“สนธิ”ชี้จุดเสื่อมของอาณาจักรอเมริกาที่เคยยิ่งใหญ่มาตลอด 200 ปี แต่ทำสงครามมาตลอด เริ่มตั้งแต่สงครามประกาศเอกราชจากอังกฤษ สงครามขยายดินแดน สงครามกลางเมือง สงครามโลกครั้งที่1-2 สงครามกับลัทธิคอมมิวนิสต์ มาถึงปัจจุบันสหรัฐฯ ก็ยังเข้าไปแทรกแซงประเทศต่างๆ เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของจีน แต่เพราะความเป็นสองมาตรฐานของอเมริกา บังคับประเทศอื่นทำ แต่ตัวเองกลับยกเว้น จนประเทศต่างๆ ไม่อยากร่วมมือกับสหรัฐฯ อีกต่อไป และปัจจุบันเริ่มชัดเจนแล้วว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 5 ไม่ได้คุมเกมโดยโลกตะวันตกเหมือน 4 ครั้งที่ผ่านมา
วันที่ 12 มิ.ย.63 เวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” และช่องยูทูป Sondhitalk ที่จะมาเล่าเรื่องย้อนประวัติศาสตร์อาณาจักรอเมริกา แล้วจะมองป่าทั้งป่าให้เข้าใจได้ทั้งหมดว่าสหรัฐอเมริกาทำไมถึงจุดนี้ ในรายการ Sondhitalk : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง ep : 37 2020 จุดเสื่อมอาณาจักรอเมริกา (จุดเปลี่ยนรัฐศาสตร์โลก)
คำต่อคำ SONDHI TALK [12 มิ.ย. 63] : 2020 จุดเสื่อมอาณาจักรอเมริกา (จุดเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์โลก)
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ก็เหมือนเช่นเคย ทุกๆ วันศุกร์เรากลับมาพบกันเป็นประจำ อาจจะมีแถมพกให้ในวันธรรมดา ซึ่งก็ต้องมีเรื่องมีราวที่น่าสนใจพอสมควร เลยจัดเป็นรายการพิเศษ
วันนี้ก็เหมือนเดิมครับ ก่อนจะเข้าสู่รายการก็ขอเรียนให้ท่านผู้ชมทราบว่าท่านผู้ชมสามารถจะเข้าชมรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้ทางช่องทางใดช่องทางหนึ่งที่ผมจะอธิบายให้ฟัง
วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"
สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ
สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป
ท่านผู้ชมครับ ขอพูดเรื่องแก้วสักนิด แก้วที่เราประกาศขายไปแล้ว เพื่อเอาเงินส่วนหนึ่ง เงินกำไรนะ ต้นทุน 100 บาท ค่าส่ง 50 บาท แล้วเราเอากำไร 100 บาท เท่ากับถ้วยละ 250 บาท ผมเรียนให้ท่านผู้ชมทราบแล้วว่า เงิน 100 บาท ที่ได้มานี้ ไม่ได้เข้ากระเป๋าใคร นอกจากเอาไปร่วมกันทำบุญ อาจจะทำบุญตอนปลายปีในช่วงทอดกฐิน อาจจะผสมผสานกันหลายๆ วัด เป็นการทำบุญร่วมกัน
ทีนี้ แก้วชุดที่แล้วมันหมดไปแล้ว ก็ยังมีคนที่สั่งคั่งค้างอยู่ ออร์เดอร์ยังมีอยู่เยอะ ผมก็กราบเรียนท่านผู้ชมว่าตอนนี้เรากำลังสั่งทำเพิ่มอีกแค่ 1,000 ใบ แล้วเราจะไม่ทำแล้ว หมดแล้วหมดเลย แต่เนื่องจากมีของเก่าค้างอยู่ สั่งมาแล้ว ของมันหมด ก็เลยขอเป็น 1,000 ใบสุดท้าย หลังจากนั้นแล้วจะไม่ทำ ก็ถือว่าเป็น souvenir เป็นที่ระลึก ซึ่งอีกหน่อยใครอยากได้ก็ไม่มีแล้ว อย่าลืมนะครับ ก็เริ่มสั่งเข้ามาได้
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นวันที่ผมออกรายการด้วยจิตใจที่เศร้าหมองมาก เพราะเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้น้องชายสุดที่รักของผม คือคุณตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ได้สิ้นลมหายใจและจากพวกเราไปแล้ว ด้วยมะเร็งที่ตับ
ตั้วนั้นหกล้มในกองถ่ายและปวดหลัง แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จนกระทั่งเข้าโรงพยาบาล หมอกระดูกก็ดูแล้วก็เจาะกระดูกดู ก็ปรากฏว่ามะเร็งนั้นลามเข้าไปในกระดูกและลามเข้าสู่ตับ ผมไม่เคยทราบเรื่อง ผมรู้แต่ว่าคุณตั้วนั้นไม่สบาย จนกระทั่งในที่สุดแล้วก็มีข่าวว่าคุณตั้วเจ็บหนัก ก็ตั้งใจว่าประมาณวันอังคารที่ผ่านมา จะไปเยี่้ยมคุณตั้ว เหมือนกับลางสังหรณ์บอกว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหน้า แต่เผอิญติดว่าไม่ได้ไป ก็ตั้งใจจะไปวันพุธ คุณตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ซึ่งเป็นน้องที่ผมรักมากที่สุดคนหนึ่ง ก็จากไปเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นที่น่าเสียใจมาก ผมก็ได้โพสต์คำไว้อาลัยของผมในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ผมก็ขอแสดงความเสียใจกับภรรยาของคุณตั้ว คุณเปิ้ล และลูกสาวฝาแฝดสองคน คุณตั้วจากไปอย่างที่น่าเสียดาย เป็นคนที่ดีมากที่สุดคนหนึ่งในชีวิตที่ผมเคยรู้จักมา เป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เวลาพูดจากับใคร พูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ และไม่โกหกใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว มันก็ตรงกับสิ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์สอนผมมาตลอด ว่า สนธิ ชีวิตมีแต่ความว่างเปล่า วันนี้ก็ไม่มีคุณตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง แล้ว แต่ว่าคุณงามความดีและความน่ารัก และความเลอเลิศประเสริฐศรีในจิตใจของคุณตั้วยังจะอยู่ในใจของผมและผมเข้าใจว่าก็คงจะอยู่ในใจของท่านผู้ชมหลายๆ คนที่เคยสัมผัสคุณตั้วมา หรือเคยได้ยินข่าวคุณตั้วมา
ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่ผมสัญญากับท่านผู้ชมว่าผมจะพูดเรื่องสหรัฐอเมริกา ทีนี้การจะพูดเรื่องของสหรัฐอเมริกานั้น มันไม่สามารถจะพูดเรื่องอเมริกา ณ วันนี้ได้ เพราะทุกอย่างมีที่มาที่ไปหมด เราต้องอธิบายโลกก่อนที่ประเทศอเมริกาจะเกิดขึ้น เมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว และเมื่ออเมริกาเกิดขึ้นแล้ว อเมริกาก็เอาหลักการต่างๆ ที่ทางตะวันตก คือทางยุโรป จุดเริ่มต้นของอเมริกาก็คือมาจากยุโรป
สมัยก่อนนานมาแล้ว ต้องเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟังก่อน ก่อนที่จะกลับมาเรื่องปัจจุบัน เพราะว่าผมเรียนท่านผู้ชมแล้วว่า ถ้าจะเข้าใจอะไรสักอย่าง เราต้องดูป่าทั้งป่า เราจะดูแค่ต้นไม้ต้นเดียวไม่ได้ เมื่อเราเข้าใจป่าทั้งป่าแล้ว ต้นไม้จะมีมาอีกกี่ต้น แต่ถ้าอยู่ในป่านั้น เราก็จะเข้าใจทั้งหมด
เมื่อประมาณ 244 ปีที่แล้ว หรือปี พ.ศ.2329 หรือ ค.ศ.1776 ประมาณต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งคนเป็นคนสกอตต์แลนด์ ชื่อ อดัม สมิธ อดัม สมิธ เขาเขียนตำราเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในโลกนี้เล่มหนึ่ง ชื่อว่า Wealth of the Nations หรือถ้าเราจะแปลเป็นภาษาไทยก็คือ ความมั่งคั่งของประชาชน คือนายอดัม สมิธ เขากำลังเน้นเรื่องการค้าเสรี เขาบอกว่าถ้าทุกคนปล่อยให้ทุกคนค้าขายกันเสรีโดยที่รัฐไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย ปล่อยให้ใครใคร่ค้าก็ค้า ใครใคร่ขายก็ขาย ใครอยากรวยก็รวย มันจะมีมือที่มองไม่เห็นมาเชื่อมโยงทุกจุดในสังคมให้สร้างความมั่งคั่งสู่สังคม คือพูดง่ายๆ ว่าทุกคนต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อให้มีมากที่สุด ก็คือว่า ยิ่งขยันเท่าไร ยิ่งค้าขายด้วยตัวเองเท่าไร ยิ่งร่ำรวยเท่านั้น ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าสมมุติว่าคุณมีที่อยู่ 1 ไร่ แล้วคุณทำมาค้าขาย หรือคุณจะปลูกผักปลูกผลไม้แล้วคุณก็ขายไป เขาบอกสิทธิที่คุณได้จากที่ 1 ไร่นั้น เป็นของคุณ ไม่มีใครมีสิทธิจะมาแย่งได้ รัฐบาลก็แย่งไม่ได้ กระบวนทัศน์นี้ได้ถูกพัฒนาต่อเนื่องไปเป็นการค้าเสรี และเป็นระบบทุนนิยมเสรี
ต่อมาหลังจากที่อดัม สมิธ ตายไปเป็นร้อยปีแล้ว อดัม สมิธ ก็อาจจะตื่นมาจากหลุมฝังศพและเสียใจที่ทฤษฎีของอดัม สมิธ นั้น เปลี่ยนจากทุนนิยมเฉยๆ มาเป็นทุนนิยมสามานย์ อดัม สมิธ ไม่ได้คาดหวังในอนาคตข้างหน้าว่าคนเราพอมันรวยขึ้นๆ มันก็อยากจะรวยมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่อดัม สมิธ กำลังพูดนั้นตรงกันข้ามกับพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่บอกว่าเราควรจะอยู่อย่างพอเพียง แต่อดัม สมิธ บอกว่า ยิ่งรวยก็สามารถรวยได้มากขึ้น ก็คือเอากิเลสเป็นตัวนำ จนกระทั่งในที่สุดแทนที่จะเป็นครอบครัวหนึ่งรวย มันก็จะกลายเป็นชนกลุ่มหนึ่งรวย พอประเทศชาติพัฒนากลายเป็นระบบอุตสาหกรรมขึ้นมาก็กลายเป็นองค์กรอุตสาหกรรมองค์กรหนึ่งรวย มีตลาดหุ้นเข้ามา ก็คือบริษัทใหญ่ๆ รวย พอรวยขึ้นมาก็แสวงหาความรวยโดยที่ไม่คำนึงถึงจริยธรรม ไม่คำนึงถึงมโนธรรม ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น คำนึงอยู่อย่างเดียวก็คือว่า ขอให้ได้มีกำไรเข้ามาตลอด เพื่อที่จะรวยมากขึ้นๆ เพราะฉะนั้นแล้วทุนนิยม การค้าเสรี ที่อดัม สมิธ ได้เขียนได้พูดมาเมื่อ 244 ปีมาแล้ว มาวันนี้ถูกพัฒนากลายเป็นทุนนิยมสามานย์ ซึ่งถ้าสมมุติว่าสร้างอะไรก็ตาม ถ้ามันทำเงินให้ แต่ถ้ามันทำลายสิ่งแวดล้อม จะทำลายแม่น้ำ จะทำลายอากาศ จะทำให้คนกดขี่คนในราคาที่ต่ำมากเพื่อให้ตัวเองได้กำไรที่มากขึ้น นั่นคือสิ่งที่เป็นผลพวงจากทฤษฎีที่นายอดัม สมิธ พูด แต่เมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่งแล้วคนก็เปลี่ยนไป ก็เหมือนอย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า เหมือนอย่างเราสองคน มีเพื่อนรักกันสมัยก่อน ตอนที่ยังไต่เต้ายากจนกันอยู่ ก็มีความเอื้ออาทรเผื่อแผ่กันไปเผื่อแผ่กันมา แล้วพอวันหนึ่งข้างหน้าเพื่อนของเราคนหนึ่งเกิดร่ำรวยขึ้นมา พอร่ำรวยขึ้นมาแล้วก็มุ่งเน้นไปที่ความร่ำรวย สายตาที่เขามองเรา เขามองเราเป็นคนที่กระจอกงอกง่อยคนหนึ่ง เขาก็ไม่สนใจเราอีกต่อไป ลักษณะมันจะเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นแล้ว การค้าเสรีที่อดัม สมิธ คิดขึ้นมา มันถูกผลักดันให้ก้าวกระโดดไกลด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก โดยการที่มีเครื่องจักรไอน้ำ เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมจะเห็นว่าการค้าเสรี+เครื่องจักรไอน้ำ เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นประมาณปลาย ค.ศ.1700 ใกล้ๆ กับต้น ค.ศ.1800 เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกโดยมีเครื่องจักรไอน้ำเกิดขึ้นครั้งแรก และครั้งแรกที่สุดที่เขาใช้เครื่องจักรไอน้ำมาในวงการอุตสาหกรรม ใช้ในปี ค.ศ.1784 คือใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า สมัยก่อนทอผ้าใช้มือ แต่ตอนหลังอังกฤษเป็นต้นแบบของการทอผ้าที่ใช้ระบบอุตสาหกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง แน่นอนที่สุดการทอผ้ามีมาในโบราณกาลเป็นพันๆ ปี ประเทศจีนก็มีการทอผ้า หลายๆ ประเทศก็มีการทอผ้า แต่การทอผ้าด้วยเครื่องจักรไอน้ำนั้นเกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษ เมื่อประมาณ ค.ศ.1784
