xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : “สนธิ” ตามหา “สี จิ้นผิง” ของเมืองไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ” มองการเมืองไทย ยังคงน้ำเน่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องการสืบทอดอำนาจเป็นรัฐบาลต่อหลังการเลือกตั้ง จึงตั้งพรรคพลังประชารัฐมาเป็นฐานสนับสนุน โดยดึงเทคโนแครต “สี่กุมาร” เข้าร่วม พร้อมดูดเอานักการเมืองเขี้ยวลากดินกลุ่มต่างๆ เข้ามา เพื่อให้ได้ ส.ส.จำนวนมากพอ แต่เมื่อเป็นรัฐบาลไปสักระยะ เสือหิวเสือโหยเริ่มแผลงฤทธิ์ กดดันให้กลุ่มสี่กุมารลาออกเพื่อให้ตัวเองได้ตำแหน่ง จนเกิดภาพการเมืองน้ำเน่าที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ถึงอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์จะยังเป็นนายกฯ ต่อไป เพราะรัฐธรรมนูญให้มี ส.ว.250 คนคอยสนับสนุน และเชื่อว่าทหารต้องการยึดแบบอย่างจากจีนที่รัฐกุมอำนาจเด็ดขาดสามารถจัดการปัญหาได้ทุกเรื่อง แต่ผู้นำของไทยต่างจากจีน สี จิ้นผิง ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีจับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เข้าคุก 1.4 ล้านคน จำคุกระดับรัฐมนตรีที่ทุจริต 200 กว่าคน ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะเป็นคนดี แต่ไม่เคยลงโทษคนที่เป็นพวกเดียวกันแม้แต่คนเดียว จึงยังมองไม่เห็นแววของสี จิ้นผิง ในตัว พล.อ.ประยุทธ์ เลย

วันที่ 26 มิ.ย. 63 เวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” และช่องยูทูป Sondhitalk ที่จะพูดถึงความเละเทะของการเมืองไทย เราต้องมองป่าทั้งป่าเเล้วจะเข้าใจทั้งหมด การเมืองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงเหมือนเดิมทุกยุค ทุกสมัย และเรื่องต่างประเทศซึ่งกำลังมีหลายๆเหตุการณ์จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม และเรื่องแผนมโนแหกคุกของบรรยิน ติดตามชมได้ในรายการ Sondhitalk : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง ep : 39 สนธิตามหา "สีจิ้นผิง" ของเมืองไทย

คำต่อคำ SONDHI TALK [26 มิ.ย.63] : สนธิ ตามหา สี จิ้นผิง ของเมืองไทย

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ก็เหมือนกับทุกๆ ศุกร์ที่เราจะกลับมาพบกันในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ก็มีเรื่องบางเรื่องอยากจะฝากให้ท่านผู้ชมคิดนิดหนึ่ง เคยคิดอยู่เหมือนกันว่าจะทำรายการอาทิตย์ละ 2 วัน แต่ผมมาสรุปแล้ว น่าจะเป็นลักษณะจะพิจารณาเอาว่ามีเรื่องอะไรก็ตามที่ด่วนขึ้นมา หรือเรื่องอะไรที่จำเป็นจะต้องอธิบายความนิดหน่อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นในประเทศ อาจจะเป็นต่างประเทศก็ได้ ก็จะออกเป็นพิเศษให้ก็แล้วกัน

อีกเรื่องหนึ่งก็อยากจะฝากท่านผู้ชมคิด และขอความเห็นนิดหนึ่ง มีหลายๆ ท่านแจ้งมาว่า อยากให้รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ไลฟ์สดในตอนเย็นดีกว่า คือตอนค่ำ แทนที่จะเป็นตอนเช้าของวันศุกร์ เพราะเขาบอกว่าตอนค่ำ ตอนเย็น คนก็จะกลับถึงบ้านแล้ว ก็ลองคิดและลองเสนอความเห็นมาดูหน่อยนะครับว่า ถ้าสมมุติว่าเราเปลี่ยนจากไลฟ์สดเช้าวันศุกร์ มาเป็นไลฟ์สดเย็นวันศุกร์ได้ไหมครับ ตีเสียว่าตั้งแต่ 1 ทุ่มเป็นต้นไป ลองเสนอความคิดเห็นมา แล้วก็จะได้พูดจากันว่าเราจะเอาอย่างไรกันดี


อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของคนที่ต้องการจะสั่งซื้อหนังสือ ตอนนี้หนังสือมีทั้งหมด 3 ชุด ชุดแรก คือเรื่อง "มังกรคู่สู้สิบทิศ" 20 เล่มจบ 2 ภาค ภาคละ 10 เล่ม ชุดนี้เป็นหนังสือปกแข็ง ชุดที่ 2 คือเรื่อง ยุทธการล่าบัลลังก์ ชุดแรก เรื่องมังกรคู่สู้สิบทิศ นั้นเป็นชุดอธิบายเรื่องราวการเริ่มต้นของราชวงศ์ถัง โดยมีตัวละคร 2 ตัว คือ โค่วจง กับฉี จื่อหลิง ชุดที่ 2 คือเรื่อง "ยุทธการล่าบัลลังก์" เป็นช่วงสุดท้ายของราชวงศ์สุย ก่อนที่จะเริ่มราชวงศ์ถัง เป็นช่วงที่ราชวงศ์สุยกำลังล่มสลาย แล้วค่อยต่อด้วยราชวงศ์ถัง ชุดนี้มีทั้งหมด 7 เล่ม เป็นหนังสือปกอ่อน


อีกชุดหนึ่ง คือชุดของสมัยราชวงศ์หมิง ที่ผมเล่าให้ฟัง ชื่อ "พยัคฆราชซ่อนเล็บ" จะมีอยู่ 2 ภาค ภาคละ 15 เล่ม 2 ภาคก็ 30 เล่ม หนังสือเล่มหนึ่งเนื่องจากผมได้มาเป็นอภินันทนาการจากสำนักพิมพ์เอสเอ็มเอ็ม สำนักพิมพ์เอสเอ็มเอ็มรู้ว่าเราต้องการที่จะเอามาขายให้กับท่านผู้ชมที่ต้องการจะอ่านหนังสือเล่มนี้ เขาก็เลยจัดให้อย่างละ 20 ชุด ราคาที่ขายนั้น เนื่องจากว่าแต่ละเล่มราคาที่ติดอยู่ที่หน้าปก เล่มละเกือบ 300 บาท ผมก็จะขายเพื่อจะเอาเงินมาทำบุญ ก็คือคิดเล่มละ 100 บาทเท่านั้นเอง จะปกแข็งหรือปกอ่อนก็ 100 บาททั้งสิ้น แต่ปัญหาก็คือว่า เมื่อคิดค่าหนังสือแล้ว ต้องคิดค่าส่งให้ด้วยนะครับ เนื่องจากว่าหนังสือมันเยอะ อาจจะเสียสัก 400-500 บาท สำหรับค่าส่ง


ส่วนท่านที่ไม่ได้รับเพราะว่ายอดมันมีแค่ 20 ชุด แล้วรู้สึกว่าคนสั่งมาเกือบ 100 คน ก็จะเลือกเอาเฉพาะ 20 คนที่ต้องการจริงๆ ทั้ง 3 ชุด เอาไปหมดเลย ชุดหนึ่ง (ทั้ง 3 ชุด) ผมคิดว่าน่าจะตกประมาณ 5,000-6,000 บาท อาจจะรวมค่าส่งแล้ว แล้วจะแจ้งให้ทราบ

สำนักพิมพ์เอสเอ็มเอ็มก็แจ้งมาทางเฟซบุ๊ก เขาตัดสินใจลดราคาหนังสือชุดนี้ 50 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ 280 บาท ก็เหลือ 140 บาท ก็จะแพงกว่าที่ผมขาย 40 บาท ก็ถือว่ายังลดได้ถูก ของแบบนี้ หนังสือแบบนี้ ในตลาดจะไม่มีเหลือแล้วนะครับ อยากจะให้เก็บเอาไว้ ถ้าใครไม่ได้จาก 20 ชุดที่ผมมีไว้ให้ ก็สามารถจะเข้าเฟซบุ๊กของเอสเอ็มเอ็ม เดี๋ยวผมจะให้ทางทีมงาน แอดมิน ลงให้ดูก็แล้วกัน

เหมือนเช่นเคยครับท่านผู้ชม ทุกๆ วันศุกร์เราจะมีการฝากร้านให้เป็นประจำ ศุกร์นี้ก็เช่นกัน เมื่อ 2 ศุกร์ที่แล้ว ศุกร์ที่ 12 มิถุนายน ผมได้พูดเรื่องสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ต้นจนจบ และศุกร์ที่ 19 ผมก็ได้พูดเรื่องจีน ทั้ง 2 EP. นี้ เป็น 2 EP. ที่คนเข้ามาดูรวมๆ แล้วประมาณเกือบ 1 ล้านคน ส่วนคลิปย่อยที่ซอยออกมาก็หลักหลายแสนคนเช่นกัน 2 EP. นี้ จะเป็น 2 EP. ของการไลฟ์สารคดีประกอบกับการอธิบายเรื่องราวที่ท่านผู้ชมจะหาฟังจากที่ไหนไม่ได้ เฉพาะยูทูปอย่างเดียว EP. เรื่องอเมริกา ก็เกือบ 500,000 วิวแล้ว ถือว่าเร็วมาก ถ้าทิ้งไว้สัก 6 เดือน หรือ 1 ปี ก็คงขึ้นเป็นล้านกว่าวิว


ก่อนที่จะพูดเข้าเรื่องรายการวันนี้ เผอิญผมมีบ๊ะจ่างมา ทำไมต้องพูดเรื่องนี้ ผมคิดว่าเล็กๆ น้อยๆ ตำนานแต่ละเรื่องมันมี เมื่อวานนี้ วันพฤหัสฯ ที่ 25 เดือน 6 หรือที่คนจีนเขาเรียกว่าวันที่ 5 เดือน 5 เพราะเดือน 5 คนจีน คือเดือน 6 คนไทย เป็นวันเทศกาลบ๊ะจ่าง ที่มาที่ไปของบ๊ะจ่างนั้น ท่านผู้ชมหลายท่านคงเคยรับประทานบ๊ะจ่าง เป็นเทศกาลอะไร ทำไมถึงมีการอธิบายความ แล้วทำไมจึงมีการตั้งเป็นเทศกาลบ๊ะจ่างขึ้นมา?

ตามปฏิทินิทางจันทรคติของจีนทุกปี ซึ่งในปีนี้ วันที่ 5 เดือน 5 ของจีน ก็คือวันที่ 25 มิถุนายน 2563 ทำไมต้องไหว้บ๊ะจ่าง? บ๊ะจ่างของคนจีนแผ่นดินใหญ่ กับของคนจีนแต้จิ๋วที่มาเมืองไทย ตำนานจะคนละแบบกัน ของคนจีนแผ่นดินใหญ่ ตำนานมาอยู่ที่ว่า ในสมัยโบราณ สมัยที่รัฐฉู่ยังไม่ล่มสลาย ก่อนที่จิ๋นซีฮ่องเต้จะบุกเข้าไปที่รัฐฉู่ แล้วก็ไปทำลายล้างรัฐฉู่ ก็มีขุนนางคนหนึ่งชื่อ ซู หยวน ขุนนางคนนี้เป็นคนที่รักชาติรักแผ่นดิน ซื่อสัตย์ เป็นกวี เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ความรู้ทางวรรณกรรมก็ดี เป็นคนที่มีจริยธรรมสูง มีศีลธรรมสูง ปรากฏว่าโดนพวกกังฉินใส่ร้าย ใส่ความ จนกระทั่งฮ่องเต้หูเบา ก็เลยปลดซู หยวน ออกมา ซู หยวน ก็เลย แล้วในที่สุดรัฐฉู่ก็ถูกรัฐฉินโจมตีจนพังทลายและถูกยึดรัฐไป


ซู หยวน เสียใจมาก ก็เลยแต่งบทกวีขึ้น พรรณนาถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของผู้ถูกใส่ร้ายจนต้องสิ้นชาติ และเขาคิดสั้น กระโดดลงน้ำฆ่าตัวตายที่แม่น้ำเปาะล่อกัง หรือบางตำนานก็บอกเป็นแม่น้ำแยงซีเกียง ในวันที่ 5 เดือน 5 สรุปแล้วเมื่อเขาตายไปแล้ว ชาวบ้านที่รู้เรื่องความซื่อสัตย์ของเขา รู้เรื่องคุณงามความดีของเขา รู้เรื่องความรักชาติของเขา ต่างก็พากันห่อเสบียงออกเรือเพื่อตามหาและนำร่างของซู หยวน กลับมาประกอบพิธีศพให้สมเกียรติ ระหว่างทางที่ตามหา ชาวบ้านก็นำเสบียงต่างๆ หย่อนลงไปในน้ำเพื่อหวังให้ปูกับปลากิน จะได้ไม่ไปกัดกินร่างของซู หยวน ให้เสียหายจนไม่สามารถนำกลับมาประกอบพิธีศพได้ จากนั้นทุกปีก็มีการระลึกถึงกวีผู้รักชาติคนนี้ ก็คือซู หยวน เมื่อถึงวันที่ 5 เดือน 5 ตามจันทรคติของจีน ชาวบ้านก็จะนำอาหารไปในแม่น้ำเปาะล่อกัง ซึ่งบางตำนานก็บอกว่าเป็นแม่น้ำแยงซีเกียง เพื่อไหว้ดวงวิญญาณ

