“สนธิ”ย้อนประวัติศาสตร์จีน 4,000 ปี ผ่านทั้งยุครุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางความเจริญของโลก และยุคบ้านเมืองล่มสลาย แต่รากฐานความคิดผู้นำจีนที่ถูกปลูกฝังมายาวนานจนปัจจุบันคืออาณาจักรจีนต้องเป็นหนึ่งเดียว โดยเฉพาะยุคหลังก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน มี Chinese Dream วางเป้าหมายให้ประเทศจีนปราศจากคนยากจน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเมื่อถึงยุค “สีจิ้นผิง” ก็ยกระดับถึงขั้นต้องการเป็นมหาอำนาจของโลก เพื่อสืบทอดความยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษเคยทำไว้ ทำให้ถูกอเมริกาขัดขวาง แต่จีนวันนี้เข้มแข็งมาก และพยายามทำตัวให้เข้มแข็งต่อไป และพร้อมเผชิญหน้ากับอเมริกา แต่จุดอ่อนของจีนก็มี คือการคบหากับประเทศต่างๆ มักอวดเบ่งด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจ และค้าขายด้วยการผูกขาด
วันที่ 19 มิ.ย. 63 เวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” และช่องยูทูป Sondhitalk ที่จะมาเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ของประเทศจีน ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจมีเส้นทางได้อย่างไร ตั้งเเต่เมื่อ 4-5000 ปีที่เเล้วจนมาถึงวันนี้ยุค 5G และข้อเสียของจีนที่ทำกับประเทศอื่นๆ มีอะไรบ้าง 30 ปีที่เลวร้ายที่สุดของชาวอเมริกัน คือ 30 ปีที่ดีที่สุดของชาวจีนในรอบ 3000 ปี ใช่ว่าจีนจะมีเรื่องที่ดีอย่างเดียว จุดเสียของจีนก็มีมากเเล้วมาดูกันว่าจุดไหนบ้าง ในรายการ Sondhitalk : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง ep : 38 เจาะเวลาอาณาจักรจิ๋นซีถึงยุค 5G ของจีน
คำต่อคำ SONDHI TALK [19 มิ.ย. 63] : เจาะเวลาอาณาจักรจิ๋นซี ถึงยุค 5G ของจีน
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563 เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้พูดถึงเรื่องประเทศสหรัฐอเมริกา และเล่าที่มาที่ไปย้อนยุคไปสู่ประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคสมัยการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรกด้วยเครื่องจักรไอน้ำ และมีการพัฒนาต่อเนื่องมา และก่อให้เกิดภาวะการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเกิดลัทธิล่าอาณานิคมขึ้นมา และในที่สุดแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อด้วยสงครามโลกครั้งที่ 2 และทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำโลกด้วยความแข็งแกร่ง ในขณะที่ทุกๆ คนที่เคยมีอำนาจอยู่ก็อ่อนแอลงไป อย่างเช่น อังกฤษ เยอรมนี หรือประเทศทางยุโรป
อาทิตย์นี้ผมรับปากแล้วว่าผมจะพูดเรื่องเกี่ยวกับประเทศจีน ทีนี้การจะพูดเรื่องของประเทศจีนนั้น การจะเข้าใจสี จิ้นผิง วันนี้ เราต้องย้อนยุคประวัติศาสตร์ไปนิดหนึ่ง จริงๆ ก็ไม่นิดนะ ไปตั้งแต่เริ่มตั้งประเทศจีนขึ้นมา ประวัติศาสตร์ 4,000-5,000 ปี ผมจะพยายามเอาเรื่องที่สำคัญๆ มาเล่าต่อเนื่องกัน เพื่อให้ท่านผู้ชมได้เข้าใจภาพรวมทั้งหมด และมันก็จะจบลงด้วยว่า ทำไมประเทศจีนถึงทำตัวเช่นนี้ แล้วก็สุดท้ายของรายการวันนี้ ก็คือการเล่าให้ฟังถึงข้อผิดพลาดของประเทศจีน หรือจุดอ่อนของประเทศจีน ซึ่งมีอยู่มากหลายที่ผมจะมาเล่าให้ฟังเป็นข้อๆ ไป
รายการวันศุกร์นี้ ท่านผู้ชมครับ เป็นรายการที่ยาวมาก น่าจะเป็นรายการที่ยาวที่สุดในประวัติการณ์การทำรายการมา ผมเข้าใจว่าถ้าไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็น่าจะชั่วโมงกว่าๆ แต่ช่วยไม่ได้ครับ มันเป็นเรื่องราวที่ประวัติศาสตร์มันยาวนานเหลือเกิน จะไม่เล่าตรงนั้นก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่เล่าตรงนั้น ตรงนี้เราก็จะไม่เข้าใจ ก็อดทนกันนิดนะครับ ถ้าเบื่อ ไม่อยากจะฟังไลฟ์สดเพราะมันยาวเหลือเกิน ก็รอค่อยๆ เปิดฟังเอาวันเสาร์ วันอาทิตย์ ทั้งหมดนี้เบ็ดเสร็จะมีประมาณ 9-10 ตอน
ท่านผู้ชมครับ ถ้าเราจะพูดถึงจีน เราต้องพูดถึงอารยธรรมจีนเมื่อประมาณ 4,000-5,000 ปี ท่านผู้ชมครับ ประเทศจีนนั้น จากเริ่มต้นที่มีฮ่องเต้มา จนกระทั่งจุดสุดท้าย ฮ่องเต้องค์สุดท้ายในราชวงศ์ชิง ก่อนที่จะแปลงเปลี่ยนสถานภาพจากการมีฮ่องเต้มาเป็นระบบสาธารณรัฐ ใช้เวลา ใช้ฮ่องเต้ประมาณ (ถ้าจำไม่ผิด) 408 องค์
ประเทศจีนนั้นเริ่มด้วยราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์เซี่ย คือประมาณ 2,100-1,600 ปีก่อนคริสตศักราช ต่อมาเป็นราชวงศ์ซาง จากเซี่ย มาต่อซาง ประมาณ 1,600-1,100 ปีก่อนคริสตศักราช ก็คือ 3,020 ปีที่แล้ว ที่ยังไม่มี ค.ศ.เกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้นก่อนพุทธศักราชเสียด้วยซ้ำ พุทธศักราชเราแค่ 2563 ปีเอง แล้วถ้าบวกเซี่ย (2,100) บวกเข้าไป ก็จะเป็น 3,120 ปี ซึ่งมากกว่าพุทธศักราช ก็คือก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประสูติขึ้นมา
เซี่ย ซาง แล้วก็ต่อด้วยราชวงศ์โจว โจวนี่ประมาณ 1,100-221 ปีก่อนคริสตศักราช แล้วค่อยต่อมายุคที่เขาเรียกว่า ชุนชิวและจ้านกว๋อ ก็ถึงยุคกำเนิดฮ่องเต้จริงๆ หรือที่ภาษาจีนกลางเขาเรียกว่า หวงตี้ คือ จิ๋นซีฮ่องเต้
จิ๋นซีฮ่องเต้ นับได้ว่าเป็นฮ่องเต้ที่สมบูรณ์แบบ ที่รวมอาณาจักรทุกอาณาจักรของประเทศจีนเข้ามา รวมแว่นแคว้นทั้งหมด 7 แว่นแคว้น มีแคว้นเว่ย แคว้นฉี แคว้นฉู่ หลายๆ แคว้นที่เกิดขึ้นมาแล้วมารวมกันเป็นประเทศจีน เขาเรียกว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งภาษาจีนกลางเขาเรียกว่า ฉินสื่อหวงตี้
จิ๋นซีฮ่องเต้ ปกครองจีนประมาณ 221 ปีก่อนคริสตศักราช ก็คือประมาณ 2,241 ปี จากจิ๋นซีฮ่องเต้องค์แรก จนกระทั่งถึงฮ่องเต้องค์สุดท้าย ที่เขาเรียกว่า พู่อี้ หรือปูยี (PUYI) จีนมีฮ่องเต้รวมกันแล้วในประวัติศาสตร์ 408 องค์ ดีบ้าง เลวบ้าง ก่อประโยชน์ให้กับประชาชนบ้าง สร้างความอด วอดวายและเดือดร้อนให้กับประชาชนก็มาก
ปูยี เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ผู้ผลิตหนังชาวอิตาลี ซึ่งเป็นผู้กำกับชาวอิตาลี ทำภาพยนตร์ขึ้นมาเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง จักรพรรดิองค์สุดท้าย ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า The Last Emperor เพราะฉะนั้นแล้ว 4,000-5,000 ปีมา ก็มาสิ้นสุดเอาสมัยปูยี พู่อี้ หรือปูยีนั้น มีชื่อเสียงมากในเรื่องของลายอักษร หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Caligraphy คืออักษรจีน ซึ่งการวาดหรือการเขียนลายอักษรของปูยีนั้นมีชื่อเสียงมาก ผมมีของจริงชิ้นหนึ่งที่จะให้ท่านผู้ชมดูว่าเป็นลายอักษรของปูยี ซึ่งผมได้มาเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ที่ร้านขายของเก่าในกรุงปักกิ่ง ในสมัยที่ประเทศจีนยังไม่ได้เริ่มเปิดประเทศ
จิ๋นซีฮ่องเต้ มีบทบาทอย่างสูงต่อประวัติศาสตร์จีน จนถึงปัจจุบัน น่าทึ่งมากครับ เพราะว่าการก่อตั้งประเทศจีนเมื่อ 2,000-3,000 ปีที่แล้ว โดยจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นผู้ริเริ่มนั้น กลับเป็นการวางรากฐานของประเทศจีนจริงๆ คือหลักๆ ที่จิ๋นซีฮ่องเต้ได้ทำคือ หนึ่ง ประเทศจีนต้องเป็นหนึ่งเดียว นั่นคือการเกิดแนวคิดของการรวมชาติจีนจนถึงปัจจุบัน คือการที่จีนต้องผนวกพื้นที่ทิเบต ซินเกียง ไต้หวัน รวมถึงฮ่องกง และมาเก๊า คือพูดง่ายๆ ว่า ในที่สุดแล้วจีนต้องรวมประเทศ อดีตที่เคยแตกซ่านกันไป ไปอยู่ที่เกาะโน้น ไปอยู่ที่เกาะนี้ ต้องเอามารวมอยู่ที่เดียวกันหมด และปรัชญาตรงนี้ที่จิ๋นซีฮ่องเต้คิดจะรวมแคว้นทุกแคว้นที่อยู่ในประเทศจีน ที่แต่ละเจ้าครองแคว้นนั้นล้วนแล้วแต่ตั้งตัวเป็นอ๋อง จิ๋นซีฮ่องเต้รุกยึดแคว้นนั้น ยึดแคว้นนี้ แล้วเอามารวมเป็นประเทศเดียวกันหมด
โดยหลังจากที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินเป็นหนึ่งแล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ก็เลยปฏิรูปการปกครองจากการปกครองแบบศูนย์รวม อำนาจอยู่ศูนย์กลาง ยกเลิกระบอบศักดินาในส่วนท้องถิ่น ตั้งจังหวัดและอำเภอ มีขุนนางปกครองแทนเจ้านครแคว้น สมัยก่อนนี้เนื่องจากประเทศจีนแบ่งเป็นแคว้นๆ แต่ละแคว้นก็มีเจ้าครองแคว้นที่มีอำนาจเด็ดขาดอยู่ในแคว้นนั้น และนี่คือสาเหตุที่ต้องมีการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงอำนาจกัน จิ๋นซีฮ่องเต้ออกมาด้วยกำลังทหารที่เข้มแข็ง และตัวพระองค์ท่านก็เข้มแข็งและจริงจัง ก็กวาดล้างหมด
ยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ก็มีการกำหนดตัวอักษร กฎหมาย เงินตรา และมาตราชั่งตวงวัดเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ ทั้งอาณาจักร มีการก่อสร้างรถม้า สร้างกำแพงเมืองจีน และขยายอาณาเขต การปฏิรูปดังกล่าวได้สร้างรากฐานให้กับประเทศจีน ด้านการเมือง การปกครอง การรวมชนชาติจีนเป็นหนึ่งเดียว และส่งผลให้ราชวงศ์ต่อๆ มาที่ปกครองแผ่นดินจีน
กำแพงเมืองจีนนั้น จิ๋นซีฮ่องเต้มีดำริเชื่อมกำแพง สมัยก่อนเป็นแคว้นต่างๆ 7 แคว้น ท่านก็เลยคิดว่าน่าจะเชื่อมกำแพงของแว่นแคว้นต่างๆ ในยุคจ้านกว๋อ เป็นกำแพงเมืองมหัศจรรย์ที่ยาวที่สุดในโลก เพื่อสกัดกั้นชนเผ่าซงหนู
ชนเผ่าซงหนู ก็คือชนเผ่ากลุ่มหนึ่งที่อยู่นอกกำแพงเมืองจีน ที่มักจะรุกเข้ามาประเทศจีนตลอดเวลา จิ๋นซีก็เลยคิดที่จะสร้างกำแพงเมืองจีน
อีกอันหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในโลก ก็คือ เทอร์ราคอตตา (Terracotta) ภาษาจีนเขาเรียกว่า ปิงหมาหย่ง คือกองทัพหุ่นทหารดินเผาของจิ๋นซี ต้องถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่เพิ่งถูกค้นพบในช่วงศตวรรษที่ 19 หรือเมื่อปี พ.ศ.2517 ท่านผู้ชมครับ หุ่นทหารดินเผาของจิ๋นซี มิเพียงแสดงให้โลกเห็นถึงความยิ่งใหญ่และความโหดร้ายทารุณของจิ๋นซี แต่ยังพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน ในยุคเหล็ก จีนมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาก ถึงขั้นสามารถสร้างสุสานขนาดยักษ์พร้อมทั้งหุ่นทหารขนาดเท่าคนจริงได้ขนาดใหญ่โตมโหฬาร เรื่องนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงความสามารถทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ว่ากันว่าตอนที่ค้นพบหุ่นทหาร สีสันของหุ่นนั้นยังสดใสอยู่เลย แต่พอมาเจออากาศสักพักหนึ่ง สีกลับจาง
รวมไปถึงเทคโนโลยีในการทำเครื่องปั้นดินเผาที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง สามารถตกทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอีกหลายพันปีได้ จนทำให้ยุคหนึ่งเครื่องปั้นเครื่องเคลือบดินเผากลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของจีน จนในศตวรรษที่ 18-19 ทั่วโลกต้องมาซื้อ สั่งทำเครื่องเคลือบดินเผาจากจีน จนกลายเป็นสาเหตุหนึ่งนอกจากใบชา ที่ทำให้อังกฤษถึงขนาดขาดเงินแท่งในท้องพระคลัง เพราะต้องการฝิ่นมาขายคนจีนแทน
ยุคสมัยในประวัติศาสตร์จีนหลังจิ๋นซีฮ่องเต้ ก็คือยุคที่ชาวจีนยุคต่อๆ มาถือว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองของจีน มีความมั่นคง ปลอดภัย อาณาจักรแผ่ขยาย ประชาชนอยู่ดีกินดี ทั้งหมดนี้ผมจะพูดถึงยุคแค่ 3 ยุค ที่คนจีนเขายึดถือว่าเป็น 3 ยุคที่ดีที่สุด รุ่งเรืองที่สุดของจีน ยุคแรก คือยุคราชวงศ์ฮั่น ก็คือ 206 ปีก่อนคริสตศักราช ถึง ค.ศ.220 คือ 2,226 ปีที่ผ่านมา ต่อมา คือราชวงศ์ถัง คือ ค.ศ.681-907 หรือ 1,339-1,113 ปีที่ผ่านมา และสุดท้ายคือ ราชวงศ์หมิง คือ ค.ศ.1368-1644 หรือ 652 ปี - 376 ปีที่ผ่านมา หรือพูดง่ายๆ ว่า ราชวงศ์หมิงนั้นเกิดขึ้นในยุคต้นของอาณาจักรอยุธยา ยุคกษัตริย์ยุคแรก คือพระเจ้าอู่ทอง นั่นเอง
ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้เรามาเริ่มกันที่ราชวงศ์ฮั่นก่อน ราชวงศ์ฮั่น เริ่มเมื่อประมาณ 206 ปีก่อนคริสตศักราช ถึง ค.ศ.220 นั่นก็คือประมาณ 400 ปี ที่ราชวงศ์นี้อยู่ ราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นกำเนิดเส้นทางสายไหม หรือ Silk Road ที่เราพูดกัน ราชวงศ์ฮั่น เกิดขึ้นโดยคนสามัญชนคนหนึ่ง แซ่หลิว ชื่อ หลิวปัง หรือว่าเป็นปฐมกษัตริย์ เขาเรียกว่า ฮั่นเกาจู ซึ่งถือว่าเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่องค์ที่ 2 รองลงมาจากจิ๋นซีฮ่องเต้