ทีนี้การปฏิวัติอุตสาหกรรมก็จะมีครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 ครั้งที่ 5 ครั้งที่ 1 คือเกิดที่อังกฤษ แล้วพอเกิดที่อังกฤษ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้นมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.2327 พอเกิดปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ขึ้นมา พ.ศ.2327 ตอนนั้นไม่ได้ใช้เครื่่องจักรไอน้ำแล้ว แต่จะใช้ไฟฟ้า หลังจากที่โทมัส เอดิสัน คิดระบบไฟฟ้าขึ้นมา ก็เอาไฟฟ้ามาผลักดันเครื่องจักร ก็จะมีการแบ่งแรงงานเป็นหมวดหมู่และการผลิตปริมาณมากโดยใช้ระบบไฟฟ้า คือมันไม่มีเครื่องจักรอีกต่อไปแล้ว เอาไฟฟ้าเสียบเข้าไปก็มีสายพานเดินออกมา มีระโยงระยาง ส่งข้าวของที่ห้อยเอาไว้ไปตามสายพาน คนที่เกี่ยวข้องเป็นหมู่ หมู่นี้ก็มีหน้าที่เช็ก หมู่นั้นมีหน้าที่ใส่ ระบบสายพานไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้า ครั้งแรกที่เขาใช้เมื่อประมาณปี พ.ศ.2413 หรือประมาณ 150 ปีที่ผ่านมา เขาใช้ในโรงฆ่าสัตว์ที่เมืองซินซินนาติ มลรัฐโอไฮโอ นั่นคือปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2
ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 คือการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และระบบไอที ขยายระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ เหมือนกับท่านผู้ชมเคยเจอเครื่องจักรยาวๆ แล้วกดปุ่มๆ เดียว ตึ้ง ระบบไอทีก็ทำงาน ระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ทำงาน ทุกอย่างทำงานหมด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าแล้ว ไอทีก็จะกำหนดว่าของชิ้นนี้อยู่ห่างจากชิ้นนี้เท่าไร และถ้าสมมุติว่าสายการผลิตมันเร็วเกินไป มันก็จะหยุดเครื่องเพื่อให้มันช้าลง นั่นคือครั้งที่ 3
ครั้งที่ 4 ของการปฏิวัติอุตสาหกรรม คือการใช้ระบบไซเบอร์ คือคอมพิวเตอร์ ครั้งที่ 4 นี่ต้องถือว่าเป็นครั้งที่เราอยู่ปัจจุบันนี้ ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมเครื่องจักร ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมระบบการขนส่ง ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมระบบการบินทางอากาศ ที่กรมการบินพาณิชย์จะต้องกำหนดว่าเครื่องบินมา ก็จะมีจอให้ดูว่าเครื่องบินลำนี้ต้องบินเท่านี้ๆ จะใช้คอมพิวเตอร์หมด
มาถึงระยะที่ 5 คือระยะปัจจุบัน ระยะปัจจุบันใช้ระบบโทรคมนาคม คือ 4G และระบบ 5G ที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วเมื่อครั้งที่แล้ว ว่าระบบ 5G จะเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร ผมถือว่านี่คือการปฏิวัติอุตสาหกรรม และปฏิวัติสังคมโลกเป็นครั้งที่ 5
ท่านผู้ชมครับ เรากลับมาพูดถึงเรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 ก่อนดีกว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 ก็เริ่มมีการใช้เครื่องจักรไอน้ำในวงการอุตสาหกรรม มีเรือกลไฟที่ใช้ไอน้ำ เรือเดินสมุทรที่ใช้ไอน้ำ รถยนต์ที่ใช้ไอน้ำ พอมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกบวกกับความเป็นชาตินิยมของอังกฤษของคนโน้นคนนี้ มันก็กลายเป็นจักรวรรดินิยมใหม่ มีการล่าอาณานิคม เริ่มล่าอาณานิคมกลางศตวรรษที่ 19 ร้อยกว่าปีต้นๆ หลังจากการเกิดอุตสาหกรรมไอน้ำ มันกระทบไปทั่วโลกเลย ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังว่าอุตสาหกรรมที่เกิดการปฏิวัติในครั้งแรกมันกระทบไปทั่วโลกอย่างไร ผมยกตัวอย่าง เล่าประวัติของจีนให้ฟังนิดหนึ่ง
สมัยจักรพรรดิเฉียนหลง ซึ่งเฉียนหลงก็มีลูกชายคนหนึ่งชื่อเจียชิ่ง สมัยจักรพรรดิเฉียนหลง จนถึงลูกชาย เริ่มปกครองประเทศจีนตั้งแต่ ค.ศ.1735 จนถึง 1820 (พ.ศ.2278-2363) ถึงต้นรัตนโกสินทร์ เกือบ 300 ปี ของประเทศจีนสมัยราชวงศ์ชิง ก่อนที่ราชวงศ์ชิงจะล่มสลาย เกือบ 300 ปีนั้น มีนักวิชาการแต่ละยุคแต่ละสมัยจนกระทั่งสมัยนี้ เคยคำนวณดูว่าผลผลิตของประเทศจีนต่อผลผลิตของโลกกี่เปอร์เซ็นต์ ปรากฏเขาคำนวณแล้วว่าประมาณไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 ซึ่ง 1 ใน 3 ก็คือ 33.3 เปอร์เซ็นต์
ผมตีซะว่าสูงสุดก็คงไม่เกิน 40 เปอร์เซ็นต์ ก็แล้วกัน เอาเป็นว่าประเทศจีนประเทศเดียวผลิตสินค้าทุกอย่างออกมา คิดเป็นมูลค่าแล้วอย่างต่ำ 1 ใน 3 ของโลก เหนือกว่ายุโรปรวมกัน เหนือกว่าอินเดียรวมกัน อันนี้ก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกที่จะมีเครื่องจักรไอน้ำ สมัยนั้นก็ยังใช้มือใช้ไม้อยู่ ใช้เตาเผาอยู่ ใช้จำนวนคนเข้ามา พอผ่านไปร้อยกว่าปี การปฏิวัติอุตสาหกรรมของยุโรปก็มาถึงปี ค.ศ.1913 หรือ พ.ศ.2456 ประมาณรัชกาลที่ 6 ท่านผู้ชมเชื่อไหมว่าพอมีปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ผ่านไปแค่ร้อยกว่าปี ผลผลิตของจีนที่เคยกุมปริมาณอยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของโลก เหลือกี่เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ชมทายสิ เหลือแค่ 9 เปอร์เซ็นต์ จาก 33-40 เปอร์เซ็นต์ ลดลงมาเหลือแค่ 9 เปอร์เซ็นต์
แล้วต่อไปอีกแค่ 37 ปีเท่านั้นเอง มาปี พ.ศ.2493 หรือ ค.ศ.1950 ประเทศจีน เนื่องจากว่าได้เกิดสงครามกลางเมือง มีญี่ปุ่นบุกเข้ามา มีการรบกันกับญี่ปุ่น และมีการปะทะกันระหว่างจีนคอมมิวนิสต์กับจีนก๊กมินตั๋งของไต้หวัน ผลผลิตของจีนที่เหลือ 9 เปอร์เซ็นต์ หลังยุคจักรพรรดิเฉียนหลงกับลูกชายของเขา เหลือแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ 2,000 ปีของจีน
เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมจะเห็นว่าอิทธิพลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคจักรวรรดินิยมอังกฤษนั้น ซึ่งสมัยนั้นเขาเรียกว่า Pax Britannica เหมือนกับคำว่า Pax Romana (คำว่า Pax ถูกปั้นแต่งขึ้นมาให้เกินจริง เพราะ Pax จริงๆ มาจากคำว่า Peace เป็นศัพท์ภาษาในศาสนาคริสต์ หมายถึงการจูนเพื่อสร้างสันติสุข) คือเป็นการใช้คำพูดสวยหรูว่านี่ก็คืออาณาจักรของอังกฤษ แต่คำว่า Pax เป็นภาษาในศัพท์ทางศาสนา หมายความว่าสันติภาพ ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่สันติภาพ หมายความถึงการล่าและการสร้างอาณานิคมต่างๆ เพราะฉะนั้นแล้วอังกฤษก็เลยจำเป็นต้องออกล่าอาณานิคม เดี๋ยผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมเขาต้องล่าอาณานิคม
เหตุผลที่เขาต้องล่าอาณานิคมก็เพราะว่า ทุกประเทศในยุโรปตอนนั้นก็เริ่มใช้เครื่องจักรแล้ว อังกฤษใช้ เยอรมนีก็ใช้ ฝรั่งเศสก็ใช้ พอใช้เครื่องจักรแล้วมันก็ต้องมีวัตถุดิบ ปรากฏว่าวัตถุดิบในประเทศหาไม่ได้ ทุกคนต้องการวัตถุดิบ ก็เลยเกิดการออกจากประเทศตัวเองไปตามล่าอาณานิคมตามที่ต่างๆ ไปยึดประเทศนั้นเพื่อส่งวัตถุดิบกลับมา ไปยึดประเทศนี้ อังกฤษไปยึดอินเดีย แล้วอังกฤษไปทะเลาะกับจีน ในยุคนั้นอังกฤษมีชื่อเสียงมาก มีชื่อเสียงว่าเป็นดินแดนอาณาจักรที่ไม่มีพระอาทิตย์ตกดิน ก็คืออาณาจักรอังกฤษไปที่ไหนก็จะไม่มีพระอาทิตย์ตกดิน เพราะอังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมของแคนาดาตอนนั้น ของอินเดีย และของหลายๆ ประเทศ เพราะฉะนั้นแล้วพระอาทิตย์ตกดินที่อังกฤษก็กำลังขึ้นอยู่ที่แคนาดา ก็ถือว่าอยู่ภายในอาณาจักรของอังกฤษเหมือนกัน
ท่านผู้ชมหลายท่านที่เคยไปอังกฤษ แต่ท่านผู้ชมหลายท่านที่เคยไปแต่ไม่เคยเข้าไปในมิวเซียม พิพิธภัณฑ์ของอังกฤษที่เขาเรียกว่า British Museum ถ้าไม่เคยไป วันหลังถ้ามีโอกาสไป และคิดว่าท่านยังอยากไปประเทศยุโรป ลองไปดูในพิพิธภัณฑ์นั้น ท่านเข้าไปท่านจะเห็นสิ่งของล้ำค่าเต็มไปหมดเลย ตั้งแต่สมัยกรีก ตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมีย สมัยตะวันออกกลาง อียิปต์ สิ่งของล้ำค่าพวกนี้คือสิ่งของที่อาณาจักรอังกฤษ หรือที่เขาเรียกว่า British Empire ออกล่าอาณานิคมแล้วไปยึดประเทศโน้นยึดประเทศนี้ เอาข้าวของกลับมาแล้วมาใส่ในพิพิธภัณฑ์ เพราะฉะนั้นแล้ว อังกฤษก็เลยกลายเป็นประเทศแรก เป็นจักรวรรดิที่รุกรานดินแดนเพื่อช่วงชิงทรัพยากรไปทั่วโลก ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมเคยพูดให้ท่านผู้ชมฟังเรื่องสงครามฝิ่น
สงครามฝิ่นมันเป็นเรื่องที่เศร้าสลดน่าหดหู่มาก เพราะว่าอังกฤษคลั่งไคล้กับการดื่มชา และคลั่งไคล้กับการไปซื้อถ้วยชามที่เป็นเซรามิก เซรามิกสวยๆ มีประเทศจีนประเทศเดียวที่เผาออกมาขาย อังกฤษเขาหลงใหลมาก แล้วยังซื้อผ้าไหมอีก ใบชา ปรากฏว่าซื้อไปซื้อมา เงินแท่ง สมัยก่อนเขาค้าขายระหว่างประเทศเขาใช้เงินแท่ง แท่งหนึ่งแลกสินค้าได้เท่าไร ซื้อไปซื้อมา เฮ้ย เงินแท่งของคลังอังกฤษไม่มีแล้ว จะหมดแล้ว อังกฤษไม่รู้จะทำอย่างไร ตัวเองก็ยังอยากจะได้สินค้าอยู่ อยากจะได้ข้าวของ ก็เลยบังคับให้จีนเอาฝิ่้นไปขายเพื่อจะได้เงินแท่งมาซื้อของในสิ่งที่ตัวเองคลั่งไคล้ ก็คือว่าให้พ่อค้าชาวอังกฤษเอาฝิ่นไปขายในจีน ได้เงินแท่งมา เอาเงินแท่งไปซื้อผ้าไหม เอาเงินแท่งไปซื้อถ้วยชามเซรามิก เอาเงินแท่งไปซื้อใบชา นั่นคือวิธีการของอังกฤษ ก็คือว่าแทนที่จะใช้ผลผลิตของตัวเอง ก็เอาฝิ่นไปขายให้คนจีน
