรรยา ทว่าหลังฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาตรวจสอบแล้ว ไม่พบว่าพระรูปดังกล่าวมีความผิดดังที่เจ้าตัวกล่าวหาแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านี้ครับ ลูกศิษย์ลูกหาของพระอาจารย์ปราโมทย์ก็ให้ข่าวผ่านทางทนายความ ว่าเหตุผลที่ครูอ้อยออกมากล่าวหาพระปราโมทย์ เพราะรู้สึกผิดหวังที่อุตส่าห์ลงทุนไปมาก แต่กลับไม่ได้เป็นคนสำคัญในสำนักสวนสันติธรรม เนื่องเพราะพระปราโมทย์ไม่ไว้ใจในพฤติกรรมบางอย่างของเธอนั่นเอง นั่นคือคำกล่าวหาของลูกศิษย์พระปราโมทย์
ทีนี้ ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ก็กลับมาเป็นข่าวดังอีกครั้งในโซเชียลมีเดีย มีการแชร์ภาพ วิจารณ์ถึงการเปิดอบรมในหลักสูตรเข็มทิศชีวิตของเธอที่มีการเก็บเงินที่ค่อนข้างจะสูง และสิ่งที่สอนนั้น เธอเอาหลักศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน และจะมีส่วนทำให้คนเกิดความงมงายหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องไปถกเถียงกันนะครับ
นอกจากนั้นแล้ว ยังเอาคลิปและภาพของคนบันเทิงบางส่วนออกมาเผยแพร่โฆษณา จนกระทั่งมีดาราบางคน อาทิ คุณเก๋ มณีรัตน์ คำอ้วน ต้องโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวยืนยันว่า แม้ตนเองจะเคยไปร่วมคอร์สเข็มทิศชีวิตมาก่อน แต่ปัจจุบันไม่ได้ไปนานแล้ว และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
นอกจากการเปิดคอร์สหลักสูตรเข็มทิศชีวิตแล้ว รวมทั้งธุรกิจร้านเพชรที่ครูอ้อยทำแล้ว ครูอ้อยยังมีธุรกิจหมู่บ้านจัดสรรที่มีชื่อว่า เข็มทิศ วิลเลจ บ้าน 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ บริเวณหน้าจุดขึ้น-ลงทางด่วนมอเตอร์เวย์ บางวัว ฉะเชิงเทรา ในราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท ที่มาพร้อมกับคอนเซปต์ "สง่างาม ภูมิฐาน สังคมอบอุ่น ทรงพลัง" อีกด้วย
ท่านผู้ชมครับ อันดับ 2 พิชิตเงินล้านรุ่นที่ 3 ราคาอบรม 22,000 บาท ของคุณป๊อป ฐาวรา หรือด็อกเตอร์ป๊อป ที่หลายสิบปีก่อน คุณป๊อปเป็นคนที่เขียนนิยายออนไลน์ ก่อนจะผันตัวไปเป็นไลฟ์โค้ช
อันดับ 3 คือคอร์ส The Influencer รุ่นที่ 2 ราคา 15,000 บาทต่อคน ของพระเอกของเรา คือ ฌอน บูรณะหิรัญ ไลฟ์โค้ชชื่อดังที่ตกเป็นข่าวหลังจากชม พล.อ.ประวิตร ว่าน่ารัก
อันดับที่ 4 คอร์สปลุกยักษ์ใหญ่ให้เด็กน้อย อบรม 2 วัน ราคา 12,000 บาท ของโค้ชไทย อนันท์ หารวัง ปลุกยักษ์ใหญ่ให้เด็กน้อย ก็คือเป็นคอร์สเพิ่มพลังให้ลูก ทำอย่างไรให้ลูกแสดงศักยภาพออกมามาก