ทำไมต้องเป็นบ๊ะจ่าง ? อีก 2 ปีต่อมา มีชาวบ้านคนหนึ่งเขาบอกว่า ซู หยวน ได้เข้ามาในนิมิต ในฝันของเขา แล้วบอกขอบคุณที่ชาวบ้านเอาอาหารมาเซ่นไหว้ แต่อาหารที่โปรยลงไปในน้ำกลับเป็นอาหารของกุ้ง ปู ปลาทั้งหลาย ซู หยวน จึงขอแนะนำให้ชาวบ้านเอาใบไผ่มาห่อแล้วมัดก่อน ค่อยโยนลงน้ำ พอปีถัดไปชาวบ้านก็ทำตามที่ซู หยวน มาเข้าฝัน ก็ปรากฏว่าซู หยวน มาเข้าฝันอีกทีหนึ่ง บอกว่า ถึงแม้จะจะห่อใบไผ่ ก็ยังถูกสัตว์น้ำแย่งไปกินบางส่วนอยู่ดี ชาวบ้านก็เลยอยากจะให้ซู หยวน ได้กินเต็มที ก็ถามว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ซู หยวน ก็บอกว่าเวลาจะไปโยนลงน้ำ ให้นำไปใส่เรือที่ตกแต่งเป็นรูปมังกรก่อนที่จะลอยลงแม่น้ำ เมื่อเหล่าสัตว์น้ำเห็นว่าเป็นเครื่องเซ่นไหว้พญามังกร ก็จะไม่กล้ากิน ซู หยวน ก็จะได้ทานอาหาร ทานเครื่องเซ่นไหว้ได้เต็มที่ จากเรื่องราวนี้ทำให้เกิดเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง และประเพณีแข่งเรือมังกร


ท่านผู้ชมเคยเห็นไหมครับ เรือรูปทรงมังกร แข่งที่ประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน มาเก๊า ซึ่งจะเฉลิมฉลองจัดอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี ในวันที่ 5 เดือน 5 นั่นเอง ซึ่งในปีนี้ก็คงจะจัดเมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.) แต่ผมไม่ทราบว่าโควิด-19 นั้นจะมีผลหรือเปล่า นั่นคือตำนานของจีนแผ่นดินใหญ่

ตำนานของจีนแต้จิ๋วที่อยู่ในเมืองไทย ก็บอกอีกแบบหนึ่ง ไม่มีการจัดแข่งเรือมังกร เพราะตำนานของคนจีนแต้จิ๋วที่อพยพมาอยู่เมืองไทย กล่าวว่า ตำนานบ๊ะจ่างเกิดขึ้นจากยามที่บ้านเมืองกำลังมีภัยจากสงคราม ออกรบ เสบียงอาหารของทหารก็จะทำจากข้าวเหนียว ปั้นเอาไว้ แล้วห่อในใบไผ่ เพื่อเก็บไว้กินนานๆ เมื่อข้าศึกฝ่ายตรงข้ามแฝงกายเข้ามาเป็นสายลับเพื่อหาทางโจมตีเมือง เหล่าทหารที่ทราบเรื่องจึงใช้วิธีเอาสารลับ แผนการรบ แทรกเข้าไปในอาหารที่มัดไว้เป็นบ๊ะจ่าง เพื่อลวงข้าศึก รักษาความลับทางทหารไว้ ไม่ให้ข้าศึกไหวตัวทัน จนในที่สุดบ้านเมืองพ้นวิกฤต สามารถปราบไส้ศึก ชนะสงครามและสงบสุขตามเดิม ชาวเมืองจึงสำนึกในบุญคุณ และยกให้บ๊ะจ่างเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่นำความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง เมื่อถึงวันที่ 5 เดือน 5 ของทุกปี ชาวบ้านจึงผูกบ๊ะจ่างเพื่อทำการสักการะ กราบไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ เพื่อขอบคุณที่ช่วยให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุขต่อมา นี่ก็เป็นตำนานของบ๊ะจ่าง

วันหน้าวันหลังผมจะค่อยๆ เอาตำนานบางเรื่องมาเล่าให้ฟัง อย่างเช่น ตำนานปาท่องโก๋ มีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งมาจากขุนนางกังฉิน ผัว-เมียคู่หนึ่ง ชื่อฉินไคว่ เอาไว้วันหลังผมจะเล่าให้ฟัง ถือว่าเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะเข้ารายการก็แล้วกันครับ

ก็เป็นปกติธรรมดาของการเข้ารายการนี้ ท่านผู้ชมเสียเวลากับผมนิดหนึ่ง ผมจะมีข้อแนะนำสำหรับท่านที่ต้องการชมรายการนี้ว่าจะเข้ามาชมได้ทางไหนบ้าง

วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"

สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ

สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมมีเรื่องประมาณ 3 เรื่อง ที่จะพูดให้ท่านผู้ชมฟัง เรื่องแรกคือเรื่องของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ บุรุษผู้ที่วางแผนแหกคุก และเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต ต้องคดีใหญ่ๆ อยู่ 2 คดี คดีแรก คือคดีสังหารนายชูวงษ์ ซึ่งเป็นเพื่อนของตัวเอง และขณะนี้กำลังถูกดำเนินคดีในชั้นศาล อีกคดีหนึ่งคือคดีจ้างวานและสั่งการสังหารพี่ชายผู้พิพากษาที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี และสุดท้ายน่าจะเป็นอีกคดีหนึ่ง คือวางแผนแหกคุก เดี๋ยวเอาไว้ค่อยพูดต่อไป


เรื่องที่สองที่ผมจะพูด คือเรื่องประเทศจีน เล็กน้อย ตอนนี้ประเทศจีนกำลังมีเรื่องที่วุ่นวายมาพอสมควร ข่าวล่าสุดที่ผมจะพูดก็คือการที่ประเทศจีนได้ยิงดาวเทียมลูกสุดท้ายในเครือข่ายดาวเทียม ซึ่งมีอยู่ 30 ดาวเทียมที่ประเทศจีนยิงขึ้นไปแล้ว ทำให้ประเทศจีนสามารถสร้างระบบ GPS ของตัวเองขึ้นมาได้โดยที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องพึ่งระบบ GPS ของสหรัฐอเมริกาต่อไป และเรื่องของประเทศจีนนั้นก็จะมีเรื่องพูดต่อไป แต่คงจะไม่ใช่คราวนี้ เพราะว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศจีนกับสหรัฐอเมริกา และไต้หวัน และญี่ปุ่น และอินเดีย กำลังรุนแรงมากขึ้น ถึงกับบางผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ทั้งต่างชาติและนักวิเคราะห์อย่างผม มองว่าโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองและนำต่อไปสู่อุบัติเหตุทางการสงครามนั้น ย่อมมีได้เสมอ

เรื่องสุดท้ายคือเรื่องการเมืองเมืองไทย เนื่องจากว่าความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ท่านผู้ชมเห็นว่ามีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรค เปลี่ยนเลขาธิการพรรค จริงๆ แล้วมันเป็นส่วนหนึ่งของป่าทั้งป่าของภาพรวมทางการเมืองเมืองไทยที่ผมจะอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง และผมเชื่อว่าหลังจากที่ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้ชมก็จะเข้าใจเรื่องการเมืองเมืองไทยอย่างลึกซึ้ง แทบจะไม่ต้องสนใจอะไรอีกต่อไป

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหมครับว่าผมเคยพูดเรื่อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ มาแล้วครั้งหนึ่ง อธิบายความอย่างลึกซึ้งมาหลายๆ อย่าง ถ้าท่านผู้ชมยังไม่เคยดู กลับเข้าไปที่ยูทูป แล้วไปเช็กหัวข้อ SONDHI TALK ท่านผู้ชมเปิดฟังได้ แล้วจะเข้าใจเหตุการณ์

สรุปง่ายๆ ตอนนี้บรรยิน ตั้งภากรณ์ นั้นถูกข้อหาที่ตำรวจข้อหาว่าสังหารพี่ชายของท่านผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีอยู่ที่ศาลอาญาใต้ ในคดีซึ่งเร็วๆ นี้ก็จะมีคำพิพากษาออกมาแล้ว เพราะว่าคุณบรรยินนั้นพยายามที่จะลักตัวพี่ชายผู้พิพากษามา เพื่อจะบีบบังคับให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นสุภาพสตรีนั้นพิจารณาคดีและมีคำตัดสินออกมาที่เป็นประโยชน์กับคุณบรรยิน แต่ผิดพลาดและพลั้งเผลอทำให้พี่ชายผู้พิพากษาเสียชีวิต ก็เลยเอาศพไปเผาเพื่อทำลายหลักฐาน คุณบรรยินก็เลยถูกตำรวจจับในข้อหานี้ และคุณบรรยินก็ไม่ได้รับการประกันตัว คุณบรรยินก็เลยไปอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร


ทีนี้ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร คุณบรรยินก็ได้เจอลูกน้องเก่าคนที่รู้จักกัน ที่อยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เป็นคนที่โดนคดีลักทรัพย์ แล้วตามข่าวก็บอกว่าคุณบรรยินได้ให้ทนายความของตัวเองไปติดต่อกับทนายความอีกคนหนึ่งเพื่อให้มาประกันตัวผู้ชายคนนี้ที่้โดนข้อหาลักทรัพย์ เมื่อติดต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ต้องหาคนนี้ซึ่งโดนข้อหาลักทรัพย์ ก็ได้รับการประกันตัวออกไป แต่เผอิญอาจจะเป็นโชคของสังคมไทยมั้ง เผอิญไอ้หมอนี้มีหมายจับเพิ่มเติม เมื่อถูกประกันตัวออกไป ตำรวจกองปราบฯ ก็มาจับตัวไป ความก็เลยแตก ในที่สุดไอ้หมอนี่้ก็บอกว่า ได้รับคำสั่งจากบรรยินให้ไปติดต่ออดีต ส.ส.คนหนึ่งอยู่ที่ จ.นครสวรรค์ ซึ่งเป็นลูกน้องของคุณบรรยิน เพื่อจะช่วยคุณบรรยินแหกคุก ก็มีอยู่ 2 เวอร์ชันนะท่านผู้ชม ท่านผู้ชมจะเชื่อเวอร์ชันไหน

เวอร์ชันแรก ก็คือว่า คุณบรรยินมีหน้าที่จะต้องออกศาล จะมีรถของเรือนจำจะพาไป ถ้าปกติธรรมดาแล้ว โดยที่ไม่มีเรื่องมีราวแบบนี้ ก็จะเป็นแค่รถเรือนจำคันเดียวและมีเจ้าหน้าที่เรือนจำไป 2 คน ก็กะจะชิงตัวนายบรรยิน คือพูดง่ายๆ ว่าจะไปปล้นบรรยินออกจากรถคันนี้ แล้วก็พาหนีไป นั่นคือเวอร์ชันแรก


เวอร์ชันที่ 2 นี่ค่อนข้างที่จะมโนนิดหน่อย เหมือนกับว่าคนที่เล่าให้ฟัง หรือบรรยิน ถ้ามาจากปากบรรยินจริง ก็แสดงว่าบรรยินเป็นคนที่ดูหนังมากจนเกินไป ก็คือจะมีการระเบิดกำแพงแล้วจะมีการโค่นเสาธง ให้เสาธงล้มลงไปพาดกำแพง แล้วบรรยินก็จะปีนออกไป แล้วจะมีเฮลิคอปเตอร์ร่อนลงมารับบรรยินออกไป ท่านผู้ชมครับ ผมคิดว่ามันบ้าไปแล้ว ผมจะเล่าให้ฟังว่ามันเป็นเรื่องที่ทุเรศ แล้วผมก็ไม่นึกว่าเขาคิดเรื่องนี้ได้อย่างไร คงจะหลังชนกำแพงจริงๆ คงไม่รู้จะไปทางไหน แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้ตำรวจก็มั่นใจพอสมควร หลังจากที่มีการสอบเรียบร้อยแล้ว เพราะคนซึ่งเปิดปากและบอกว่าบรรยินสั่งให้ไปทำโน่นทำนี่ ในที่สุดก็ยอมเปิดปากแล้วว่าบรรยินสั่งอย่างนี้จริง เขาก็จะเรียกตัว ส.ส.ที่อยู่ที่นครสวรรค์ ซึ่งคนที่ไปติดต่อก็บอกว่าเขาติดต่อ ส.ส.นครสวรรค์ แล้ว คนนั้นท่าทางสติสัมปชัญญะสมบูรณ์กว่าบรรยินเยอะ ก็เลยบอกว่า ไม่เอาๆ อย่ามายุ่ง แล้วปรากฏว่าหลังจากนั้นมันก็โทรศัพท์ไปขอเงินเขาอีก เขาก็ไม่ให้ ก็เอาเป็นว่าเขาก็สอบไปสอบมาแล้วก็ไปเกี่ยวพันกับลูกชายของบรรยิน ซึ่งเป็นลูกชายกับภรรยาคนปัจจุบันนี้ หรืออาจจะเป็นลูกติดของภรรยาคนปัจจุบันนี้ อีกสักพักก็คงจะได้ความว่าเป็นอย่างไร แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ตำรวจมั่นใจในหลักฐานนี้มาก เป็นหลักฐานซึ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่คนที่ถูกประกันตัวออกไปโดยข้อหาลักทรัพย์นั้นจะมาให้ร้ายบรรยิน เพราะไม่มีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน และอีกอย่างหนึ่ง ถ้าตำรวจเขาพิสูจน์ได้ว่าทนายความที่มาประกันตัวออกไป เป็นทนายที่เกี่ยวข้องกับบรรยิน จะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ก็ย่อมเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ชัดเจนว่า คำกล่าวหาที่ว่าบรรยินให้หมอนี่ไปเดินเรื่องเพื่อจะแหกคุกนี้ น่าจะเป็นความจริงได้ ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นความจริง