หลิวปัง หรือฮั่นเกาจู สามารถรวมประเทศจีนเป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง ที่ราชวงศ์ฮั่นแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ราชวงศ์ฮั่นตอนต้นนั้นมีเมืองหลวงตั้งอยู่ที่นครฉางอาน ฉางอานคือเมืองอะไร? คือเมืองซีอาน ที่ท่านผู้ชมบินไปเที่ยวเมืองจีนแล้วไปดูหุ่นดินเผา Terracotta ที่เมืองฉางอาน ราชวงศ์ฮั่นตอนต้น เมืองฉางอาน ได้ขนานนามว่าเป็นฮั่นตะวันตก มาถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย ก็คือใกล้ๆ จะหมดราชวงศ์แล้ว ก็ย้ายเมืองหลวงไปที่นครลั่วหยาง ลั่วหยาง เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย เขาเรียกว่า ฮั่นตะวันออก
เมืองลั่วหยาง มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ คือเมืองลั่วหยาง มีอยู่ครั้งหนึ่งในยุคราชวงศ์ถัง ที่มีจักรพรรดินีบูเชกเทียน หรือภาษาจีนกลางเรียกว่า อู่เจ๋อเทียน ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ลั่วหยาง
หลิวปัง เป็นเพียงชนชั้นขุนนางผู้น้อย เมื่อฉินสื่อหวงตี้ หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ สิ้นพระชนม์ลง อำนาจของราชวงศ์ฉินคลอนแคลน มีการลุกฮือขึ้นมาจากกบฏชาวนา เชื้อสายเจ้าผู้ครองแคว้นเดิมก็มีการตั้งตัวเป็นใหญ่ทุกหัวระแหง หลิวปังก็เป็นกลุ่มหนึ่ง อดีตเป็นเจ้าหน้าที่อำเภอที่เพาะสร้างอำนาจขึ้นจากขุมกำลังเล็กๆ และต่อมาก็สร้างเป็นขุมกำลังใหญ่ ก็ยาตราทัพเข้าไปเมืองเสียนหยาง เสียนหยาง คือเมืองหลวงของจิ๋นซีฮ่องเต้ ปิดฉากยุคสมัยของราชวงศ์ฉิน ก็คือว่า ไปขับไล่จักรพรรดิฉิน ซึ่งเป็นลูกของจิ๋นซีฮ่องเต้ ถึงกับประหารชีวิต แล้วก็ส่งมอบนครเสียนหยางให้กับเซี่ยงอวี่
ทำไมต้องส่งมอบ? เซี่ยงอวี่คือใคร? เซี่ยงอวี่ ก็คือขุนพลและเป็นหลานของผู้มีอำนาจเจ้าครองแคว้นรัฐฉู่ รัฐฉู่ คือรัฐที่อยู่ทางใต้ ตอนนั้นเซี่ยงอวี่มีกำลังอยู่มากมาย เซี่ยงอวี่ มีฉายาอีกอย่างคือ ฌ้อปาอ๋อง มีฐานอำนาจอยู่ที่แคว้นฉู่ มีขุมกำลังเข้มแข็งที่สุด ขณะนั้นหลิวปังจึงได้รับการอวยยศเป็น ฮั่นจงอ๋อง หลังจากหลิวปังออกมาแล้ว ก็พยายามที่จะสะสมกำลังของตัวเองให้แข็งแกร่ง เพราะตอนแรกที่ต้องไปมอบเมืองเสียนหยางให้กับเซี่ยงอวี่ หรือฌ้อปาอ๋อง ก็เพราะว่าตัวเองนั้นยังอ่อนแออยู่ ไม่สามารถปะทะกับฌ้อปาอ๋องได้ ก็เลยยกเมืองเสียนหยางให้กับฌ้อปาอ๋อง ฌ้อปาอ๋องก็เลยตั้งให้เป็น ฮั่นจงอ๋อง ก็ยังเป็นอ๋องอยู่เหมือนเดิม ฌ้อปาอ๋อง เซี่ยงอวี่ ก็ยังเป็นอ๋องอยู่ ก็ยังไม่มีใครชนะได้เป็นจักรพรรดิ
หลังจากที่หลิวปังสะสมกำลังได้มากพอสมควร ก็ยาตราทัพไปชิงบัลลังก์กับฌ้อปาอ๋อง กินเวลานาน 4 ปี จนกระทั่งถึงปี 202 ก่อนคริสตศักราช หลิวปังก็ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิ สถาปนาราชวงศ์ฮั่น
ข้อดีของหลิวปัง คือ ได้สร้างระบบบริหารการปกครองราชวงศ์ฮั่นโดยรวม ยังคงยึดรูปแบบเดียวกับราชวงศ์ฉิน แต่เนื่องจากว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ปกครองอย่างเข้มงวด โหดเหี้ยมอำมหิต ก็เลยทำให้ล่มสลายอย่างรวดเร็ว ฮั่นเกาจู่ หรือหลิวปัง ซึ่งประกาศยกเลิกกฎหมายที่ทารุณโหดร้ายบางส่วน ดำเนินนโยบายที่เป็นมิตรต่อประชาชน เช่น ลดการเก็บภาษีอากร การเกณฑ์แรงาน ปลดปล่อยกำลังทหารและประชาชนสู่บ้านเกิด ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ใครมาเป็นทหาร พอไม่มีสงครามก็ให้กลับไปที่บ้านเกิดตัวเอง ไปทำมาหากิน จัดสรรที่ดินให้คน ให้ทหารที่ร่วมรบชนะศึกสงคราม พระราชทานรางวัล เสบียงอาหาร อะไรต่ออะไรหลายอย่าง ควบคุมพ่อค้าร่ำรวยไม่ให้ขึ้นราคาสินค้า ผืนดินที่ทำการเพาะปลูกได้รับการทำนุบำรุงอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้น สภาพสังคมราชวงศ์ฮั่นก็ดีขึ้น มีเวลาในการฟื้นฟูและจัดระเบียบใหม่ และกลับไปสู่ความสงบสุขที่เคยเป็น
พอต่อมา หมดจากหลิวปังแล้ว ก็มาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ถึงรัชสมัยที่เรียกว่า ฮั่นอู่ตี้ ชื่อเดิมคือชื่อ หลิวเช่อ หลิวเช่อใช้เวลาครองราชย์ถึง 54 ปี ถือว่าเป็นฮ่องเต้ชาวฮั่นที่ครองบัลลังก์ยาวนานที่สุดของจีน คนจีนถือว่าเป็นยุคทองของฮั่นตะวันตก เศรษฐกิจรุ่งเรือง ทรัพย์สินในท้องพระคลังล้นเหลือ ในสมัยฮั่นอู่ตี้นั้นมีกำหนดการใช้เหรียญกษาปณ์เป็นครั้งแรกภายในประเทศ มีข้อห้ามการหลอมสร้างเหรียญกษาปณ์เป็นส่วนตัว ธุรกิจหลอมเหล็กนั้นก็เจริญรุ่งเรือง กลายเป็นกิจการของรัฐ มีการตรากฎหมายการขนส่งลำเลียง วางข้อกฎหมาย จัดระเบียบใบอนุญาตต่างๆ เลยทำให้ฮั่นอู่ตี้ร่ำรวยอย่างมโหฬาร จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ก็เลยหันไปสนใจนโยบายต่อต่างแดน เช่น ชนเผ่าซงหนู ซึ่งเคยรุกรานเข้ามาตลอดเวลา จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ยกทัพไปปราบพวกซงหนูถึง 3 ครั้ง 3 ครา ขับไล่ชนเผ่าซงหนูให้ถอยร่นกลับเข้าไปในดินแดนทะเลทรายทางตอนเหนือ และนำสันติสุขมายังดินแดนชายขอบตะวันตกของจีนอีก ทั้งยังบุกเบิกพื้นที่ทำไร่ไถนาในแถบดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ซ่อมแซมกำแพงเมืองจีน จัดตั้งระบบไฟสัญญาณแจ้งเหตุตามชายแดน
ที่สำคัญที่สุดคือ ผลงานของฮั่นอู่ตี้ ได้ส่งทูตจีนคนหนึ่งชื่อ จางเชียน ไปเป็นทูตสันถวไมตรีในดินแดนตะวันตก เพื่อเปิดเส้นทางการค้าออกไปยังดินแดนเอเชียกลาง อันเป็นที่รู้จักกันในนามของ เส้นทางสายไหม
ท่านผู้ชมครับ ยุคราชวงศ์ฮั่น เมื่อปกครองได้ดี ประชาชนร่มเย็นเป็นสุข อยู่ดีกินดี ก็มีการประดิษฐ์เงินตรากลางเพื่อใช้เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยน ฮั่นอู่ตี้ ก็เลยคิดถึงเรื่องการค้าขาย ถึงส่งจางเชียนออกไปเจรจา ถ้าเปรียบในยุคของหลิวปัง ยุคของฮั่นอู่ตี้ เปรียบกับจีนปัจจุบัน เมื่อประเทศกินดีอยู่ดี ใช้เงินหยวน ดิจิทัลหยวน ขยายการค้า ก็เลยใช้ผ่านนโยบาย 1 แถบ 1 เส้นทาง (Belt & Road) เหมือนกับเส้นทางสายไหมในอดีตนั่นเอง หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือว่า ประเทศจีนยุคนี้กำลังเลียนแบบประเทศจีนยุคราชวงศ์ฮั่นที่มีการเดินและค้นพบเส้นทางสายไหม
ความสำคัญในการเดินทางทั้งสองครั้งของจางเชียนนั้น ทำให้นักวิชาการจีนในปัจจุบัน เมื่อจะกล่าวถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของจีนกับโลกภายนอกโดยปกติแล้วเขาจะถือว่าการเดินทางของจางเชียนเป็นประวัติศาสตร์หน้าแรกของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของจีน และเขานับถือว่าจางเชียนเป็นนักการทูตผู้ยิ่งใหญ่คนแรกของประวัติศาสตร์ชาติจีน
ก่อนที่จะไปถึงราชวงศ์ต่อไป ก็คือราชวงศ์ถัง ผมมีข้อฝากข้อคิดอะไรบางประการให้ทราบ ก่อนจะถึงถัง จะเป็นราชวงศ์สุย สุย มีอยู่ไม่กี่ปีเอง พอหมดสุยแล้วถึงเกิดถัง ทีนี้ผมก็อยากเล่าให้ฟังว่า พอหมดถังแล้ว ก็ต่อด้วยซ่ง แล้วก็หยวน ราชวงศ์หยวน คือราชวงศ์มองโกล เข้ามายึดประเทศจีน ตั้งเป็นราชวงศ์หยวนขึ้นมา พอหมดหยวนแล้ว ถึงจะเป็นหมิง ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับ สุย ต่อด้วยถัง ต่อด้วยซ่ง หรือที่เราเรียกว่าราชวงศ์ซ้อง แล้วก็ต่อด้วยหยวน และต่อมาที่หมิง
ทีนี้ผมมีอะไรแนะนำท่านผู้ชมนิดหนึ่ง ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก มันมีหนังสืออิงประวัติศาสตร์ที่ออกไปแนวกำลังภายใน ผมคิดว่าท่านผู้ชมหลายท่านคงเคยได้อ่านแล้ว แต่ท่านที่ยังไม่เคยได้อ่าน ผมจะขอแนะนำ เล่มแรก ถ้าจำไม่ผิดผมเคยพูดให้ฟัง ชื่อเรื่อง ยุทธการล่าบัลลังก์ ของจิ่วถู
จิ่วถูเขียนเล่มนี้มาเพื่อเล่าถึงเหตุการณ์ในราชวงศ์สุย ก่อนที่สุยจะล่มสลายแล้วกลายเป็นถัง พระเอกในเรื่องคือหลี่ ซี เป็นชาวบ้านแล้วถูกราชวงศ์สุยเกณฑ์ไปเป็นทหาร ถูกส่งไปรบที่เกาหลี กลับมาแล้วก็จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ราชวงศ์สุย ยุทธการล่าบัลลังก์ เป็นเรื่องราวของสุย และตอนจบกำลังจะต่อถัง พูดถึงการล่มสลายของสุย แล้วก็เริ่มราชวงศ์ถัง สนุกมาก อ่านเล่มนี้แล้วจะเข้าใจจุดกำเนิดของราชวงศ์ถัง และเข้าใจว่าทำไมราชวงศ์สุยถึงล่มสลาย
พอหมดจากสุยแล้ว ก็มาที่ถัง ถังก็มีนิยายกำลังภายในอีกเล่มหนึ่ง เป็น master piece ของหวงอี้ ชื่อ มังกรคู่สู้สิบทิศ
มีพระเอกอยู่ 2 คน คนหนึ่งเรียกว่า โค่วจง อีกคนหนึ่งคือ ฉีจื่อหลิง ตัวละครไม่สำคัญเท่ากับว่า หวงอี้ เขาเกาะประวัติศาสตร์ของถังมาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นอ่านแล้วได้อรรถรส สนุกสนาน และรู้จักประวัติศาสตร์ ตัวบุคคลต่างๆ ที่หวงอี้เขียนในนี้ ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นขุนพลทแกล้วกล้าซึ่งเป็นมือขวาของหลี่ ซื่อหมิน ก็คือฉินซูเป่า ก็ยังมีปรากฏในประวัติศาสตร์ หลี่ ซื่อหมิน ก็คือจักรพรรดิของถังองค์ที่ 2 ต่อจากพ่อ หลี่ ซื่อหมิน คนที่ฆ่าพี่และฆ่าน้อง เพื่อชิงเอาบัลลังก์นี้มา
มังกรคู่สู้สิบทิศ เป็นเรื่องราวที่ยาวนิดหนึ่ง ประมาณ 20 เล่มจบ แรกๆ ท่านอ่านอาจจะเบื่อ เพราะว่าไม่ชินกับชื่อจีน แต่ผมทดสอบกับคนหลายคนมาแล้ว พออ่านจบปั๊บ ทุกคนติดหมดเลย บอกสนุกสนาน
เล่มสุดท้าย พอมาถึงหมิงแล้ว มันก็มีหนังสือกำลังภายในเล่มหนึ่ง เขียนโดยนักเขียนชื่อ เยี่ยกวน เยี่ยกวนเขียนหนังสือกำลังภายในชื่อ พยัคฆราชซ่อนเล็บ
มี 2 ภาค ภาคละสิบกว่าเล่ม 2 ภาคประมาณ 30 เล่ม พูดถึงคนๆ หนึ่งไปเกิดใหม่อยู่ในราชวงศ์หมิง แล้วเขาก็ล้อประวัติศาสตร์หมดทุกอย่าง ตั้งแต่จูหยวนจาง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์หมิง ไปจนกระทั่งถึงยุคหย่งเล่อฮ่องเต้ ซึ่งเป็นฮ่องเต้ที่มีชื่อมีเสียงมาก
ทั้งหมดนี้เป็นหนังสือของเครือข่ายบริษัท เอสเอ็มเอ็ม และผมก็มีข่าวดีให้ทราบว่า ผมมีหนังสือพวกนี้ ผมไปขอเขามา แล้วผมคิดว่าผมจะขายให้ท่านผู้ชมในราคาที่ถูก ถ้าท่านผู้ชมสนใจ แล้วผมจะโพสต์ลงไป เงินที่ได้มาผมจะเอาไปทำบุญหมดเลย แล้วผมจะแจ้งให้ทราบ ถ้าท่านผู้ชมคนไหนสนใจที่จะเอา เขาให้มาน่าจะมีพออย่างละ 20 ชุด เยอะนะครับท่านผู้ชม พยัคฆราชซ่อนเล็บ 1 ชุด 2 ภาค ก็ร่วม 30 เล่ม มังกรคู่สู้สิบทิศ 1 ชุด 2 ภาค ก็ประมาณ 20 กว่าเล่ม ส่วนของจิ่วถู ยุทธการล่าบัลลังก์ 1 ชุด 7 ภาค 7 เล่ม แล้วผมจะบอกไปว่าราคาเท่าไร คือราคาที่เขาขายสมมุติว่า 200 บาท ก็อาจจะขายเล่มละ 100 บาท หรือ 50 บาท แล้วผมจะแจ้งไป ให้แจ้งความจำนงมาทาง inbox ว่าต้องการ
เอาล่ะ เรามาพูดถึงเรื่องถัง ราชวงศ์ถังเป็นช่วงต่อของราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถังเป็นอีกราชวงศ์หนึ่งในประวัติศาสตร์จีนที่มีสถานะความสำคัญเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นของราชวงศ์ ประสบความสำเร็จในการสร้างกลไกการปกครองที่มีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพอย่างทั่วถึงในราชอาณาจักร บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ ด้าน เศรษฐกิจ สังคม ศิลปะ วรรณคดี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ราชวงศ์ถังได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของศักดินา และเป็นยุคทองของวรรณคดี อาณาจักรกว้างใหญ่ เป็นปึกแผ่น มั่งคั่ง ร่ำรวย และทรงอานุภาพที่สุดแห่งหนึ่งในโลก กล่าวได้ว่าเป็นยุคที่รุ่งโรจน์ที่สุดของจีน นอกจากนั้น ยังเป็นยุคช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญต่อแนวคิดของการสร้างชาติของชนชาติจีนด้วยการรวมตัวของกลุ่มชนเผ่าที่หลากหลาย นับตั้งแต่สมัยวุย-จิ้น ราชวงศ์เหนือ-ใต้ ราชวงศ์สุย ก่อนถัง จวบจนกระทั่งถึงราชวงศ์ถัง ได้รับการหลอมรวมวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว ด้วยแนวคิดรวมประเทศอย่างมั่นคงสืบต่อมา
ทั้งหมดนี้ เนื่องเพราะว่าจักรพรรดิ ฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์ถังที่ชื่อหลี่ยวน หรือเขาเรียกกันว่า หลี่เอียน หลี่เอียนนั้น พระมารดาเป็นชนเผ่าชาวเซียนเป่ย เซียนเป่ยก็คือชนนอกกำแพงเมืองจีน เป็นพวกคนตาสีฟ้า ผิวขาว แต่ตัวบิดาเป็นชาวฮั่น ผู้สถาปนาราชวงศ์ถัง คือฮ่องเต้ถังเกาจู่ มีพระนามเดิมว่า หลี่เอียน พระบิดาฮ่องเต้หลี่เอียนเป็นเจ้าเมืองเชาฮั่น พระมารดามีเชื้อสายเติร์ก เติร์กคือพวกชาวตุรกี ชาวเติร์ก เผ่าเซียนเป่ย ซึ่งเป็นชนชั้นเผ่านอกอารยธรรมจีน ก็เลยกล่าวได้ว่า ฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ถังไม่ใช่ชาวจีนที่แท้ และหลังจากนั้นแล้ว ราชวงศ์ถังก็เป็นที่รวมของชนเผ่าต่างๆ ที่เข้ามาอยู่ในอาณาจักรถังโดยที่ไม่มีการกีดกัน แล้วก็หวังว่าจะใช้อารยธรรมอันลึกซึ้งเก่าแก่ของชาวฮั่น คือชาวจีน หลอมคนพวกนี้ให้มาเป็นชาวจีน