อันดับที่ 5 NLP เพื่อชีวิตเปี่ยมพลัง ของโค้ชพันโท อานันท์ ชินบุตร ซึ่งคุณอานันท์เป็นคนแปลหนังสือพลังไร้ขีดจำกัด ของแอนโทนี ร็อบบินส์ ไลฟ์โค้ชชื่อดังของอเมริกา และแปลหนังสือขายดี ปลุกยักษ์ใหญ่ในตัวคุณ หัวใจแห่งความสำเร็จจากเพื่อน ราคา 5,000-6,500 บาท มีราคาคนจองก่อนจะถูกกว่า
หลังจากนั้นก็จะมีไลฟ์โค้ชของคนไทยอื่นๆ เช่น วิธีสร้างมิตร พิชิตคนรอบข้าง ราคา 3,900 บาท ของใครล่ะท่านผู้ชม ? ครูเงาะไงล่ะ รสสุคนธ์ กองเกตุ Acting Coach ชื่อดังที่ผันตัวเป็นไลฟ์โค้ช แล้วก็เคยมีดรามากับคอร์สของครูอ้อย แล้วก็ยังมีคอร์ส ปลุกพลังสมองให้สองมือสร้างเงิน ราคา 3,900 บาท ของขุนเขา สินธุเสน นักเขียนที่ผันตัวมาเป็นไลฟ์โค้ช ซึ่งเป็นเพื่อนของฌอน บูรณะหิรัญ
อีกอันหนึ่งถ้าไม่พูดถึงก็ไม่ได้ คือคอร์ส Selling Zero to Hero 2019 ราคา 2,450 บาท ของผู้กองเบนซ์ ร.ต.อ.สี่ทิศ อ่ำถนอม ที่มีข่าวดรามาบนโลกออนไลน์ก่อนหน้านี้
ท่านผู้ชมครับ ผมมีความคิดในเรื่องของไลฟ์โค้ชอย่างนี้ ส่วนใหญ่แล้วไลฟ์โค้ชจะพัฒนาตัวเองจากการเรียนรู้และศึกษาวิธีการทำไลฟ์โค้ช คือคนเราจู่ๆ จะมาทำไลฟ์โค้ชไม่ได้ ถ้าไม่มีการฝึก หนึ่ง ต้องพูดเป็น สอง ต้องพูดจูงใจเก่ง พูดเป็นอย่างเดียวไม่พอ สาม ต้องมีจิตวิทยาในการพูด บางคน อย่างผู้กองเบนซ์ ลงทุนลงแรง ผมคิดว่าหลายคนก็ลงทุนลงแรงไปต่างประเทศ แต่ผู้กองเบนซ์เป็นคนที่พูดชัดเจนว่าเอาเงินก้อนหนึ่งของตัวเอง ใช้เงินตัวเองไปเรียนวิชาที่ฝรั่งสอน บางคนมีประสบการณ์ชีวิตแล้วเอาการแก้ปัญหาของตัวเองจากประสบการณ์ชีวิต อย่างเช่นกรณีครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ประกอบกับครูอ้อยมีพื้นฐานการศึกษาที่ดี ก็เลยเอาประสบการณ์มาเสริม ปรุงแต่งเพื่อให้เป็นประสบการณ์ชีวิตที่น่าทึ่ง และเอาผลสำเร็จจากการแก้ปัญหาธุรกิจที่ผู้ติดตามฟังรับทราบ ประกอบกับครูอ้อย ณ พัทลุง ก็มีพื้นฐานการศึกษาที่ค่อนข้างสูง จบความรู้จากมหาวิทยาลัยลอนดอน ก็เลยทำให้การแสดงออก การพูดจาของครูอ้อยนั้นน่าเชื่อถือได้มาก
ก็เลยพอที่จะพูดได้ว่าไลฟ์โค้ชที่มีอยู่ส่วนใหญ่ ยังขาดประสบการณ์ชีวิตที่จะต้องผ่านมาหรือเผชิญ มีแต่ส่วนน้อยมากที่มีประสบการณ์ชีวิตจริงๆ และรู้เรื่องที่ตัวเองพูดจริงๆ เทคนิควิธีการพูดและการโค้ชของคนพวกนี้ส่วนใหญ่จะเรียนรู้จากวิธีการของไลฟ์โค้ชในต่างประเทศ บางคนก็ดูวิดีโอ บางคนก็เอาหนังสือมาอ่าน ผสมผสานกับการใช้เทคนิคการทอล์กโชว์ บวกกับหลักจิตวิทยา และประกอบกับบุคลิกที่แตกต่างกันไปบางบุคลิก อย่างเช่น ผู้กองเบนซ์ อาจจะดูห้าว แรง แต่ลักษณะบุคลิกแบบนี้ก็ยังมีแฟนประจำที่ชอบ ติดตามอยู่