แต่ประเด็นที่ผมจะพูดวันนี้ก็คือว่า ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าบรรยิน ตอนนี้ ในขณะนี้โดนอยู่ 2 คดี คดีแรกคือคดีฆ่านายชูวงษ์ ที่ฆ่านายชูวงษ์ เดิมทีพักคดีไว้ชั่วคราว แล้วค่อยเดินเรื่องต่อหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วว่า หุ้นที่บรรยินโกงไปจากนายชูวงษ์ แล้วเอาเข้าบัญชีกิ๊กของเขา ที่ชื่อต้นข้าว น้ำข้าว อะไรก็แล้วแต่ ปรากฏว่าไม่ใช่เป็นหุ้นของนายบรรยิน แต่เป็นหุ้นของนายชูวงษ์ ซึ่งพิสูจน์ชัดว่านายบรรยินเป็นคนโกง ปลอมแปลงเอกสารโอนหุ้นโดยที่นายชูวงษ์ไม่ทราบ ซึ่งต่อมาถึงเวลาที่ข้อมูลเรื่องหุ้นถูกโอนนั้นจะต้องถูกส่งกลับไปหานายชูวงษ์ นายบรรยินกลัวความแตก ตามข้อกล่าวหาก็คือนายบรรยินก็เลยวางแผนฆ่านายชูวงษ์ พี่น้องของนายชูวงษ์ก็ไม่ได้เอะใจ ซึ่งมาเอะใจภายหลังเมื่อมีรายงานมาจากตลาดหลักทรัพย์ว่าหุ้นก้อนนี้ถูกโอนออกไป ก็เลยมีการดำเนินการเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกก็ไปฟ้องก่อนว่า หุ้นที่โอนนั้นเข้าสู่บัญชีของนายบรรยินบ้าง น.ส.ป้อนข้าวบ้าง ซึ่งขณะนี้ก็โดนคดีพร้อมบรรยิน คดีมีมูล มีมูลตรงที่ว่า แสดงว่ามีการโอนจริง เมื่อโอนจริงเขาก็รู้ทันทีเลยว่าการเสียชีวิตของน้องชายของเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับนายบรรยิน เขาก็เลยเริ่มหาหลักฐาน เข้าไปแจ้งความที่กองปราบฯ กองปราบฯ ก็ใช้เวลาพิสูจน์ คิดค้นหลักฐาน เพราะว่าศพเผาไปแล้ว แต่เขาใช้หลักฐานประกอบ จนกระทั่งในที่สุดแล้วศาลพิพากษา ศาลแพ่งพิพากษาแล้วว่าหุ้นนี้โมฆะ เมื่อโมฆะ มันก็เป็นเหตุจูงใจที่จะไปพิสูจน์ว่าบรรยินต้องการที่จะสังหารนายชูวงษ์ นั่นคือข้อแรก


อันที่สองก็คือคดีฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา ซึ่งตำรวจที่ทำคดีนี้เขายืนยันว่าหลักฐานได้มาหมด ได้ทั้งขี้เถ้าที่เอาไปเผาอยู่ในไร่ของเมียบรรยิน ซึ่งอยู่ที่ จ.นครสวรรค์ คนที่ไปร่วมทำการถูกจับหมดและสารภาพว่าทำตามคำสั่งบรรยิน และบรรยินก็ลงไปคุมการสังหารครั้งนี้ด้วย

เอาล่ะ เอาเป็นสรุปง่ายๆ ว่า ถ้าบรรยินโดนพิพากษาทั้งสองคดี สองคดีนี้เป็นการพิพากษาแน่นอนที่สุด ประหารชีวิตทั้งสองคดี เพราะฉะนั้นแล้วจะมีโทษประหาร 2 โทษ ผมยังไม่เห็นว่าบรรยินจะมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร ผมยืนยันกับท่านผู้ชมได้ว่า นายบรรยินจะต้องถูกประหารชีวิตอย่างแน่นอนที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นคดีใดคดีหนึ่ง สมัยก่อนโทษประหารชีวิตนั้นสามารถจะถวายฎีกา ขอลดโทษ ละเว้นโทษประหารชีวิต กลายเป็นโทษตลอดชีวิตได้ แต่ช่วงหลังนั้น เท่าที่ทราบมาทางกรมราชทัณฑ์ไม่ให้ถวายฎีกาแล้ว จากนี้ไป ก็คือพูดง่ายๆ ว่าถ้าต้องโทษประหาร ก็ประหาร เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อโดนสองเด้งโทษประหารชีวิต ผมเชื่อว่าชีวิตของนายบรรยินที่อยู่ในโลกนี้ ก็สามารถจะนับวันได้ ก็ถือว่าเป็นหลักกรรมก็แล้วกัน ใครทำกรรมอะไรไว้ ก็ต้องรับกรรมนั้นต่อไป เพราะว่าการฆ่าคนนั้นเป็นเรื่องที่บาปมหันต์ที่สุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณบรรยินฆ่าคนตั้ง 2 คน ถ้าเขาผิดจริงในกรณีนายชูวงษ์ ส่วนกรณีพี่ชายผู้พิพากษา ก็อีกศพหนึ่ง


เพราะฉะนั้นแล้ว จากพฤติกรรมของบรรยิน จาก 2 คดีนี้ และยังมีอีกหลายคดีในอดีตซึ่งโยงเกี่ยวกับนายบรรยิน แต่ไม่มีใครขุดคุ้ยขึ้นมา และมีการพูดกันว่าน่าจะเป็นฝีมือบรรยิน รวมกับเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดนี้ ก็เลยทำให้ผมค่อนข้างจะมั่นใจว่าแผนแหกคุกครั้งนี้ บรรยินต้องการ เพราะว่าเขาไม่รู้จะไปอย่างไร เขาต้องการคิดสั้นๆ คิดง่ายๆ คิดโง่ๆ ว่าขอออกไปก็แล้วกัน แล้วก็คงจะหนี บรรยินตอนนี้ก็เลยถูกย้ายคุกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปอยู่ที่บางขวาง บางขวางคือคุกนักโทษเด็ดขาด นักโทษประหารชีวิต นักโทษตลอดชีวิต นักโทษโทษสูง 40-50 ปี และได้ข่าวมาว่าถูกขังเดี่ยว ขังเดี่ยว หรือขังซอย ก็คือห้องเล็กๆ มีถังขี้อยู่นิดหนึ่ง แล้วก็มีที่นอน ไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย เช้าถึงเย็น เย็นถึงเช้า อยู่แต่ในห้องนั้นตลอดเวลา แล้วจากนี้ไป เวลาบรรยินจะไปศาล เขาก็พยายามที่จะแก้วิธีการด้วยการให้ทำวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์แทน ไม่ต้องเอาตัวคนออกไป แต่ล่าสุดได้ออกไป เขาก็มีตำรวจคุ้มกัน ซึ่งผมเชื่อว่าคงจะไม่มีการชิงตัวอะไรอีกแล้ว เพราะตอนนี้ถูกเปิดโปงแบบนี้ แล้วตำรวจที่คุ้มกันนั้นก็เป็นหน่วยหนุมานของกองปราบฯ อาวุธพร้อม ผมเชื่อว่าบรรยินวันนี้รอวันตายเท่านั้นเอง


ท่านผู้ชมครับ จีนขณะนี้ได้ยิงดาวเทียมลูกสุดท้ายเข้าสู่วงโคจรเพื่อทำให้เครือข่ายวงจรที่จีนตั้งชื่อว่า เป่ยโต่ว (Beidou) ดาวเทียมเป่ยโต่ว คือวงจรดาวเทียม 30 ดวง ที่หมุนอยู่รอบ ทั่วโลก ดวงสุดท้ายที่จีนยิงขึ้นไปนั้น เท่ากับว่าในที่สุดแล้ว จีนก็จะมีระบบ GPS ของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งอเมริกา เพราะทุกวันนี้ในระบบ GPS นั้น อเมริกาเป็นเจ้าของ และทั่วโลกก็พึ่งพาใช้บริการ GPS ของจีน

ระบบดาวเทียมเป่ยโต่วที่จีนยิงขึ้นไปตอนแรกๆ นั้น ก็มีคนที่เอามาใช้งานได้เยอะ หลายคนก็เป็นลูกค้า แม้กระทั่งประเทศไทยก็ใช่ ปากีสถานก็ใช่ แต่ว่ายังไม่สามารถที่จะทำเป็นระบบ GPS ที่สมบูรณ์แบบได้


ระบบ GPS ตรงนี้ นัยมันมีมาก มันมีตรงที่ว่าจีนเผื่อเอาไว้ในกรณีที่มีความขัดแย้งกับสหรัฐอเมริกาในเรื่องของสงคราม เพราะจะทำให้จีนสามารถมีระบบนำวิถีของตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งอเมริกาเลย เพราะถ้าเวลาเกิดสงครามขึ้นมาแล้ว แน่นอนที่สุดอเมริกาจะไม่ให้จีนใช้ GPS ของอเมริกาแน่นอน จีนก็เลยต้องพึ่งพาตรงนี้ แล้วเขาบอกว่า กระบวนการนี้เขาเริ่มทำตั้งแต่ปี 1990 ก็ประมาณเกือบ 30 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นจีนคิดมาไกลในที่สุด ก็เหมือนอเมริกาคิดว่าในที่สุดแล้วความขัดแย้งระหว่างจีนกับอเมริกาก็จะต้องมีมาในที่สุด และก็มาถึงวันนี้ จีนพูดได้ว่ามีระบบ GPS เป็นของตัวเอง


แต่ขณะนี้จีนกำลังเผชิญศึกหลายด้าน ซึ่งเรื่องราวต่างๆ ตรงนี้ วันหลัง อีกสักรายการหนึ่ง สักศุกร์หนึ่ง ผมขอเลือกวันดีๆ สักนิด เพราะว่าตอนนี้มีเรื่องราวที่จะต้องพูดหลายเรื่อง ซึ่งค้างคาอยู่

ในขณะนี้จีนถูกรุกหนักในเชิงการทูต และความขัดแย้ง ตอนนี้จีนขัดแย้งกับเขาไปหมด จีนขัดแย้งในทะเลจีนตอนใต้ จีนขัดแย้งทางพรมแดนที่หุบเขากัลวานกับอินเดีย ถึงกับมีการสู้รบกัน ทำให้ทหารอินเดียตายไป 20 กว่าคน แต่ทางจีนไม่บอกว่าของตัวเองตายกี่คน จีนเริ่มขัดแย้งกับญี่ปุ่นล่าสุด เพราะว่าจีนโกรธที่ญี่ปุ่นไปเปลี่ยนชื่อเกาะเซ็งกากุ ซึ่งจีนเรียกว่า เตี้ยวอี๋ว์ ทีนี้ญี่ปุ่นก็ให้เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ เพราะว่าญี่ปุ่นเข้าไปยึดครองก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ปี 1972 หรือพูดง่ายๆ ว่าเมื่อประมาณ 40-50 ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นเข้าไปยึดครอง แล้วเกาะเซ็งกากุนั้น เผอิญชื่อไปซ้ำกับเมืองๆ หนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะโอกินาวา ผู้บริหารเมืองก็เลยบอกว่าขอเปลี่ยนชื่อก็แล้วกัน จากเซ็งกากุ ก็เพิ่มอีกคำหนึ่งเข้าไป เป็นโทโนชิโร เซ็งกากุ เพื่อให้รู้ว่านี่คือชื่อเกาะ ไม่ใช่ชื่อเดียวกับเมือง เท่านี้เอง


จีนทนไม่ได้ จีนบอกว่าไม่ได้นะ ญี่ปุ่นไม่มีสิทธิ์ จีนครองสิทธิ์ในการที่จะเป็นเจ้าของเกาะนี้ ทางทะเลจีนตอนใต้ จีนมีสิทธิ์อยู่หลายๆ ที่ หมู่เกาะสแปรตลีย์ หมู่เกาะพาราเซล แล้วก็เกิดความขัดแย้งกับประเทศที่ยืนยันว่าตัวเองก็เป็นเจ้าของหมู่เกาะ ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นบรูไน ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ หลายๆ ชาติผสมผสานกันเข้าไปหมด ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ไม่ได้เห็นใจจีนนะ เพราะว่าจีนดันทะลึ่งไปเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าเกาะนี้เคยเป็นของจีนมาก่อน