จนกระทั่งมีคนจีนติดฝิ่นกันอย่างงอมแงม ก็มีขุนนางคนหนึ่งชื่อหลิน เจ๋อสวี เป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียงกว่าง (เหลียง คือ สอง, กว่าง คือ มณฑลกว่างสี และมณฑลกวางตุ้ง) คือเป็นผู้ตรวจราชการ ผู้ว่าการมณฑลถึง 2 มณฑล ใหญ่มาก เป็นผู้ตรวจราชการของฮ่องเต้ เป็นหูเป็นตาให้กับองค์จักรพรรดิ นายหลิน เจ๋อสวี ก็เลยเอากองทัพของชาวแมนจูไปกวาดล้างอังกฤษเรื่องฝิ่น อังกฤษก็เลยโกรธ ก็เลยประกาศสงครามฝิ่นมา เหมือนอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่า ในปี 2382 ในยุครัชกาลที่ 4 เมื่อประมาณ 181 ปีที่แล้ว ในที่สุดก็เลยสู้กันและเกิดสนธิสัญญานานกิง ที่ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้ว ถ้าท่านผู้ชมจำไม่ได้ กลับไปดู EP. เก่าๆ ที่ผมพูดถึงสงครามฝิ่น แล้วในที่สุด ท่านผู้ชมจำได้ไหม สูญเสียเกาะฮ่องกง ให้อังกฤษเช่าไปเป็นเวลา 99 ปี จนกระทั่งหมดสัญญาสิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2540 (1997)
พอหลังจากนั้นแล้วก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในยุโรป ก็เกิดขึ้นเรื่องเดียวกัน เกิดขึ้นจากที่เยอรมนีเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมของตัวเองขึ้นมา แล้วต้องการวัตถุดิบ อังกฤษต้องการปิดเยอรมนีไม่ให้ใหญ่ไปกว่านั้น อังกฤษก็เลยไปขัดขวาง ก็เลยเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นมา พอเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว สมญานามของอังกฤษที่บอกว่าเป็นดินแดนที่ไม่เคยมีพระอาทิตย์ตกดิน ก็กำลังจะเริ่มมีพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เพราะกำลังจะเริ่มจุดเสื่อมของอาณาจักรอังกฤษ
อังกฤษเริ่มมีพระอาทิตย์ตกดิน ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดประมาณ พ.ศ.2457-2461
น่าสนใจอย่างหนึ่ง เพราะว่าปี ค.ศ.1914-1918 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น อเมริกาหลังจากได้เครื่องจักรไอน้ำมา ก็เริ่มพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำของตัวเองขึ้นมา แล้วก็พัฒนาต่อมาในยุคโทมัส เอดิสัน ก็พัฒนาเป็นไฟฟ้าขึ้นมา ปรากฏว่าอเมริกาเริ่มมีการผลิตที่ปริมาณแซงอังกฤษ และก้าวนำไปสู่ผู้นำของโลกในยุคต่อมา
ทีนี้ มุมของการผลิต อเมริกาเกิดขึ้นมานำโลกแทนอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และต่อด้วยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อต่อสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว อังกฤษอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอมาก อย่าว่าแต่อังกฤษเลย ยุโรป หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุโรปพังทลายหมด ฝรั่งเศสซึ่งเคยเป็นเจ้าอาณานิคมอยู่ที่เวียดนาม ฝรั่งเศสถึงกับพ่ายแพ้สงครามที่มหาสงครามที่เมืองเดียนเบียนฟู ทำให้กองทัพฝรั่งเศสแพ้ แพ้อย่างอนาถ จนกระทั่งในที่สุดฝรั่งเศสต้องรุกถอยจากเวียดนามลงมาอยู่ที่เวียดนามใต้ ส่วนเวียดนามเหนือก็ปล่อยให้ลุงโฮ โฮจิมินห์ เป็นผู้ยึดไป
ทีนี้ ในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกอย่างมันพังหมด เจ๊งหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย อุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงของเยอรมนี อุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ ของฝรั่งเศส ของโน่นของนี่ พังทลายหมด ก็ปรากฏว่ามีนายพลคนหนึ่ง ชื่อนายพลจอร์จ มาร์แชลล์ นายพลมาร์แชลล์ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกาตอนนั้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไปทัวร์ยุโรป พอไปทัวร์ยุโรปเสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นว่ายุโรปมีแต่การสลักหักพังหมด อเมริกาก็เลยคิดโดยผ่านนายจอร์จ มาร์แชลล์ นายพลมาร์แชลล์ก็เลยคิดโครงการมา เรียกว่ามาร์แชลล์แพลน (Marshall's Plan)
แผนงานของมาร์แชลล์ ซึ่งประธานาธิบดีทรูแมนก็เซ็น แปลว่าอะไร แผนงานนี้ แผนงานนี้เพราะว่าอเมริกาโดยผ่านนายมาร์แชลล์ เห็นว่ายุโรปนั้นจะล่มสลายไม่ได้ ต้องฟื้นยุโรปขึ้นมาเพื่อเป็นคู่ค้าของอเมริกา และ ไม่อยากจะพูดว่าเป็นลูกไล่ แต่เป็นเบี้ยตัวหนึ่งซึ่งอเมริกาเลี้ยงดู ขุนกันขึ้นมา ก็เลยมีการเอาเงินใส่เข้าไปในยุโรป เพื่อฟื้นฟูยุโรป เขามองว่าถ้ากู้ยุโรปไม่รอดจะเป็นผลเสียของอเมริกาในทางด้านเศรษฐกิจที่อเมริกาจะขยายไม่ได้ ตอนนั้นเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มเฟื่องฟูแล้วนี่ นี่้ก็คือกลับเข้าไปสู่หลักของอดัม สมิธ อดัม สมิธ ไม่เคยคิดว่าพอเศรษฐกิจฟื้นฟูแล้ว เจ้าของธุรกิจ เจ้าของเศรษฐกิจ เจ้าของอุตสาหกรรม ก็อยากจะขยายตัวออกไป อ้าว ขยายไม่ได้ เพราะยุโรปมันพังทลายหมด เมื่อยุโรปพังทลายหมดก็ต้องฟื้นฟูยุโรป ก็เลยจัดเงิน 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยปัจจุบันก็ 400,000 ล้านบาท ท่านผู้ชม กี่ปีมาแล้ว 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือประมาณปี ค.ศ.1943 หรือ พ.ศ.2486 ก็ประมาณ 80 กว่าปีแล้ว ร่วมๆ 80 ปี
ท่านผู้ชม 80 ปี เงิน 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับวันนี้ ผมว่าต้องมีมูลค่าเป็นหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐนะ ฉะนั้นเงินก้อนนี้ก็เลยฝังตัวลงไปในยุโรป ก็ฟื้นฟูเศรษฐกิจขึ้นมาหลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็นเบนซ์ เดมเลอร์-เบนซ์ ซึ่งใกล้เจ๊งไปแล้วตอนนั้น ก็เลยฟื้นฟู ก็สามารถจะผลิตรถยนต์เบนซ์ขึ้นมา หลายๆ อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเครื่องกล อุตสาหกรรมจักรกล อุตสาหกรรมเรื่องการผลิตเจเนอเรเตอร์ไฟฟ้า ก็เริ่มเจริญเติบโตมา
ผลพวงที่อเมริกาได้มาอีกอันหนึ่งจากมาร์แชลล์แพลน และจากการที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยที่อเมริกาเข้าไปในสงครมหลังสุด ที่เข้าเพราะญี่ปุ่นไปโจมตีเกาะเพิร์ลฮาร์เบอร์ที่ฮาวาย ก็เลยทำให้อเมริกา ซึ่งพร้อมมากกว่าทุกคน เพราะไม่ได้บอบช้ำอะไรเลย ส่งทหารเข้าไปสู้กับเยอรมนีจนกระทั่งอเมริกาชนะ ท่านผู้ชมรู้ไหมอเมริกาได้ผลประโยชน์อีกตัวหนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้ อเมริกาขนนักวิทยาศาสตร์ซึ่งเคยทำงานให้กับประเทศเยอรมนี ให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ให้นาซี ขนมาเลยเป็นสิบๆ คน เป็นร้อยคนเลย ขนมาอยู่ที่อเมริกา ให้สัญชาติอเมริกา ให้พาสปอร์ตอเมริกา ให้ทุกอย่าง และให้ทุนอุดหนุนสนับสนุน
เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า ถ้าพูดถึงการขโมยลิขสิทธิ์ ขโมยเทคโนโลยีแล้ว อเมริกาเป็นตัวเริ่มต้น แล้วอเมริกาเริ่มต้นแบบเด็ดขาดกว่าทุกคนก็คือเอาคนที่มีมันสมองผลิตจรวดให้กับเยอรมนี เอามาอยู่อเมริกา คนที่ผลิตจรวดนี้คือ Prof.Dr. Wernher Von Braun ที่สามารถผลิตจรวด V1, V2 แล้วพัฒนาต่อมาจนกระทั่งเป็นจรวดที่อเมริกายิงขึ้นไปสู่โลกพระจันทร์ หรือยิงดาวเทียมขึ้นไปข้างบน เป็นฝีมือของ Wernher Von Braun
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็มาจากเยอรมนี หลายๆ คนที่มีชื่อมีเสียงก็มา แล้วนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันพวกนี้ล่ะ คือต้นตอของการผลิตระเบิดปรมาณูให้กับประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่าเมื่อเราพิจารณากันในข้อเท็จจริงแล้ว เราจะเห็นได้ชัดว่าอเมริกาเข้าสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสุด เข้าไปโดยสดที่สุด พร้อมที่สุด ทรัพยากรมีมากที่สุด เมื่อยุโรปพังทลาย เยอรมนีพังทลาย แล้วไปยึดครองประเทศญี่ปุ่น โดยนายพลดักลาส แมกอาร์เธอร์ ไปยึดครองและตีญี่ปุ่นพังทลายออกจาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีหลักฐานว่าช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาบุกฟิลิปปินส์ ตอนนั้นนายพลดักลาส แมกอาร์เธอร์ มีกองทัพอยู่ที่นั่น พ่ายแพ้ต่อกองทัพญี่ปุ่น ต้องถอยออกไป นายพลดักลาส แมกอาร์เธอร์ ได้พูดวาจาคำหนึ่งซึ่งเป็นหลักการ ซึ่งเป็จสัจวาจาที่ทุกคนเอามาอ้างอิง
นายพลดักลาส แมกอาร์เธอร์ ก่อนจะขึ้นเรือออกจากเกาะฟิลิปปินส์ พูดว่า "I shall return" ข้าพเจ้าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง นี่คือเกร็ดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งผมจะต้องเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ปรากฏว่าอเมริกาโผล่ออกมาในโลกนี้ในลักษณะที่เป็นเจ้าโลก แต่ต้องไปประจันกับรัสเซีย เพราะรัสเซียตอนนั้นก็เป็นพันธมิตรร่วมรบกับอเมริกา แต่รัสเซียไม่ได้แค่ร่วมรบอย่างเดียว พอสงครามเสร็จแล้ว รัสเซียก็จะเอาประเทศที่อยู่รอบๆ รัสเซีย เอามาเป็นประเทศกันชน เพราะว่าในยุโรปทุกคนกลัวเยอรมนี กลัวว่าสักพักหนึ่งเยอยมนีเข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง เยอรมนีก็อาจจะรุกยุโรปอีก เพราะฉะนั้นเขาก็เลยเด็ดปีกเยอรมนี เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็เอาประเทศ เขาแบ่งเยอรมนี เขาแบ่งกรุงเบอร์ลินออกเป็น เบอร์ลินตะวันออกของรัสเซีย เบอร์ลินตะวันตกของทางตะวันตก สมัยก่อนกรุงเบอร์ลินมันอยู่ในเขตของเยอรมนีตะวันออก เวลาจะส่งอาหารเข้าไปในเบอร์ลินตะวันตก เขาต้องใช้เครื่องบินส่งเข้าไป ในที่สุดโลกก็เลยเป็น 2 เจ้า อเมริกา และรัสเซีย และอเมริกาชนะสงครามโลกในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงครามอยู่แล้ว แต่เนื่องจากว่าอเมริกาได้คิดค้นระเบิดปรมาณูขึ้นมา และทางฝ่ายทหารและเสนาธิการทางการเมืองของอเมริกา อยากจะรู้ว่าระเบิดปรมาณูอะตอมมิกบอมบ์มันใช้ได้จริงหรือเปล่า มีการทดลองในทะเลทรายหลายครั้ง ญี่ปุ่นพร้อมที่จะยกธงขาวและแพ้แล้ว แค่ส่งสัญญาณไปว่าขอให้แพ้ ญี่ปุ่นก็พร้อมจะแพ้ แต่ญี่ปุ่นส่งสัญญามาว่าพร้อมจะแพ้ แต่อเมริกาไม่ยอมรับสัญญาณนี้ เพราะต้องการทดลองระเบิดปรมาณูก่อน ในที่สุดอเมริกาก็เลยเอาระเบิดปรมาณูนี้ไปทิ้งที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อไปทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาแล้ว ปรากฏว่าเมืองฮิโรชิมานั้นพังทลายหมดเลย ยังไม่พอ เพราะนักวิทยาศาสตร์และทหารบอกว่า เดี๋ยวก่อน ขอลูกที่ 2 อีกสักลูก เพื่อประกันว่ามันทำงานได้จริง นั่นคือที่มาของการถล่มเมืองนางาซากิ