ทุกอย่างที่พูดมานี้ ไม่ว่าจะเป็นของต่างประเทศที่เชี่ยวชาญมาก หรือของไทยที่เรียนรู้มาจากเขา และพัฒนาทักษะขึ้นมา เมื่อดูให้ลึกๆ แล้วหลักการคำแนะนำ คำสอนทั้งหลาย ตลอดจนการให้กำลังใจทั้งสิ้น เป็นหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย ไม่เชื่อไปดูครับ ไม่ว่าจะเป็นหลักธรรม มรรค องค์ 8 มีสัมมาวาจา สัมมาทิฏฐิ มีคบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล อะไรพวกนี้ เน้นให้จิตใจเข้มแข็ง ให้สงบ ให้มีความกตัญญูกตเวที ให้ถือศีลห้า บางครั้งขยายไปถึงศีลแปด เน้นหลักสมถะ เพียงแต่ว่าคนพวกนี้ คนที่เป็นไลฟ์โค้ช สามารถเอาหลักธรรมขยายออกมาเป็นรายย่อย ปลีกย่อย แล้วเข้าใจสภาวะสิ่งแวดล้อมที่มีแต่ความกดดัน ที่มีแต่ความหดหู่ เพราะคนที่เข้ามาฟังและคนที่มาเข้าคอร์สต้องการกำลังใจ ต้องการคำแนะนำ เพราะจิตใจอ่อน จิตตก คนที่จิตตกจะสนใจที่จะเข้าไปฟังวิธีการของไลฟ์โค้ช แล้วช่วงหลังไลฟ์โค้ชหลายเจ้าจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง เพราะฉะนั้นถ้าสังเกตให้ดีๆ ผมเคยสังเกต คนที่เรียนไลฟ์โค้ชคอร์ส ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะมากกว่าผู้ชาย แล้วคนที่ทำไลฟ์โค้ชพวกนี้ สามารถเอาหลักธรรมขยายออกมา แล้วที่สำคัญเขายกตัวอย่างเข้ามาสนับสนุนหลักธรรม ก็เลยทำให้คนฟังหรือคนที่เข้าไปเรียน เข้าใจง่าย ซาบซึ้ง โดนใจกว่าหลักธรรมที่พระเทศน์
ถึงแม้ว่าเราจะมีพระเทศน์ อย่างเช่นพระมหาสมปอง ที่คนนิยมชมชอบ แต่ความที่เป็นพระ ไม่สามารถจะเทศน์ให้ถึงลูกถึงคน ไม่สามารถจะพูดให้ถึงลูกถึงคนเหมือนการพูดของบรรดาเหล่าไลฟ์โค้ช อีกประการหนึ่ง ประสบการณ์ด้านโลกียะของพระนักเทศน์ยังมีไม่มากพอกับการหมุนเวียน สิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยขึ้น ทำให้ลักษณะการ coaching เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์องค์เจ้าที่เทศน์อยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่วัดป่าบ้านตาด ไม่ว่าจะเป็นที่วัดโน้นวัดนี้ จริงๆ แล้วก็คือไลฟ์โค้ชดีๆ นี่เอง เป็นเพียงแต่ว่า แห้ง ไม่น่าสนใจ เพราะอ้างคำพูดในพระไตรปิฎก คนพวกนี้ไม่อยากฟังพระไตรปิฎก คนพวกนี้สนใจอย่างเดียวว่า พรุ่งนี้เช็คจะเด้ง เงินไม่มีในบัญชี จะทำอย่างไร พระมหาสมปองท่านเทศน์ให้ไม่ได้ ท่านอาจจะเทศน์ได้ว่า โยม ทำใจให้สงบ แล้วมันจะผ่านไปเอง แต่คนที่ฟังบอกว่า มันจะสงบได้อย่างไร พรุ่งนี้เช็คเด้ง และเป็นคดีอาญา ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ แต่ผู้มีประสบการณ์ในโลกียะก็อาจจะสามารถชี้แจงได้ดีพอสมควร ถึงแม้อาจจะไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้อง อย่างเช่น ก็ไม่ต้องไปสนใจมัน มันเด้งก็ปล่อยมันเด้งไป เมื่อเด้งแล้วก็หาทางไปคุยกับเขา ว่ามีปัญหาติดขัดนะ ขอผ่อนผันอย่างโน้นอย่างนี้ เวลาไปคุยกับเขาก็อธิบายให้ฟังว่าติดขัดอะไรบ้าง คุณดำเนินคดีกับผมตอนนี้ คุณไม่ได้อะไรหรอก คุณให้โอกาสผม ให้เวลาผมสักหน่อย แล้วหลังจากนั้นก็เป็นเงื่อนไขของการเจรจาต่อรอง นั่นก็คือ ไลฟ์โค้ชทาง Business Negotiation แล้ว เข้าใจหรือยังท่านผู้ชม
หรือว่าบริษัทกำลังล้มละลาย ก็ไลฟ์โค้ชในเรื่องการเจรจากับเจ้าหนี้ คอร์สต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับเจ้าหนี้ เจรจาอะไร นั่นก็คือไลฟ์โค้ชอีกลักษณะหนึ่ง แต่ปัญหาของไลฟ์โค้ชในเมืองไทยมีอะไรบ้าง ? มันมี อย่างเช่นคุณฌอน บูรณะหิรัญ นี่ชัดเจน หนึ่ง หลงตัวเอง สอง พวกนี้พอมีคนติดตามมาก ก็เลยเกิดความคิดที่ว่า ผมทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครว่า พอมีวิกฤตขึ้นมาในสังคม ก็หลงตัวเอง คิดว่าตัวเองมีคนติดตามเยอะมหาศาล ก็อยากจะตั้งกองทุนบริจาค อยากจะได้หน้า จะโชว์ออฟ โดยไม่รู้ว่าวิธีการทำนี้คือไฟไหม้ตัวเอง เหมือนคุณฌอน
คุณฌอน ยังหนุ่มยังแน่น หลงตัวเอง ไม่มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ แล้วไม่ใช้สติประกอบ ก็โชว์ออฟเรื่องบ้านว่ามีอยู่ที่เชียงใหม่ ร้านกาแฟ จนในที่สุดสื่อมวลชนก็ไปสืบค้นมาได้ว่าร้านนั้นไม่ใช่ของตัวเอง ของคนอื่น แล้วคุณฌอนทำไปทำไป เพราะคุณฌอนยังหมกมุ่นอยู่ในการหลงตัวเอง ในกิเลส เพราะฉะนั้นแล้วคุณฌอนเป็นไลฟ์โค้ชได้อย่างไร ใครเข้าไปฟังคุณฌอน สิ่งที่คุณฌอนพูดก็คือสิ่งที่หนังสือต่างประเทศเอามา แล้วคุณฌอนเอามาดัดแปลงแล้วก็พูด ตัวเองอายุเพียงแค่นี้ จะมีประสบการณ์ในชีวิตสอนคนได้อย่างไร ผมไม่อยากพูดว่าลึกๆ แล้วไลฟ์โค้ชบางคนของปลอม สิ่งที่ตัวเองพูด กับสิ่งที่ตัวเองทำนั้น มันคนละเรื่อง จนพลาดในที่สุด
ท่านผู้ชมครับ สังคมไทยมีวิกฤตตอนนี้ วิกฤตเยอะมาก สังคมไทย คนไทยต้องการที่พึ่งทางใจ พระเทศน์ก็ไม่ถูกใจ บอกให้นั่งสมาธิ นั่งปล่อยวาง แต่ปัญหาอยู่ตรงหน้าจะปล่อยวางได้อย่างไร พระอธิบายข้อเท็จจริงทางโลกียะไม่เป็น เรื่องเช็คเด้งทำอย่างไร ล้มละลายทำอย่างไร เพราะฉะนั้นสังคมที่สงบ ธุรกิจไปได้ดี ถ้าสังคมมันสงบ ธุรกิจไปได้ดี เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า คนมีการมีงานทำ ไลฟ์โค้ชจะไม่เกิด เหมือนที่ผมเคยพูดว่า