เกาะนั้นเคยเป็นของจีนมาก่อน เกาะนี้เคยเป็น สมัยโน้นสมัยนี้ ท่านผู้ชมครับ จีนมีประวัติศาสตร์ตั้ง 4,000 ปี จีนสามารถจะครองได้ทั่วโลกเลยนะ ถ้าอย่างนั้นวันหนึ่งข้างหน้าจีนก็บอกว่า แม่ทัพเรือเจิ้งเหอออกเดินทางเรือไปในสมัยราชวงศ์หมิง 600 กว่าปีที่แล้ว ไปที่ช่องแคบมะละกา แล้วก็ไปตั้งรกราก เพราะฉะนั้นจีนก็มีสิทธิ์เป็นเจ้าของช่องแคบมะละกา ไปที่อินเดียก็มีสิทธิ์ ไปที่แอฟริกาก็มีสิทธิ์ เพราะฉะนั้นแล้ว ตรงนี้ที่ผมต้องเรียนให้ท่านผู้ชมทราบว่าจีนค่อนข้างเกเรในเรื่องนี้ อาจจะถึงขั้นเป็นอันธพาลเลย คือใช้ความเป็นชาตินิยมแล้วอ้างอิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งประวัติศาสตร์เป็นร้อยๆ พันๆ ปี ใครก็อ้างได้ ถูกไหมครับ วันดีคืนดีจีนก็บอกว่าประเทศไทยเคยเป็นประเทศราชมาก่อน เพราะฉะนั้นทุกคนต้องส่งบรรณาการให้กับประเทศจีน

แต่ความที่จีนเป็นเช่นนี้ เพราะว่านิสัยใจคอของผู้นำจีนเปลี่ยนไป สมัยก่อนนั้นผู้นำของจีนที่เกี่ยวข้องกับทางต่างประเทศ คือ โจว เอินไหล โจว เอินไหล เป็นนักการทูตรุ่นแรกของจีน ตั้งแต่สมัยจีนเริ่มเปลี่ยนประเทศ แล้วตั้งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมา โจว เอินไหล เป็นคนสุภาพเรียบร้อย โจว เอินไหล เป็นคนที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัว โจว เอินไหล จะไม่กร่าง จะไม่แสดงอาการอะไรทั้งสิ้นที่จะเป็นในลักษณะก้าวร้าว แต่โจว เอินไหล จะยอม ถูกดูถูกเหยียดหยามก็จะยอม ถูกว่า ถูกโน่นถูกนี่้ โจว เอินไหล ก็จะเงียบ โจว เอินไหล เป็นคนที่อ่อนนอกแต่แข็งใน ก็คือว่าอะไรที่เขายอมได้ เขายอมหมด แต่ถึงจุดสุดท้ายถ้าเขายอมไม่ได้ เขาก็จะไม่ยอม ถ้าจำเป็นต้องมีสงคราม เขาก็จะมี แล้วเขาก็ได้พิสูจน์มาแล้วในสงครามเกาหลี

ในสงครามเกาหลี ในขณะซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้บุกเกาหลีเหนือ บุกจนกระทั่งถึงเส้นขนานที่ 38 ซึ่งแบ่งสองประเทศนี้ โจว เอินไหล ได้บอกทูตอินเดียให้ไปบอกอเมริกาว่าเมื่อใดคุณข้ามเส้น 38 ไป ผมจะรบกับคุณทันที อเมริกาตอนนั้นไม่มีใครฟัง ถ้าผมจำไม่ผิดตอนนั้นจอมพลดักลาส แมกอาร์เธอร์ ผู้ยิ่งใหญ่ทางการทหารที่เข้าไปยึดครองญี่ปุ่น เป็นคนพูดเอง ว่าเขาต้องบุกเข้าสู่เกาหลีเหนือ กวาดล้างให้หมด ปรากฏว่าทันทีที่กองทัพอเมริกาบวกเกาหลีใต้บุกเข้าไป แล้วไปถึงแม่น้ำยาลู ยาลูซึ่งเป็นแม่น้ำแบ่งเขตระหว่างจีนกับเกาหลี ปรากฏว่า ท่านผู้ชมเชื่อไหม มีทหารจีนโผล่มาประมาณ 1 ล้านกว่าคน แล้วก็บุกไล่ตีทหารอเมริกากับทหารเกาหลีใต้ถอยร่นไปจนถึงเส้นที่ 38 แล้วพอพ้นออกไปแล้ว ทหารจีนก็หยุด นี่คือสิ่งที่โจว เอินไหล ได้เตือน โจว เอินไหล เขาได้เตือนอเมริกา แต่เขาเตือนด้วยการพูดผ่านทูตอินเดีย ช่วยไปติดต่ออเมริกาหน่อยนะ อย่าเข้ามานะ เข้ามาฉันตีเอาจริงๆ นะ เขาก็ตีจริง


แต่ท่านผู้ชมครับ สิ่งแวดล้อม กาลเวลา และสถานที่ ผู้คน มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ในยุคโจว เอินไหล นั้น เป็นยุคที่จีนเพิ่งตั้งประเทศ ถ้าผมจำไม่ผิดนะ ในยุคจีนเพิ่งตั้งประเทศ ถ้าจำไม่ผิด สงครามเกาหลีประมาณ ค.ศ.1954 หรือ พ.ศ.2497 วันนั้นของจีน จีนยังเป็นประเทศที่อ่อนแออยู่ ไม่มีเทคโนโลยี ยังลำบาก ประชาชนยังยากจนข้นแค้น แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่เหมา เจ๋อตง กำลังเริ่มนโยบายก้าวกระโดดไกล (The Great Leap Forward) ที่ทำให้คนจีนต้องอดอยากกันทั่วประเทศ คนตายกันเป็นสิบๆ ล้านคน แต่พอผ่านมาจนกระทั่งถึงปี 2563 (ค.ศ.2020) จีนมีระบบ 5G จีนมีดาวเทียมเป่ยโต่วที่สามารถสร้างกระบวนการ GPS ได้ จีนเป็นเจ้าหนี้ของอเมริกาด้วยการเอาเงินเอาทองไปซื้อพันธบัตรอเมริกา ตอนนี้เป็นเจ้าหนี้อเมริกาอยู่ 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และจีนกำลังจะขายพันธบัตรอเมริกาทิ้งออกไป จีนมีขนาดเศรษฐกิจ ถ้าวัดตาม GDP แล้ว อันดับ 2 ของโลก แต่ถ้าวัดตามการใช้จ่าย จีนอันดับ 1 ของโลก อเมริกาสู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้ว กองทัพจีนมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ และกำลังจะสร้างเพิ่ม จีนมีเครื่องบินที่พัฒนาต่อยอดจากเครื่องบินซู (SU) ของรัสเซีย โดยใช้ชื่อฉายาว่า J-10 ขึ้นมา เพราะฉะนั้นจีนก็เลยมีอาวุธยุทโธปกรณ์ และที่สำคัญที่สุด นโยบายของสี จิ้นผิง ได้เดินนโยบายตามผู้นำยุคที่ 1 ยุคที่ 2 ยุคที่ 3 ยุคที่ 4 สี จิ้นผิง ยุคที่ 5 จีนต้องเป็นหนึ่งเดียว โน่นนี่นั่น แล้วสุดท้าย สี จิ้นผิง ไปบวกว่าจีนต้องเป็นมหาอำนาจ เพราะฉะนั้นแล้ว ความรู้สึกของจีน ความรู้สึกของผู้นำจีน ความรู้สึกของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวัง อี้ กับรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนในยุคเหมา เจ๋อตง คือโจว เอินไหล ไม่เหมือนกัน

เพราะว่าหวัง อี้ และสี จิ้นผิง พูดบนพื้นฐานของความแข็งแกร่งของตัวเอง พูดบนพื้นฐานของความแข็งแกร่งของสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองมีอยู่ และไม่กลัวใคร ด้วยเหตุนี้ ลักษณะของจีนปีนี้ก็เลยเป็นลักษณะที่ค่อนข้างจะก้าวร้าว จีนจะเป็นคนที่ชอบสร้างอาคาร อย่างเช่น หมู่เกาะสแปรตลีย์ เถียงกันมากนัก จีนยกกองทัพเข้าไปเลย แล้วก็สร้างเกาะเทียมขึ้นมา ทำสนามบินให้เครื่องบินลง ยึดเอาไปเลย แล้วก็บอกว่าจีนเป็นเจ้าของเกาะนี้ แล้วจีนก็จะอ้างประวัติศาสตร์ยุคราชวงศ์หมิงบ้าง ยุคราชวงศ์ถังบ้าง คือเนื่องจากจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานเหลือเกิน เพราะฉะนั้นสิ่งที่จีนอ้างอาจจะเป็นทรัพย์สมบัติ หรืออาจจะเป็นพื้นที่ของประเทศจีนสมัยเมื่อ 1,500-2,000 ปีที่แล้ว ทุกคนฟังก็ใบรับประทาน เพราะว่าประวัติศาสตร์จีนเก่าที่สุด แต่เรื่องนี้ค่อยพูดกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วผมจะเอาเบื้องหลังของความขัดแย้งแต่ละความขัดแย้งมาเล่าให้ฟัง แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้จีนโดนกดดัน ประธานสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเป็นผู้หญิง เป็นคนเยอรมัน เริ่มออกมาแข็งกร้าวกับจีนแล้ว เริ่มออกมาโจมตีจีน ให้จีนถอนกฎหมายเรื่องความมั่นคงที่จีนจะใช้ในฮ่องกงออกไป แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าถ้าจีนไม่ถอนแล้วจะทำอย่างไร นี่ผมกำลังชี้ให้เห็นว่า ตอนนี้ ในขณะนี้ทางการทูตของจีนเริ่มจะไม่สะดวกสบาย และอีกอย่างหนึ่ง พวกอียูก็ไม่พอใจจีน เพราะเวลาเกิดโควิด-19 จีนก็ไปช่วยเฉพาะบางประเทศ อย่างเช่น สเปน อิตาลี ซึ่งไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอียู แล้วไปสร้างความแตกแยกให้กับประเทศว่า ดูสิ อียูเขาไม่ช่วยคุณ แต่จีนมาช่วยพวกคุณ ตอนนี้พวกนี้ก็เลยเช็กบิลกลับไปที่จีน เอาไว้รอ เรื่องต่างๆ พวกนี้ จริงๆ เป็นเรื่องพิเศษที่ผมอาจจะพูดในวันพิเศษเร็วๆ นี้ครับ

ท่านผู้ชมครับ ถ้าเราจะพูดถึงเรื่องการเมืองในระยะนี้ สิ่งที่คนสนใจมากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ แต่ถ้าจะพูดเรื่องนี้ ท่านผู้ชมครับ ผมเคยเรียนให้ทราบว่า อย่าไปมองเฉพาะตรงนี้ มันมีที่มาที่ไปของมัน และมันจะอธิบายความได้หลายอย่าง

โปรโมชันของรายการนี้ที่ท่านผู้ชมได้เห็นเมื่อวานนี้ ก็คือ "สนธิ เดินหาสี จิ้นผิง ของเมืองไทย" มีหรือไม่มี เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟัง

ท่านผู้ชมครับ การเมืองเมืองไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองในพรรคพลังประชารัฐนั้น มันมีที่มาที่ไป มันจำเป็นที่จะต้องย้อนไปนิดหนึ่ง ย้อนไปเลยถึงยุคสมัยที่มีการประท้วงของ กปปส. ซึ่งนำโดยแกนนำ กปปส.หลายคน ซึ่งมีทั้งคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ คุณวิทยา แก้วภราดัย ซึ่งตอนนี้ก็หายไปแล้ว แต่กลุ่มแกนนำที่มีอยู่ ที่กำลังมีอำนาจวาสนาจากผลพวงของการมาเป็นแกนนำ กปปส. ก็คือคุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณ คนหนึ่งล่ะ และก็มีอีกหลายคนที่ร่วมรัฐบาลชุดนี้


ในเวลานั้นท่านผู้ชมคงเข้าใจและเห็นด้วยกับผมว่า สาเหตุของการเริ่มต้นของการประท้วงนั้น เริ่มต้นประท้วงเพราะว่ารัฐบาลชุดคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังจะผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้สุดซอย ก็หมายความว่า จะนิรโทษกรรมไม่ใช่เฉพาะคนที่ประท้วง ไม่ว่าจะเสื้อแดง เสื้อเหลือง แต่จะรวมไปจนถึงคุณทักษิณ ชินวัตร ด้วย เหตุผลที่จะต้องรวมไปถึงคุณทักษิณ ชินวัตร ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว แต่ว่าเพื่อเตือนความจำของท่านผู้ชมที่้ยังไม่เข้าใจ ก็จะเล่าให้ฟังนิดหนึ่ง