ความจริงแล้วเมืองที่สองที่อเมริกาจะถล่มคือเมืองเกียวโต แต่ว่าอาจจะเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเมืองเกียวโตเป็นเมืองที่มีวัดเยอะแยะไปหมด เขาบอกว่าอากาศวันนั้นที่อเมริกาจะบินไปเมืองเกียวโต มันมองไม่เห็นเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะมีเมฆเต็มไปหมด ในที่สุดทางศูนย์ควบคุมกลางก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็เอาเมืองถัดจากเมืองเกียวโต คือนางาซากิ นางาซากิก็ซวยไป นี่เป็นตำนานที่เป็นความจริง เพราะในที่สุดแล้วเอกสารในช่วงหลัง คืออเมริกาเขาจะมีเอกสารลับที่เก็บเอาไว้ แต่จะมีอายุไม่เกิน 50 ปี พอเกิน 50 ปีแล้ว ทุกคนสามารถจะเอาเอกสารนี้มาค้นคว้าได้ ข้อมูลที่ผมรู้มาตั้งแต่ผมเรียนปริญญาตรีอยู่ที่ UCLA ผมจบคณะประวัติศาสตร์มา แล้วผมได้เห็นเอกสารพวกนั้น ก็เลยยืนยันได้ว่านี่เป็นความจริง
พอหลังจากนั้นแล้ว เผอิญรัสเซียก็แทงข้างหลังอเมริกา จ้างนักวิทยาศาสตร์อเมริกาที่ผลิตปรมาณู ให้หนีไปอยู่รัสเซีย ให้เงินให้ทองทุกอย่าง ในที่สุดแล้ว นักวิทยาศาสตร์คนนี้และอีกสองคนก็ไปผลิตระเบิดปรมาณูให้รัสเซีย ในที่สุด ในโลกขณะนี้ก็มี 2 ประเทศที่มีระเบิดปรมาณู ก็คืออเมริกาเจ้าหนึ่ง และรัสเซียอีกเจ้าหนึ่ง
เอาล่ะ ก่อนที่เราจะก้าวไปลึกลงไปอีกสักนิดหนึ่งถึงอเมริกาในยุคปัจจุบัน ผมจำเป็นจะต้องอธิบายที่ตั้งของอเมริกาเสียก่อนว่า อเมริกาเป็นไปมาอย่างไรถึงเกิดอเมริกาขึ้นมาได้
เมื่อปี พ.ศ.2035 หรือประมาณ 528 ปีที่แล้ว นักผจญภัย คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้ล่องเรือมาแล้วค้นพบทวีปอเมริกา 528 ปีที่แล้ว อเมริกามีคนพื้นเมืองที่อยู่ในทวีปอเมริกา มีมาแล้ว 15,000 ปี ตามหลักฐานทางนักโบราณคดี แล้วก็มีชนกลุ่มพวกนี้ที่อเมริกาและพวกเราเรียกว่าอินเดียนแดง ทำไมเรียกว่าอินเดียนแดง เนื่องจากว่าคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เห็นคนพื้นเมืองแล้ว ผิวเหมือนคนอินเดีย ก็เลยนึกว่าตัวเองนั้นมาสู่ประเทศอินเดีย ไม่ได้เป็นการค้นพบใหม่ ก็เลยเรียกพวกนี้ว่า อินเดียน (Indian) ไปๆ มาๆ ก็เป็น Red Indian อินเดียนแดง นั่นคือที่มาของภาษาคำว่าอินเดียนแดง
ทีนี้ เนื่องจากคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นชาวยุโรป แล้วก็ล่องเรือมาค้นพบทวีปต่างๆ มาค้นพบประเทศโน้นประเทศนี้ กลับไปก็เลยทำให้เห็นว่ามันมีโลกใหม่เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อมีโลกใหม่เกิดขึ้นมา ก็เลยมีคนที่ต้องการจะผจญภัย ต้องการที่จะมาแสวงหาทรัพยากร ต้องการที่จะมาหาทอง ต้องการที่จะมาสร้างอาณานิคม คนที่มาที่อเมริกาในยุคแรกๆ ก็เลยกลายเป็นคนยุโรปหมดเลย ก็คือมีอังกฤษ อังกฤษนี่พิเศษกว่าชาวบ้านเขา อังกฤษนี่ผมกำลังพูดรวมไปถึงไอร์แลนด์ และประเทศเวลส์ ซึ่งอยู่ในหมู่เกาะอังกฤษหมดเลยนะ เป็นกลุ่มสหราชอาณาจักร รวมไปถึงสกอตต์แลนด์ด้วย
อังกฤษสมัยก่อนนี้ เวลาเขาจะเนรเทศนักโทษ เขาไม่ฆ่า เขาจะเนรเทศไปเลย ส่งไปที่อเมริกา ส่งไปที่ออสเตรเลีย นักโทษพวกนี้ อาจจะเป็นนักโทษฆ่าคนเอย นักโทษลักเล็กขโมยน้อย หรือโน่นนี่นั่น เขาจับส่งไปหมดเลย แล้วยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่อยู่ในอังกฤษและไอร์แลนด์ ที่เป็นคนไม่มีสถานภาพที่สูงส่งทางครอบครัว เพราะสมัยก่อนประเทศทางยุโรปนั้นจะมีการแบ่งชนชั้นชัดเจน อย่างเช่น ประเทศไอร์แลนด์ก็จะมีตระกูลกี่ตระกูลที่จะมาหนุนกษัตริย์องค์นี้ขึ้นมา คนที่ไม่ได้มีส่วนของตระกูลต่างๆ เหล่านี้ ถ้าไม่เป็นลูกจ้างเขา ก็เป็นทาส หรือว่าเป็นชาวไร่ชาวนาธรรมดา แล้วต้องมารับใช้ตระกูลพวกนี้ แต่ไม่ถึงขั้นเป็นทาส ในบรรดาพวกนี้ก็จะมีคนอยู่ไม่น้อยเลยที่ไม่มีอนาคต ที่อยู่ในประเทศตัวเอง เพราะชาติตระกูลต่ำต้อย ก็จะมีปรากฏคนพวกนี้เยอะเลยที่รู้ว่ามันมีโลกใหม่อยู่ทางอเมริกา แล้วมีคนอังกฤษไปที่โน่นแล้ว คนสเปนก็ไป มีฝรั่งเศสก็ไป โปรตุเกสก็ไป ก็เลยนั่งเรือไปที่นั่น มันก็เลยเกิดอาณานิคมของคนยุโรปขึ้นมา เป็นอาณานิคมเลยนะครับ คนยุโรป พวกนี้ทำอะไรล่ะ พวกนี้ก็แสวงหาประโยชน์จากที่ใหม่ แสวงหาทองคำ แสวงหาทรัพยากร แสวงหาธาตุ หลายอย่าง แล้วคนอังกฤษที่ด้อยโอกาสพวกนี้ก็ไปกันหมด
อีกประเภทหนึ่ง ตอนนั้นที่อังกฤษ ที่ยุโรป มันมีการกดขี่ทางศาสนา มันมีหลายประเภท มีทั้งคาทอลิก มีทั้งคริสเตียน มีทั้งลูเทอแรน แล้วศาสนาคาทอลิกก็เป็นศาสนาที่ในยุคนั้นเผด็จการมาก โป๊ปมีอำนาจใหญ่สุด โปรแตสแตนท์ของอังกฤษกว่าจะเกิดขึ้นได้ในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรีย ก็ลำบากมาก แต่ว่าจะมีประชาชนอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่น้อยเลย ที่เชื่อในศาสนาที่ตัวเองนับถือ ได้ถูกคาทอลิกกดขี่ ก็เลยนั่งเรือเพื่อไปแสวงหาดินแดนแห่งใหม่ นั่นก็คืออเมริกา และสุดท้ายก็คือคนที่ต้องการสร้างชีวิตใหม่ ที่ผมเรียนให้ทราบ เป็นคนหนุ่มคนสาวมา รักใคร่ชอบพอกัน แต่มีความรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่มีสิทธิที่จะเจริญเติบโตต่อไปได้
มันมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิด มันสร้าง พูดถึงชีวิตของคนหนุ่มคนสาว คนหนุ่มนี่เป็นลูกของชาวบ้านชาวนาธรรมดา เล่นโดยทอม ครูซ ส่วนนางเอกก็คือแฟนเก่าทอม ครูซ ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ที่สูงๆ หน่อยแล้วตอนหลังเขาก็เลิกกันไป ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ทอม ครูซ เนื่องจากว่ารักผู้หญิงคนนี้ แล้วผู้หญิงคนนี้อยู่ในตระกูลที่สูงศักดิ์กว่าเขา เขาทำอะไรไม่ได้ เขาก็เลยชวนเมียของเขาหนี นั่งเรือกลับมาที่อเมริกาเพื่อมาสร้างชีวิตใหม่
ทั้งหมดนี้ ชนชาวอาณานิคมยุโรปมีหน้าที่อย่างหนึ่งในขณะนี้ ก็คือว่า จะต้องขยับขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ ก็เลยต้องมีการปะทะกัน และทำร้าย ทำลายกลุ่มของชนพื้นเมืองที่เรียกกันว่าอินเดียนแดง ซึ่งกลุ่มคนพวกอินเดียนแดงนี้ มีเผ่าอยู่ทั้งหมด 570 เผ่า เพราะฉะนั้นแล้ว ชาวยุโรปก็เลยก่อสงครามเพื่อไล่ชาวอินเดียนแดงไปอยู่ที่อื่น เนื่องจากหวังจะฮุบแผ่นดินของชาวอินเดียนแดง สงครามระหว่างชาวอินเดียนแดงกับชาวยุโรปเกิดขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 จนถึง ค.ศ.19 สงครามอันยาวนาน หลายร้อยปี ได้พรากชีวิตชาวอินเดียนแดงเป็นจำนวนมาก โดยบางเผ่าก็ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนไม่เหลือใครเลยสักคนเดียว
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมคงจะจำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งได้ ชื่อ The Last of The Mohicans นั่นก็ยกตัวอย่างให้ฟัง เป็นเผ่าโมฮีกัน ซึ่งเป็นเผ่าสุดท้ายที่อยู่ แล้วต้องรบกับพวกยุโรป รบกับพวกทางฝรั่ง ทำไมอินเดียนแดงถึงพ่าย เพราะว่าฝรั่งมีปืน อินเดียนแดงมีแค่หอกกับธนู ก็เลยถูกฆ่า และในที่สุดแล้ว ท่านผู้ชมที่เคยอยู่เมืองนอก จำวันหนึ่งได้ไหมที่เขาเรียก วันขอบคุณพระเจ้า Thanksgiving Day ซึ่งเป็นวันหยุดที่ยาวมากของอเมริกา หยุด 3-4 วันเลย เป็นวันที่พักผ่อนหย่อนใจมากที่สุด ก็คือเป็นวันที่คนอเมริกันในยุคแรก คนในยุโรป ขอบคุณพระเจ้า ทำไมต้องขอบคุณพระเจ้า เพราะผู้อพยพช่วงนั้นเดินทางมาอยู่ที่อเมริกาใหม่ๆ ตั้งรกรากในอเมริกาชุดแรก ลำบากมาก ปลูกอะไรก็ไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่ว่าชาวอินเดียนแดงมาสอนคนพวกนี้ให้ปลูกข้าวโพด ปลูกผลไม้ ปลูกพืชผักหลายอย่าง มันเริ่้มจากนักจาริกบุญ แสวงบุญ ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าพวก pilgrims นิกายศาสนาบริสุทธิ์ เป็นนิกายที่เขาเรียกว่า Puritanism บริสุทธิ์ ออกเดินทางจากอังกฤษมาโดยเรือที่เป็นสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์อเมริกา ชื่อเรือ Mayflower มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในที่ปัจจุบันเป็นเมืองพลิมัท มลรัฐแมสซาชูเซตส์
ต่อมาในฤดูใบไม้ร่วงปีรุ่งขึ้น พ.ศ.2164 (ค.ศ.1621) หลังจากที่เขารอดออกจากการอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บและอากาศหนาวเย็นในดินแดนใหม่มาได้ครบ 1 ปี หลังเก็บเกี่ยวพืชผลแล้ว พวก pilgrims พวกนี้ก็เลยจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองขอบคุณพระเจ้า โดยได้เชิญชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองมาร่วมด้วย ทำไมถึงเชิญมาร่วม เพราะว่าชาวอินเดียนแดงเป็นผู้สอนพวก pilgrims ให้เพาะปลูกข้าวโพด พวกผลไม้พื้นเมืองไว้เป็นอาหารประทังชีวิต งานเลี้ยงครั้งนั้นประกอบด้วยไก่งวงป่า เป็ด ห่าน ปลาคอด กวาง ด้วยเหตุนี้ไก่งวงก็เลยกลายเป็นอาหารหลักประจำของวันขอบคุณพระเจ้า วัน Thanksgiving แต่ว่าเบื้องหลังของงานวัน Thanksgiving ก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอินเดียนแดง จากที่เคยมีการประเมินกันโดยนักวิชาการอเมริกันว่า ก่อนโคลัมบัสเดินทางมาถึงอเมริกาในปี 2035 หรือ ค.ศ.1492 มีชาวพื้นเมืองหรือที่เรียกว่าอินเดียนแดง ระหว่าง 8.4 ล้านคน ถึง 112.5 ล้านคน ทำไมมันห่างขนาดนี้ คือเขาประเมินเอา แต่เมื่อถึงปี ค.ศ.1650 หรือ พ.ศ.2193 ก็มีการประเมินว่า ชนชาวพื้นเมืองอินเดียนแดงลดลงเหลือเพียง 6 ล้านคน ก่อนที่จะลดลงเหลือ 8 แสนคน ในปี พ.ศ.2343 หรือ ค.ศ.1800