หลี่เอียน ปฏิวัติแยกตัวเองออกมา แล้วก็โค่นล้มราชวงศ์สุยด้วยการเข้าไปยึดเมืองฉางอาน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์สุยตอนนั้น แล้วก็ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ เป็นกษัตริย์ ในตอนช่วงต้นนั้นมันก็มีกลุ่มต่างๆ ที่เป็นกบฏต่อราชวงศ์สุย พอสุยล่มสลายปั๊บ ก็จะมีพวกขุนศึกต่างๆ ขึ้น ผู้ครองแคว้นต่างๆ อย่างเช่น โต้วเจี้ยนเต๋อ หลินซือทง อะไรพวกนี้ ซึ่งในหนังสือเรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศ จะมีหมดแล้วสนุกสนานมาก อ่านแล้วมันสนุกจริงๆ เป็นหนังสือที่คลาสสิกมาก
จนกระทั่งปี ค.ศ.626 หลี่ ซื่อหมิน ซึ่งเป็นลูกคนกลาง พี่ชายคนโตชื่อ หลี่ เจี้ยนเฉิง และน้องชายคนเล็กชื่อ หลี่ หยวนจี๋ ปกติแล้วเขาจะตั้งลูกชายคนโตเป็นองค์รัชทายาท ซึ่งหลี่ เจี้ยนเฉิง เป็นองค์รัชทายาท ส่วนหลี่ หยวนจี๋ เป็นน้องสุดท้อง แล้วหลี่ ซื่อหมิน เป็นพี่กลาง หลี่ ซื่อหมิน เป็นคนที่รบเก่ง ยึดครองดินแดนมา แล้วในกลุ่มของหลี่ ซื่อหมิน หลี่ ซื่อหมิน เขามีค่ายๆ หนึ่งที่้เรียกว่าค่ายเทียนเช่อ เป็นที่รวบรวมขุนศึกต่างๆ เป็นศัตรูก็เอามาร่วมกัน เคยทะเลาะกัน จะฆ่ากันตาย ก็เอามาร่วมกัน เพื่อสร้างชาติ คือสร้างถัง และในที่สุดแล้ว หลี่ ซื่อหมิน ก็ไปแจ้งให้กับพ่อของตัวเอง คือหลี่ เอียน ว่าพี่ชายคือองค์รัชทายาท กับน้องชาย คือหลี่ หยวนจี๋ นั้นวางแผนจะลอบสังหารเขา พ่อก็เลยเรียกลูกทั้ง 3 คนไปเข้าเฝ้าฯ เข้าเฝ้าฯ ทางประตูเสฺวียนอู่ เขาเรียกเหตุการณ์ว่า เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ประตูเสฺวียนอู่ ก็คือว่า หลี่ ซื่อหมิน วางกำลังไว้แล้วก็ฆ่าพี่ชายและน้องชายตัวเอง แล้วก็เข้าไปกราบบังคมทูลเสด็จพ่อ เสด็จพ่อไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะข้าวสารเป็นข้าวสุกแล้ว ก็เลยจำเป็นต้องตั้งหลี่ ซื่อหมิน เป็นรัชทายาท เมื่อตั้งแล้ว แค่ 2 เดือน ตัวเองก็ถอยตัวเองออกมา ลาออกจากการเป็นฮ่องเต้ ให้หลี่ ซื่อหมิน ขึ้นมา
ภายใต้ศักราชเจินกวน ซึ่งเป็นชื่อศักราชของหลี่ ซื่อหมิน หลี่ ซื่อหมิน ปกครองอยู่ 23 ปี ทำให้ถังไท่จง หลี่ ซื่อหมิน ได้รับการยกย่องว่าเป็นฮ่องเต้ที่เก่งกาจฉลาดเฉลียว มีพระปรีชาสามารถมากที่สุดคนหนึ่งในจำนวนฮ่องเต้ 400 กว่าคน ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ 2,000 กว่าปีของจีน
ถังไท่จง ก็คือหลี่ ซื่อหมิน ได้รับบทเรียนจากการล่มสลายของราชวงศ์สุย อันเป็นที่มาของคำว่า "ผู้นำเปรียบเสมือนเรือ ส่วนประชาชนคือน้ำ น้ำสามารถหนุนส่งเรือให้ลอยขึ้นได้ ก็ย่อมสามารถทำให้เรือจมลงได้เช่นกัน" สอง "ผู้ปกครองจะต้องมีทั้งคุณธรรมและความสามารถ ประชาชนจึงจะยอมยกให้เป็นนาย เมื่อใดที่ผู้ปกครองไร้คุณธรรม ขาดความสามารถ ประชาชนก็จะทอดทิ้ง" นอกจากนั้น ในความเห็นของถังไท่จงฮ่องเต้ คือ หลี่ ซื่อหมิน ผู้ปกครองที่มีคุณธรรมจะต้องไม่สุรุ่ยสุร่าย และต้องไม่เพิ่มภาระ ลดการเบียดเบียนประชาชน ให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งต้องเลือกใช้ขุนนางที่ใจซื่อ มือสะอาด มาช่วยปกครองบ้านเมือง" ถ้าดูการเมืองปัจจุบันในเมืองไทยแล้ว ไม่ใช่ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่หลี่ ซื่อหมิน พูด
หลี่ ซื่อหมิน พูดต่อ สาม "ประชาชนสำคัญที่สุด ประเทศชาติสำคัญรองลงมา ผู้ปกครอง (ฮ่องเต้) กลับเป็นคนที่สำคัญน้อยที่สุด"
เพราะฉะนั้นแล้วปรัชญาการปกครองของถังไท่จงฮ่องเต้ก็ถ่ายทอดมาสู่ภาคปฏิบัติอย่างเห็นผล จนกระทั่งมีคำกล่าวว่า ในช่วง 23 ปีของรัชสมัยเจินกวนของหลี่ ซื่อหมิน นั้น (ค.ศ.626-649) 23 ปี การเมืองใสสะอาด สังคมมั่นคง ปลอดภัย เศรษฐกิจรุ่งเรือง แสนยานุภาพของอาณาจักรแผ่ขยายออกไป นอกจากปรัชญาและวิธีการบริหารที่ยึดหลักปกครองแผ่นดินโดยธรรมแล้ว นักประวัติศาสตร์จีนรุ่นต่อๆ มายังวิเคราะห์ถึงเคล็ดลับความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดินของฮ่องเต้ถังไท่จงว่า ยังมีปัจจัย คือ เป็นคนที่ใจเปิดกว้าง ผ่อนปรนการเรียกเก็บภาษี ลดการลงทัณฑ์ที่รุนแรง แต่เน้นความถูกต้องยุติธรรมมากกว่า เร่งพัฒนาการผลิต จัดสรรที่ดินทำกินให้ราษฎร ได้กลับคืนสู่ไร่นาและดำเนินชีวิตตามปกติ
ในด้านการศึกษาและแนวคิดนั้น ถังไท่จง หรือหลี่ ซื่อหมิน ให้ความสำคัญต่อการรวบรวมจัดเก็บตำรับตำรา ความรู้ วิทยาการ และประวัติศาสตร์เป็นหมวดหมู่ ทั้งยังเปิดกว้างในการนับถือและเผยแผ่ความคิดศาสนาต่างๆ เช่น พุทธศาสนา เต๋า ศาสนาหยู คือลัทธิขงจื๊อ รวมทั้งศาสนาบูชาไฟของเปอร์เซีย ที่เขาเรียกว่า เม้งก้า และคริสตศาสนา ท่านผู้ชมคงรู้จักพระถังซัมจั๋๊งใช่ไหม พระถังซัมจั๋ง นั้นชื่อจีนก็คือ หลวงจีนเสฺวียนจั้ง ได้เดินทางไปยังประเทศอินเดียอันไกลโพ้นเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมาแปลเป็นภาษาจีน และเผยแพร่ออกไปในพุทธศาสนาในสมัยราชวงศ์ถัง
จากความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง ของราชวงศ์ถัง ทำให้มีการประเมินว่าประชากรในช่วงศตวรรษ 7-8 นั้น ราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ถัง มีถึง 50 ล้านคน โดยเฉพาะในนครฉางอาน คือซีอานในปัจจุบัน นักวิชาการตะวันตกประเมินว่าในช่วงปี ค.ศ.637-775 เป็นเวลา 140 ปี ฉางอานน่าเป็นเมืองที่ใหญ่โตและผังเมืองมีความซับซ้อนที่สุดในโลก และในช่วงนั้นนครฉางอานน่าจะมีประชากรถึง 1 ล้านคน ทั้งนี้ ในช่วงรุ่งเรืองสุดๆ คาดว่านครฉางอานมีประชากร 1.5 ล้านคน 1 ใน 3 คือ 5 แสนคน เป็นแขกที่มาจากเอเชียกลางและเปอร์เซีย ท่านดูสิครับว่าความกลมกลืนของราชวงศ์ถัง โดยการนำของหลี่ ซื่อหมิน จะเป็นขนาดไหน
ท่านผู้ชมครับ เมื่อพูดถึงราชวงศ์ถังแล้ว ผมไม่สามารถที่จะไม่พูดถึงราชวงศ์โจว โจวเกิดขึ้นภายในราชวงศ์ถัง เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ แล้วหมดจากโจว ก็กลายเป็นถังอีกต่อไป มันเกิดอะไรขึ้น?
สมัยที่หลี่ ซื่อหมิน เป็นฮ่องเต้ หลี่ ซื่อหมิน ได้รับนางสนมเด็กเข้ามาคนหนึ่ง อายุประมาณ 14 ปี สนมเด็กคนนี้ชื่อ อู่เจ๋อเทียน หรือที่พวกเรารู้จักกันว่า บูเช็กเทียน พอหลี่ ซื่อหมิน สิ้นพระชนม์ อู่เจ๋อเทียน ในฐานะที่เป็นพระสนม ก็ต้องทำตามขนบธรรมเนียมประเพณี คือต้องไปเข้าวัดบวชเป็นชี ว่ากันว่า ตำนานว่า ลูกของหลี่ ซื่อหมิน ก็คือ พระเจ้าถังเกาจง หลี่จื้อ องค์ต่อมาที่ต่อจากหลี่ ซื่อหมิน นั้น ชอบสนมของเสด็จพ่อองค์นี้มาก ถึงกับมีความสัมพันธ์กันเป็นส่วนตัว แล้วพอพระองค์ท่านขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ต่อจากพ่อ ก็เอาสนมคนนี้เข้ามาอยู่ในวัง พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงฮองเฮา ก็คือพระมเหสี กับสนมเอก กำลังทะเลาะกัน แต่ละคนก็เลยจะใช้อู่เจ๋อเทียนเข้ามาเพื่อมาล้มอีกฝ่ายหนึ่ง อู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน) ก็เลยเข้ามาเป็นคนกลาง และเข้ามาในวัง และเข้ามาเป็นสนมองค์หนึ่งของฮ่องเต้
แล้วปรากฏว่าหลังจากนั้น อู่เจ๋อเทียน ก็มีเสน่ห์ และถังเกาจง ก็หลงใหลในตัวบูเช็กเทียนมาก ก็เลยคิดที่จะตั้งบูเช็กเทียนขึ้นมาเป็นฮองเฮา และในที่สุดแล้ว ตำนานว่า บูเช็กเทียน เป็นคนที่วางยาพิษให้ถังเกาจงสิ้นพระชนม์ และบูเช็กเทียนก็เลยยึดอำนาจขึ้นมา แล้วก็ตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นจักรพรรดินี แล้วเปลี่ยนราชวงศ์ถัง มาเป็นราชวงศ์โจว ในประวัติศาสตร์จีนเขาเรียกว่าราชวงศ์อู่โจว มีนครหลวงตั้งอยู่ที่ลั่วหยาง นครหลวงของราชวงศ์ถังเดิมทีตั้งอยู่ที่ฉางอาน (ซีอาน) บูเช็กเทียนมาตั้งที่ลั่วหยาง ตั้งตนเป็นจักรพรรดินี ทรงอำนาจสูงสุดในวัย 67 ปี ถือว่าเป็นจักรพรรดินีองค์แรกและองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน แม้ว่าการเข่นฆ่าล้างศัตรูทางการเมืองขนานใหญ่ส่งผลให้บรรยากาศของบ้านเมืองนั้นน่ากลัวมาก แต่โดยทั่วไปสภาพเศรษฐกิจยังดีอยู่ เจริญรุ่งเรือง ข้อดีของบูเช็กเทียน คือ ปรับปรุงระบบโครงสร้างการปกครองท้องถิ่น การสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการทหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บ่มเพาะบุคลากรที่มีความสามารถมากมาย ซึ่งส่งผลทำให้ราชวงศ์ถัง ถังเสฺวียนจง ในเวลาต่อมา แวดล้อมด้วยเสนามาตย์ผู้ทรงความรู้ ผู้ช่วยเหลือ
มาถึงปี ค.ศ.705 บูเช็กเทียน วัย 82 ปี ล้มป่วยลงด้วยชราภาพ พวกเสนาบดีก็ร่วมกันก่อการโดยบีบให้บูเช็กเทียนสละราชสมบัติให้กับโอรสของพระองค์เอง ชื่อถังจงจง หลี่เซียน รื้อฟื้นราชวงศ์ถังกลับคืนมา ต่อมาภายหลังบูเช็กเทียนก็เสียชีวิตไป นี่ก็คือเป็นช่วงพิเศษออกมาในราชวงศ์ถัง
ท่านผู้ชมครับ พอหมดจากถังไปแล้ว ราชวงศ์ทุกราชวงศ์เป็นอย่างนี้ไปตามเวรกรรมของมัน เริ่มแรกผู้ที่สร้างราชวงศ์ขึ้นมา ก็เป็นคนขยันขันแข็ง พอต่อมาอายุมากขึ้น เนื่องจากมีสนมเยอะ ลูกหลานก็เยอะ แก่งแย่งชิงบัลลังก์กัน พี่ชายฆ่าน้องชาย น้องชายฆ่าพี่ชาย โน่นนี่นั่น จนกระทั่งช่วงหลังๆ คนหลังๆ ได้เป็นฮ่องเต้ก็หลงระเริงกับความสุข เสวยน้ำจัณฑ์ ชอบชมการร่ายรำ ฟ้อนรำ เรียกหาผู้หญิงเข้ามาเป็นสนมเข้าวังตลอดเวลา ราชวงศ์ถังก็ล่มสลายลงด้วยเรื่องนี้ จนกระทั่งในที่สุดแล้วหมดจากราชวงศ์ถัง ก็เลยมีต่อด้วยราชวงศ์ซ่ง (ซ้อง) พอหมดซ้องแล้ว ในยุคที่ซ้องพังทลายลงไปก็เพราะว่ามองโกล โดยเจงกิสข่าย ลูกหลานเจงกิส ข่าน กุบไล ข่าน เริ่มบุกเข้ามาในประเทศจีนจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บุกเข้ามาทางปักกิ่ง ลงมาเรื่อยๆ แล้วก็มายึดประเทศจีน
ราชวงศ์ซ้องยึดประเทศจีนอยู่หลายร้อยปี ก็นานพอสมควร มีความโหดเหี้ยมอำมหิต พูดถึงราชวงศ์หยวนของมองโกล โหดเหี้ยมอำมหิตพอสมควร แต่ว่ามองโกลมีความสัมพันธ์กับทางตะวันตกมากกว่าราชวงศ์จีน เพราะว่าคนจีนในอดีต แม้กระทั่งปัจจุบัน ที่จีนชื่อประเทศ จงกั๋ว คือประเทศ/ดินแดนตรงกลางของโลก คือคนจีนเขาถือว่าประเทศจีนนั้นเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมสูงที่สุด ดีที่สุด เด่นที่สุด เขาก็เลยว่าเป็น Middle Kingdom อาณาจักรตรงกลาง หรือจงกั๋ว
ทีนี้ในช่วงท้ายๆ ของราชวงศ์หยวน ประชาชนเดือดร้อนมาก ชาวไร่ชาวนาไม่มีกิน มันก็เลยเกิดกบฏชาวนาขึ้นมา พอเกิดกบฏชาวนาปั๊บ ก็มีกลุ่มผู้นำอยู่หลายกลุ่ม แต่กลุ่มที่มีชื่อที่สุดก็คือกลุ่มของจูหยวนจาง
จูหยวนจาง อดีตเป็นขอทาน เป็นหลวงจีน คือที่ต้องไปบวชเป็นพระก็เพราะตัวเองไม่มีข้าวกิน ในที่สุดแล้วก็จับพลัดจับผลูรวบรวมผู้คนขึ้นมา ไล่ฆ่าพวกมองโกล เมื่อไล่ฆ่าพวกมองโกลแล้ว ผู้คนก็เลยเข้ามาสะสมเข้ามา ร่วมกัน ในที่สุดก็โค่นล้มราชวงศ์มองโกลได้ แล้วก็ไปตั้ง สถาปนาอิงเทียนฟู เป็นเมืองหลวง อิงเทียนฟูคืออะไร? คือเมืองหนานกิง หนานกิงเป็นราชธานี แล้วใช้ชื่อรัชกาลว่าหงอู่ และขนานนามตัวเองว่า หมิง ไท่จู่ ก็คือว่าเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์หมิง แล้วหลังจากนั้นก็ออกปราบปรามกองกำลังต่างๆ ท่านผู้ชมจำไว้อย่างนะ เวลาราชวงศ์หนึ่งสิ้นสุดไป ราชวงศ์ใหม่ขึ้นมา มันจะมีผู้ครองแคว้นเยอะ มีทั้งขุนศึกที่แคว้นนั้น ที่เมืองนั้น อยากจะตั้งตัวเป็นใหญ่ เมื่อใครก็ตามได้บัญชาสวรรค์เป็นฮ่องเต้ คือเขาถือว่าฮ่องเต้คือโอรสของสวรรค์ เมื่อขึ้นมาแล้วก็ต้องไปปราบปรามคนพวกนี้
ราชวงศ์หมิงเป็นราชวงศ์ที่รุ่งเรืองในด้านวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก และเป็นราชวงศ์เดียวในประวัติศาสตร์จีนที่มีการสำรวจทางทะเลอย่างกว้างขวาง ราชวงศ์หมิงในตอนต้นถือเป็นอาณาจักรที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลานั้น ราชวงศ์หมิงเป็นหนึ่งในยุคที่ถูกจัดโดยนักวิชาการตะวันตกว่ามีการปกครองที่เป็นระบบ และเป็นสังคมที่มีเสถียรภาพในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ก่อนที่จะล่มสลาย
จูหยวนจาง ฮ่องเต้องค์แรกของราชวงศ์หมิง รวบอำนาจเข้ามาอยู่ส่วนกลาง เป็นคนนิสัยขี้ระแวงส่วนตัวในตัวผู้อื่น ทำให้ราชวงศ์หงอู่ หรือราชวงศ์หมิงยุคแรก มีการประหาร ฆ่าขุนนางที่มีคุณูปการไปเป็นจำนวนมาก ขุนนางที่มีคุณูปการคือขุนนางที่เริ่มสร้างชาติมาด้วยกัน สมัยก่อนอาจจะเป็นขุนศึกคนหนึ่ง เป็นแม่ทัพฝ่ายขวา เป็นทัพหน้า เป็นนายกอง พอเจ้านายขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ตัวเองก็เลื่อนยศขึ้นมาเป็นขุนนางคุณูปการ