ในขณะนั้นลักษณะการบริหารงานของพรรคตระกูลชินวัตร จะใช้เสียงข้างมากในสภาฯ และผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ทำกันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยคุณทักษิณยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของสำนักนายกฯ หรืออะไรก็ตาม หรือแม้กระทั่งการโอนที่ ซึ่งวันนั้นคุณทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ณ วันนี้ นามสกุล ณ ป้อมเพชร ต้องการจะโอนที่ดินผืนหนึ่ง แต่เนื่องจากว่าระยะเวลามันจะหมดสิทธิ์ที่จะได้ลดภาษีแล้ว ก็ให้มีการทำงานกันวันที่ 31 เดือนธันวาคม ซึ่งธรรมดาแล้วเป็นวันหยุด แต่วันนั้นประกาศเป็นวันทำงาน เพื่อที่จะได้เข้าไปโอนที่ดิน และเพื่อที่ตัวเองจะได้ประหยัดเรื่องเงินเรื่องทอง ลักษณะแบบนี้จะมีมาตลอด แล้วก็ลักษณะการบริหารงานของคุณทักษิณ ชินวัตร สมัยก่อน ต่อเนื่องมานั้น ก็คือว่า อะไรก็ตามที่ผิดกฎ ก็จะแก้กฎ อะไรก็ตามที่ผิดกฎหมาย ก็จะปรับปรุงเรื่องราวต่างๆ ของกฎหมาย


ด้วยเหตุนี้ ในช่วงแรกของการนิรโทษกรรม คุณวัฒนา เมืองสุข คุณวรชัย เหมะ ที่เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย อยู่ที่ จ.สมุทรปราการ ยังมาผมที่บ้านพระอาทิตย์ แล้วก็มาบอกว่า พี่สนธิครับ พี่สนธิคิดอย่างไรถ้าพวกผมจะผลักดันการนิรโทษกรรมการประท้วงของเสื้อแดงและเสื้อเหลือง การชุมนุมกัน การเดินขบวนกัน เพราะคนพวกนี้เป็นคนที่ต่อสู้ทางการเมือง และไม่เห็นพ้องต้องกันทางการเมือง แต่ไม่ได้มีความรุนแรงอะไรทั้งสิ้น ผมบอกว่า ได้ ผมพูดไปชัดเจนว่า ได้ ถ้าคุณจะทำเช่นนั้น ผมไม่ขัดข้อง แต่มีเงื่อนไขอยู่ 2 ข้อ ข้อแรก คือ จะไม่นิรโทษกรรมคนที่ต้องคดี 112 หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และข้อที่ 2 ใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมายอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายอาญาในเรื่องของการทำร้ายคน ฆ่าคน หรือเผาบ้านเผาเมือง ผมไม่เห็นด้วย ทั้งสองคนก็เห็นด้วย น่าจะทำได้ ก็กลับไปปรึกษาหารือกับพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น โดยที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และคุณยิ่งลักษณ์ก็บอกว่า เห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นเอาเลย

กำลังจะเดินเรื่องนี้ต่อไป เผอิญคุณเฉลิม อยู่บำรุง และท่าน ส.ส.ผู้ทรงเกียรติคนหนึ่งที่มหาสารคาม คุณประยุทธ์ ที่เขาเรียกว่าหัวเกี๋ยน ก็ได้ไอเดียขึ้นมา รีบบินไปหาทักษิณ ชินวัตร ที่ต่างประเทศ แล้วก็ไปเสนอทันทีว่า ท่าน ไหนๆ ก็จะออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แล้ว ก็ พ.ร.บ.ไปสุดซอยเลย เรามีเสียงข้างมากในสภาฯ นี่คือเผด็จการรัฐสภาอีกประเภทหนึ่ง เรามีเสียงข้างมากในสภาฯ เราผลักดันให้นิรโทษกรรมถึงคุณทักษิณ ได้หมดทุกคดีเลย ปรากฏว่าทักษิณเห็นด้วย ก็เลยบอกให้น้องสาว ในที่สุด พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ก็ออกมา ผมจำได้ว่าตอนนั้นที่ออกมา มีการติดต่อผมมาตลอดเวลาในขณะนั้นว่า คุณสนธิ คุณต้องออกมาคัดค้านในเรื่องนี้นะ คุณต้องนำประชาชนไปนะ เพื่อจะต่อสู้ในเรื่องนี้ ท่านผู้ชมครับ ผมเหนื่อย และผมเบื่อ ในขณะนั้น เพราะว่าผมขี้เกียจเป็นเครื่องมือทางการเมืองของหลายฝ่าย รวมทั้งฝ่ายทหารที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อจะได้เข้ามายึดอำนาจ ถ้าผมจำไม่ผิด ผมเป็นคนแรกในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ลาออกจากการเป็นแกนนำวันนั้น โดยผมไม่เอาแล้วปัญหาชาติบ้านเมือง ถ้าคุณไม่เห็นด้วย คุณจัดการกันเอง ในที่สุดแล้วทางสายพรรคประชาธิปัตย์ก็เห็นว่าไม่สามารถจะผลักดันผมออกไปได้ และอีกอย่างหนึ่งพวกแกนนำทั้งหลายก็เห็นด้วยกับผม ในที่สุดก็ลาออกกันหมดเลย ในที่สุดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เลยไม่มีแกนนำ ภาระก็เลยตกไปอยู่ที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เลยนำมวลชนแล้วก็ชูประเด็นการนิรโทษกรรมสุดซอย


ท่านผู้ชมครับ อารมณ์ของสังคมในขณะนี้เป็นอารมณ์ที่ร่วมกันหมด ไม่มีการแบ่งแยกสีอะไร พวกไหน แต่ว่าทุกคนออกมาเพื่อประท้วง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ก็คือว่าไม่เห็นด้วย ผู้พิพากษาซึ่งปกติแล้วจะเก็บเนื้อเก็บตัว ก็จะเป็นครั้งแรกที่ผู้พิพากษามีการเซ็นชื่อสนับสนุนว่าไม่เห็นด้วยกับการเอา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ในที่สุดก็เลยมีปรากฏการณ์ที่มีคนมาประท้วงเป็นล้านๆ คน จำนวนคนเป็นล้านๆ คน ที่ช่วงหลังแกนนำ กปปส.บางคนเอามาอ้างอิงนั้น อ้างอิงโดยไม่เข้าใจว่าในขณะนั้นเขาออกมากันด้วย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เท่านั้น

แต่พอประท้วงไปๆ มาๆ กลายเป็นมหกรรมการชุมนุมทางการเมืองทั่วกรุงเทพฯ เดี๋ยวตรงนั้นก็มีคนประท้วง ตรงนั้นก็มีคนชุมนุมกัน มีพวกไฮโซเอย พวกดาราเอย เอาอาหารการกินมาเลี้ยง เอาผ้ามาให้ มาจัดวงดนตรีเล็กๆ น้อยๆ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องของความสนุกสนานไป ไม่ได้จริงจังกับการเมือง


จนในที่สุดแกนนำ กปปส.ก็เลยตัดสินใจที่จะขยับขยายประเด็นของการต่อสู้เพื่อการนิรโทษกรรมทางการเมือง เพื่อผลักดันต่อไปเพื่อจะให้กลุ่มของตัวเองเข้าไปมีอำนาจในชาติบ้านเมือง โดยที่อ้างว่ามีประชาชนออกมาประท้วงกันเป็นล้านๆ คน

จนในที่สุดแล้วก็กลายเป็นสัจวาจาที่บรรดาแกนนำทั้งหลาย ซึ่งนำโดยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่า ไม่ได้นะ ถ้าจะมีการเลือกตั้ง เราต้องมีการปฏิรูปการเมืองก่อน ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหม เราต้องมีการปฏิรูปตำรวจ ตำรวจใช้ไม่ได้ เพราะตำรวจมาจับพวก กปปส.แล้ว ตำรวจรับใช้ผู้มีอำนาจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะผมเจอด้วยตัวผมเองมาตลอดเวลา แต่ไม่เป็นไร แต่นั่นคือสัจวาจาที่จะเรียกเสียงฮือฮาและเรียกเสียงสนับสนุนเห็นด้วย เห็นพ้องต้องกันว่าไหนๆ จะทำทั้งทีแล้ว ปฏิรูปการเมืองเสีย ปฏิรูปตำรวจเสีย ปฏิรูปโน่นปฏิรูปนี่


ตกลงมีหัวข้อปฏิรูปเต็มไปหมดเลย จนกระทั่งคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็เดินหน้าต่อไปถึงขนาดที่เรียกว่าจะหาช่องว่างในกฎหมายรัฐธรรมนูญในขณะนั้น โดยที่ต้องการจะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นไปกราบถวายบังคมทูลฯ ให้พระองค์ท่านใช้ รู้สึกจะมาตรา 7 มั้ง ที่จะมีการแต่งตั้งนายกฯ ขึ้นมาใหม่อีกคนหนึ่งเพื่อมารักษาการ หรือมาดูแลต่อไป แต่ว่าข้างบน พระองค์ท่านไม่เอาด้วย

จนกระทั่งในที่สุดแล้วมีข่าวลือออกมาว่าจะมีการปฏิวัติยึดอำนาจกันในขณะนั้น โดยที่จะเป็นกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่ง ยึดอำนาจ ก็ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้นซึ่งพยายามที่จะสร้างความสมดุลกัน ไม่ให้ทะเลาะกันไปมากกว่านี้ รักษาความสงบ โน่นนี่นั่น แต่ในขณะเดียวกันทางกลุ่มทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นก็ได้เตรียมการไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว


จนในที่สุดแล้วคุณทักษิณได้ข่าวมาว่าจะมีการยึดอำนาจ จตุพร พรหมพันธุ์ ก็รู้ว่าจะมีการยึดอำนาจ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็รู้ว่าจะมีการยึดอำนาจ มีผมคนเดียวที่ไม่รู้ เพราะผมไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับใครเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ถ้าเขาเรียกสลิ่ม สลิ่มก็คือพวก กปปส. ไม่ใช่ผม ผมไม่เกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นอย่าเอาผมเข้าไปอยู่ในหัวข้อของความเป็นสลิ่ม สลิ่มก็คือ กปปส. เพราะฉะนั้นแล้ว ณ วันนั้น เวลานั้น ทั้งหมดก็เห็นว่าถ้าอย่างนั้นให้ยุติการประท้วง ทหารออกมา เมื่อทหารออกมาเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาบนเงื่อนไขที่ว่า เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการนองเลือด จริงๆ แล้วท่านผู้ชมมามองย้อนหลังกลับไปวันนั้นนะ ไม่มีการนองเลือดหรอก ไม่มีหรอกครับ มีแต่การปะทะกันบ้าง แม้กระทั่งมือปืนป๊อปคอร์นที่ไปยิงคนโน้นคนนี้ มันก็เป็นคนๆ หนึ่งของ กปปส.ที่้เป็นคนจัดเข้ามาในการยิง ที่อยู่แถวๆ นั้น บ้านใครอยู่แถวๆ นั้น อยู่แถวๆ บางเขน ก็ไปดูแล้วกัน บ้านทรงไทย คนๆ นั้นล่ะเป็นคนที่จัดมือปืนป๊อปคอร์นออกมายิง เรื่องนี้ผมรู้หมด แต่ไม่เป็นไร ช่างมัน

พอผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว สิ่งที่ผมผิดหวังมากที่สุดก็คือว่า ผมเป็นคนที่เห็นว่าความยุ่งยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของคดีจำนำข้าว ซึ่งผมต่อสู้มาตลอด หมอวรงค์เป็นคนจุดประเด็น แล้วผมก็ช่วยสนับสนุนต่อสู้มา การจำนำข้าว




ผมเห็นว่าถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ได้แล้ว ประเทศไทยจะพินาศฉิบหายหมด ทหารจะต้องทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง เพราะว่าผมไปคิดถึงโมเดลของทหารโปรตุเกส

ทหารโปรตุเกส เวลานักการเมืองคอร์รัปชัน หรือทำมิดีมิร้ายกับชาติบ้านเมือง เขาจะออกมายึดอำนาจ พอยึดอำนาจแล้ว ไม่เกิน 3 เดือน 6 เดือน เขาจะกลับไปให้มีการเลือกตั้งต่อไปอีกครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็จะกลับไปที่กรมกอง ผมกลับมองอีกแบบหนึ่ง ผมมองว่าถ้าวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าคุณประยุทธ์คืนอำนาจที่เอามา กราบบังคมทูลฯ ให้พระองค์ท่านช่วยตั้งรัฐบาลที่เป็นกลางขึ้นมา เพราะทหารไม่ควรจะไปเข้าข้างใคร ทหารเห็นวุ่นวายแบบนี้ ยึดอำนาจมา ตั้งรัฐบาลที่เป็นกลาง แล้วมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจำนำข้าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโน้นเรื่องนี้ ปฏิรูปทางการเมือง ปฏิรูปตำรวจ ทุกอย่าง เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเมื่อพร้อมแล้วถึงจะเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง


แต่ไม่ใช่เช่นนั้น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อได้อำนาจมา ก็ต้องการอำนาจอยู่ในมือ และนั่นคือที่มาของคณะ คสช. ทั้งๆ ที่โดยหลักๆ แล้ว ผมไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่อำนาจจะตกอยู่ในมือคณะ คสช. น่าจะคืนอำนาจไปให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านจะตั้งใครมาเป็นนายกฯ ตั้ง ครม.อะไรขึ้นมา เพื่อมาประสานงาน เพราะว่าจะเป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง หรือเสื้อฟ้า ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยทั้งสิ้น เรารู้อยู่แล้วว่าข้อบกพร่องมีอยู่ตรงไหน ให้แก้ไป รักษาการ ดูแลชาติบ้านเมือง ร่างรัฐธรรมนูญ จะร่างไป 2-3 ปี ก็ไม่เป็นไร ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง และไม่ใช้อำนาจเด็ดขาด โดยใช้มาตรา 44 อย่างที่คณะ คสช.ได้ใช้มา แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ออกมาแล้ว