ในเวลาต่อมามีการเคลื่อนไหวจากทายาทชนเผ่าอินเดียนแดง บอกว่าวันขอบคุณพระเจ้า ที่บอกว่า Thanksgiving Day จริงๆ แล้วควรจะเป็นวันไว้อาลัยแห่งชาติ ก็คือ National Day of Mourning หรือวันไม่ขอบคุณพระเจ้า Unthanksgiving Day มากกว่า เพราะว่าเบื้องหลังของวันขอบคุณพระเจ้าคือวันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยุโรปที่เข้ามาอยู่ในอเมริกา
เอาล่ะ ไล่เรียงมาอีกสักนิด ก่อนที่จะถึงประวัติศาสตร์ปัจจุบัน อังกฤษเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไร อเมริกาใหญ่มากตอนนั้น ก็จะมีฝรั่งเศสมายึดรัฐลุยเซียนา สเปนมายึดทางเม็กซิโก ซึ่งตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของอเมริกาไปแล้ว ก็คือมายึดแคลิฟอร์เนียไป อังกฤษก็จะมีชุมชนของอังกฤษ ก็คือทางภาคเหนือของอเมริกา อังกฤษใช้นโยบายคุมพวกนี้แล้วก็ใช้ความที่เป็นเจ้าอาณานิคม แล้วคนที่มาอยู่ในชุมชนอังกฤษนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นอดีตนักโทษ หรือคนที่ชนชั้นต่ำต้อย อังกฤกษก็ส่งทหารมา ส่งผู้ปกครองมา ส่งผู้ว่าฯ เข้ามาควบคุม
อังกฤษเป็นคนที่ชอบกินชามาก ชอบมากๆ เลย เผอิญมันมีชาที่ปลูกอยู่ในลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีขึ้นมา เขาก็ใช้คนอินเดียนแดงปลูก แล้วก็บีบซื้อมาจากอาณานิคมที่เป็นอาณานิคมอังกฤษในราคาที่ถูกมาก แล้วมาขายในยุโรปที่ราคาแพง ทำให้ชาวอาณานิคมไม่พอใจ ไม่พอใจจริงๆ ก็เลยเกิดการประท้วง ชุมนุม เขาเรียกว่างานเลี้ยงน้ำชาที่บอสตัส ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Boston Tea Party
Boston Tea Party ก็คือการที่ชาวอินเดียนแดงและชาวอังกฤษที่อยู่เบื้องหลังชาวอินเดียนแดงไม่พอใจ ก็ไปบุกเรือขนส่งชาที่จะส่งกลับอังกฤษนั้น เอาชานั้นทุ่มทิ้งลงทะเลหมดเลย ซึ่งใบชาต่างๆ เหล่านี้เป็นของบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ซึ่งเป็นบริษัทของอังกฤษที่ไปสูบเอาทรัพยากรของประเทศต่างๆ มา รวมทั้งอินเดีย แล้วไปสูบเอาทรัพยากร แล้วขนฝิ่นไปขายที่เมืองจีน นี่ล่ะบริษัทอินเดียตะวันออก
ในที่สุดรัฐบาลอังกฤษก็ตอบโต้อย่างรุนแรง จนสถานการณ์บานปลาย เกิดเป็นการปฏิวัติอเมริกาขึ้นมาทันทีเลย ฉะนั้นงานเลี้ยงน้ำชา หรือ Boston Tea Party นั้น เป็นเหตุการณ์เชิงสัญลักษณ์ในหน้าประวัติศาสตร์อเมริกา จนในที่สุดอเมริกาก็สามารถประกาศอิสรภาพได้ ในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319 (ค.ศ.1776) ที่เมืองฟิลาเดลฟี มลรัฐเพนซิลเวเนีย ทำให้เกิดประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกาที่ชื่อ จอร์จ วอชิงตัน ขึ้นมา
ท่านผู้ชมครับ หลังจากที่อเมริกาได้เริ่มมีประธานาธิบดีคนแรก จอร์จ วอชิงตัน แล้ว สหรัฐอเมริกาก็เริ่มขยับขยายดินแดนของตัวเอง ซึ่งอยู่ในภาวะการณ์ที่อเมริกาต้องการที่จะสร้างชาติในขณะนั้น
หลังจากที่ชนะอังกฤษแล้ว ฝรั่งเศสก็เริ่มถอนตัวออกมา เพราะตอนที่อเมริการบกับอังกฤษนั้น ฝรั่้งเศสก็เป็นพันธมิตรร่วมรบกับอเมริกาด้วย ตอนนั้นฝรั่งเศสก็ถือ ยึดครองบางส่วนอยู่ในอเมริกาด้วย ตอนหลังอเมริกาก็ซื้อพื้นที่บางส่วนจากฝรั่งเศสไป
เดี๋ยวผมจะให้ดูแผนที่ แผนที่อันแรกท่านผู้ชมจะเห็นว่าสีชมพู คือที่สหรัฐอเมริกามีพื้นที่อยู่ นอกนั้นแล้วไม่ใช่ของอเมริกาทั้งสิ้น นั่นคือปี พ.ศ.2332 หรือช่วงต้นยุครัตนโกสินทร์ หลังจากนั้นอีกเพียง 56 ปี หรือไม่ถึง 60 ปี สีชมพูซึ่งเป็นแผนที่อเมริกานั้น ก็ได้รุกคืบออกมาไปจนกระทั่งกินเข้าไปอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งของอเมริกาแล้ว และหลังจากนั้นแล้ว ทางอเมริกาก็เริ่มที่จะยึดแคลิฟอร์เนียมาจากเม็กซิโก แล้วก็เข้าไปยึดในพื้นที่ต่างๆ ที่เป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ที่เขาเรียกว่า Territory คือยังไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไรมากมายนัก รวมทั้งมลรัฐเทกซัส ซึ่งแต่ก่อนท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า เทกซัสแต่ก่อนเป็นมลรัฐเอกราช เป็นประเทศเอกราช และในที่สุดแล้ว ก็ตัดสินใจแล้ว ระหว่างที่จะเป็นประเทศเอกราชต่อไป หรือจะต้องเข้ามาร่วมกับอเมริกา แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาร่วมในอเมริกา
พอเมริกาได้ยึดครองทวีปอเมริกาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็มีนโยบายที่จะรุกคืบไปทางตะวันตก ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Wild West ก็คือบุกทางตะวันตก มีการเคลื่อนย้ายพลเมืองจากทางตะวันออก มีรถม้า รถบรรทุก อะไรพวกนี้ รถที่ใช้ม้าเลื่อนไป เป็นขบวนไป ที่เราเคยดูหนังคาวบอยกัน ผ่านท่ามกลางหุบเขา ผ่านโคโลราโด ผ่านยูทาห์ มาเรื่้อยๆ ผ่านออริกอน แล้วก็ไปเจออินเดียนแดง ก็ต่อสู้กับอินเดียนแดง นี่ก็เป็นภาพยนตร์อันหนึ่ง
แต่สรุปแล้ว ง่ายๆ เนื่องจากว่าอเมริกาเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ในเรื่้องของทางวัฒนธรรม ในเรื่องของภาพยนตร์ เพราะฉะนั้นแล้วในยุคหลังก็เลยมีภาพยนต์หลายเรื่องที่สร้างออกมาที่เป็นการเชิดชูวีรกรรมของผู้บุกเบิกชาวอเมริกา ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจกันได้ ที่ผมพูดนี่ไม่ได้ตำหนิเขา เพราะเมื่อเขาตั้งประเทศแล้ว เขาก็อยากจะรุกคืบอาณาเขตที่อยู่ใกล้ๆ เขาให้มาเป็นของเขาไปเสีย
ภาพยนตร์เรื่องที่ผมเล่าให้ฟังตอนแรก ที่เป็นเรื่องของทอม ครูซ กับนิโคล คิดแมน ย้ายถิ่นฐานจากเกาะอังกฤษ หรือไอร์แลนด์ มาที่อเมริกานั้น ชื่อ Far and Away แล้วภาพยนตร์ที่ผมเล่าให้ฟัง เรื่อง The Last of The Mohicans หรือชื่อไทยคือ โมฮีกันจอมอหังการ นำแสดงโดยแดเนียล เดย์-ลูวิส ก็คือเป็นภาพจำลองของคนผิวขาวคนหนึ่ง ซึ่งเจริญเติบโตมาอยู่กับชาวอเมริกันพื้นเมืองเผ่าโมฮีกัน ในยุคล่าอาณานิคมเมื่อศตวรรษที่ 18 ซึ่งต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างสหราชอาณาจักรอังกฤษ และฝรั่งเศส และภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งซึ่งชี้ให้เห็นถึงเรื่องของความไม่เป็นธรรมที่คนอเมริกันได้ทำกับชาวอินเดียนแดง ชื่อ Dances With Wolves
ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้คนแสดงนำคือ เคลวิน คอสต์เนอร์ ได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง 7 ตัว ชื่อไทยภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ จอมคนโลกที่ 5 เป็นเรื่องที่นายเคลวิน คอสต์เนอร์ เป็นร้อยโทในกองทัพบกอเมริกา ชื่อจอห์น ดันบาร์ กองทัพฝ่ายเหนือ เบื่อหน่ายก็ลาออกจากราชการ แล้วก็ได้เหรียญกล้าหาญ ไปรับสิทธิพิเศษ คิดย้ายไปประจำการอยู่ในหน่วยทหารหน่วยใดก็ได้ ร้อยโทจอห์น จึงขอย้ายตัวเองไปอยู่ในป้อมร้างสุดเขตแดน ซึ่งมันเป็นเขตติดต่อกับถิ่นที่อยู่ของชนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดงเผ่าลาโกตา หรือเผ่าซู เมื่อได้สัมผัสกับชีวิตของชาวอินเดียนแดงหรือชนเผ่าท้องถิ่นอเมริกาแล้ว ทำให้สำนึกได้ถึงความหมายของการเป็นมนุษย์ที่แท้
ในบรรดาภาพยนตร์ทั้งหลายที่เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของการบุกทางตะวันตกของอเมริกาแล้ว ทั้งที่เวอร์และไม่เวอร์ ที่เวอร์ก็คือ อเมริกาเป็นพระเอกไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหนังปี 2499 ชื่อ The Searchers ชื่อไทยคือ สิงห์ปืนแสบถล่มแดนเถื่อน นำแสดงโดยจอห์น เวย์น ก็คือเป็นการชี้ให้เห็นถึงยุคของการซึ่งอเมริกาเริ่มบุกไปทางตะวันตก ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือแม้กระทั่งหนังที่คลาสสิกที่สุดสมัยที่ผมเคยดูเด็กๆ ชื่อ SHANE ชื่อไทยคือ เพชฌฆาตกระสุนเดือด SHANE นำแสดงโดยอลัน แลดด์ เป็นสงครามกลางเมือง หลังสงครามกลางเมืองอเมริกา ก็เข้าไปช่วยครอบครัวๆ หนึ่งในรัฐไวโอมิง ที่ถูกขับไล่จากผู้มีอิทธิพล คือเป็นเหตุการณ์ย่อยๆ ปลีกย่อยที่ทำให้เห็นว่า ระหว่างที่อเมริการุกไปจากทางตะวันออก อเมริกาเริ่มจากตะวันออกก่อนนะท่านผู้ชม ต้องจำไว้นะครับ เริ่มจากตะวันออกก่อนแล้วค่อยๆ รุก แล้วพอได้หมดทุกอย่างก็รุกเข้าไปทางตะวันตก เพื่อไปบุกป่าฝ่าดง เพื่อที่จะตั้งรกรากกันใหม่ ก็จะมีเหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้น มีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น แล้วในที่สุดก็จะมีพระเอกออกมา ก็คือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความอหังการ์ของพระเอกที่จะมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ในท้องถิ่น
ท่านผู้ชมครับ มันมีอยู่อันหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ อเมริกามีปรัชญาอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีคนพูดถึง ผมเรียกปรัชญานี้ว่าโองการพระเจ้า ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Manifest Destiny แปลว่าอะไร แปลว่ามีความเชื่อว่าสหรัฐอเมริกามีภารกิจที่กำหนดไว้โดยเทพเจ้าให้ทำการขยายพรมแดนจากชายฝั่งแอตแลนติกทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือออกไปทางตะวันตกจนจรดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก คือทางตะวันออก ทางนิวยอร์ก มหาสมุทรแอตแลนติก เขามี Manifest Destiny โองการพระเจ้าว่า จะต้องขยายมาเรื่อยๆ มาทางฝั่งตะวันตก มาจนจรดมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งอยู่ทางซ้าย แอตแลนติกทางขวา คือเขามองตัวนี้ว่าเป็นปรัชญาที่มีความเชื่อมั่น คนที่คิดวลีนี้ก็คือหนังสือพิมพ์ในเมืองนิวยอร์ก ในปี พ.ศ.2388 เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ชื่อนายจอห์น โอ ซัลลิแวน เมื่อเขาเขียนว่ามันเป็นชะตากรรมของชาติที่พระเจ้ากำหนดเอาไว้แล้ว ว่าขยายพรมแดนออกไป และเข้าครอบครองทวีปอเมริกาเหนือทั้งหมด ซึ่งเป็นพระกรุณาของพระเจ้าที่กำหนดให้แก่เรานี้ ก็เพื่อพัฒนาประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ของเสรีภาพ และรัฐบาลสหพันธรัฐที่ทรงประทานให้แก่เรา แม้ว่าแนวคิดเทพลิขิตไม่เคยถูกระบุว่าเป็นนโยบายพิเศษ หรือเป็นอุดมการณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ก็เป็นเจตจำนงซึ่งเป็นที่เข้าใจได้อันเกิดขึ้นจากการประสานแนวคิดรากฐานสำคัญ 3 ประการ ซึ่งรากฐานนี้ยังคงอยู่แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ เป็นเพียงแต่ว่าไม่ได้มีการเอามาพูด มันฝังรากลึกลงไปในปรัชญาของประเทศอเมริกา นั่นคือ ข้อหนึ่ง ลัทธิที่ชื่อว่าอเมริกันชนนั้นเหนือชนชั้นกว่าชาติอื่น สอง ลัทธิชาตินิยม สาม ลัทธิการแพร่ขยายอาณาเขต
นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าแนวคิดในบางมุมของเทพลิขิตนั้นยังคงประกอบอยู่เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายและมุมมองของโลกภายนอกของอเมริกา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ท่านผู้ชมครับ นี่คือประวัติศาสตร์คร่าวๆ ของการเกิดของประเทศอเมริกา ซึ่งผมต้องเรียนให้ท่านผู้ชมทราบว่า มันยังมีอีกเยอะ รายละเอียดอีกมาก แต่ผมไม่สามารถจะมาพูดในวันนี้ได้ ผมจะเล่าเรื่องปัจจุบันให้ฟังก็แล้วกัน ทำไมผมถึงบอกว่าเรื่องของประวัติศาสตร์อเมริกานั้น ผมรู้อยู่เยอะ เป็นเพียงแต่ว่าผมเล่าให้ฟังในรายละเอียดไม่ได้ มันจะยาวมาก เหตุผลเพราะว่าตอนที่ผมเรียนปริญญาโทอยู่นั้น ผมได้ทุน และเป็นผู้ช่วยอาจารย์ในการสอนหนังสือด้วย นั่นคือส่วนหนึ่งของทุน แล้ววิชาที่ผมสอนก็คือ American History 101 ประวัติศาสตร์อเมริกัน สอนเด็กปี 1 เพราะฉะนั้นแล้วประวัติศาสตร์อเมริกาผมไม่กล้าพูดว่าผมรู้ทะลุปรุโปร่ง แต่ผมเชื่อว่าผมรู้มากพอสมควร แต่ผมไม่สามารถอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังได้มากจนเกินไป
ผมจะเริ่มอเมริกาในยุคปัจจุบันให้ดูก็แล้วกัน ผมจะต่อเรื่องอเมริกาตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มา เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ก็มีอยู่ 2 ค่าย ค่ายที่อ้างว่าเป็นค่ายประชาธิปไตย ก็คืออเมริกาเป็นหัวหอก โดยมียุโรปตะวันตก มีอังกฤษ และประเทศต่างๆ ที่โครงการนายพลมาร์แชลล์ ที่ช่วยเหลือให้ฟื้นฟูขึ้นมา ทั้งเยอรมนี ทั้งเบลเยียม ทั้งสวีเดน ทั้งฝรั่งเศส พวกนี้หนุนหลังอเมริกาอยู่ อีกด้านหนึ่งคือด้านคอมมิวนิสต์ซึ่งมีรัสเซียเป็นหัวหอก แล้วก็มีประเทศที่จะเรียกว่าเป็นประเทศบริวารก็ได้ มีทั้งเวียดนาม มีทั้งลาว มีทั้งเขมร มีทั้งประเทศจีน มีทั้งยุโรปตะวันออก ก็เลยเป็น 2 ค่ายประจันกัน
ประจันกันไปประจันกันมา ในที่สุดจีนกับรัสเซียก็เริ่มไม่ถูกกัน เพราะคอมมิวนิสต์จีนมองว่าคอมมิวนิสต์จีนไม่จำเป็นต้องเดินตามลัทธิของคอมมิวนิสต์รัสเซีย ก็เลยแตกแยกกันออกมา ก็เลยเกิดปรากฏการณ์ในช่วงสงครามในเวียดนามว่ารัสเซียจะหนุนเวียดนาม แต่จีนไม่ชอบเวียดนาม แล้วจีนก็หนุนเขมรแทน ก็เลยทำให้เกิดลักษณะของการที่ประเทศจีนทุ่มเททุกอย่างให้กับนักฆ่าแห่งลุ่มแม่น้ำโขง ก็คือพล พต แล้วก็ใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางส่งอาวุธ ผ่านเข้าไปที่คุณพล พต แล้วอาวุธที่ส่งนั้นส่งในยุคของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย เอาล่ะ นี่คือประวัติศาสตร์สั้นๆ
จนในที่สุดแล้วเกิดการถอนตัวของทหารอเมริกันออกจากเวียดนาม อเมริกันต้องเข้าไปในเวียดนาม เหตุผลก็เพราะว่าฝรั่้งเศสกำลังพ่ายแพ้ในเวียดนาม และอเมริกัน จะด้วยเหตุ จะยึดถือในหลักการโองการพระเจ้า (Manifest Destiny) อยู่ลึกๆ ในจิตใจ ว่าอเมริกันชนจะต้องเหนือกว่าคนอื่น และจะต้องสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ จะต้องไปช่วยผู้ที่อ่อนแอ มันเป็นความคิดที่ไม่เลวนัก เป็นเพียงแต่ว่าในขณะนั้นอุดมการณ์มันมีแรงมาก แม้กระทั่งในอเมริกาเองก็มีการต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง มีการที่เขาเรียกว่าล่าแม่มดคอมมิวนิสต์ในอเมริกา ดาราหนังในฮอลลีวูดหลายคนถูกจับ ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นสายคอมมิวนิสต์ มีสมาชิกสภาคองเกรสของอเมริกาคนหนึ่ง ชื่อ แม็คคาร์ธี คือคนที่สร้างขบวนการล่าแม่มด ใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของประเทศ ก็จะบอกว่านี่เป็นคอมมิวนิสต์ ต้องจัดการให้เด็ดขาด
ฝรั่งเศสจำเป็นต้องถอนออกมาจากเวียดนาม เพราะฝรั่งเศสอ่อนแอมาก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เงินทองก็ไม่มี ก็เลยยกเวียดนามใต้ให้กับอเมริกาไป อเมริกาก็เลยมองว่า ถ้าเวียดนามล่มสลาย มันตรงเข้ากับทฤษฎีโดมิโน ซึ่งอเมริกาตั้งเอาไว้ ไพ่โดมิโน ท่านผู้ชมสังเกตไหม ที่เป็นแท่งๆ มาวางเรียงกัน เมื่อเราล้มอันหนึ่งแล้ว อันต่อๆ ไปก็จะล้มหมดเลย นั่นคือทฤษฎีของอเมริกาว่า ถ้าเวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์ ในที่สุดแล้วเขมรก็ต้องเป็น ลาวก็ต้องเป็น ในที่สุดแล้วก็มาที่เมืองไทย เมืองไทยก็ต้องเป็น มาเลเซียก็ต้องเป็น เพราะฉะนั้นอเมริกาต้องขวางให้ได้ นั่นคือที่มาของการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามในเวียดนาม
เมื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามในเวียดนามแล้ว การต่อสู้ในสงครามนั้นมันไม่มีรูปลักษณ์อะไรที่มันชัดเจน คือทุกคนออกอาวุธหมด ตัวเองจะมีอาวุธอะไร อเมริกาต้องการที่จะถล่มเวียดนาม โดยใช้เครื่องบิน B-52 ตอนนั้น แต่อเมริกายังหาสาเหตุไม่ได้ เผอิญมันมีเรือรบอเมริกันลำหนึ่ง ชื่อ USS Maddox เรือรบลำนี้มีข่าวออกมาว่าโดนเวียดนามถล่ม ยิงปืนใส่ หรือยิงตอร์ปิโดใส่ มันก็เลยเป็นเหตุให้สภาคองเกรสของอเมริกาประกาศสงครามกับเวียดนาม ให้อำนาจประธานาธิบดีอเมริกาใช้กิจการทุกอย่างในการที่จะไปถล่มเวียดนามได้ ก็เลยเป็นที่มาของการใช้เครื่องบิน B-52 ซึ่งฐานทัพอยู่ที่อู่ตะเภา บินเพื่อไปถล่มเวียดนาม วันละ 500 เที่ยว 300 เที่ยว 400 เที่ยว
ถล่มจนกระทั่งมีศัพท์ฉายาของสารเคมีที่ร้ายกาจที่เขาเรียกว่าฝนเหลือง (Orange Rain) ซึ่งยังฝังอยู่ในพื้นดินของเวียดนามจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แต่ในที่สุดแล้ว ความเป็นชาตินิยมของคนเวียดนามและโฮจิมินห์ และการคอร์รัปชันของประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม ตลอดจนเหงียน วัน เถี่ยว ที่อเมริกาใต้ ไม่หยุดไม่หย่อน ก็เลยทำให้ประชาชนในเวียดนามส่วนใหญ่เห็นด้วยกับเวียดนามเหนือ ซึ่งตัวเแทนเวียดนามเหนือคือเวียดกง เวียดกงก็คือนักรบประชาชนที่อยู่ในเวียดนามใต้ จนในที่สุดแล้วอเมริการู้ว่าตัวเองพลาด จะสู้ในเวียดนามต่อไม่ได้
เขาบอกว่าอเมริกาพ่ายสงครามในเวียดนามในห้องรับแขก แปลว่าอะไร แปลว่าสมัยก่อนสงครามในเวียดนามเกิดขึ้น นักข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์กไทมส์ หนังสือพิมพ์ ทีวี CBS NBC ABC หลายฉบับ หลายช่อง ก็ไปถ่ายทำ ก็เห็นทหารอเมริกันล้มหายตายจาก มีโลงศพเป็นร้อยๆ โลง ต้องขนขึ้นเครื่องบินแล้วกลับไปที่อเมริกา คนที่อยู่ในอเมริกา ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก เห็นสงครามทุกวัน จนกระทั่งเห็นลูกหลานของตัวเองตายก็เลยเริ่มมีคำถามว่า ลูกของฉันไปตายที่เวียดนามเพื่ออะไร What for? มันก็เลยเกิดกระแสตีกลับรัฐบาล
จนในที่สุดกดดันรัฐบาลนิกสัน จนกระทั่งนิกสันต้องไปเจรจาสันติภาพกับเวียดนาม โดยคนที่นำไปก็คือเฮนรี คิสซินเจอร์ แล้วในที่สุดก็มีการเจรจาสันติภาพกัน มีการตกลงกันว่าภายในกี่เดือน เท่าไรๆ อเมริกาต้องถอนทหารออก นั่นล่ะคือที่มาของการถอนทหารอเมริกาออกจากเวียดนาม
ซึ่งเหตุการณ์ต่อมาภายหลังก็มีหลักฐานออกมาพิสูจน์ชัดว่าเรือรบ Maddox ที่อ้างว่าถูกทางเวียดนามเหนือ หรือเวียดกง โจมตีนั้น ในข้อเท็จจริงคือมีหลักฐานออกมาชี้แจงว่าไม่มีใครโจมตีเลย คือการสร้างเรื่องขึ้นมา นี่ผมไม่ได้ตำหนิอเมริกา เพราะว่าในสงครามแล้วทุกคนต้องใช้วิชามารหมด
ทีนี้ก่อนที่จะถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง เอาเป็นว่าเอาง่ายๆ ก็แล้วกัน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ตั้งประเทศมา นี่คือข้อมูลที่แท้จริงนะ นี่ไม่ได้มโนและก็ไม่ได้เกลียดอเมริกาอะไรทั้งสิ้น เป็นข้อมูลที่นักวิชาการและคนที่สนใจประวัติศาสตร์พูด แม้กระทั่งประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ยังพูดคำนี้ออกมาเลย บอกว่า อเมริกาทำสงครามไม่เคยหยุดหย่อนเลยนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ เมื่อ 244 ปีก่อน ตั้งแต่ พ.ศ.2319 244 ปี เขาบอกว่าอเมริกามีช่วงเดียวเท่านั้นเองที่มีความสุข คือ 17 ปีที่ไม่มีสงครามเลย มีความสุขมาก ส่วนอีก 227 ปีนั้นทำสงครามสู้รบกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นสงครามในประเทศ สงครามที่สหรัฐฯ ไปมีส่วนเกี่ยวข้องในต่างประเทศ โดยส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากแนวคิดโองการพระเจ้า (Manifest Destiny) ที่ตกทอดกันมานานนับศตวรรษ
หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ มีความก้าวหน้า เกิดการขยายตัวของเมือง การหลั่งไหลของคนเมืองจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกอย่างไม่เคยมีมาก่อน เกิดอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม อย่างเช่น Westinghouse, GE : General Electric พวกนี้ เพราะฉะนั้นแล้วก็เลยจะทำให้อเมริกานั้นจะต้องขยับขยายออกมา อุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่อเมริกาเกิดขึ้น ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ หลายชื่อ ท่านผู้ชมที่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ดีพอสมควรและเข้าใจในภาษาอังกฤษ ก็จะเห็นด้วย อย่างเช่น Cornelius Vanderbilt เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยชื่อ Vanderbilt University เขาเป็นคนก่อตั้งธุรกิจขนส่งรางรถไฟ คนๆ นี้ท่านผู้ชมคงได้ยินชื่อ John D. Rockefeller