จากความระแวงที่เกิดขึ้น เป็นครั้งแรก ราชวงศ์หมิงตั้งหน่วยงานตรวจสอบขึ้นมา หรือที่เขาเรียกว่าสำนักงานความมั่นคง สำนักตรวจการ และยังมีอีกอันหนึ่งซึ่งในภาพยนตร์ท่านผู้ชมคงเคยดู องครักษ์เสื้อแพร
องครักษ์เสื้อแพร เริ่้มในราชวงศ์หมิง เพื่อให้เป็นหน่วยงานพิเศษในการตรวจสอบขุนนางในราชสำนักและราษฎรต่อมา หลังจากนั้นแล้ว การดำเนินการก็ดำเนินการปราบปรามผู้ที่ไม่เห็นด้วย ฆ่า หรือจับเข้าคุก สงสัยใครก็จับมา เพราะฉะนั้นแล้วในยุคของจูหยวนจาง คือปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์หมิงนั้น ส่วนหนึ่งก็คือการตามล้างตามเช็ดคนที่ตัวเองระแวงสงสัย อีกส่วนหนึ่งก็คือ ดำเนินพัฒนาปฏิรูปประเทศไปเรื่อยๆ
ในด้านการทหาร ในยุคนั้น ราชวงศ์หมิงประสบความสำเร็จ มีกองทัพภาคพื้นดินเกินกว่า 1 ล้านคน ยุคราชวงศ์หมิงนะท่านผู้ชม 600 กว่าปีที่แล้ว มีกองทัพอยู่ 1 ล้านคน มีอู่ต่อเรือที่เมืองหนานจิง เป็นอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นแล้ว ราชวงศ์หมิงเป็นการเจริญเติบโตของจีนอย่างเป็นระบบ ทีนี้ พระองค์ท่านสวรรคตเมื่ออายุประมาณ 64 ปี แต่เผอิญรัชทายาทที่ควรจะเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ชื่อ จูเปียว ปรากฏว่าสิ้นพระชนม์ เสียชีวิต จูหยวนจาง ก็เลยตั้งหลานชายคนหนึ่ง ชื่อ จูยุ่นเหวิน ขึ้นมาเป็นฮ่องเต้แทน ในวัยแค่ 21 พรรษา แค่นั้นเอง
จูเหวินตี้ ถูกคนห้อมล้อม อย่างเช่น ขุนนางที่ชื่อฉี ไท่ หวงจื่อเฉิง ก็ออกคำสั่งแนะนำให้ปลดพวกเจ้ารัฐต่างๆ เจ้ารัฐโจว เจ้ารัฐใต้ เจ้ารัฐฉี คนพวกนี้คือลูกของจูหยวนจาง คือเป็นพระอาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่ความที่กลัวว่าพระอาจะยึดอำนาจของตัวเองและไปฟังคนใกล้ตัวมาก ก็เลยปลดคนโน้นคนนี้ บางคนถูกปลดเป็นสามัญชน บางคนถูกจับเข้าคุก และคนที่สำคัญที่สุดที่กำลังจะถูกปลด ก็คือหย่งเล่อฮ่องเต้องค์ต่อมา แต่สมัยนั้นใช้ชื่อว่า เอี้ยนอ๋อง ทำไมถึงเรียนกว่า เอี้ยนอ๋อง? เพราะว่า เอี้ยน คือรัฐเอี้ยน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน นั่นก็คือปักกิ่งปัจจุบัน มีกำลังทหารอยู่เยอะมาก เพราะต้องคอยตั้งประจันกับพวกมองโกลซึ่งคอยจะบุกเข้ามาเมืองจีนตลอดเวลา เพราะฉะนั้นกองทหารทางข้างบนเยอะมาก
ปรากฏว่าเอี้ยนอ๋องไม่ยอม เอี้ยนอ๋องก็เลยจัดกองทัพขึ้นมา ลงมาปราบขุนนางที่ฉ้อฉล ที่ให้ร้าย ที่ปลุกปั่นให้ฮ่องเต้หลงผิด จริงๆ ลึกๆ ก็คือมายึดอำนาจของหลานชายตัวเองนั่นเอง จนกระทั่งในที่สุดแล้วกองทัพของเอี้ยนอ๋องก็เลยเข้ามาถึงเมืองนานกิง แล้วก็บุกเข้ามา แล้วก็ได้รับการเปิดประตูเมืองจากแม่ทัพคนหนึ่ง ชื่อ หลี จิ่งหลง เข้ามาแล้วก็ยึด
ตอนที่ยาตราเข้ามา พระราชวังในเมืองนานกิงไฟไหม้หมดเลย ปรากฏว่าหาศพไม่เจอ ทุกคนถูกเผาเป็นตอตะโก แต่ว่าไม่สามารถจะเจอตัวหลานชายที่เป็นฮ่องเต้ ว่ากันว่าเป็นคนที่หนีไป และหนีไปไหนก็ไม่รู้
เรื่องทั้งหมดที่ผมเล่าให้ฟังนี้มันอยู่ในพยัคฆราชซ่อนเล็บ รายละเอียดมีมากกว่าที่ผมพูดเยอะ สนุกสนานมากเรื่องนี้ เขียนโดย เยี่ยกวน นี่คือราชวงศ์หมิง
จนในที่สุดแล้ว เจ้าเอี้ยนอ๋อง ซึ่งได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ก็เลยเรียกตัวเองว่า หมิงเฉิงจู่ จูตี้ ก็คือฮ่องเต้หย่งเล่อผู้เกรียงไกรนั่นเอง
ผลงานทางด้านการเมืองการปกครอง ความสำเร็จของหย่งเล่อฮ่องเต้นั้นมีมากมายเหลือคณานับ ที่สำคัญๆ ปัจจุบันก็มี คือ พระองค์ท่านย้ายเมืองหลวงจากนานกิง ไปปักกิ่ง เป็นเมืองหลวงของจีนจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าราชวงศ์หมิง สมัยหย่งเล่อฮ่องเต้ มีนิยายอยู่ 3 เรื่อง ที่เป็นนิยายอมตะ ที่เกิดขึ้นในราชวงศ์หมิง เรื่องแรกคืออะไรรู้ไหมท่านผู้ชม? สามก๊ก ครับ เขียนในรัชกาลราชวงศ์หมิง เรื่องที่ 2 คือ ซ้องกั๋ง ซ้องกั๋งก็คือผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน เรื่องที่ 3 คือ ไซอิ๋ว และเรื่องที่ 4 เป็นเรื่องของผู้หญิง ชื่อ บุปผาในกุณฑีทอง เป็น 4 เรื่องที่คลาสสิกที่สุดในวรรณกรรมจีน แล้ววีรกรรมอันหนึ่ง คุณูปการอันหนึ่งที่หย่งเล่อฮ่องเต้ได้ทำให้กับราชวงศ์หมิงและประเทศจีน คือการมีสมุหยาตราของเจิ้งเหอ
เจิ้งเหอ คือขันทีสมัยก่อน เกิดที่มณฑลยูนนาน เจิ้งเหอเป็นชาวมุสลิม เจิ้งเหอ มีนามว่า เหอ ชื่อรองคือ ซันเป่า ท่านผู้ชม เคยมีศาลเจ้าในประเทศไทยที่เราเคยกราบไหว้ หลายคนที่เป็นคนจีน ซำปอกง นี่ล่ะครับคือศาลเจ้าของเจิ้งเหอ เพราะชื่อเดิม คือ ซันเป่า เป็นชนชาติหุย เกิดที่มณฑลยูนนาน ตำนานว่า ตอนนั้นราชวงศ์หมิงไล่มองโกลออกไป แล้วบุกเข้าไปที่ยูนนาน พวกนี้กำลังจะถูกประหาร ปรากฏว่าไปเจอหย่งเล่อฮ่องเต้ ชอบเจิ้งเหอมาก เพราะตัวใหญ่ สูงตั้งเกือบ 7 ฟุต (210 เซนติเมตร) น้ำหนัก 100 กิโลกรัม ก็เลยเอาไปอยู่ข้างตัว ก็เลยตอนเป็นขันทีไปเลย ก็เลยกลายเป็นเจิ้งเหอ (ถ้าเป็นผม ผมยอมตายดีกว่าถูกตอนนะครับ)
ทีนี้ ความที่หย่งเล่อฮ่องเต้ทรงหวาดระแวง ทรงพระประสาทรับประทาน กลัวว่าหลานชายของตัวเองซึ่งหาศพไม่ได้ อาจจะหนีออกไปต่างประเทศ ก็เลยให้เจิ้งเหอจัดกองเรือออกไป ทำทีว่าไปค้าขายกับต่างประเทศ แต่จริงๆ ไปสืบว่าหลานชายคนนี้หนีไปทางเรือแล้วไปอยู่ที่ไหนบ้าง ผลพวงนี้เลยทำให้เจิ้งเหอได้ออกกองเรือเดินสมุทรทั้งสิ้น 7 ครั้ง ในปี ค.ศ.1405 หรือ พ.ศ.1948 ไปจนถึงปี ค.ศ. 1433 หรือ พ.ศ.2308 เป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปี เดินทางมากกว่า 50,000 กิโลเมตร ผ่านดินแดน 30 ประเทศ จากทะเลจีนใต้ ไปจนถึงชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา โดยกองเรือภายใต้การนำของขันทีเจิ้งเหอนี้ เคยติดต่อกับอาณาจักรอยุธยาด้วยนะครับ
นอกจากนั้นแล้ว นายพลแมนซี นายพลเรือของอังกฤษ ได้เคยนำเสนอทฤษฎีว่า ในการเดินเรือครั้งหนึ่งของเจิ้งเหอ เขาน่าจะไปไกลถึงทวีปอเมริกา ซึ่งหากเป็นจริง เขาจะเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา ไม่ใช่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เพราะฉะนั้นแล้วด้วยเหตุนี้พูดได้ว่า กองเรือของเจิ้งเหอในยุคนั้น เป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่มีกองเรือไหนที่จะใหญ่กว่านี้อีกแล้ว
ขบวนเรือของเจิ้งเหอ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ในปี ค.ศ.1405 ขบวนเรือของเจิ้งเหอประกอบด้วยเรือที่ประกอบไปด้วยเรือสินค้า เรือรบ เรือสนับสนุนในแบบต่างๆ โดยแบ่งเป็นเรือใหญ่ จำนวน 62 ลำ และเรือใหญ่ของจีนในยุคนั้นมันใหญ่จริงๆ เรือของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เคยมีคนเอามาเปรียบเทียบกับเรือใหญ่ เล็กกระจิ๋วเดียว
แล้วมีเรือเล็กอีกมากกว่า 200 ลำ ทั้งหมดนี้มีผู้คนโดยสารอยู่ 27,800 คน ท่านผู้ชมครับ กองเรือที่มีคนถึง 27,800 คน ด้วยเทคโนโลยี ด้วยความทันสมัยของราชวงศ์หมิง ที่มีทั้งปืนใหญ่ ที่มีทั้งปืนเล็กยาว ที่มีทั้งอาวุธชั้นดี มีการหลอมเหล็กชั้นดี กองเรือนี้ถ้าจะไปยึดประเทศไหนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ยึดได้หมด จึงไม่เป็นที่แปลกประหลาดใจว่าทำไมถึงมีหลายๆ ประเทศ พอกองเรือนี้เข้าไป ต้องมาสยบสวามิภักดิ์ ยอมเป็นประเทศราชให้กับราชวงศ์หมิง ซึ่งรวมทั้่งประเทศไทยด้วย ศรีลังกาก็ใช่ เขมรก็ใช่ เวียดนามก็ใช่ เวียดนามตอนนั้นเขาเรียกพวกจาม แต่เวียดนามสยบเป็นประเทศราช สัก 2-3 ปีต่อมาก็กลับคำ มาต่อสู้กับจีนอีก จีนก็ต้องส่งกองทัพมาปราบปรามตลอด รวมไปจนถึงอินโดนีเซีย เพราะฉะนั้นแล้วความยิ่งใหญ่ตรงนี้ มี
ก็เหมือนกันครับ พอถึงปลายราชวงศ์หมิง ก็เกิดความเสื่อมโทรมลงมาอย่างมหาศาล จนกระทั่งในที่สุดกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิงก็ถูกต้นตระกูลของชนชาวแมนจู ที่เขาเรียกตัวเองกันว่า พวกโฮ่วกิม ก็คือตระกูลของชนเผ่านอกที่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนมารวมตัวกัน เรียกว่าราชวงศ์กิม หรือภาษาจีนกลางเรียกว่า จิน คือ ทอง ทองรุ่นหลังคือ โฮ่วจิน จนในที่สุดแล้วพวกนี้ก็บุกเข้ามา แล้วก็ทำร้ายฮ่องเต้ ฮ่องเต้ของราชวงศ์หมิงฆ่าตัวตายเพราะว่ามีกบฏชาวนา ซึ่งนำโดยหลี่ จื้อเฉิง เข้ามายึดเมืองปักกิ่ง แล้วฮ่องเต้ก็หนีไปแขวนคอตัวเองอยู่ที่เนินเขาที่หลังพระราชวังต้องห้าม ซึ่งตอนนี้เป็นศาลาอยู่ แขวนคอตาย ฮ่องเต้โฉดคนนี้คือคนที่สั่งประหารชีวิต เพราะได้รับคำยุยงส่งเสริมจากขันทีที่รับเงินของพวกไต้กิม หรือพวกที่บุกรุกประเทศจีน ให้ประหารชีวิตแม่ทัพใหญ่ของประเทศจีนที่สู้กับพวกไต้กิมจนกระทั่งได้รับชัยชนะมาตลอด คือแม่ทัพชื่อ หยวนฉงฮ่วน
เมื่อหยวนฉงฮ่วนเสียชีวิตแล้ว ประกอบกับมีกบฏชาวนา หลี่ จื้อเฉิง ก็บุกเข้ามา ทางตะวันออกเฉียงเหนือก็มีพวกแมนจูบุกลงมา เพราะฉะนั้นแล้วราชวงศ์หมิงก็เลยต้องล่มสลายไป
ท่านผู้ชมครับ ผมเล่าเรื่องให้ฟังตั้งแต่สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ต่อมาถึงราชวงศ์ฮั่น หลิวปัง ฮั่นเกาจู่ และมาถึงราชวงศ์ถัง ถังไท่จง หลี่ ซื่อหมิน มาจนถึงราชวงศ์หมิง ซึ่งผมเน้นเฉพาะหย่งเล่อฮ่องเต้ ถ้าจะดูให้ดีๆ แล้ว ปรัชญาแนวความคิดของราชวงศ์ฮั่น หรือราชวงศ์ฉิน จิ๋นซีฮ่องเต้ จนถึงราชวงศ์ฮั่น มาจนถึงราชวงศ์ถัง และมาจนถึงราชวงศ์หมิง ปรัชญาแนวความคิดที่ยืนอยู่ตลอดทั้ง 4 ยุคสมัยนั้น คือ ประเทศจีนต้องเป็นหนึ่งเดียว คือการรวมประเทศจีนหมด ด้วยเหตุนี้ ปรัชญาตรงนี้มันซึมซับลงไปในจิตวิญญาณของผู้นำจีนทุกรุ่น ว่าประเทศจีนจะแบ่งแยกต่อไปไม่ได้ จะต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น นี่ก็เป็นอันหนึ่งที่เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นมา
อันที่สอง คนสงสัยว่าทำไมเทคโนโลยีของจีนในช่วงหลัง ในยุคของสี จิ้นผิง หรือในยุคของหู จิ่นเทา ถึงก้าวกระโดดไปไกล ท่านผู้ชมครับ นักประวัติศาสตร์เขาให้ประเทศจีนเป็นผู้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก 4 อย่าง อย่างแรกก็คือ เข็มทิศ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า เข็มทิศ เป็นการประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ที่มีคุณค่าที่สุดและเก่าแก่ที่สุดสิ่งหนึ่งของจีน จีนคิดค้นเข็มทิศได้เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ชาวจีนรู้จักใช้เข็มทิศหน้าปัดกลมเพื่อเดินเรือเมื่อศตวรรษที่ 12 ต่อมาเจิ้งเหอได้เริ่มเดินทางตั้งแต่ปี ค.ศ.1405 เดินทางไปถึงอาหรับ แอฟริกาตะวันออก ไป-กลับ 7 ครั้ง รวมเวลา 28 ปี เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า หากไม่มีเข็มทิศแล้ว การเดินทางในมหาสมุทรระยะไกลเช่นนี้ย่อมไม่สำเร็จแน่ ฉะนั้น จีนเป็นผู้คิดค้นเข็มทิศแต่ผู้เดียวในโลกนี้อย่างแน่นอน
อันที่สอง สิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญมาก คือ ดินปืน ภาษาจีนกลางเรียกว่า หั่วเย่า แปลตรงตัวคือ ยาไฟ ดินปืนเป็นสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ของจีน เกิดจากการศึกษาในการกลั่นยาอายุวัฒนะ โดยเฉพาะมีบางส่วนเอาดินประสิว กำมะถัน ดินถ่าน มาเผารวมกันก่อให้เกิดการลุกไหม้และระเบิดขึ้น 3 อย่างนี้ผสมรวมกันเขาเรียกว่า ดินปืน (หั่วเย่า)
ดินปืนของจีนนั้น ทำไมเมื่อจีนคิดค้นแล้ว โลกตะวันตกจึงสามารถประดิษฐ์เป็นปืน จรวด อาวุธร้ายแรงได้ก่อนจีน คือหลังยุคราชวงศ์ซ่ง ซ่ง คือต่อจากถัง แล้วซ่งถูกหยวน ซึ่งก็คือมองโกล โค่นล้ม กองทัพมองโกลซึ่งแผ่ขยายอิทธิพลไปทั่้วพื้นยูเรเซีย มองโกลนี่บุกไปหมดนะ เอเชียกลาง ยูเรเซีย ไปฮังการี ไปโน่นไปนี่ตลอด เพราะฉะนั้นมองโกลจะสัมผัสกับทางยุโรปมาก จีนเป็นคนที่ปิดตัว เพราะฉะนั้นแล้ว มองโกลสมัยราชวงศ์หยวน ก็เป็นผู้ที่นำดินปืนเข้าไปในยุโรป จนเวลาต่อมาก็พัฒนาเป็นอาวุธปืนและอาวุธร้ายแรงอื่นๆ ในเวลาต่อมา
ตามตำนานทางประวัติศาสตร์เชื่อว่าผู้ที่นำดินปืนไปเผยแพร่ในยุโรป คือ William of Rubruck เป็นมิชชันนารีชาวดัตช์ เป็นทูตยุโรปที่ไปอยู่มองโกล โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1254 โดยดินปืนถูกพัฒนาต่อโดยชาวยุโรป และยิ่งก้าวหน้าไปอีกในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ก็สามารถที่จะทำให้ดินปืนนั้นกลายเป็นอาวุธที่ร้ายแรงมาก