เวลาไม่ทุกข์ ไม่เข้าวัด พอทุกข์ก็ไปขอน้ำมนต์ ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัด ถามว่าไลฟ์โค้ชจะมีต่อไปไหม ? มีต่อไป และจะมีหลากหลายมากขึ้น และเยอะขึ้น เป็นเพียงแต่ผมอยากจะเตือนสติบรรดาไลฟ์โค้ชทั้งหลาย ที่สำคัญคืออย่าหลงตัวเอง อย่าหลงตัวเองเป็นอันขาด หลายๆ ท่านที่เป็นไลฟ์โค้ช หลงตัวเอง และต้องประพฤติตัวให้ดี ผมเคยเห็นในอินสตาแกรม หรือในเฟซบุ๊ก ไลฟ์โค้ชบางคนไปนั่งกินเหล้า ชนแก้วเบียร์กับเพื่อนฝูง โชว์ออฟ ไลฟ์โค้ช เมื่อคุณก้าวเข้ามาในอาชีพนี้แล้ว คุณต้องทำตัวเป็นตัวอย่างให้สังคมเขาเห็น เพราะคุณกำลังจะพูดจาให้เขาเชื่อคุณ เพราะถ้าคุณเป็นของปลอม วันหนึ่งทองเก๊ ทองที่ฉาบไว้ก็ลอกออกมา ถ้าคุณไม่ระมัดระวังตัวให้ดีๆ
คนพวกนี้ใช้หลักธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งนั้น เป็นเพียงแต่คนพวกนี้เก่งในการยกตัวอย่าง เอามาประกอบทำให้คนเข้าใจง่ายขึ้น คนถามว่าผมเป็นไลฟ์โค้ชหรือเปล่า ผมก็เป็น แต่ผมเป็นไลฟ์โค้ชในเรื่องความรู้ ผมเอาเหตุการณ์ต่างๆ มาเล่าให้ฟัง ผมไม่ได้มีหน้าที่แนะทางออกของชีวิตให้คน ทั้งๆ ที่ผมน่าจะทำได้ เพราะผมอายุ 73 แล้ว ผ่านมาหมดทุกอย่าง ล้มละลายก็เคยล้มละลายมาแล้ว คุกก็ติดมาแล้ว ธุรกิจก็ล้มเหลวมาหลายครั้ง ภรรยาก็เสียชีวิตไประหว่างอยู่ในคุก ผมทำใจได้อย่างไร ผมเนี่ยคือไลฟ์โค้ชตัวจริง แต่ผมไม่บังอาจที่จะมาสั่งสอนใคร เพราะผมคิดว่าชีวิตคนๆ หนึ่งจะต้องเรียนรู้ความขมขื่น อุปสรรค ความสำเร็จ ความสุข ด้วยตัวเอง
ถ้าสนใจผมขอเป็นไลฟ์โค้ช จะให้วลีที่ศักดิ์สิทธิ์ 2 ประโยค ให้ท่านผู้ชมจำไว้ และอย่าลืมเป็นอันขาด จริงๆ 3 ประโยค ประโยคแรก คือ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับท่านผู้ชมอย่างไม่ได้คาดหวัง สิ่งแรกที่จะต้องทำ คือต้องท่องว่า "มันก็เป็นของมันอย่างนี้ล่ะ" "มันก็เป็นเช่นนั้นแหล่ะ" ตถตา มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหล่ะ และประโยคที่ 2 ที่ต้องจำไว้ ก็คือ "แล้วมันก็จะผ่านไป" ประโยคสุดท้ายที่ผมจะมอบให้ ไปตีความ ทำให้ได้ "เสียอะไร เสียไป อย่าเสียใจ" ทำไมถึงพูดคำนี้ ประโยคนี้ ประโยคนี้พระท่านให้มา หลวงตามหาบัวท่านให้ผมมา สนธิ เสียอะไร เสียไป อย่าเสียใจ เพราะอะไร ? เพราะทุกอย่างที่อยู่ในตัวท่าน รถยนต์ บ้าน เมีย ลูก นาฬิกา แว่นตา เงินทอง มันเสียได้หมด คนเอาไปได้หมด แต่มีอยู่อย่างเดียว ไม่มีใครที่จะเอาของท่านไปได้เลย คือ ใจท่าน ใจท่าน อยู่กับท่าน ท่านต้องรักษาใจให้ดี "เสียอะไร เสียไป รักษาใจให้ดี" สวัสดีครับ