คสช.บริหารงานครั้งแรก ท่านผู้ชมต้องจำเอาไว้ว่าทหารไม่ใช่ผู้บริหาร แต่ว่าความที่ไม่ไว้วางใจ คณะรัฐมนตรีชุดแรกของ คสช.ล้วนแล้วแต่เป็นทหารทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีฯ แรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโน้นกระทรวงนี้ ทหารทั้งสิ้นเลย เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าจะพูดถึงความถดถอยทางเศรษฐกิจ ถดถอยทางธุรกิจแล้ว การปฏิวัติก็ทำให้เศรษฐกิจและธุรกิจถดถอย แต่การที่เอาทหารมานั่ง เอาเพื่อนพ้องน้องพี่เข้ามานั่ง ใครเป็นยศพลเอก ใครเป็นรุ่นเดียวกัน ได้รับรางวัลกันหมดทุกคน เพราะฉะนั้นแล้ว การเล่นพวกเล่นพ้องก็เริ่มขึ้นจากการซึ่ง คสช.เข้ามา อันนี้ไม่ต้องปฏิเสธกันเลยนะ แล้วข้อแรกที่เห็นได้ชัดว่า คสช.ทำผิดพลาด ก็คือว่า ยังหลงมะงุมะงาหรากับการปรองดอง ทุกวันนั้นหายใจเข้าเป็นสมานฉันท์ หายใจออกเป็นสมานฉันท์ ผมยังขำไม่หายเลย คนอย่างคุณจตุพร พรหมพันธุ์ จะต้องเดินขึ้นไปที่กองทัพ เพื่อไปประชุมกับฝ่ายตรงกันข้าม แล้วก็นั่งถกเถียงกัน โชคดีที่ผมไม่โดนเรียกตัวไป ผมเพียงแต่ถูกเรียกตัวไปกักไว้ที่ทหารช่างที่ราชบุรี 14 วัน แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ยุ่งกับผมอีกต่อไปเลยแม้แต่นิดเดียว เขาก็เลยเอาสมานฉันท์ระหว่างฝั่งที่ต่อต้านเสื้อแดง และเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วย ออกมา แล้วก็มานั่งพูดคุยกัน ประดิษฐ์คำพูดที่สวยหรูว่าเราตอนนี้รักกันแล้ว โน่นนี่นั่น ซึ่งผมดูแล้วผมจะอาเจียน และผมคิดว่าวันหนึ่งข้างหน้ามันก็จะเป็นอย่างนั้น ในที่สุดมันก็พิสูจน์ชัดว่าไม่ได้สมานฉันท์อะไรกันเลย ไม่มีการสมานฉันท์อะไรกันเลยแม้แต่นิดเดียว


ในขณะเดียวกัน หลังจากนั้นแล้ว ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ท่านก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะท่านเป็นนักเรียนเซนต์คาเบรียลรุ่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เลยเอาเข้ามา เพราะว่าท่านก็มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมที่จะดูแลทางเศรษฐกิจ แต่ท่านดูแลได้อยู่ปีเดียว พล.อ.ประยุทธ์ ก็เปลี่ยนจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร มาเป็น ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และทีมงาน และนั่นคือที่มาของการเริ่มต้นของกลุ่มกุมารทั้ง 4 ซึ่งประกอบด้วย สมคิด ประกอบด้วย สุวิทย์ เมษินทรีย์ ประกอบด้วยสนธิรัตน์ ประกอบด้วยคุณอุตตม เป็นทีมงานที่เข้ามาดูแลเรื่องเศรษฐกิจ


ท่านผู้ชมครับ จากวันนั้นเป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยในขณะนั้น จะดีอย่างไรหรือเลวอย่างไร ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าการทำงานในระยะเวลาขณะนั้นเป็นการทำงานที่มีเอกภาพมากระหว่างทีมเศรษฐกิจพวกนี้ อย่างน้อยที่สุด ข้อเสียของพวกเขาก็คือว่า เอาใจกลุ่มทุนมากจนเกินไป แต่มาในช่วงหลังเขาเริ่มรู้แล้วว่าการดำเนินนโยบายในช่วงต้นของเขาผิดพลาด เขาก็เลยเริ่มลงไปสู่รากหญ้ามากขึ้น แต่ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ การทำงานเป็นเอกภาพ กระทรวงพาณิชย์ สนธิรัตน์ดูแลอยู่ กระทรวงโน้นคนนี้ดูแลอยู่ กระทรวงคมนาคม คุณอาคม ซึ่งเป็นอดีตเลขาธิการสภาพัฒน์ ดูแลอยู่ ก็เป็นคนที่พูดภาษาเดียวกัน ก็สามารถที่จะผลักดันเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ จากเศรษฐกิจที่ใกล้จะติดลบก็ทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นมา 2-3 เปอร์เซ็นต์ มันก็ดีขึ้น ตัวเลขดัชนีต่างๆ ก็ดีขึ้นมาหมด ไม่ว่าดัชนีการแข่งขันของประเทศไทยที่มีต่อโลกก็สูงขึ้นกว่าเก่า ดัชนีของความนิยมชมชอบในการลงทุนประเทศไทยก็ติดอันดับต้นๆ จากแต่ก่อนอยู่อันดับท้ายๆ ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ เอาล่ะ

ในที่สุดแล้วอะไรเกิดขึ้น ความกดดันในระหว่างประเทศที่กดดันมาตลอดว่าประเทศไทยเมื่อไรจะมีการเลือกตั้ง ประเทศไทยเมื่อไรจะมีการเลือกตั้ง ก็เลยเกิดมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาทันที เพราะว่าถูกกดดันมาก จะมีการเลือกตั้งก็ต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้นมา รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มันมีที่มาที่ไปอย่างนี้ ท่านผู้ชม เนื่องจากว่าคณะ คสช. วันนี้พิสูจน์ชัดเจนแล้วท่านผู้ชม ไม่ต้องมาเถียงกัน ต้องการต่อยอดอำนาจ คือพูดง่ายๆ ว่าถ้ามีการเลือกตั้งแล้ว ใน คสช.ก็อยากจะมีอำนาจสืบต่อเนื่องไป จะออกแบบรัฐธรรมนูญอย่างไรล่ะที่จะให้ต่อยอดอำนาจได้ ตอนแรกก็ให้บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นคนร่างรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่าบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นคนที่ไม่ยอมทรยศต่อวิชาชีพ ก็เลยร่างรัฐธรรมนูญออกมาไม่เป็นที่พอใจของ คสช. ก็เลยมีการเปลี่ยนจากบวรศักดิ์ เป็นมีชัย ฤชุพันธุ์


มีชัย ฤชุพันธุ์ คือใคร ? มีชัย ฤชุพันธุ์ คือนักกฎหมายมือปืนรับจ้างที่พร้อมที่จะทำงานให้กับผู้มีอำนาจ ควบคู่กับวิษณุ เครืองาม ทั้งสองคนนี้สามารถที่จะเสกสรรปั้นแต่ง สามารถจะเอาข้อความทางกฎหมายมาสร้างความชอบธรรมในการกระทำอะไรก็ตามที่คิดว่าตัวเองจะกระทำ แล้วก็ให้ผู้ที่ว่าจ้าง หรือผู้ที่มีอำนาจสั่งการตัวเองนั้น ได้ประโยชน์ รัฐธรรมนูญ 2560 ก็เลยออกมาในทิศทางที่เห็นได้ชัดว่านี่คือการต่อยอดอำนาจ ก็คือว่าการที่มีการแต่งตั้ง ส.ว.250 คน และการแต่งตั้ง ส.ว.250 คน ก็เป็นการแต่งตั้ง ส.ว.ที่ไม่โปร่งใสเลยแม้แต่นิดเดียว เอาแต่พรรคพวกของตัวเอง ทหารทั้งนั้น 70-80 เปอร์เซ็นต์ เป็นทหาร พลเอกบ้าง เป็นตำรวจบ้าง เป็นโน่นเป็นนี่บ้าง ก็คือว่าพรรคพวกตัวเดียวกันที่จะมีอำนาจในการที่จะรักษาดุลยภาพของรัฐบาล และเป็นการเลือกนายกรัฐมนตรีไปด้วย


เพราะฉะนั้นแล้ว จากโครงสร้างที่เห็นในรัฐธรรมนูญ 2560 ก็พิสูจน์ชัดเจนว่า คสช.ต้องการสืบทอดอำนาจ ทั้งๆ ที่ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ในขณะนั้น ก็พยายามปฏิเสธว่าไม่มีการสืบทอดอำนาจ แต่โครงสร้างของรัฐธรรมนูญมันชี้ให้เห็นชัดว่าเป็นการต่อยอดอำนาจจริงๆ

ด้วยเหตุนี้แล้ว เมื่อรัฐธรรมนูญออกมาเสร็จเรียบร้อย ก็มี กกต.ตั้งขึ้นมา องค์กรอิสระตั้งขึ้นมา ก็เป็นคนของ คสช.ทั้งสิ้น ท่านผู้ชมครับ ไม่มีอะไรผิดปกติ สมัยที่คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตั้ง กกต.ของตัวเอง กกต.ที่ต้องเป็นองค์กรอิสระ ก็เป็น กกต.ที่รับใช้คุณทักษิณ ชินวัตร เช่นกัน อย่างเช่น พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าที่ไปติดคุกติดตะรางเพราะไปช่วยคุณทักษิณ ชินวัตร เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ ถ้า กกต.ชุดนี้เป็นคนของ คสซ. และผมเชื่อว่าเป็น แน่นอนที่สุด เป็นอย่างแน่นอนที่สุดเลย สำหรับผมแล้ว ผมไม่รู้สึกมีอะไรผิดปกติในเรื่องนี้

ในขณะเดียวกัน คสช. ในช่วงที่ยังไม่มีการร่างรัฐธรรมนูญ ก็เดินหน้าเพื่อที่จะเช็กบิลเรื่องเก่าๆ เดิมทีแล้วจะเน้นไปในเรื่องของการประนีประนอมและการปรองดองตลอดเวลา อะลุ้่อล่วย อะไรที่ละเลยกันได้ ช่วยเหลือกันได้ เพื่อความสมานฉันท์ มีอยู่คนเดียวที่ทำให้วงแตกและสมานฉันท์ไม่ได้ ก็คือ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ท่านไม่ยอม ท่านบอก ไม่ได้ ผิด ต้องเอาไปดำเนินคดี ผิด ต้องเอาไปดำเนินคดี ก็เลยเป็นภาวะการณ์ที่เกิดกระแสสังคมบีบ คสช.ให้เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณไพบูลย์ คุ้มฉายา ทำ


นั่นคือที่ทำให้บทบาทของ คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องแสดงจุดยืนออกมาอย่างชัดเจนว่าท่านก็ไม่เอาด้วยกับคนที่ทำผิดกฎหมายในอดีต ไม่ว่าจะเป็นคดีจำนำข้าว ไม่ว่าจะเป็นคดีโน้นคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็นคดี 112 โน่นนี่นั่น ท่านผู้ชมจำไว้ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา คือคนที่ทำให้กระบวนการสมานฉันท์และปรองดองที่เขาคิดว่าสำเร็จแล้ว มันไม่สำเร็จ ก็เพราะว่า พล.อ.ไพบูลย์ ไม่ยอมสมานฉันท์ด้วยกับสิ่งที่ทำผิดในอดีต เพราะท่านต้องการจะล้างพวกนี้ออกไป

เมื่อรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว และรัฐธรรมนูญออกมาเสริมโครงสร้างที่จะสามารถทำให้ต่อยอดอำนาจได้ สิ่งต่อมาก็คือว่า แล้วใครล่ะที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปหลังจากมีการเลือกตั้ง แน่นอนที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเต็งหนึ่ง เป็นแคนดิเดตหมายเลข 1 ถูกวางไว้บนแท่นเรียบร้อยแล้ว ว่านายกฯ คนต่อไปต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ว่าจู่ๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร เพราะท่านเป็นคนขี้อาย ท่านขี้เขิน ท่านไม่อยากแสดงออก ท่านไม่ต้องการที่จะไปสัมผัสกับการเมือง ท่านต้องการแสดงออกว่าท่านไม่ยุ่งการเมืองนะ (แต่ถ้าคุณจะเชิญผมมาเป็นนายกฯ ผมก็ยินดีรับนะ ถ้ามันโอเค) มันต้องมีหน่วยงานที่เชิญ

ทีนี้ ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ หรือก่อนที่จะมีหน่วยงานหรือองค์กรอะไรก็ตามที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะมีพวกหน้าม้า ท่านผู้ชมเห็นไหมสมัยก่อนเขามีปาหี่ คนที่ถือฆ้องก็ตีผ่างๆๆๆ เดี๋ยวเตรียมตัวดูนะ มีกายกรรมพิเศษ มีอยู่หลายคน แต่คนที่เป็นหัวหน้าปาหี่นั้น ชื่อ ไพบูลย์ นิติตะวัน