เป็นคนก่อตั้ง Standard Oil บริษัทน้ำมัน แล้วก็เป็นเจ้าของมูลนิธิ Rockefeller ที่ให้ทุนการศึกษากับประเทศที่ถือข้างอเมริกาทั่วโลก เขาเรียกว่าทุน Rockefeller เพื่อเดินทางไปเรียนหนังสือที่อเมริกา ได้ทั้งเงินเดือน ได้ทั้งค่าที่อยู่ ค่าที่พักอาศัย แต่ไปเรียนรู้ปรัชญาและแนวคิดของคนอเมริกัน เพื่อกลับมาเป็นผู้นำในประเทศนั้น จะได้นำเอาปรัชญาแนวคิดของคนอเมริกันที่ตัวเองได้ซึมซับจากการไปเรียนที่นั่นโดยผ่านมูลนิธิ Rockefeller เอามาสั่งสอนคนในประเทศตัวเอง เอามาสร้างนโยบายให้มันล้อกับนโยบายของอเมริกา
คนที่สาม คือ Andrew Carnegie สถาบันคาร์เนกี สถาบันอบรมการบริหารคาร์เนกี แต่คาร์เนกียุคนั้นเป็นเจ้าของบริษัทเหล็ก แล้วก็ JPMorgan มีบทบาทเด่น เพราะการธนาคารกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ จนวันนี้ JPMorgan ก็ยังอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่วอลล์สตรีท
มี Thomal Edison กับ Nikola Tesla ทำให้ไฟฟ้ากระจายไปสู่อุตสาหกรรม แล้วก็มี Henry Ford เป็นคนที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ นักธุรกิจอุตสาหกรรมเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเฟื่องฟูและก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกต่อมา
อีกประการหนึ่ง คนอเมริกันก็ยังเป็นเจ้านวัตกรรม หรือคิดค้นนวัตกรรมพลิกโลกขึ้นมาทุกอย่าง อย่างเช่น Albert Einstein ก็เป็นคนยิวเกิดที่เยอรมนี ก่อนจะคิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพ จนได้รับรางวัลโนเบล ย้ายไปอยู่อเมริกา สอนหนังสือในอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีส่วนช่วยอเมริกาในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ตามโครงการแมนฮัตตันได้สำเร็จ ต่อมา Einstein ก็เสียชีวิตในอเมริกา ก็อย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบตั้งแต่ต้น ขอซ้ำอีกที
นอกจากนี้ยังมี Wernher von Braun คือใคร เป็นวิศวกรและสถาปนิกอวกาศชาวเยอรมัน อดีตสมาชิกพรรคนาซี อยู่กับฮิตเลอร์ ออกแบบสร้างจรวด V2 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง Wernher von Braun กับนักวิทยาศาสตร์ วิศวกรชาวเยอรมัน 1,600 คน ถูกพาตัวไปอเมริกาอย่างลับๆ ซึ่งเรียกแผนนี้ว่า ปฏิบัติการคลิปหนีบกระดาษ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Operation Paper Clip โครงการของสหรัฐอเมริกาที่ได้ดำเนินการนำพาเหล่านักวิทยาศาสตร์ และวิศวร ช่างเทคนิค จากนาซีเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าไปยังประเทศอเมริกา โดยมอบสัญชาติอเมริกา และทำเอกสารปลอมแปลงให้กับพวกเขา เพื่อตบตาไม่ให้คนอเมริกันรับทราบ
เพราะฉะนั้นแล้ว ยกตัวอย่าง Wernher von Braun เป็นสถาปนิกใหญ่ของจรวด Saturn 5 ซึ่งนำส่งยานอพอลโลไปยังดวงจันทร์ เขาถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ได้มีส่วนพัฒนาเทคโนโลยีจรวดในเยอรมนี และถูกยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งจรวดและวิทยาศาสตร์อวกาศในอเมริกา
ท่านผู้ชมครับ นี่้ผมยกตัวอย่างให้ฟังถึงการเจริญเติบโตของอเมริกา และในที่สุดแล้ว อุตสาหกรรมในอเมริกาก็เจริญเติบโตมาอย่างมากมาย และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีหน่วยงานๆ หนึ่งซึ่งเกิดขึ้น และเป็นตัวการที่ทำให้อเมริกาต้องรบอยู่นอกประเทศเป็นเวลานาน ก็คือองค์กร CIA นอกจากจะเป็นหน่วยข่าวกรองให้รัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว ยังเป็นกองทัพลับของประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกด้วย ท่านผู้ชมครับ ในช่วง 70 กว่าปีที่ผ่านมา CIA ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภารกิจทั้งในทางเปิดและทางลับ เพื่อแทรกแซงสถานการณ์ต่างๆ เหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศต่างๆ สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายจนถึงขั้นล้มล้างการปกครอง ล้มรัฐบาลในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ภายใต้หลักการเพียงข้อเดียว คือ ผลประโยชน์ของอเมริกา
ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ผมเคยพูดให้ท่านผู้ชมฟังหลายครั้งแล้ว ก็คือในอิหร่าน CIA ร่วมกับ MI6 ของอังกฤษ ล้มล้างนายกรัฐมนตรีมอสซาเดก ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอสซาเดกเป็นคนที่ได้รับการเลือกตั้งมา แต่เป็นคนต้องการที่จะเจรจาต่อรองกับบริษัทน้ำมันของอังกฤษและต่างชาติที่มายึดเอาทรัพยากรธรรมชาติทางน้ำมันของอิหร่าน แล้วให้ผลประโยชน์ตอบแทนอิหร่านน้อยมาก มอสซาเดกก็เลยออกกฎหมายยึดคืน ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Naturalization แต่วัตถุประสงค์ของมอสซาเดกคือยึดคืนเพื่อให้มีการเจรจา เพื่อปรับสัญญาให้ประเทศอิหร่านได้มากขึ้น แต่อังกฤษไม่ยอม อังกฤษก็เข้าไปร่วมกับ CIA เพื่อล้มมอสซาเดก แล้วมอสซาเดก ก็เลยถูกล้มล้างไป อเมริกา-อังกฤษก็เลยตั้งกษัตริย์เรซา ปาห์ลาวี ขึ้นมา แล้วกษัตริย์ปาห์ลาวีก็ได้รับการสนับสนุน ฝึกอบรม จากองค์กร CIA เพื่อตั้งหน่วยตำรวจลับที่เขาเรียกว่า SAVAK
SAVAK นี่ก็ไปจับคนที่ฆ่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพระเจ้าชาห์ จนในที่สุดพระเจ้าชาห์ก็โดนอยาตอลลาห์ คาเมเนอี ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศส ล้มล้างไป นี่เป็นเพียงแต่ตัวอย่างเล็กๆ ยังมีอยู่ที่นิการากัวอีกหลายเรื่อง หลายต่อหลายเรื่อง การปฏิวัติที่ทางยุโรปตะวันออก ทางยูเครน ที่เขาเรียกว่า Orange Revolution ก็เป็นฝีมือของ CIA ทั้งสิ้น และก็ไม่มีอะไรที่น่าประหลาดใจ ถ้า CIA และ MI6 มีปฏิบัติการที่ฮ่องกง และมีปฏิบัติการที่ประเทศไทยด้วย ในขณะนี้ เพียงแต่ว่ารอจังหวะให้มันเกิดขึ้นเท่านั้นเอง เมื่อไรจะได้แทรกเข้าไป
เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่าบทบาทของอเมริกาในขณะนั้นทำทุกอย่างเพื่อให้ประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับอเมริกาล่มสลาย แล้วตั้งคนของตัวเองขึ้นมาเป็นคนที่ล้อกับอเมริกา ที่ยินดีกับอเมริกม ในเอเชียก็มีอยู่หลายประเทศ ซึ่งเป็นลูกน้องของอเมริกา อย่างเช่นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ จนกระทั่งดูแตร์เตขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ดูแตร์เตก็เป็นลักษณะคล้ายๆ ทรัมป์บ้า ก็คือมีเลือดบ้าเยอะพอสมควร ไม่พอใจอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ก็ใส่กันไปเป็นชุดเลย
ท่านผู้ชมครับ มีอาจารย์คนหนึ่งชื่อคิชอร์ มาห์บูบานี เป็นอดีตเอกอัครราชทูตถาวรสิงคโปร์ประจำอเมริกา เคยดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีสถาบันนโยบายสาธารณะของมหาวิทยาลัยแห่งสิงคโปร์
ศาสตราจารย์มาห์บูบานี เขาพูดถึงความเป็นสองมาตรฐานของอเมริกา เขาบอกว่าในการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะนางฮิลลารี คลินตัน ปี 2559 ชาวอเมริกาออกมาประณามและกล่าวหาว่ารัสเซียอยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนนายทรัมป์ และแทรกแซงการเมืองภายในของสหรัฐฯ โดยกล่าวว่า เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง กิจกรรมในระบอบประชาธิปไตยอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของสหรัฐอเมริกา ท่านศาสตราจารย์ก็พูดต่อ มันเป็นเรื่องที่ผิด หากรัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งของอเมริกา ในการเลือกตั้งของประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ควรมีชาติอื่นเข้ามาแทรกแซง แต่ในมุมตรงกันข้าม ประเทศที่เข้าแทรกแซงการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยของประเทศอื่นมากที่สุด คือประเทศสหรัฐอเมริกา
มันมีบทวิเคราะห์ในนิวยอร์กไทมส์ที่อธิบายว่า ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งมากกว่า 100 ครั้ง ในหลากหลายประเทศ แต่สหรัฐฯ คิดเอาเองว่าถ้าสหรัฐฯ เข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งในประเทศนั้นๆ สหรัฐฯ ถือว่าเป็นฝ่ายถูกต้อง มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่อเมริกาสามารถทำได้ ซึ่งข้อคิดนี้ ศาสตราจารย์เจฟฟรีย์ แซกส์ (Jeffrey Sachs) ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งพูดถึงการเสื่อมถอยของจักรวรรดินิยมอเมริกา ซึ่งเขาเห็นด้วยกับศาสตราจารย์มาห์บูบานี ว่า หลักฐานเหล่านี้ชี้ชัดว่าอเมริกาเป็นประเทศสองมาตรฐาน เพราะถ้าอเมริกาไม่ต้องการให้รัสเซียเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งตัวเอง อเมริกาก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งในประเทศอื่นด้วย
และอีกประการหนึ่ง สหรัฐฯ มักจะเชิดชูเรื่องของสิทธิมนุษยชน (Human Rights) แล้วท่านศาสตราจารย์มาห์บูบานี บอกว่า ครั้งต่อไปคุณจะกล่าวสุนทรพจน์หรือกล่าวกับใครก็ตาม อเมริกาจะสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน กรุณาเปลี่ยนคำสักคำในประโยคนี้ให้เป็น ว่า อเมริกาสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์ ก็คือว่า สิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์ที่กำลังต่อสู้กับอิสราเอล ซึ่งอเมริกาหนุนหลังอิสราเอลอยู่ ถูกจำกัดสิทธิฯ หมดเลย อเมริกาไม่สนใจ แต่กับประเทศที่อเมริกาไม่พอใจ อเมริกาก็บอกว่าจะแทรกแซงในปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชน นี่คือคำพูดของนายพอมเพโอ