อันที่สาม สิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญมากของจีน คือ กระดาษ วิธีผลิตกระดาษที่ใช้อยู่ในปัจจุบันในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก มีขันทีคนหนึ่ง ชื่อ ไช่ หลุน ขันทีคนนี้เขาคิดองค์ประกอบกระดาษ วิธีผลิตกระดาษอย่างใหม่ โดยเขาแช่เปลือกไม้ที่อัดกันเป็นแผ่นลงไปน้ำ จนกระทั่งน้ำแห้งหมด น้ำซึมเข้าไปในเปลือกไม้ แล้วทิ้งให้เปลือกไม้นั้นแห้งเป็นแผ่นกระดาษเรียบบาง แม้ในปัจจุบัน ท่านผู้ชมเชื่อไหม วิธีและอุปกรณ์การผลิตกระดาษจะมีความซับซ้อนกว่าเดิม แต่ยังคงหลักการเดิมของไช่ หลุน เหมือนเดิม
กระดาษของไช่ หลุน นั้นนิยมใช้ในการสื่อสาร เขียน อย่างกว้างขวางทั่วประเทศจีน ภายในคริสตศตวรรษที่ 3 และทำให้ประเทศจีนสามารถพัฒนาอารยธรรมหลายประการได้รวดเร็วอย่างยิ่ง
ต่อมาวิธีผลิตกระดาษดังกล่าวได้แพร่กระจายไปสู่เกาหลี ญี่ปุ่น และเวียดนาม และช่วงคริสตศตวรรษที่ 7 คือ ค.ศ.751 กองทัพราชวงศ์ถังปราชัยแก่กองทัพอาหรับในยุทธการแม่น้ำต้าหลัว และช่างผลิตกระดาษชาวจีนจำนวนหนึ่งถูกอาหรับจับกุมไว้ การผลิตกระดาษจึงไปสู่ซีกโลกตะวันตก โดยเข้าสู่ยุโรปเมื่อคริสตศตวรรษที่ 12 ส่งผลให้การปฏิวัติ วิธีการสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างต่อเนื่อง และเนื่องด้วยความสัมพันธ์ระหว่างชาวอาหรับกับยุโรปในช่วงสงครามครูเสด ชาวอาหรับกับชาวคริสต์ ชาวยุโรป กระดาษจีนได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ช่วยเสริมรากฐานทางวิชาการทางยุโรปในยุคต่อมา
ประดิษฐกรรมที่มหัศจรรย์อีกอันหนึ่งก็คือ การพิมพ์ที่สามารถเรียงพิมพ์ได้ จริงๆ การพิมพ์มีมานานแล้ว แต่การพิมพ์จำนวนมากๆ เริ่มจากประเทศจีน ประเทศจีนได้เริ่มการพิมพ์โดยใช้บล็อกไม้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Wood Block Printing โดยเขาแกะแม่พิมพ์บนแผ่นไม้ โดยแกะเป็นตัวกลับ ส่วนที่ต้องการจะเป็นส่วนที่นูนสูงขึ้นมา เอาหมึกคลึงบนแม่พิมพ์ หมึกจะเกาะส่วนที่นูนสูงขึ้น เมื่อเอากระดาษวางบนแม่พิมพ์แล้วใช้แรงกด หมึกก็จะเกาะติดกระดาษขึ้นมา ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คิดว่าต้นกำเนิดของการพิมพ์ด้วยบล็อกไม้ในจีนอยู่ในช่วง ค.ศ. 590-640 อยู่ในสมัยราชวงศ์สุย และราชวงศ์ถังของจีน
ท่านผู้ชมจะเห็นว่า 4 อย่างยอดสิ่งประดิษฐ์ของจีนนั้น เป็นการประดิษฐ์ขึ้นมาครั้งแรกในโลก และถูกพัฒนาต่อยอดไปในหลายๆ ด้าน เยอะแยะที่สุด ตั้งแต่เรื่องของเข็มทิศ เรื่องของดินปืน เรื่องของกระดาษ เรื่องของการพิมพ์ที่สามารถเรียงพิมพ์และพิมพ์ได้จำนวนมากๆ
ท่านผู้ชมครับ ผมได้พูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์จีนโดยฉบับย่อที่สุด ย่อจาก 4,000 ปี ย่อมาประมาณ 1 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที ก็ต้องหมายความว่าฟังไว้คร่าวๆ ส่วนใครอยากจะได้รายละเอียดอะไร ก็ไปแสวงหากันเอง แต่ใครขี้เกียจตามนิสัยคนไทย ฟังแค่นี้ก็น่าจะเข้าใจประเทศจีน
ท่านผู้ชมครับ ประเทศจีนนั้น ราชวงศ์สุดท้ายที่จบไปคือราชวงศ์ชิง ชิง ก็คือชาวแมนจู ซึ่งเป็นชนเผ่า ซึ่งเผ่าดั้งเดิมของเขาคือเผ่าหนี่เจิน แล้วตอนหลังก็เลยมาตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นมา หลังจากที่ล้มล้างราชวงศ์หมิงได้ ราชวงศ์ชิงก็อยู่ประมาณ 200-300 ปี แล้วในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกเมื่อเจอยุคล่าอาณานิคมของทางยุโรป ก็เลยทำให้ราชวงศ์ต้องบอบช้ำมาก และประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่การเดินทางไปศึกษาต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเหมือนสมัยที่ต้องนั่งเรือสำเภาไป นั่งเรือกลไฟไป ก็ปรากฏว่ามีคนจีนยุคใหม่ๆ ยุคนั้นก็เดินทางไปเรียน ศึกษาศาสตร์ใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกครองที่เขาได้ไปเห็นทางประเทศตะวันตก แล้วเขามามองย้อนหลังดูประเทศจีนของเขา เขาก็มีความรู้สึกว่าทำไมมันถึงล้าหลัง ล้าสมัย และอีกอย่างหนึ่ง ความเน่าเฟะของราชสำนักตั้งแต่สมัยพระนางซูสีไทเฮา ซึ่งเป็นคนที่สั่งการฮ่องเต้ โดยที่ฮ่องเต้นั้นแทบจะไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐ ซึ่งราชวงศ์ชิงได้ล่มสลายไป เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐ ก็เลยกลายเป็นการทะเลาะกันระหว่างขุนศึก จะมีขุนศึกหยวนซือไข่ ขุนศึกเมืองซานตุง ขุนศึกมณฑลนี้ๆ ต่างแย่งชิงอำนาจกัน ในบรรดาขุนศึกทั้งหมดนี้ก็จะมีผู้ที่มีความรู้ทางวิชาการและเป็นคนที่มีความคิดระยะยาวคนหนึ่ง ชื่อ ดร.ซุน ยัตเซ็น ดร.ซุน ยัตเซ็น ก็เลยคิดที่จะสร้างประเทศจีนขึ้นมาใหม่ เป็นสาธารณรัฐจีน โดย ดร.ซุน ยัตเซ็น ก็มีลูกศิษย์เอกคนหนึ่งชื่อ เจียง จงเจิ้ง หรือที่เรียกว่า จอมพลเจียง ไคเชก ในช่วงนั้นก็เลยเป็นจังหวะที่ทฤษฎีของมาร์กซิสต์ กับเลนินนิสต์ เริ่มเผยแพร่จากรัสเซียออกไปทั่วโลก และประเทศจีนก็เป็นจุดสำคัญที่สุดในลัทธิคอมมิวนิสต์ หรือผู้เผยแพร่คอมมิวนิสต์ในยุคเลนิน และทรอตสกี ที่มองว่าถ้าเอาประเทศจีนเป็นคอมมิวนิสต์ได้ทั้งประเทศแล้ว อำนาจอิทธิพลของความเชื่อมั่นในลัทธิคอมมิวนิสต์ก็จะสูงมากขึ้น คอมมิวนิสต์ก็เลยเข้ามาสู่ประเทศจีนในยุคประมาณปี 1900 ต้นๆ
ในช่วงนั้นประเทศจีนมีสงครามกลางเมืองเยอะมาก มีสงครามที่ญี่ปุ่นบุกเข้าไปยึดแมนจูเรีย ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า มีความรู้สึกว่าพอทางเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 เขาก็ยกสิทธิประโยชน์ของเยอรมนีที่มีอยู่ในประเทศจีน แถวๆ มณฑลซานตง เขายกให้กับญี่ปุ่น คนจีนที่ไปศึกษาต่างประเทศ หรือคนจีนที่มีเลือดรักชาติ ก็ไม่ยอม เอ๊ะ อะไรกัน นี่มันประเทศของเรา เยอรมนีเข้ามายึดครอง ตั้งอาณานิคม แล้วก็มายึดเป็นเมืองส่วนหนึ่งเป็นของเยอรมนี แล้วพอเยอรมนีแพ้สงคราม ในฐานะผู้เจรจาสงบศึก หรือที่กลุ่มองค์กรระหว่างประเทศเขาเรียกว่า สันนิบาตประชาชาติ (The League of Nations) ก็ชี้ลงไปว่า ถ้าอย่างนั้นส่วนที่เยอรมนียึดอยู่นั้น ก็ส่งต่อให้ญี่ปุ่น คนจีนมีความรู้สึกว่าลัทธิอาณานิคมมันส่งจากประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่ง ก็เลยจะมีลุกขึ้นมาต่อต้านคำสั่งดังกล่าว เขาเรียกว่า May Fourth Movement
คือการเคลื่อนไหวเดือนพฤษภาคม วันที่ 4 ทำให้คนจีนรักชาติทั่วไป โดยเฉพาะนักศึกษาหลายคน แล้วก็มีคนๆ หนึ่งเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์อยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง คนๆ นี้เข้าร่วมประท้วงด้วย คนๆ นี้ชื่อ เหมา เจ๋อตง
เหมา เจ๋อตง เป็นชาวหูหนาน อาหารของชาวหูหนานเป็นอาหารเผ็ดเหมือนเสฉวน แต่เผ็ดคนละแบบ เสฉวนเผ็ดแบบน้ำมันพริก ก็คือหมาล่า แต่หูหนานเป็นพริกสด ผมก็เคยไปที่มณฑลหูหนาน ที่เมืองฉางซา ซึ่งมีปลาราดพริกซึ่งอร่อยมากๆ ได้ไปเยือนบ้านเกิดของเหมา เจ๋อตง ผมได้ไปดู
เหมา เจ๋อตง เป็นครูมาก่อน แล้วตอนหลังก็มาเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์อยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง แล้วเหมา เจ๋อตง ก็ไปร่วมประท้วง
เหมา เจ๋อตง เป็นคนฉลาดล้ำลึก และเป็นจอมยุทธศาสตร์ ว่ากันว่าความสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่สามารถจะรบชนะพรรคก๊กมินตั๋ง หรือที่ภาษาจีนกลางเรียกว่ากั๋วหมินตั่ง ภาษาคอมมิวนิสต์ ภาษาจีนกลาง เขาเรียก ก้งฉานตั่ง ก๊กมินตั๋ง ของเจียง ไคเชก เขาเรียกว่า กั๋วหมินตั่ง (ตั่ง คือ พรรค) เหมา เจ๋อตง เป็นคนวางแผนทุกอย่างในการรบ แล้วก็เป็นการกำหนดยุทธวิธี บอกว่า ถ้าศัตรูแข็ง เราหลบ ถ้าศัตรูอ่อน เราบุก ถ้าบุกแล้วเราสู้ไม่ได้ ก็ต้องถอยออกมา เหมา เจ๋อตง ในที่สุดแล้วก็เป็นผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์ จากการซึ่งเป็นคนที่มีทฤษฎีอันแม่นมาก ทฤษฎีมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์
ลัทธิเหมา ที่เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นในช่วงนั้น อย่างเช่นคำพูดหลักการต่างๆ ของเหมา เจ๋อตง อย่างเช่น เขาพูดถึงกระบวนการล่าอาณานิคม เขาบอกว่า "ดวงไฟจากหมู่ดาราจะแผดเผาประเทศจีน" หมู่ดาราก็หมายถึงพวกเจ้าอาณานิคมทั้งหลาย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อเมริกา "ดวงไฟจากหมู่ดาราจะแผดเผาประเทศจีน"
และคำขวัญหรือคำกล่าวของเหมา เจ๋อตง ซึ่งเป็นสัจวาจามาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ "อำนาจมาจากปากกระบอกปืน" "ผู้ถืออาวุธจะมีอำนาจทางการเมือง" แต่จริงๆ แล้วเป็นคำพูดที่มาจาก "อำนาจมาจากปากกระบอกปืน" แล้วก็อีกอันหนึ่งของเหมา เจ๋อตง ซึ่งก็เป็นสัจธรรมจนทุกวันนี้ คือ "ป่าล้อมเมือง" นโยบายกองโจรล้อมเมือง แล้วในการเดินขบวนก็จะบอกว่า "ประชาชนจะเดินไปตามเส้นทาง รัฐบาลคอมมิวนิสต์รวบรวมประชาชนให้สามัคคีกัน" และอันสุดท้าย คือ "ศิลปะจะต้องรับใช้การต่อสู้ทางชนชั้น"
อีกอันหนึ่งคือ "รัฐบาลจะแบ่งสรรปันส่วนให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน" เหมา พูดว่า ใช้ทฤษฎีของลัทธิเหมาดำเนินการปฏิวัติ เป็นต้น และก๊กมินตั๋ง กับก้งฉานตั่ง คือคอมมิวนิสต์ กับก๊กมินตั๋ง ก็มารบกันเองเพื่อช่วงชิงอำนาจในแผ่นดินจีน
เจียง ไคเชก นั้นพ่ายแพ้ ที่พ่ายแพ้ก็เพราะว่าคนที่แวดล้อมเจียง ไคเชก นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีการคอร์รัปชันเยอะ แล้วเป็นพวกขุนศึกศักดินา และเป็นพวกคนมีเงิน กดขี่ประชาชน ในขณะซึ่งเหมา เจ๋อตง ได้ประชาชนเกือบหมดประเทศอยู่ข้างหลังเขา เพราะฉะนั้นแล้วการต่อสู้ของเหมา เจ๋อตง ก็เลยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และในที่สุดเจียง ไคเชก ก็เลยต้องขนพลพรรคและพรรคพวกออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ ข้ามเรือไปยังเกาะไต้หวัน และตั้งตัวเองเป็นประธานาธิบดีไต้หวัน ซึ่งเรียกรัฐบาลของเขาว่าเป็นสาธารณรัฐจีน Republic of China ส่วนของประธานเหมา ก็ตั้งว่าเป็นรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน
ตำนานของไต้หวันกับแผ่นดินใหญ่จีนมีมานานแล้ว แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องบทบาทของเหมา เจ๋อตง
เหมา เจ๋อตง ประกาศ ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ว่า วันนี้เราได้ตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมาแล้ว ได้กำเนิดเกิดขึ้นมาแล้ว ก็คือพูดง่ายๆ ว่า อีกประมาณไม่กี่ปีนี้ พรรคคอมมิวนิสต์ก็จะครบรอบ 100 ปี
เพราะฉะนั้นแล้วในช่วงที่เหมาประกาศ เหมาก็ต้องการที่จะพัฒนาประเทศจีนแบบก้าวกระโดดไกล ก็เลยมีนโยบายที่เรียกว่า The Great Leap Forward คือนโยบายก้าวกระโดดไกล (大跃进) คือเหมาเห็นว่า คนจีนต้องเร่งการผลิตให้ดี ก็เลยสั่งให้ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ใครที่มีเหล็ก มีกระทะเหล็ก มีจอบเสียมเหล็ก ให้เอามาหลอมเพื่อสร้างเหล็กขึ้นมา ถลุงเหล็กขึ้นมา แต่ว่าไม่สำเร็จ พังทลายไปหมดทั้งประเทศ เหตุผลเพราะว่าไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย ก็แค่ตั้งเตาถลุงขึ้นมา แล้วก็เอาเหล็กทั้งหลายใส่เข้าไปๆๆ ก็เลยทำให้ทุกอย่างมันพังทลาย
นอกจากนั้นแล้ว ประเทศก็เกิดภาวะการณ์ขาดแคลนอาหารอย่างหนัก เกษตรกรและปัญญาชนลำบากมาก ต่อเนื่องไป ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก ก็เกิดนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรมขึ้นมาในปี 2509 นโยบายก้าวกระโดดนี้เกิดขึ้นในปี 2501 แค่ 8 ปีให้หลังก็เกิดนโยบายการปฏิวัติวัฒนธรรม
การปฏิวัติวัฒนธรรมนั้นเป็นการทำลายลัทธิทุนนิยม ก็คือพูดง่ายๆ ว่า อะไรที่คนเชื่อมั่น ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ไม่ว่าจะเป็นวัด ไม่ว่าจะเป็นของเก่า ไม่ว่าใครก็ตามจะมีไวโอลิน ก็ถือว่าเป็นพวกที่ชูลัทธิทุนนิยมขึ้นมา ก็ถูกทำลาย จนกระทั่งมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ถ้าท่านผู้ชมที่อายุมากพอสมควรแล้ว จะจำได้ มีชื่อเรื่องว่า The Red Violin
ไวโอลินนี้เกิดขึ้นมาในสมัยยุคนักปฏิวัติที่ประเทศจีน แล้วเจ้าของไวโอลินสีแดงนี้ก็ถูกพิษของการประท้วงในเรื่องของการปฏิวัติวัฒนธรรม จนกระทั่งไวโอลินก็เลยเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ เดี๋ยวผมจะลองให้ทางทีมงานลองค้นข้อมูลเรื่อง The Red Violin ให้ดูนะ