คนๆ นี้ก็จะออกมาชี้ชัดเจนเลยว่าผมเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ มากที่สุด โน่นนี่นั่น เพราะฉะนั้นผมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยเหตุนี้มันก็เลยมีขบวนการที่เริ่มขับเคลื่อนที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นนายกรัฐมนตรี เอ๊ะ แต่มันก็ขาดนะ ขาดอะไรท่านผู้ชม มันขาดองค์กรหลักที่จะมารับผิดชอบ และมันก็ต้องเป็นนักการเมือง และมันจะต้องเป็นพรรคการเมืองด้วย จู่ๆ จะมาเป็นองค์กรอิสระไม่ได้ ก็หันไปมองเทคโนแครต 4 คน มีใครล่ะ มีอุตตม มีสนธิรัตน์ มีสุวิทย์ เมษินทรีย์ มีกอบศักดิ์ ภูตระกูล และแน่นอนที่สุดคนที่อยู่เบื้องหลัง 4 คนนี้ก็คือ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

สมคิด ระยะแรกๆ ก็ถอยตัวออกมา ผมไม่เกี่ยวๆ แต่ก็เกี่ยวด้วยเต็มตัวในการที่จะตั้งพรรคพลังประชารัฐ ทำไมต้องเป็นพรรคพลังประชารัฐ เพราะว่าทีมงานสมคิดเป็นทีมงานที่ตั้งนโยบายประชารัฐขึ้นมา เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นทีมงานที่ตั้งขึ้นมาแล้ว ผลงานของประชารัฐเอามาคานกับลัทธิประชานิยมของทักษิณ คือประชารัฐเป็นการเอาทุนต่างๆ ลงไปสู่รากหญ้า ให้ไปร่วมกับรากหญ้า ไปสนับสนุนรากหญ้า ให้รากหญ้าเกิดได้ ตอนนั้นทฤษฎีประชารัฐก็เลยโด่งดัง ก็เลยมีความคิดที่จะต้องตั้งพลังประชารัฐ


ทีนี้กุมาร 4 คน ก็เป็นคนที่เขาเรียกว่า เทคโนแครต คือไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านการเมือง ไม่ได้เขี้ยวลากดินเหมือนหลายๆ คน และไม่มี ส.ส.อยู่ในมือ แต่เป็นเทคโนแครตจริงๆ และตั้งใจทำงาน ทีนี้เอาคน 4 คนนี้มาตั้งพรรคพลังประชารัฐ มันย่อมศักดิ์สิทธิ์มากกว่าเอาคนอย่างสมศักดิ์ เทพสุทิน มาตั้งพรรคพลังประชารัฐ หรือเอาคนอย่างวิรัช รัตนเศรษฐ มาตั้ง หรือเอาอดีตนักการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น


ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมมองย้อนหลังไปสมัยยุคทักษิณ ชินวัตร ตอนทักษิณ ชินวัตร กำลังเข้ามาเพื่อเสนอตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีเสียงฮือฮามาก ทุกคนชม ทุกคนชอบ ทุกคนบอกว่าเหมาะสมที่สุด และทุกคนก็มุ่งหวังที่จะสนับสนุนทักษิณ ชินวัตร แต่ปรากฏว่าในข้อเท็จจริงเสียงที่จะได้เข้ามานั้นมันต้องได้มาจาก ส.ส.ที่เขี้ยวลากดิน ไม่ใช่คนที่มองว่าเป็นคนดี ผมจะเลือกให้ ไม่ใช่ เพราะการเมืองก็คือการซื้อเสียงอยู่เหมือนเดิม นั่นคือที่เกิดของเสนาะ เทียนทอง ไง

เมื่อเสนาะ เทียนทอง เข้ามา เสนาะ เทียนทอง ก็เอากลุ่มนั้นเข้ามา เอากลุ่มนี้เข้ามา ก็คือย้อนยุค ทักษิณได้ใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ถูกร่างขึ้นมาเพื่อให้การเมืองมันดีขึ้น แต่เนื่องจากขบวนการเข้ามามีอำนาจในรัฐบาลนั้น ต้องมี ส.ส.อยู่ในมือมากพอ เกินครึ่ง เพราะฉะนั้นแล้ว ใช้วิธีเอาคนดีเข้าไปเสนอให้ประชาชนแล้ว ไม่มีใครเลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางอีสานและทางเหนือ ทางใต้ส่วนใหญ่ก็เป็นของพวกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นทางอีสานกับทางเหนือก็เลยต้องการคนที่พร้อมที่จะลงถึงลูกถึงคน ด้วยเหตุนี้ทักษิณเลยจำเป็นต้องใช้บริการของเสนาะ เทียนทอง ฉันใดฉันนั้น พลังประชารัฐก็เช่นกัน

เผอิญพลังประชารัฐมีนโยบายประชารัฐที่ได้ใจคนพอสมควร ก็เลยเอาคนหลายคนมาฮือฮาเข้ามา ทุกคนก็เริ่มเข้ามาร่วมกัน แล้วผสมกับ กปปส.ด้วยบางส่วน ก็เลยทำให้คนรู้สึกว่านี่เป็นคนดีนะ เคยอยู่ กปปส.นะ เคยร่วมประท้วงตรงนี้นะ คนนี้เป็นอย่างนี้นะ ก็เลยจะมีหน้าใหม่ๆ เข้ามา


แต่หน้าใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่อยู่ต่างจังหวัด ต่างจังหวัดเขาไม่ได้สนใจหรอกครับว่าคุณเป็น กปปส.หรือเปล่า เขาสนใจว่าคนๆ นี้เคยไปงานบวช เคยจ่ายเงินเท่านี้ หัวคะแนนบอกว่าให้เลือกคนนี้นะ เดี๋ยวจ่ายให้หัวละ 300 หัวละ 500 จ่ายเงินกันทั้งนั้น ไม่ว่าการเลือกตั้งที่ไหน ครั้งใดในต่างจังหวัด ไม่มีการไม่เสียเงิน และนี่คือสิ่งที่ผมกำลังจะเรียนท่านผู้ชมว่า ไม่มีการปฏิรูปการเมืองตามที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ พูดเลยแม้แต่นิดเดียว ในฐานะที่เป็นหัวหน้า กปปส. ไม่มีการปฏิรูปตำรวจด้วย ฉะนั้นสิ่งที่คุณสุเทพพูดนั้น เปรียบเสมือนลมที่ผายออกมา ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียว คือเป็นคนที่ผิดสัจวาจาทุกประการในการรับปากกับประชาชน เอาล่ะ ไม่เป็นไร เดินหน้ากันต่อไป

ในที่สุดแล้ว นักการเมืองในขณะนั้นว่างงานอยู่ คสช.เข้ามามีอำนาจ 3-4 ปี การเลือกตั้งมีเมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมีมาประมาณ 1 ปี เพราะฉะนั้นแล้ว 4-5 ปีที่ผ่านมา นักการเมืองตกงาน เงินทองไม่มี แต่อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วม และทุกคนก็ดูรู้ว่าเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร กลับมาไม่ได้ แล้วทุกคนก็บอบช้ำหมด จากคดีความต่างๆ ที่ คสช.เริ่มดำเนินการ เล่นงานคนนั้นบ้าง เล่นงานคนนี้บ้าง ปลดคนนี้ออกบ้าง ดำเนินคดีคนนี้ จนกระทั่งมีการใช้อำนาจตรงนี้ไปเจรจากับคนที่มีอำนาจ มีฐานเสียง ว่าถ้าคุณมาอยู่พลังประชารัฐแล้ว ฉันไม่ดำเนินคดีกับคุณ หลายๆ คนโดนเข้าแบบนี้ ก็เลยพร้อมที่จะย้ายไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ

ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมเป็นนักการเมือง อย่าว่าแต่นักการเมืองเลย ท่านผู้ชมเป็นประชาชนคนธรรมดาก็ดูออก ว่าด้วยรัฐธรรมนูญนี้ และด้วยพลังประชารัฐนี้ ถ้าพลังประชารัฐจะชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างที่ไม่ต้องเหนียมอาย ไม่เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ว่า ไม่ได้ ผมยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะผมยังยึดหลักประชาธิปไตยอยู่ ใครได้เสียงข้างมาก คนนั้นก็มีสิทธิ์ และผมก็ไม่สนับสนุนเรื่องพวกนี้ ถ้าท่านผู้ชมมีสติปัญญาและมองในข้อเท็จจริง ท่านผู้ชมก็จะรู้ว่าพรรคพลังประชารัฐถูกตั้งขึ้นมาเพื่อต่อยอดอำนาจให้ พล.อ.ประยุทธ์ กระโดดลงมาจากผู้ใช้อำนาจเผด็จการ มาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่ว่ามีผนังทองแดงกำแพงเหล็กกั้นเอาไว้ คือ ส.ว.อีก 250 คน เป็นตัวป้องกันภัยให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา


ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมดูออก ท่านผู้ชมคิดว่าคนอย่างสมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ดูไม่ออกหรือ คนอย่างวิรัช รัตนเศรษฐ ดูไม่ออกหรือ คนอย่างนักการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งหลายที่ๆ บ้านจะต้องปูด้วยหินแกรนิต เพราะถ้าปูด้วยไม้ ปูด้วยพรมแล้ว จะเป็นริ้วรอยหมด เขี้ยวจะลากไปหมด ทำไมจะดูไม่ออก ทุกคนก็ดูออกว่าพลังประชารัฐเป็นพรรคของลุงตู่นะ เมื่อเป็นของลุงตู่ ผมไปอยู่ด้วยๆๆ คนพวกนี้มีฤทธิ์ทั้งนั้น อย่างน้อยไม่ได้มีฤทธิ์ระดับชาติ แต่มีฤทธิ์ในระดับท้องถิ่น หยอดเงินเข้าไปสักก้อนหนึ่ง เดี๋ยวคนนี้ก็ได้รับเลือกเป็น ส.ส. เพราะฉะนั้นสิ่งที่พลังประชารัฐต้องการมากที่สุด ก็คือ ส.ส.จำนวนหนึ่ง และถ้าดีที่สุด คือจำนวนมากที่สุด เพื่อจะได้มีสิทธิ์ตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นมาเอง นั่นคือสิ่งที่มันเกิดขึ้น

แต่ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น เพราะกุมาร 4 คน อุตตม สนธิรัตน์ สุวิทย์ เมษินทรีย์ และกอบศักดิ์ โดยที่มีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อยู่ข้างหลัง เพื่อตั้งพรรคนี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นพรรคนี้ก็จะเหมือนพรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณยุคแรก ที่ภาพมันดี ที่เทคโนแครต 4 คน มาตั้งพรรค แล้วเป็นคนมีความรู้ มีการศึกษา มีความคิดที่ดี คุณอุตตมอธิบายถึงทิศทางที่จะไปทางโน้นทางนี้ คุณสนธิรัตน์พูดถึงว่าบ้านเราจะต้องค้าขายกันอย่างโน้นอย่างนี้ คุณสุวิทย์ เมษินทรีย์ ก็จะพูดถึงวิสัยทัศน์ที่จะมีอยู่ โอ๊ย มันดีไปหมด มันดีไปหมด แต่มันไม่มีเสียง ต้องเอาเสียงมาจากไหนล่ะ แต่ในที่สุดมันก็มีหัวหน้าพรรค มีเลขาธิการพรรคแล้ว เสียงมาเองโดยที่ไม่ต้องใช้ ในขณะนั้นทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ทั้ง พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ต้องการที่จะเข้ามาเกลือกกลั้ว ไม่ต้องการแสดงออกว่าตัวเองเป็นหัวหน้าพรรคหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง พล.อ.ประยุทธ์ นี่แน่นอน พล.อ.ประวิตร ท่านเก็บตัวเลย เพิ่งจะมาเผยตัวทีหลังเป็นประธานยุทธศาสตร์ และในที่สุดก็มาเผยตัวว่าเป็นหัวหน้าพรรค

เอาล่ะ ด้วยเหตุนี้ พรรคพลังประชารัฐพูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นที่รวมของเสือสิงห์กระทิงแรด เสือสิงห์กระทิงแรดจริงๆ และก็สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะการเล่นการเมืองแบบโบราณ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มี ใครจะพูดว่าตอนนี้ต้องสามัคคีกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน มันไม่ใช่ เมื่อใดก็ตามมีตำแหน่งแห่งที่ ทุกคนแย่งกันทึ่จะเป็นรัฐมนตรี เพราะการเป็นรัฐมนตรีคือแหล่งที่มาของเงินทอง เป็นแหล่งที่มาของเงินทองจริงๆ ด้วยเหตุนี้ ทั้งอุตตม ทั้งสนธิรัตน์ ทั้งสุวิทย์ ทั้งสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็เลยโดนมองด้วยความอิจฉาริษยา คุณสันติ พร้อมพัฒน์ ถึงกับให้สัมภาษณ์เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมาว่า เขาไม่ต้องการเป็นรัฐมนตรีฯ คลัง เขาเป็นแค่รัฐมนตรีช่วยเหมือนเดิมก็ได้ แต่ผมของานทำมากกว่าเก่าได้ไหม เหมือนกับว่าสมัยที่เป็นรัฐมนตรีช่วยอยู่ทุกวันนี้ งานไม่มีทำ อาจจะเป็นเพราะอุตตมไม่ให้ทำ อุตตมมีความไว้ใจในตัวเอง และไม่ค่อยไว้ใจสันติ พร้อมพัฒน์ เท่าไร ก็เลยไม่กล้าให้กรมกองต่างๆ ให้ทางคุณสันติ พร้อมพัฒน์ เพราะคุณสันติ พร้อมพัฒน์ นั้น ในทางลึกแล้วเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณหญิงอ้อ ณ ป้อมเพชร