ท่านผู้ชม ผมจะเล่าเรื่องตลกให้ฟัง นายพอมเพโอ ฆ่ามุสลิมที่อัฟกานิสถาน นโยบายนายพอมเพโอ บวก CIA และทหารอเมริกัน ฆ่ามุสลิมที่อิรัก ฆ่ามุสลิมที่ซีเรีย ตายไปเป็นแสนๆ คน นโยบายของเขาฆ่าชาวมุสลิมนะ แต่พอมเพโอกลับทะลึ่งเป็นห่วงเป็นใยชาวมุสลิมอุยกูร์ที่มณฑลซินเจียง ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่าความหน้าไหว้หลังหลอก นี่ผมพูดถึงอเมริกา ณ ปัจจุบัน แต่มันมีรากเหง้ามาจากอดีต เพราะอเมริกาในอดีตเป็นผู้รุกรานเขามาตลอด ตั้งแต่การขยายดินแดนของตัวเอง แล้วได้ปรัชญาของโองการพระเจ้า (Manifest Destiny) ฝังอยู่ในจิตในใจ
ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าครั้งหนึ่ง อเมริกาและ CIA อยู่เบื้องหลังการที่จะส่งทหารท้องถิ่นชาวคิวบาข้ามไปที่หมู่เกาะคิวบา แล้วก็ต้องการล้มล้างการปกครองของนายฟิเดล คาสโตร ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคิวบาตอนนั้น CIA เป็นผู้หนุนหลังทุกเรื่อง หลักฐานมีหมดทุกอย่าง ในนักประวัติศาสตร์รู้ชัดเจน แต่เหตุการณ์ล้มเหลวครั้งสุดท้ายในวินาทีสุดท้าย เพราะว่าประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี จะต้องสั่งให้กองทัพอากาศอเมริกาส่งเครื่องบินไปปูพรมคิวบา แต่ประธานาธิบดีเคนเนดีเกิดถอนตัวครั้งสุดท้าย เลยทำให้ทหาร รวมทั้ง CIA และทหารชาวคิวบา ต้องล้มหายตายจากบนชายหาดที่เกาะคิวบาระหว่างที่ขึ้นฝั่ง
และนี่ก็เป็นมูลเหตุหนึ่งที่ภาพยนตร์เรื่อง The Irishman ซึ่งแสดงโดยโรเบิร์ต เด นีโร และก็มีส่วนหนึ่ง ตอนหนึ่งของการที่บอกว่าพวกมาเฟียทั้งหลายเป็นคนที่สนับสนุนให้ประธานาธิบดีเคนเนดี เพราะไปรับปากพ่อประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี คือ โจ เคนเนดี ว่าจะสนับสนุนลูกชายให้เป็นประธานาธิบดี แล้วพวกมาเฟียก็เป็นคนที่จับมือกับเคนเนดีตอนต้น เพื่อจะฝึกพวกคิวบาที่ลี้ภัยอยู่ที่ฟลอริดา แล้วได้รับการสนับสนุนอาวุธจาก CIA แล้วก็นั่งเรือไปฝึกที่กัวเตมาลา อเมริกาใต้ แล้วก็ข้ามเรือไปขึ้นฝั่งเพื่อจะยึดคิวบา ปรากฏว่าประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี เป็นคนที่สั่งระงับไม่ให้มีการปูพรมเอาเครื่องบินเข้าไปช่วย แล้วก็เป็นตำนานซึ่งยังไม่มีบทพิสูจน์ แต่มีคนที่เขียนเรื่องความสมรู้ร่วมคิดนี้ว่า ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ตายเพราะมาเฟียทั้งหมดที่แบ็กชาวคิวบา โกรธมาก ที่ทำให้ล้มเรื่องนี้ขึ้นมา นั่นคือสาเหตุที่ตาย ท่านผู้ชมมีเวลาไปดูภาพยนตร์เรื่อง The Irshman ที่ NETFLIX สนุกสนานมาก
ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้มาตอนช่วงสุดท้ายของรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในเรื่องของสหรัฐอเมริกา ผมจะโยงกลับไปตอนต้นนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ ท่านผู้ชมจะเห็นว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรม ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4 ล้วนแล้วแต่เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมทางตะวันตกเป็นคนคุมเกมหมด
จนกระทั่งมาถึงขั้นที่ 5 ที่เริ่มมี 4G เริ่มมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แล้วก็เริ่มที่จะมีในเรื่องของชิปต่างๆ ระบบโทรคมนาคม ทุกอย่างเบ็ดเสร็จไปหมด เป็นขั้นที่ 5 1-4 อเมริกาและตะวันตกเป็นคนคุมเกมมาตลอด โดยที่ผู้นำคืออเมริกา พอมาถึงรุ่นที่ 5 ท่านผู้ชมครับ 5G คือตัวเปลี่ยนแปลง ที่ผมเล่าให้ฟังอาทิตย์ที่แล้ว เมื่อ 5G เป็นตัวเปลี่ยนแปลง มันก็เลยทำให้บทบาทการนำของอเมริกาและขณะเดียวกันตะวันตกบางส่วน คือยุโรป เริ่มไม่เอากับอเมริกาแล้ว เพราะว่าอเมริกาครอบงำพวกเขามานาน เขามีความรู้สึกว่าโลกจากวันนี้่ต่อไปจะต้องเป็นโลกพหุภาคี ไม่มีใครใหญ่ ทุกคนจะทำอะไรต้องเกรงใจ ต้องถามกันก่อน ไม่ใช่จู่ๆ อเมริกาไม่พอใจเยอรมนี อเมริกาก็สั่งถอนทหารอเมริกันที่อยู่ในฐานทัพเยอรมันออกไป 9,000 คน เพื่อสั่งสอนเยอรมนี
คำถามมีอยู่ว่า ท่านผู้ชมที่เป็นติ่งอเมริกา ผมจะถามว่า อเมริกามีเหตุผลอะไรที่ต้องไปตั้งฐานทัพที่กวม และตั้งฐานทัพที่โอกินาวา มีเหตุผลอะไร เพื่ออะไร ในข้อเท็จจริง ด้วยความสัตย์จริง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อเมริกาต้องการประจันหน้ากับจีน อเมริกามองว่าจีนคือตัวร้าย แต่ในหลักฐานประวัติศาสตร์ เช็กไปได้เลยท่านผู้ชม ตั้งแต่ไม่ว่าจะสมัยราชวงศ์ถัง ราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง มาจนกระทั่งถึงยุคนี้ ประเทศจีนไม่เคยไปรุกรานประเทศไหนเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งตอนนี้ความขัดแย้งเกิดขึ้น ความไม่พอใจ และความที่ไม่ต้องการให้จีนเป็นผู้นำเทคโนโลยีนั้น มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมามีเฉพาะนายทรัมป์ มีมาทุกยุคทุกสมัย มีมาตั้งแต่คลินตัน มีมาถึงบารัก โอบามา มีตั้งแต่สมัยจอร์จ บุช ผมเคยเรียนให้ท่านผู้ชมฟังว่า CIA และกระทรวงกลาโหมได้มีการร่างแผนขึ้นมาว่าโลกในอนาคตใครบ้างที่จะเป็นศัตรูกับอเมริกา แล้วจะต้องทำให้อเมริกาต้องระวังตัวมากที่สุด นั่นคือประเทศจีน เพียงแต่ว่ามาถึงยุคนายทรัมป์ ซึ่งมันเป็นคนบ้า มันก็จะใช้นโยบายบ้าๆ ของมัน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายทำร้ายจีนในเรื่องของการค้า มันไม่ใช่สงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกาอีกต่อไป
ในข้อเท็จจริงมันคือสงครามการค้าที่อเมริกามีต่อประเทศจีน ไม่ใช่ทะเลาะซึ่งกันและกันแล้ว เพราะอเมริกาต้องการจะยุติในเรื่องการเจริญเติบโตทางเทคโนโลยี ห้ามไม่ให้ขายชิปให้หัวเว่ย จับลูกสาวของนายเหริน เจิ้่งเฟย เจ้าของบริษัทหัวเว่ย เป็นตัวประกันที่อเมริกา ลักษณะแบบนี้เหมือนกันเป๊ะ ท่านผู้ชมครับ เหมือนกันจริงๆ หลายๆ อย่าง
ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าสมัยก่อนที่ฝรั่งเศส มีบริษัทๆ หนึ่งที่ใหญ่มาก ท่านผู้ชมอาจจะไม่รู้ก็ได้ ชื่อ ALSTOM เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในฝรั่งเศสมาก ALSTOM เป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมที่อเมริกาสู้ไม่ได้หลายๆ เรื่อง ALSTOM มีอยู่ในธุรกิจพลังงาน อยู่ในธุรกิจขนส่ง ธุรกิจรถไฟ ธุรกิจรถไฟความเร็วสูง ALSTOM เป็นคนผลิตอุปกรณ์ให้ AGETGV Eurostar รถไฟความเร็วสูงในยุโรป ALSTOM เป็นคนทำ และเป็นธุรกิจอุปกรณ์กำเนิดกระแสไฟฟ้า (Generator) ALSTOM มีส่วนแบ่งทางการตลาดในโลกนี้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ คู่แข่งสำคัญของ ALSTOM ก็คือ GE ปรากฏว่ารองประธานฝ่ายการขาย เปียรุชชี เดินทางผ่านอเมริกา โดนจับที่อเมริกา เหมือนกับลูกสาวของนายเหริน เจิ้งเฟย ที่บินจากเมืองนอกมา แล้วมาเปลี่ยนเครื่องที่แคนาดา อเมริกาออกหมายจับผ่านแคนาดาว่าบริษัทของลูกสาวนายเหริน เจิ้งเฟย นั้น ขายสินค้าให้อิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศที่อเมริกาบอยคอต เพราะฉะนั้นแล้วลูกสาวผิด เหมือนกับนายเปียรุชชี เปียรุชชี ข้อหาก็คือว่า ในการค้าขายในโลกนี้ เขาเอาเงินใต้โต๊ะยัดให้กับผู้ประกอบการรายหนึ่ง หรือรัฐบาลหนึ่ง ถือว่าผิดกฎหมายอเมริกา ทำไมผิดกฎหมายอเมริการู้ไหม เพราะเขาอ้างว่ามันใช้อีเมล ซึ่งผ่านอเมริกาไป ทำให้อเมริกามีสิทธิ์จับ เพราะฉะนั้นใครก็ตามใช้ธนาคารในอเมริกา ใครก็ตาม ตามที่ข้อหาใช้อีเมลในอเมริกา มันจับได้หมด
แต่ที่น่าสนใจก็คือว่า นายเฟรเดริก เปียรุชชี บอกว่า หลังจากถูกจับ ลูกน้องอีกคนก็ถูกจับเหมือนกัน จนกระทั่งในที่สุดประธาน ALSTOM รู้แล้วว่าเบื้องหลังอยู่ที่ไหน ก็เลยตัดสินใจขายธุรกิจ Generator ให้กับบริษัท GE แล้วขายอุปกรณ์นวัตกรรมหลายอย่างให้บริษัทในอเมริกาเป็นจำนวนเงิน 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สองคนนี้ถึงถูกปล่อยตัวออกมา เขาก็เลยออกมา เขาเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง เขาติดคุกอยู่ 2 ปี เขาเขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า หลุมพรางกับดักอเมริกา American Trap เขาก็เลยบอกว่า ALSTOM นี่เหมือนหัวเว่ยเลย ALSTOM คือหัวเว่ยของฝรั่งเศส ถูกสหรัฐฯ แบล็กเมล์และบังคับซื้อไปอย่างหน้าด้านๆ นี่ผมยกตัวอย่างให้ฟัง มีหลักฐานมีทุกอย่างหมด เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นว่าอเมริกา ณ วันนี้ เหมือนกับศาสตราจารย์ Jeffrey Sachs ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ เก่งมาก Jeffrey Sachs บอกว่าอเมริกานั้น (นี่ผมพูดนะ Jeffrey Sachs ไม่ได้พูดคำนี้ ผมพูดเอง ผมเสริม) มีคำว่า Manifest Destiny รับโองการพระเจ้ามา แต่อเมริกา Jeffrey Sachs บอกว่า ชอบยึดถือหลัก Exceptionalism ก็คือว่า ทุกอย่างในโลกนี้อเมริกาเป็นข้อยกเว้น คือทำได้ทุกเรื่อง ไม่ผิด
ท่านผู้ชมครับ สรุปง่ายๆ ก็แล้วกันวันนี้ประวัติศาสตร์ ปัจจุบัน เหตุการณ์ต่างๆ ขอโทษทีครับวันนี้พูดจาไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร เพราะว่ายังเสียใจกับการตายของน้องชายสุดที่รักของผม คือตั้ว ศรัณยู วงษ์กระจ่าง แต่ผมเชื่อว่าข้อมูลที่ผมพูดให้ฟังจะทำให้ท่านผู้ชมหลายท่านเข้าใจประวัติศาสตร์อเมริกาว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อเมริกาเกิดขึ้นมาบนความขัดแย้ง ท่านผู้ชมจำได้ไหม 244 ปี ของอเมริกาที่เกิดขึ้นนั้น ทำสงครามมาตลอด มีแค่ 17 ปีเท่านั้นที่สงบ ไม่มีสงคราม 227 ปี สงครามมาตลอด ไม่ในประเทศก็นอกประเทศ ไม่ไปอยู่ที่นั่น อเมริกาเป็นประเทศเดียวที่มีฐานทัพอยู่ในโลกนี้ 700 แห่ง คำถามมีว่า คุณมีเหตุผลอะไรไปตั้งฐานทัพตั้ง 700 แห่งทั่วโลก เพราะว่า Prof. Jeffrey Sachs บอกว่า อเมริกาชอบใช้คำว่า Exceptionalism ก็คือว่า กูคือข้อยกเว้น
ท่านผู้ชมครับ เอาแค่นี้ก่อนวันนี้ สวัสดีครับ