เหมา เจ๋อตง ก็ทำอะไรที่ผิดพลาด แต่เหมา เจ๋อตง ก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง เหมา เจ๋อตง นั้นสร้างความมั่นคงให้คนเริ่มมีความภูมิใจว่าเป็นประเทศจีน และขับไล่อำนาจและอิทธิพลของตะวันตก หรือของคนที่มาครอบงำประเทศจีน และรวมประเทศจีนเข้ามาที่เดียวกัน ถ้ามองอีกด้านหนึ่ง เหมา เจ๋อตง ก็คือจิ๋นซีฮ่องเต้ในยุค ค.ศ.1949 ก็เท่ากับว่าเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้กลับมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือรวมประเทศจีนขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรวมประเทศจีนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะเดินหน้าต่อไป
เป็นเพียงแต่ว่าวิธีการเดินหน้าต่อไปนั้นก็มีนโยบายที่ผิดพลาดอยู่หลายๆ นโยบาย ซึ่งผมจะไม่ลงรายละเอียด เพราะถ้าลงรายละเอียดผมว่า 5 ชั่วโมงก็ไม่พอ เอาเป็นว่า ในที่สุดแล้วเหมา เจ๋อตง ก็หมดสิ้นไป แล้วคนที่เป็นผู้นำรุ่นที่สองของจีน ก็คือ เติ้่ง เสี่ยวผิง
คุณูปการของเหมา เจ๋อตง และข้อผิดพลาดของเหมา เจ๋อตง แม้กระทั่งสี จิ้นผิง ก็เคยกล่าวถึงเหมา เจ๋อตง บนเวทีการประชุมสัมมนาเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2556 หรือ ค.ศ.2013 สี จิ้นผิง พูดว่าอะไร? สี จิ้นผิง พูดว่า เหมา ถูก 70 เปอร์เซ็นต์ ผิด 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นคำพูดที่สี จิ้นผิง ขอยืมมาจากเติ้ง เสี่ยวผิง "การอุทิศของเขาเป็นสิ่งแรก ความผิดพลาดของเขาเป็นสิ่งที่สอง" พูดง่ายๆ ก็คือว่า เหมา อุทิศตัวเองให้กับชาติจีน อันนี้ไม่ต้องไปสงสัยเลย เป็นสิ่งแรกของความถูกต้อง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ความผิดพลาดของเขา คือ 30 เปอร์เซ็นต์ นั้นเป็นสิ่งที่สอง
แต่สี จิ้นผิง ก็เตือนว่า "การหันหลังให้เหมาโดยสิ้นเชิงจะนำหายนะมาสู่พรรคฯ และความวุ่นวายใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติ" นัยก็คือว่า ถ้าคนเราเขาอุทิศตัวเองให้กับประเทศจีนขนาดนี้แล้ว ถ้าเราไม่เอาคุณงามความดีตรงนี้ที่เขาอุทิศ แล้วเรามาสืบสานต่อเจตนารมณ์ของการอุทิศตัวเองให้ชาติ เราผิดพลาดนะ และจะนำความพิาศฉิบหายมาสู่ประเทศชาติ ส่วนข้อผิดพลาด 30 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องมาแก้กัน
ทีนี้ พอมาถึงรุ่นที่ 2 เติ้ง เสี่ยวผิง เติ้ง เสี่ยวผิง เคยไปเรียนที่ประเทศฝรั่งเศสมาแล้ว สมัยหนุ่มๆ หลังจากนั้นเติ้ง เสี่ยวผิง ก็เลยกลับมาเรียนต่อที่รัสเซีย แล้วก็เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์
เติ้ง เสี่ยวผิง เดินตามรอยเท้าเหมา แล้วก็ได้รับผลพวง ได้รับพิษจากการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยมี Gang of Four ซึ่ง Gang of Four นี้ต้องการจะโค่นล้มผู้ที่จะขึ้นต่อจากเหมา แล้วพวกตัวเองจะขึ้น แต่ตอนหลังทุกคนโดนเล่นงานหมด เติ้ง เสี่ยวผิง ก็จะโดนเล่นงาน แต่เติ้ง เสี่ยวผิง ฉลาด เติ้ง เสี่ยวผิง หนีไปอยู่ที่กว่างตง ก็คือกวางตุ้ง ที่กวางตุ้งนั้นมีแม่ทัพมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นคนสนิทของเติ้ง เสี่ยวผิง เขาปกป้องเติ้ง เสี่ยวผิง เต็มที่ เพราะฉะนั้นพวกนิสิต นักศึกษา อะไรก็ตามที่เคยได้อกได้ใจ ที่เคยบุกเข้าไปโรงเรียนและเอาผู้อำนวยการโรงเรียนมายืนแล้วสารภาพผิดว่าตัวเองหลงในทุนนิยมโน่นนี่นั่น แล้วทำให้เด็กรุ่นหลังมาด่าทอ เอาข้าวของมาขว้าง บางคนทนไม่ไหวถึงกับต้องกระโดดตึกฆ่าตัวตายเพราะว่าโดนหยามเหยียดอย่างหนัก เติ้ง เสี่ยวผิง หนีไปอยู่ที่กวางตุ้ง แล้วปรากฏว่าทาง Red Guard ที่สมัยก่อนเขาไปรังแกคนทั่วๆ ไป ก็ไม่สามารถจะเข้าไปทำอะไรเติ้ง เสี่ยวผิง ได้ จนกระทั่งในที่สุดแล้ว เติ้ง เสี่ยวผิง และกลุ่มทหารที่ต่อต้าน Gang of Four ก็ดำเนินการจัดการลอบสังหารหลินเปียว คือผู้นำทางการทหารของพรรคคอมมิวนิสต์ตอนนั้น หลินเปียว เครื่องบินตกระหว่างที่บินไปทางแมนจูเรีย แล้วผลพวงก็เลยทำให้ Gang of Four ที่หลินเปียวหนุนหลังอยู่ หมดอำนาจไป แล้วเติ้่ง เสี่ยวผิง ก็ย้อนกลับมามีอำนาจ
เติ้ง เสี่ยวผิง กลับมามีอำนาจได้ปี พ.ศ.2521 เติ้ง เสี่ยวผิง มีอำนาจอยู่ทั้งหมด 14 ปี 2521 เป็นการปฏิวัติเศรษฐกิจ แต่เติ้ง เสี่ยวผิง เข้ามามีอำนาจในปี 2519 จนถึง 2533 สิบสี่ปีที่เติ้ง เสี่ยวผิง มีอำนาจอยู่ในแผ่นดินจีน ถือว่าเป็นผู้นำอันดับ 2
เติ้ง เสี่ยวผิง เป็นคนที่ออกทฤษฎีแนวปฏิรูปที่พาจีนไปสู่ความเป็นสังคมอันทันสมัย คำพูดที่เป็นสัจวาจาของเติ้ง เสี่ยวผิง คือ "ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอให้เพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี" ถ้าภาษาจีนกลางก็บอกว่า "ปู้ ก่วน ไป๋เมา เฮยเมา, ฮุ่ย จวา เหลาสู่ จิ้ว ซื่อ ห่าว เมา" แมวขาว หรือแมวดำ ขอให้จับหนูได้ ถือว่าเป็นแมวที่ดี
และอีกคำพูดหนึ่งของเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งเป็นสัจวาจาจนกระทั่งทุกวันนี้ ผู้นำในพรรคคอมมิวนิสต์ก็ยังใช้กันประจำ ก็คือ "คลำก้อนหินเดินข้ามลำน้ำ" แปลว่าอะไร? ใช่บ่อยมากในช่วงจีนเปิดประเทศ โดยเนื่องจากเติ้ง เป็นชาวเสฉวน และเสฉวนเป็นมณฑลที่มีลำน้ำ ลำธารเยอะ เติ้งเปรียบเปรยการเปิดประเทศ ปฏิรูปประเทศ กับการเดินข้ามลำธารที่ขุ่นด้วยโคลนดิน ซึ่งลำธารในจีนส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น วิธีเดิน เติ้งก็บอก ค่อยๆ ใช้เท้าค่อยๆ สัมผัส ค่อยๆ คลำก้อนหินใต้น้ำไปทีละก้อนๆ เพื่อไม่ให้เราก้นคะมำล้มลงก่อนจะเลื่อนเท้าไปทีละก้อนจนพบทางที่เดินได้ จนเราข้ามลำธารได้สำเร็จ คำพูดนี้ผู้นำจีนทุกคนนำมาใช้จนกระทั่งปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเติ้ง เสี่ยวผิง ก็เป็นคนที่มีหลักทฤษฎีที่ตรงต่อความเป็นจริง
ทฤษฎีของเติ้ง เสี่ยวผิง จะเน้นทำลายกรอบทางความคิด ทฤษฎี มุ่งเรียนจากการปฏิบัติจากสภาพที่เป็นจริง และพิสูจน์กันที่ผลของการกระทำ นั่นก็คือ แมวจะดำ หรือแมวจะขาว ถ้าจับหนูได้ ถือว่าเป็นแมวที่ดี เพราะฉะนั้นแล้ว จะทำอย่างไรก็ได้ เมื่อทำแล้วผลออกมาดี ก็คือดี
การรวมเกาะฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน กับแผ่นดินใหญ่ โดยใช้หลักการหนึ่งประเทศสองระบบ นี่คือนโยบายของเติ้ง เสี่ยวผิง เติ้ง เสี่ยวผิง เปิดประเทศเมื่อปี 2521 (ค.ศ.1978) คือจากสมัยก่อนรัฐบาลจีนคุมเศรษฐกิจทั่วประเทศหมดเลย จนในที่สุดเติ้ง เสี่ยวผิง เห็นว่าผลผลิตมันได้ไม่ดี เพราะรัฐบาลเป็นคนคุม ก็เลยเปิด ใช้ระบบเศรษฐกิจตลาดเปิดให้เกิดการลงทุนของเอกชนในประเทศ และดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน ทำธุรกิจกับชาวจีน รวมทั้งดำเนินนโยบายการค้าขายกับประเทศ แล้วเติ้ง เสี่ยวผิง ก็ปฏิรูปภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร แล้วเติ้ง เสี่ยวผิง ก็วางนโยบายเอาไว้ที่สำคัญมากๆ อย่างเช่น ปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมการเกษตร แล้วก็เน้นการวิจัย การป้องกันประเทศ นโยบายยุทธศาสตร์ที่เติ้ง เสี่ยวผิง ทำไว้ คือนโยบายยุทธศาสตร์ 3 ก้าว คือ ขจัดความยากจน พอมีพอกิน และในที่สุด ต้องกินดีอยู่ดี
เติ้ง เสี่ยวผิง ตั้งเศรษฐกิจพิเศษ อันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ประเทศจีน โดยเริ่มที่เซินเจิ้น จูไห่ ซัวเถา ในมณฑลกว่างตง และเซียะเหมิน ในมณฑลฝูเจี้ยน ในปี ค.ศ.1984 (2527) จีนได้เปิดเมืองท่าอุตสาหกรรมใหญ่ริมฝั่งชายทะเลตะวันออก 14 เมือง เซี่ยงไฮ้ เทียนจิน ต้าเหลียน อย่างเป็นทางการ ตามมาด้วยมณฑลไห่หนาน เปลี่ยนเกาะไหหลำมาเป็นมณฑลแทน และกำหนดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษไห่หนานในปี 2531 (1988)
นโยบายเปิดประเทศของเติ้ง เสี่ยวผิง ชะงักไปในช่วงเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 3-4 มิถุนายน 2532 หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง เติ้งถอยลงจากตำแหน่ง และปัดฝุ่นนโยบายปิดประเทศอีกครั้ง ก่อนเสียชีวิตลงในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2540 ก่อนที่ฮ่องกงจะกลับสู่อ้อมอกของจีนเพียงไม่กี่เดือน
ท่านผู้ชมครับ ผมมีอะไรบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวกับเติ้ง เสี่ยวผิง ให้ท่านผู้ชมดู ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเติ้ง เสี่ยวผิง กลับมามีอำนาจในปี 2519 และวันที่ 5 พฤศจิกายน 2521 เติ้ง เสี่ยวผิง ได้เข้าพบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เนื่องในวาระอะไรรู้ไหมท่านผู้ชม? เนื่องในวาระที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ คือรัชกาลที่ 10 ในยุคนั้น ได้ทรงผนวช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเชิญผู้นำประเทศเพียงคนเดียวในโลกนี้ มาในงานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ก็คือ เติ้่ง เสี่ยวผิง ดังรูปที่ปรากฏมา
แล้วเติ้ง เสี่ยวผิง ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ก็ไม่ได้ไปไหน นอกจากมาประเทศไทย ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่าอันนี้มีนัยสำคัญมาก นัยหนึ่งก็คือว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระองค์ท่านทรงมีสายตาที่ยาวไกล พระองค์ท่านทรงมีเหมือนกับฌานที่รับรู้ว่าในที่สุดแล้วประเทศจีนจะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นมา เพราะฉะนั้นการสานสัมพันธ์กับประเทศจีน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเรายังกลัวคอมมิวนิสต์อยู่อย่างมหาศาล แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา สนทนากับผู้นำทางประเทศคอมมิวนิสต์ แล้วก็เชิญมา แล้วก็สนทนากันอย่างจริงจัง ไม่ทราบว่าสนทนาอะไรกันบ้าง คงไม่มีใครรู้ได้ แต่ผมเชื่อว่าจากสนทนาครั้งนั้นก็เลยทำให้ความเปลี่ยนแปลงของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น อ่อนลงไปเยอะ และในที่สุดแล้วก็เกิดกระบวนการที่จะรับคนที่สำนึกผิดและกลับใจ เข้ามาสู่สังคมไทยได้
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า การที่เติ้ง เสี่ยวผิง เข้ามานั้น เป็นนัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้ทรงวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน และในที่สุด สงครามระหว่างจีนกับกว่างสี ที่มณฑลกว่างสี กับเวียดนาม ที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นเวียดนามมีแนวโน้มที่จะบุกไทย มีกองพลรถถังตั้งหลายกองพลที่พร้อมจะบุกมา แล้วคณะทูตที่ไปเยือนเติ้ง เสี่ยวผิง ที่ประกอบด้วย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งขณะนั้นมียศแค่พันเอก เติ้ง เสี่ยวผิง ก็รับปากจะช่วยประเทศไทยด้วยการทำสงครามสั่งสอนเวียดนาม ประเทศจีนก็เลยเปิดแนวรบที่มณฑลกว่างสี ซึ่งอยู่ติดกับประเทศเวียดนาม ถล่มเวียดนามด้วยปืนใหญ่ แล้วเตรียมทหารที่จะบุกเวียดนาม ทำให้เวียดนามต้องถอนกำลังซึ่งเป็นรถถังหลายกองพลออกจากเขมร ซึ่งกำลังประจันหน้าอยู่กับประเทศไทย ถอยกลับไปเลย กลับไปที่เวียดนามหมด เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่า ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
เรามาพูดกันถึงผู้นำรุ่นที่ 3 กัน คือประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน เจียง เจ๋อหมิน เป็นประธานาธิบดีในช่วง พ.ศ.2536-2546 คือ 10 ปี ตอนนี้จีนเข้าสู่ยุคกินอิ่ม นอนอุ่น แปลว่าอะไร? เศรษฐกิจจีนพัฒนาจนทุกคนมีข้าวกินครบ 3 มื้อ มีบ้านอยู่ มีพลังงานเพียงพอที่จะสร้างความอบอุ่นให้ทุกคนในช่วงหน้าหนาว
เติ้ง เสี่ยวผิง เป็นคนเลือกเจียง เจ๋อหมิน เป็นผู้นำรุ่นที่ 3 และต่อด้วยรุ่นที่ 4 ก็คือหู จิ่นเทา
เจียง เจ๋อหมิน คือคนที่เข้าใจระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตกที่สุด โดยเป็นหนึ่งในผู้ควบคุมการเกิดขึ้นและเติบโต เติบใหญ่ของเซี่ยงไฮ้ในเขตเศรษฐกิจ เพราะเจียง เจ๋อหมิน อดีตเป็นนายกเทศมนตรีและเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เจียง เจ๋อหมิน ได้คิดทฤษฎี 3 ตัวแทนขึ้นมา 3 ตัวแทนนี้ หลักใหญ่ก็คือว่า เป็นตัวแทนการสร้างผลผลิตในทางด้านเศรษฐกิจ เป็นตัวแทนการพัฒนาของวัฒนธรรม การพัฒนาวัฒนธรรมให้ยิ่งยง ยิ่งใหญ่ เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประชาชน จริงๆ แล้วสิ่งที่เจียง เจ๋อหมิน ตั้งขึ้นมาใน 3 ข้อนี้ ก็คือความฝันของจีน ที่เรียกว่า China's Dream ที่สี จิ้นผิง เอามาใช้ในช่วงหลัง เพราะฉะนั้นแล้ว China's Dream ที่สี จิ้นผิง พูดวันนี้ มีที่มาที่ไปตั้งแต่สมัยเจียง เจ๋อหมิน แปลว่าอะไร? แปลว่านโยบายหลักๆ ที่ผู้นำแต่ละรุ่นเขาตั้งเอาไว้ ผู้นำรุ่นใหม่ๆ เขาจะไม่ละทิ้ง จะยังยึดถืออยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะฉะนั้นแล้ว ตรงนี้คือคำตอบในที่สุดว่าทำไมจีนถึงคิดอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นไปได้
เจียง เจ๋อหมิน ประกาศความฝันของจีน 3 ประการ ที่บรรลุให้ได้ในวาระครบรอบ 100 ปี ของการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 2564 ก็คือปีหน้า โดยเขาตั้งความฝันไว้ 3 ประการ คือ เจียง เจ๋อหมิน ตั้งไว้ว่า หนึ่ง จีนต้องเป็นสังคมกินดีอยู่ดี ในปี 2021 ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่สี จิ้นผิง พูดว่าคนจนในจีน ปี 2020 (ปีนี้) จะต้องหมดไปแล้ว คือไม่มี ท่านผู้ชมครับ 1,400 ล้านคน จะไม่มีคนจน เป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ไหมครับ เป้าหมายของเจียง เจ๋อหมิน คือ ปี 2021 (ปีหน้า) จีดีพีต่อหัวจะต้องขึ้นถึง 10,000 หยวนต่อคน จากระดับ 5,000 หยวน ในปี 2000
สอง สังคมจะต้องเข้มแข็งและทันสมัย เป้าหมายคือ ปี 2592 คืออีก 29 ปีข้างหน้า เมื่อครบ 100 ปี การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน จีนจะต้องเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
สาม ข้อนี้สำคัญมากท่านผู้ชม อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนอย่างสมบูรณ์ ก็คือนโยบายจีนเดียว ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ไล่มาเรื่อยๆ ถึงราชวงศ์ฮั่น ถึงราชวงศ์ถัง ถึงราชวงศ์หมิง มาจนกระทั่งถึงยุคนี้ ยุคสาธารณรัฐ และถึงยุคผู้นำรุ่นที่ 1 รุ่นที่ 2 รุ่นที่ 3 รุ่นที่ 4 รุ่นที่ 5 คือต้องเป็นจีนเดียว ไต้หวันจะต้องเป็นของจีน ทิเบตต้องเป็นของจีน ซินเจียงต้องเป็นของจีน ทุกอย่างต้องเป็นของจีน ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อผิดพลาดของจีนและจุดอ่อนของจีน ซึ่งผมจะพูดในภายหลัง
และทั้งหมดนี้ ที่เจียง เจ๋อหมิน สั่งมาและวางนโยบายมา มันก็เลยเกิดการก่อสร้างอย่างมโหฬาร อย่างเช่น สะพานเชื่อมฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า ในปี 2544 ซึ่งเสร็จสมบูรณ์และเปิดตัวในปี 2551 มีการสร้างโครงสร้างพัฒนาเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ปากแม่น้ำจูเจียง หรือที่เรียกว่า Pearl River Delta ลุ่มแม่น้ำไข่มุก กินพื้นที่เกือบ 40,000 ตารางกิโลเมตร เป็นที่พำนักของประชากรมากกว่า 55 ล้านคน และพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกง มาเก๊า กว่างโจว เซินเจิ้น จูไห่ โฝวซาน จงซาน ตงก่วน กุ้ยโจว เจียงเหมิน และเจ้าชิ่ง เข้าไว้ด้วยกัน รวมเบ็ดเสร็จหมดเลย นี่คือสิ่งที่เจียง เจ๋อหมิน ทิ้งเอาไว้ก่อนที่จะเกษียณอายุไป
มาถึงผู้นำรุ่นที่ 4 คือ หู จิ่นเทา พ.ศ.2546-2556 คือ 10 ปี หู จิ่นเทา จบวิศวกรรมชลประทาน จากมหาวิทยาลัยชิงหัว มีกิจกรรมที่ดีเลิศ หู จิ่นเทา เป็นบุคคลที่นิ่งเหมือนท่อนไม้ ท่วงท่าเหมือนผู้จัดการธนาคารที่เข้ามาจัดการประเด็นต่างๆ อย่างระมัดระวัง เขาร่ำเรียนและฝึกฝนเหมือนวิศวกร ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเขตประเทศจีนที่ยากจน ที่ไม่ได้เจริญเติบโตฟู่ฟ่า ไม่เหมือนเจียง เจ๋อหมิน เจียง เจ๋อหมิน จะอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ที่ร่ำรวยฟู่ฟ่า แต่หู จิ่นเทา จะไปอยู่ในแต่ละแห่ง อย่างเช่นมณฑลกานซูที่ยากจนที่สุด เขาไปสัมผัสกับคนจีนคนที่จนๆ
เติ้่ง เสี่ยวผิง เขามองการณ์ไกล เขาเป็นคนเปิดประเทศ แต่เจียง เจ๋อหมิน เป็นคนพัฒนาให้เกิดการค้าขายมากขึ้น เมื่อเกิดการค้าขายมากขึ้น
ผู้นำรุ่นที่ 3 ซึ่งมีความเข้าใจระบบทุนนิยมดีที่สุดคือเจียง เจ๋อหมิน นั้น เมื่อพัฒนาขึ้นมาแล้วมันก็จะเกิดปัญหาตามมา จะเกิดคนจนมากขึ้น มีคนว่างงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม เติ้ง เลยเลือกหู จิ่นเทา ซึ่งเป็นคนที่ทำงานอยู่ในที่ของคนจนมาก่อน ไม่เคยอยู่ในที่ของคนรวย เพื่อที่จะมาพัฒนานโยบายต่างๆ เพื่อทำให้คนจนในประเทศจีนนั้นดีขึ้น เพราะฉะนั้นเขาเลยมองว่า หู จิ่นเทา น่าจะเป็นคนที่เข้าใจปัญหาคนจนได้ดีกว่า
แต่ในยุคหู จิ่นเทา ปี 2549 หู จิ่นเทา ได้พาจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจขึ้นมาแซงญี่ปุ่น ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ในโลกนี้ แต่สถานการณ์ของเศรษฐกิจที่ดี ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางรายได้ คอร์รัปชันระบาดไปทั่วทุกระดับ ทั้งภูมิภาคและการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐบาลฉวยโอกาสคดโกงผลประโยชน์จากประชาชน อีกทั้งปัญหามลพิษมากที่สุดชาติหนึ่งของโลก เมื่อหู จิ่นเทา เกษียณอายุไป ก็ถึงยุคสี จิ้นผิง
สี จิ้นผิง ขึ้นมาเมื่อปี 2556 สี จิ้นผิง เป็นคนปักกิ่ง พ่อของสี จิ้นผิง ชื่อ สี จ้งซุน เป็นอดีตผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อย่างเช่น เคยเป็นรองนายกเทศมนตรี ผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลกวางตุ้ง รองประธานสภาผู้แทน
ตอนที่สี จิ้นผิง จะเข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีนั้น ทางตะวันตกวิเคราะห์ว่า สี จิ้นผิง จะปกครองลำบาก เพราะว่าประเทศจีนไม่มีอำนาจเด็ดขาด แต่ทุกอย่างสี จิ้นผิง ทำตรงกันข้ามหมดเลย สี จิ้นผิง รวบอำนาจทั้งหมดเข้ามาอยู่ในมือ แล้วสี จิ้นผิง ทำในสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่สะสมมาตั้งแต่สมัยเจียง เจ๋อหมิน จนถึงหู จิ่นเทา ก็คือการคอร์รัปชัน
สี จิ้นผิง เข้ามาได้ไม่นาน สี จิ้นผิง เอาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ 1.4 ล้านคน เข้าคุก แล้วก็เอารัฐมนตรีและคนระดับรัฐมนตรีประมาณ 200 คน ถูกจับดำเนินคดีในการปราบคอร์รัปชัน เขาปราบคอร์รัปชันให้เกิดผลจริง และเขาสร้างความนิยมอย่างมหาศาล
มีคนบอกว่า American's Dream คือความฝันของอเมริกา แต่ American's Dream เป็นความฝันปัจเจกบุคคล อยากจะมีบ้าน อยากจะมีสระว่ายน้ำ มีรถยนต์สักคัน แต่ Chinese's Dream ของสี จิ้นผิง ซึ่งหมู่คณะของสี จิ้นผิง ตั้งเป้าหมายไว้ 3 ประการ
คือเขาต้องการจะทำประเทศจีนทั้งประเทศ เขาไม่ได้เน้นว่าใครคนใดคนหนึ่ง ว่า ปี 2563 คือปีนี้ จะเป็นปีที่ประเทศไม่มีคนจน 2578 อีก 15 ปีจากนี้ไป คือ ค.ศ.2035 จีนจะเป็นประเทศที่ทันสมัย กับเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ข้อที่ 3 ปี 2593 (ค.ศ.2050) จีนจะเป็นประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ 100 ปี ของการที่เหมา เจ๋อตง ชนะสงครามกลางเมือง และตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
นโยบายคอร์รัปชัน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งแก้ไขไม่ได้ในสมัยประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ความเด็ดขาดเมื่อใช้ในทิศทางที่เป็นประโยชน์ คนจีนถึงชอบ อีกทั้งสี จิ้นผิง มีความฝันที่ใหญ่กว่าหู จิ่นเทา คือต้องการเป็นประเทศมหาอำนาจ คิดเหมือนหย่งเล่อ คิดเหมือนราชวงศ์ฮั่น คิดเหมือนราชวงศ์ถัง
สมัยเติ้ง เสี่ยวผิง เปิดให้มีเอกชน จีนเติบโตมาด้วยเอกชน แต่ว่าลักษณะเด่นของจีนอีกอย่าง คือในส่วนยอดของระบบเศรษฐกิจจะเป็นรัฐวิสาหกิจในรัฐวิสาหกิจที่ใช้ทุนอย่างเข้มข้นและจีนคุมหมด เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมคมนาคม การเงิน เหล็ก ซีเมนต์ ไฟฟ้า เป็นของรัฐหมด อีกทั้งยังแตกรัฐวิสาหกิจให้แข่งขันกันเอง อย่างเช่น อุตสาหกรรมโทรคมนาคม China Mobile ก็มีเพิ่ม China Telecom มาแข่งกัน แต่รัฐบาลจีนมีบทบาทในเศรษฐกิจที่ควบคุมกลไกมากมาย ธนาคารใหญ่ในรัฐ 4 แห่ง เป็นของรัฐ รัฐคุมราคาปัจจัยการผลิตได้หมด เพราะเหล็ก ซีเมนต์ โทรคมนาคม ไฟฟ้า เป็นของรัฐ เพราะฉะนั้นเวลาจีนเขียนแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม จีนถึงทำได้ เพราะว่าเมื่อมีแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม ธนาคารของรัฐก็จะปล่อยเงินกู้สนับสนุนอุตสาหกรรมนั้น กดราคาปัจจัยการผลิตให้ถูก เศรษฐกิจจีนจึงซับซ้อน เพราะว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของแรงงานอยู่ในภาคเอกชน แต่บริษัทใหญ่ๆ กลับเป็นของรัฐบาล เพราะฉะนั้นแล้วแนวคิดของสี จิ้นผิง จะต่างกว่าเติ้ง เสี่ยวผิง อยู่ที่ประเด็นสำคัญตรงนี้ สมัยเติ้ง เสี่ยวผิง ก็คือการตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตโดยไม่สนคุณภาพ แต่ในยุคสี จิ้่นผิง พบว่าปัญหาไม่ใช่ปริมาณ แต่ปัญหาตอนนี้คือคุณภาพ
หลักคิดของสี จิ้นผิง คือ พัฒนาคุณภาพ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจากการเกษตรมาเป็นอุตสาหกรรม ต้องยกอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง นั่นคือทำไมสี จิ้นผิง ถึงเน้น AI ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence พยายามเปลี่ยนจากภาคอุตสาหกรรมไปเป็นภาคบริการมากขึ้น
สี จิ้นผิง เคยพูดในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ เรื่อง AI กล่าวสุนทรพจน์ในเรื่อง AI ว่า AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ จะตอบโจทย์ทุกด้านของจีนในอนาคตได้หมด
ท่านผู้ชมครับ ผมได้นำเรื่องของผู้นำจีน ตั้งแต่ผู้นำยุคผู้นำรุ่นที่ 1 เหมา เจ๋อตุง รุ่นที่ 2 เติ้ง เสี่ยวผิง รุ่นที่ 3 เจียง เจ๋อหมิน รุ่นที่ 4 หู จิ่นเทา และรุ่นที่ 5 สี จิ้นผิง ปัจจุบัน เพื่อให้ทุกท่านเห็นว่าจริงๆ แล้ววัฒนธรรมการเมืองของจีนในขณะนี้ จีนไม่ได้สนใจแล้วในเรื่องลัทธิมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ จีนไม่ได้มีความสนใจที่จะเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ออกไปตามประเทศต่างๆ เหมือนสมัยก่อนที่โซเวียต-รัสเซียทำ จีนวันนี้ยึดถือลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อที่จะเอาประโยชน์ให้กับมวลชนของตัวเอง แต่จีนก็มีอีกด้านหนึ่งที่ค้าขายแบบทุนนิยม แต่จะค้าขายแบบทุนนิยมอย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วจีนก็ต้องย้อนกลับไปดูแลประชาชนของตัวเอง
ท่านผู้ชมเชื่อผมหรือเปล่าว่า บริษัทใหญ่ๆ ในโลกนี้ของจีน ไม่ว่าจะเป็น Alibaba ไม่ว่าจะเป็น Tencent หรือไม่ว่าจะเป็น Baidu หรือไม่ว่าจะเป็นพวกเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ บริษัทใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ที่มีอำนาจและอิทธิพลสูงนั้น หรือแม้กระทั่งหัวเว่ย ข้างหลังก็คือรัฐบาลจีนอยู่เบื้องหลัง ผมยังเชื่อว่าคนที่สั่งการ Alibaba ได้ก็ยังคงเป็นประเทศจีนอยู่เช่นเดิม
วันนี้เรามาเทียบดู 30 ปีที่ผ่านมาของจีน กับ 30 ปีที่ผ่านมาของอเมริกา ว่าต่างกันตรงไหน ท่านผู้ชมตามผมมา อย่าพลาดนะครับ ท่านผู้ชมจะเห็นว่านโยบายที่จีนทำทุกวันนี้ต่างกว่านโยบายที่อเมริกาทำ อเมริกาทำเพื่อผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคล แต่จีนทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศโดยรวม จีนกำลังที่จะแสดงจุดยืนและทำทุกอย่างเพื่อให้อารยธรรมจีนกลับมารุ่งโรจน์ในโลกอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยรุ่งโรจน์มาในสมัยราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ฮั่น ซึ่งสมัยนั้นจีนใหญ่ที่สุดในโลก แล้วหลังจากนั้นผ่านมา ตั้งแต่ราชวงศ์ชิง มาจนกระทั่งถึงผู้นำรุ่นที่ 1 ก็คือเหมา เจ๋อตง ประเทศจีนตกต่ำมาก ถูกดูถูกเหยียดหยาม ถูกรังแกไปทุกจุด
จีนใช้เวลาตั้งแต่เติ้ง เสี่ยวผิง เปลี่ยนระบบมา แล้วก็ดำเนินการต่อเปิดประเทศของเจียง เจ๋อหมิน มาจนหู จิ่นเทา และสี จิ้นผิง ประกอบกับยุทธศาสตร์ของการพัฒนาที่จีนมีกำหนดตายตัวว่าจะต้องพัฒนาไปในรูปแบบไหน พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาอุตสาหกรรม เขายึดมั่นตรงนั้นมาตลอด แล้วเขารวมคนที่ศูนย์กลาง แล้วจีนมีข้อดีอย่างหนึ่งซึ่งไม่เหมือนประเทศอื่น ผู้นำจีนแต่ละคนกว่าจะขึ้นไปเป็นผู้นำนั้น ต้องผ่านจากการนำท้องถิ่นมาก่อน จะต้องเป็นรองผู้ว่ามณฑล เป็นนายกเทศมนตรีเมืองนี้ เป็นเลขาธิการพรรคเมืองนี้ เขาพัฒนามาทีละขั้นๆๆ เหมือนหู จิ่นเทา หรือเหมือนเจียง เจ๋อหมิน หรือว่าเหมือนสี จิ้นผิง ทุกคนมาไม่เหมือนผู้นำประเทศอื่น หรือผู้นำประเทศไทย ไม่เคยผ่านอะไรมาทั้งสิ้น แม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นมาจาก ผบ.ทบ. ทางทหาร แต่จีนไม่มี จีนไม่เคยเอาทหารขึ้นมาเป็น แต่จีนเอาผู้นำท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากท้องถิ่น เกิดจากมณฑล เขาเกิดจากกระบวนการขั้นตอนที่สัมผัสกับประชาชน ที่รู้โครงสร้างของประชาชนว่าเป็นอย่างไร และที่สำคัญ เขาทำงานเป็น เพราะฉะนั้นอย่าไปมองจีนในลักษณะว่าเป็นเผด็จการ เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ ถ้ามองว่าเขาสามารถขจัดความยากจนได้ เขาสามารถจะทำให้ประชาชนของเขามีรายได้ต่อหัวสูงขึ้น เขาสามารถทำให้ประชาชนของเขาสามารถที่จะใช้เงินโดยที่ไม่ต้องใช้เงิน โดยใช้เป็นดิจิทัลหยวน และเขาสามารถจะใช้ AI ปัญญาประดิษฐ์ และคนจีนทุกคนจากคนที่ 30 ปีที่แล้ว ไม่เคยใฝ่ฝันว่าตัวเองจะมีทีวีดู จะได้นั่งรถไฟความเร็วสูง จะมีข้าวกิน จะมีร้านอาหาร จะมีโน่นมีนี่เต็มที่ แล้วพัฒนาในรอบ 30 ปีมานี้ รายได้ของคนจีนเพิ่มขึ้น 32.5 เท่า ส่วนอเมริกาแค่ 2.8 เท่า เพราะฉะนั้นแล้วสำหรับจีน นี่คือความสำเร็จของเขา
เพราะฉะนั้นแล้ว เขาจะใช้ระบบการปกครองแบบไหน อย่าไปสนใจ คนบางคน และผมเชื่อว่าสังคมบางสังคมพอใจที่จะไม่มีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ตราบใดที่รัฐบาลนั้นทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ คำถามคือ รัฐบาลชุดนี้ทำงานเพื่อประชาชนจริงหรือเปล่า อาจจะมีความปรารถนาดีอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ แต่ที่เหลือไม่ใช่ แม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังเล่นพวกเล่นพ้อง ก็ยังเล่นพวกเล่นพ้องอยู่เหมือนเดิม แต่สี จิ้นผิง ไม่ได้เล่นพวกเล่นพ้อง สี จิ้นผิง เอาคนระดับรัฐมนตรีขึ้นมาติดตะรางกัน ติดคุกกัน 200 กว่าคน สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ติดคุกติดตะราง 1.4 ล้านคน พรรคพลังประชารัฐเคยเอาใครติดคุกบ้างไหม คนบางคนรุกป่าก็ยังไม่ได้ดำเนินคดีต่อ คนบางคนเป็นประธานวิป โดน ป.ป.ช.ฟ้อง ก็ยังลันล้าโชว์หน้าโชว์ตาอยู่ แล้วเราจะไปเทียบอะไรกับจีน ท่านผู้ชม
ผมเห็นการทำงานของสี จิ้นผิง และผมเห็นการทำงานของรัฐบาลเราแล้ว มันคนละเรื่องเลย มันเพลงคนละเพลง ความจริงผมมีเรื่องจะพูดในเรื่องการเปรียบเทียบอีกเยอะ แต่ไม่เป็นไร วันนี้เราพูดเรื่องจีน เรากลับมาเรื่องจีน
30 ปีที่ผ่านมา จีนได้พัฒนาตัวเองไป และจีนต้องการมีที่ยืนในสังคมโลก ให้สังคมโลกยอมรับจีนอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ และนี่คือสิ่งที่จีนไม่ต้องการพึ่งพาใครถ้าไม่จำเป็น เหมือนกับที่สี จิ้นผิง ได้ประกาศลงไปในการประชุมสภาประชาชนคราวที่แล้วว่า เขาพร้อมที่จะไม่ค้าขายกับอเมริกา และเขาต้องการที่จะปิดประเทศ หรือพัฒนาการจับจ่ายใช้สอยในประเทศของเขา เพราะเขามีประชากรกำลังซื้อตั้ง 1,400 ล้านคน เขาสามารถจะร่ำรวยได้จากการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ และเขาอาจจะค้าขายหรือติดต่อกับประเทศที่เป็นเพื่อน ที่เป็นมิตรของเขา แต่ไม่ใช่ลักษณะของอเมริกา ในขณะนี้จีนกำลังกลุ้มใจ เพราะจีนกลัวว่าทรัมป์จะไม่ได้เป็นประธานาธิบดี
เพราะจีนอยากให้ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีรอบที่ 2 เหตุผลที่อยากให้เป็นก็เพราะว่า ทรัมป์เป็นคนบ้า เมื่อเป็นประธานาธิบดีแล้วก็จะทำลายสัมพันธภาพระหว่างพันธมิตร คือยุโรป กับอเมริกา ทำให้พันธมิตรทางยุโรปนั้นไม่เข้าข้างอเมริกา แล้วก็มาเข้าข้างจีน แต่ถ้าเป็นไบเดน ไบเดนจะใช้วิธีเข้ามามีส่วนร่วม หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Engagement เข้ามาพัวพัน อาจจะไม่ให้ร้ายจีน อาจจะไม่ชนจีนแรง แต่ว่าอาจจะพูดในทำนองว่า พวกเราต้องดูเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ซินเจียงนะ เราต้องมีจุดยืนร่วมกันนะ เพราะว่าเป็นหลักการประชาธิปไตยของพวกเรานะ เพราะฉะนั้นแล้วจีนจะทำอะไรเราไม่ขวาง แต่ว่าในเรื่องสิทธิมนุษยชนเราต้องกดดันจีน ที่จีนกลัว คือกลัวตรงนี้
เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าจะวิเคราะห์จีน ไม่ต้องวิเคราะห์ไกล วันนี้จีนยึดถือหลักการซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ก็คือว่า ประเทศจีนต้องเป็นหนึ่งเดียว ไล่มาตลอด อารยธรรมจีนนั้น เคยเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จีนกำลังจะเอาอารยธรรมนั้นกลับมา จีนกำลังพูดให้กับประเทศต่างๆ ที่เป็นเจ้าอาณานิคม ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ที่สร้างสงครามมาตลอด ให้รับรู้ และอีกหลายประเทศทางยุโรป แม้กระทั่งออสเตรเลีย ว่าจีนวันนี้ไม่ใช่จีนในอดีตที่คุณจะรังแกได้ ที่คุณจะก้าวร้าวได้ และที่คุณจะทำอะไรกับเราก็ได้ นี่คือสิ่งที่จีนเป็นอยู่ในขณะนี้ ถามว่าจุดอ่อนของจีนมีไหม? มีครับ
ช่วงหลังข้อผิดพลาดของจีน คือความที่จีนเจริญเติบโตเร็ว ก้าวหน้าไปเร็ว จีนก็เบ่งกล้ามกดดันประเทศคู่ค้าที่จีนจะได้ประโยชน์ อย่างเช่น ปล่อยเงินกู้แล้วยึดท่าเรือ ถ้าไม่มีเงินที่จะไปคืน ก็ขอเข้าไปเทกโอเวอร์ท่าเรือ 99 ปี ของศรีลังกา สร้างฐานทัพเรือที่ประเทศจิบูตี และแอฟริกาหลายประเทศ และอีกประการหนึ่ง จุดอ่อนของจีนคือ ยึดถือสิทธิของพื้นที่ในข้อพิพาท โดยเฉพาะในทะเลจีนตอนใต้ ความใหญ่ของจีนไปกดดันทำให้แต่ละประเทศไม่กล้าปะทะ ทำให้ประเทศต่างๆ ไม่พอใจจีน แม้กระทั่งศาลโลกมีมติตัดสินแล้วว่าจีนผิดในเรื่องการไปยึดหมู่เกาะ จีนก็ไม่สนใจ ลึกๆ ประเทศนั้นอาจจะไม่พอใจอเมริกา แต่เนื่องจากพฤติกรรมของจีนค่อนข้างที่จะเกเรในลักษณะของการเบ่งกล้ามแบบนี้ ประเทศต่างๆ เหล่านี้ก็อาจจะต้องการอเมริกาเพื่อมาคานอำนาจจีน ถึงแม้จีนไม่ได้เคยใช้กำลังหรือแทรกแซงภายใน แต่การอ้างสิทธิ์โดยใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ดูเกเร เป็นอันธพาลเช่นกัน
อีกประการหนึ่ง จีนยุคนี้เปลี่ยนจากสมัยก่อนมาก แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งนักลงทุนต่างชาติ แต่จีนจะส่งออกนักลงทุนไปตามประเทศต่างๆ พฤติกรรมนักลงทุนของจีนจะไม่อยู่ในกติกาสากล โดยเฉพาะที่มาลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ท่านผู้ชมครับ นักลงทุนจีนมีหลายระดับ ระดับใหญ่คือ Alibaba ยกตัวอย่างให้ฟัง ทำเรื่องอี-คอมเมิร์ซ เมื่อเข้าไปในแต่ละประเทศ จริงๆ ดูให้ลึกๆ แล้ว Alibaba แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยกับประเทศอย่างประเทศไทย Alibaba ช่วยขายสินค้า ขายทุเรียนบนแพลตฟอร์ม Alibaba แต่เงินกำไรก็เข้ากระเป๋า Alibaba แล้วจีนก็ทำล้ง ก็ไปซื้อสวน ซื้อเหมาสวน ยกสวน เงินจีนทั้งสิ้น ผูกขาด จีนชอบผูกขาด ลำไยที่เชียงใหม่ สมัยก่อนผลิตลำไยมา เข้าโรงอบ ทำลำไยแห้งส่งไปให้จีนทำยา ในที่สุดจีนหัวใส เห็นว่าแต่ละเดือน แต่ละปี ต้องใช้ลำไยมหาศาล ก็มาปักหลักที่เชียงใหม่ ไปแต่งงานกับคนไทย เพื่อเป็นนอมินีในการที่จะมาเหมาซื้อลำไยมาทำ แล้วก็ผูกขาด นี่คือข้อเสียของจีน ชอบผูกขาด
นักลงทุนระดับกลางของจีนลงไป ก็ไปเทกโอเวอร์หลายกิจการในท้องถิ่น ระดับกลางของเขา เงินหลักพันล้าน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ไปประเทศอื่นถือว่ามีเงินเยอะ จีนฉลาด จีนมาซื้อมหาวิทยาลัยเกริก สถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อรองรับนักศึกษาจีน และอีกหน่อยเมื่อความสัมพันธ์อเมริกากับจีน และอังกฤษกับจีน ไม่ค่อยดี นักศึกษาจีนก็คงไม่ไปอเมริกา ไม่ไปออสเตรเลีย ที่ไหนล่ะ ก็ต้องมาประเทศไทย เพราะฉะนั้นก็จะมีนักลงทุนจีนซึ่งเป็นคนจีน มาซื้อมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศไทย อาจจะเป็น ม.รังสิต อาจจะเป็น ม.กรุงเทพ อาจจะเป็นศรีปทุม จ่ายเงินเยอะ แล้วก็มารับนักศึกษาจีน แล้วคิดค่าเล่าเรียนแพงๆ
เพราะฉะนั้นจีนก็เลยใช้ประโยชน์ ใช้หัวคิดที่เป็นการค้า แล้วก็เอาประโยชน์จากมัน ถามว่าจีนผิดไหม? ก็ไม่ผิด แต่พฤติกรรมการค้าขายของจีนนั้น ตลอดจนพฤติกรรมของคนที่เข้ามา ระดับล่างของจีนที่เข้ามาทำมาค้าขาย ที่มายึดห้วยขวาง มายึดมุมโน้นมุมนี้ แม้กระทั่งคลองถม ก็เป็นพ่อค้าคนจีน คนจีนไม่ผิดที่เขาทำ เพราะเขาต้องการจะทำแบบนี้ แต่ใครผิด? เจ้าหน้าที่รัฐผิด เพราะว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ป้องกันตรงนี้ ไม่ได้ป้องกันอาชีพนี้ให้คนไทย เพราะฉะนั้นอย่าไปด่าคนจีนเรื่องนี้่ ต้องด่าเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่สนใจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐอาจจะรับเงินคนจีนไป
พฤติกรรมการท่องเที่ยวของจีนที่รัฐบาลจีนไม่เห็นด้วย จนกระทั่งรัฐบาลจีนตอนนี้ตั้งแต้มไว้ ถ้าไปทำพฤติกรรมอะไรที่ไม่ถูกต้องในต่างประเทศ มีการรายงานกลับมา จะถูกตัดแต้มไปเรื่อยๆ ตัดแต้มไปถึงระดับหนึ่งแล้วคนๆ นั้นจะสูญเสียสิทธิ์หลายอย่าง รวมทั้งไม่มีสิทธิ์ที่จะออกเดินทางไปต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นนักท่องเที่ยวจีนนั่งขี้อยู่เยาวราช นักท่องเที่ยวจีนนั่งขี้อยู่วัดร่องขุ่น แล้วเราก็บอกว่าประเทศจีนใช้ไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลจีนไม่ทราบ รัฐบาลจีนทราบนะครับ
แล้วที่อเมริกาบอกจีนขโมยเทคโนโลยีไป ก็มีส่วนจริงมาก เพราะมีการขโมยจริง แต่ว่าในข้อเท็จจริงก็คือ ภาพที่อเมริกาฉายออกมาทำให้เห็นว่าจีนเป็นคนชอบขโมยเทคโนโลยี แม้ว่าการขโมยเทคโนโลยีจะทำกันมานานแล้วก็ตาม นี่คือจุดอ่อนของจีน จีนชอบผูกขาด ท่านผู้ชมครับ ทำไมจีนถึงจะไม่มีวันปล่อยทิเบต เพราะทิเบตเป็นต้นน้ำทุกอย่างที่จะลงมาทางแม่น้ำโขง ลงมาทางแม่น้ำสาละวิน ทางอิรวดี ไปแม้กระทั่งบางประเทศ เพราะฉะนั้นเมื่อจีนอยู่ต้นน้ำ และทิเบตอยู่ต้นน้ำ จีนต้องคุมทิเบตให้อยู่ แม่น้ำโขงล่ะ จีนสร้างเขื่อนกั้นเอาไว้ จีนพอใจจะปล่อยน้ำมาเมื่อไร ก็แล้วแต่อารมณ์ของจีน ถ้าปล่อยน้ำแล้วทำให้ทางจีนฝั่งโน้นดีขึ้น เขาจะปล่อย แต่ถ้าฝั่งโน้นไม่มีน้ำ เขาก็จะกักน้ำเอาไว้ ทำให้ข้างล่างนี้ไม่มีน้ำ นี่ก็ต้องถือว่าเป็นความเกเรของประเทศจีน ไม่ใช่ไม่เกเร เพราะฉะนั้นแล้วจะว่าจีนดีเลอเลิศประเสริฐศรี 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ใช่ เขามีจุดอ่อนของเขา เขามีข้อผิดพลาดของเขา แต่ว่าเขามีความจำเป็นที่จะต้องแสดงศักยภาพของเขา เพื่อชูสิ่งที่เป็น Chinese's Dream ความฝันของคนจีน มานานแล้ว ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือจีน คือสี จิ้นผิง ต้องการให้จีนเป็นประเทศมหาอำนาจ และการเดินของเขาแต่ละก้าวนั้น ก็ก้าวไปสู่ยุคของการเดินไปเพื่อเป็นประเทศมหาอำนาจ และในที่สุด จีนก็จะถูกอเมริกาขวาง ซึ่งกำลังถูกขวางอยู่ในปัจจุบันนี้
แต่ สี จิ้นผิง แบกเอาภาระที่บรรพบุรุษของตัวเอง ตั้งแต่จิ๋นซีฮ่องเต้ ไล่มาจนถึงปัจจุบัน สี จิ้นผิง ไม่มีวันที่จะถอย และผู้นำยุคต่อไป ต่อจากสี จิ้นผิง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร ก็ต้องแบกภาระนี้ต่อไปอีกเช่นกัน เพราะวันนี้จีน ปี 2020 ไม่ใช่จีนเมื่อสมัยหลายพันปีมาแล้ว และไม่ใช่จีนที่อ่อนแอและเป็นคนขี้โรคเหมือนเมื่อประมาณสัก 100 ปีที่แล้ว จีนวันนี้เข้มแข็งมาก และจีนจะต้องพยายามทำตัวให้เข้มแข็งต่อไป และผมเชื่อว่าในที่สุด ถึงขั้นจะต้องเผชิญหน้ากัน จีน ณ ปีนี้ ก็พร้อมจะเผชิญหน้ากัน แต่จีนก็จะมีจุดอ่อนตรงนี้ล่ะ จุดอ่อนตรงที่ว่า ความที่ตัวเองเข้มแข็งมากเกินไป แทนที่ตัวเองจะคบกับคนในภูมิภาคนี้อย่างจริงใจ จะคบบนพื้นฐานที่ใช้อำนาจเศรษฐกิจมาช่วย แล้วก็ใช้อำนาจทางเศรษฐกิจมาบีบ ข้อบกพร่องของจีน มี ไม่ใช่ไม่มี แต่ว่าวันนี้สงครามระหว่างจีนกับอเมริกาจริงๆ แล้วเพิ่งจะเริ่มต้น และก็หนังเรื่องนี้ยาวมาก แต่ถ้าเราจะเข้าใจจีน เราต้องเข้าใจประวัติศาสตร์จีนที่เล่าให้ฟังว่ามีการพัฒนามาอย่างไร เป็นอย่างไรมาบ้าง
วันนี้เป็นรายการที่ยาวมากๆ 2 ชั่วโมงพอดี ท่านผู้ชม ถ้าเบื่อก็ไม่ต้องฟัง เอาไว้ว่างๆ ค่อยฟังเป็นตอนๆ ไป ผมเห็นใจ ขนาดผมพูดเองผมยังจะเป็นลมเลย สวัสดีครับ