ส่วนคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน กับคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 2 ส.นี้เป็นคนที่เดินเกมด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และเป็นคนที่ฉกฉวยโอกาสได้เก่งที่สุด ในยุคแรกของการตั้งพรรคพลังประชารัฐ 2 ส.นี้ ยังสงวนตัวอยู่ แต่ 2 ส. ไปเก็บ ส.ส.บางส่วนสิบกว่าคนเข้ามาอยู่ในกรุ๊ปของตัวเอง แต่ยังไม่ประกาศว่าจะเข้าร่วม รอจนกระทั่งทุกอย่างเริ่มจะเข้าที่เข้าทางแล้ว แน่นอนแล้ว พรรคพลังประชารัฐ มีทั้งวิรัช รัตนเศรษฐ เข้ามา มีคนโน้นคนนี้เข้ามา น่าจะมี ส.ส.มาก ก็เลยยก ส.ส.ของตัวเองเข้าไปเลย ตูมเลยทันที

ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าในช่วงการตั้งรัฐบาลครั้งแรกสุด จะเห็นได้ชัดว่ามีการแย่งชิงตำแหน่งกันอย่างดุเดือด เผ็ดมัน ถ้าท่านผู้ชมยังจำได้ คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน และคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ถึงกับมานั่งตั้งโต๊ะแถลงข่าวประกาศไม่พอใจ เหมือนกับว่าพร้อมจะถอนตัว เพราะตอนนั้นเสียงรัฐบาลยังปริ่มๆ จนกระทั่งมีการพูดเจรจากันภายใน 2 คนก็เลยอ่อนข้อลงมา ในทำนองว่า เอาเถอะ อยู่ต่อไปก่อนในตำแหน่งรัฐมนตรีที่คุณเป็น แล้วจะมีการปรับ ครม. แล้วค่อยพิจารณากันใหม่


สมศักดิ์นั้นอยากจะนั่งอยู่ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะว่าความมุ่งมั่น ความใฝ่ฝันที่อยากจะสั่งโคเข้ามา 1 ล้านตัว เพื่อแจกเกษตรกรยังอยู่ในใจ ทำไม่สำเร็จสักที ส่วนคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นั้นใฝ่ฝันอยากจะกลับไปอยู่ที่กระทรวงพลังงงาน เพราะคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นั้นเป็นม้าแก่ชำนาญทาง เคยนั่งอยู่ที่กระทรวงพลังงานมาก่อน และคนสุริยะก็เป็นคนที่ในกระทรวงพลังงานรู้ว่าเป็นคนที่เด็ดขาด มุ่งมั่น ถ้าอยากได้อะไรแล้วต้องได้ อะไรมาขวางก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วทั้งสองคนนี้ทุกวันนี้ ในช่วงที่ตั้งพรรคใหม่ๆ และตั้ง ครม.ครั้งใหม่ ก็แสดงเจตนารมณ์นี้ และในช่วงที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อไม่กี่อาทิตย์นี้ ก็ยังพูดว่าต้องให้สุริยะมานั่งที่พลังงาน คุณสมศักดิ์ปฏิเสธแล้วว่าไม่นั่งเกษตรฯ อยากจะอยู่ยุติธรรมเหมือนเดิม เพราะถ้าสุริยะนั่งพลังงานได้ คุณสมศักดิ์ก็ได้ประโยชน์ด้วย ไม่มีความจำเป็นต้องไปเกษตรฯ เห็นไหมครับ เขาเล่นเกมกัน เขาเล่นวิธีการต่างๆ นานา


เอาล่ะ ท่านผู้ชมตามมา ในพรรคพลังประชารัฐนั้นจะมีแก๊ง มีกลุ่ม หัวหน้าแก๊งก็จะเป็นคนจ่ายเงิน เงินเดือน ส.ส. 1 แสนบ้าง 2 แสนบ้าง สุดแล้วแต่ ส.ส.บางกลุ่มก็จะรับหลายทาง รับจากหัวหน้ากลุ่มนี้คนหนึ่ง รับจากหัวหน้ากลุ่มนี้อีกกลุ่มหนึ่ง แต่ละคนก็ต้องการจะวัดพลัง ผมมี ส.ส.อยู่ในมือ 30 คน ผมมีอยู่ 28 คน เผลอๆ 30 กับ 28 ที่มันรวมกันมีอยู่อย่างน้อยที่สุดผมว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมันรับทั้งสองคน ด้านหนึ่งก็บอกผมอยู่กับพี่ อีกด้านหนึ่ง คนละฝั่ง ผมก็อยู่กับพี่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นในพรรคพลังประชารัฐลักษณะพฤติกรรมก็ไม่ได้ต่างกว่าพรรคการเมืองน้ำเน่าในอดีตเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นคือแบ่งก๊ก แบ่งแก๊ง แบ่งกลุ่ม อาจจะมีการรวมตัวกันครั้งนี้ เพราะอาจจะต้องมีคนจ่ายเงินเพียงคนเดียว ก็คือใครก็ตามที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ให้ทุกคนสงบปากสงบคำ

ด้วยเหตุนี้ การที่จะปรับเปลี่ยน ครม. ก็เลยมีเสียงขึ้นมาต่างๆ นานาตลอดเวลา มีการกระแทกกระทั้น ถ้าอุตตมยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ สนธิรัตน์ยังเป็นเลขาธิการพรรคอยู่ การปรับเปลี่ยน ครม.ก็ลำบาก ก็ต้องใช้วิธีการที่จะบีบให้สองคนนี้ลาออก วิธีบีบให้ลาออกก็คือว่ายุบคณะกรรมการบริหาร ยื่นลาออกกันหมดทุกคน เมื่อคณะกรรมการบริหารหมดสภาพแล้ว หัวหน้าพรรคกับเลขาฯ พรรค ก็หมดสภาพไป


ท่านผู้ชมครับ สมคิด อุตตม สนธิรัตน์ สุวิทย์ เมษินทีย์ 4 คนนี้ 4 ตำแหน่ง 4 ตำแหน่งนี้ ถ้าเตะ 4 คนนี้ออกไปจากพรรคพลังประชารัฐได้ ออกจากรัฐบาลได้ 4 ตำแหน่งนี้มันช่างหอมหวลเหลือเกิน ที่สำคัญที่สุดก็คือว่างบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้าน ที่อยู่กระทรวงการคลังนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นขนมหวานที่ทุกคนอยากจะเข้ามาเกาะทั้งสิ้น ท่านผู้ชมเชื่อผมอย่างหนึ่งนะ นักการเมืองพวกนี้ มันเขี้ยว มันเก่ง มันเห็นแล้วล่ะ จมูกจะไวเรื่องดมกลิ่นเงิน จะรู้เลยว่าเงินอยู่ที่นี่ๆๆ แล้วจะมีวิธีบริหารจัดการของมันเอง และข้าราชการประจำก็เป็นอย่างนี้ ก็จะกลัวรัฐมนตรี ก็จะดำเนินการสั่งการเพื่อที่จะให้สิ่งที่รัฐมนตรีต้องการนั้นได้สมประสงค์ เพราะฉะนั้นแล้ว 4 คนนี้ก็เลยกลายเป็นเป้า ก็เลยมีข่าวตลอดเวลาว่าจะต้องยกออกทั้งทีม จะต้องปรับ ครม.อย่างแน่นอนที่สุด อย่างเร่งด่วน ข่าวจะปล่อยออกสู่หนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ ฉบับแรกคือไทยโพสต์ ฉบับที่ 2 คือสยามรัฐ เพราะสยามรัฐ เป็นของคุณชัช เตาปูน ชัชวาลย์ คงอุดม

คุณชัชวาลย์ ล่าสุดก็มาแล้ว ผมมี ส.ส.อยู่ในมือ 8 คนนะ ก็คือบอกให้รู้ว่าตอนนี้ผมมาร่วมแล้ว ถ้าคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ มี ส.ส.แค่ 4 คน 3 คน ยังให้คุณเทวัญ ลิปตพัลลภ น้องชาย เป็นรัฐมนตรีได้ ผมมีตั้ง 8 คน ผมควรจะได้ 2 คนไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือที่มาของการรวมบาททแล้วกระทืบสนธิรัตน์ อุตตม สุวิทย์ เมษินทรีย์ แล้วก็ไปถึงเสี่ยกวง ก็คือ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ท่านผู้ชมต้องเข้าใจนะ


ทีนี้ท่านนายกฯ ท่านทำอย่างไร ท่านนายกฯ ท่านก็กลุ้มใจ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านต้องกลุ้มใจ ท่านจะไม่กลุ้มใจได้อย่างไร เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านกำลังมองว่าในขณะนี้งบ 4 แสนล้าน ก็ยังไม่ออก หลายเรื่องมันส่งไปที่สภาพัฒน์ สภาพัฒน์กำลังพิจารณาอยู่ แล้วต้องส่งกลับไปที่กระทรวงการคลัง ถ้าพิจารณาผ่านแล้ว นี่คือรอบ 1 นะ ยังมีรอบ 2 งบ 4 แสนล้าน กระทรวงต่างๆ เสนอมาตอนนี้ ยอดเงิน 1 ล้านกว่าล้านบาท มากกว่า 4 แสนล้าน ไป 3 เท่าตัวแล้ว ต้องคัดออกๆๆ กระทรวงเกษตรฯ ก็ต้องการ กระทรวงอุตสาหกรรมก็ต้องการ กระทรวงโน้นกระทรวงนี้ต้องการทั้งนั้น เพราะมันเงินทองทั้งนั้นนี่ ตกไปที่กรมไหน หน่วยงานไหน รัฐมนตรีล้วงได้หมดทุกหน่วยงาน หมายถึงเงินทองที่จะไหลมาเทมา เพราะฉะนั้นแล้วใครก็ตามที่นั่งกระทรวงการคลัง และพลังงาน พลังงานไปคุม ปตท. ปตท.นี่ยอดขายปีหนึ่งล้านล้านบาท กำไรปีละ 1-2 แสนล้าน ถึงแม้ปีนี้จะกำไรน้อยลง แต่ว่า ปตท.คือแหล่งขุมเงินอันหนึ่งที่ทุกคนอยากจะนั่งทั้งสิ้น ว่ากันว่าคุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ก็อยากนั่งที่นี่ ข่าวนี้จะจริงหรือไม่จริงผมไม่รู้นะ แต่คุณสุริยะนี่แน่นอนที่สุด เช้าก็พลังงาน บ่ายก็พลังงาน กลางคืนก็พลังงาน นอนหลับก็ฝันถึงพลังงาน

ด้วยเหตุนี้ คุณสุริยะอาจจะไม่ได้พลังงานงวดนี้ แต่คุณสมศักดิ์ได้ยุติธรรมอยู่เหมือนเดิม ก็เพื่อที่จะชดเชยทดแทนที่คุณสุริยะไม่ได้พลังงาน ก็เลยให้เสี่ยแฮงค์ อนุชา นาคาศัย ได้เป็นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง ก็เท่ากับว่ากลุ่มสมศักดิ์ ซึ่งมี ส.ส.อยู่แค่ 10 กว่าคน ไม่ถึง 20 คน ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีตั้ง 3 ตำแหน่ง เพื่อเป็นการชดเชยกัน ท่านผู้ชม นี่คือการเมืองเมืองไทย


ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล ได้ทำโพลออกมาแล้วว่า ประชาชนชื่นชมใครบ้างในยุคโควิด-19 แน่นอนที่สุด นายกรัฐมนตรี คนที่สองที่ได้คะแนนสูงมาก 51 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีฯ พลังงาน ที่ดูแลประชาชน ลดค่าไฟให้ โน่นนี่นั่น คนที่สาม คือ อุตตม ได้คะแนน 43 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าสนธิรัตน์ 8 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นโหลยโท่ยหมดเลย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าคนที่ทำงานจริงและมีผลงานจริงๆ ก็คือบรรดา 4 กุมารนี่ล่ะ สุวิทย์ เมษินทรีย์ ก็กำลังร่างนโยบายเพื่อจ้างนักศึกษาตกงานประมาณ 2-3 แสนคน เพื่อมาทำงานโครงการพิเศษของกระทรวง อว. เพื่อสร้าง Big Data ขึ้นมา แล้วสร้างงานให้ทุกคนได้มีงานทำอย่างน้อย 1 ปี นี่มันเงินทองทั้งสิ้น ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดในขณะนี้


ในที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ก็เลยจำเป็นจะต้องออกมาสงบข่าวดรามา โดยบอกว่าอย่ามาดรามากัน ผมยังไม่มีการปรับ ครม. เริ่มจากผมยังไม่มีการปรับ ครม. จนกระทั่งมาล่าสุด ขยายความไปนิดหนึ่ง ต้องหลังผ่านงบประมาณไปก่อน คนก็เที่ยวพูดกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ นั้น มีความขัดแย้งกัน ท่านผู้ชมเชื่อผมสิ 3 คนนี้ไม่ได้ขัดแย้งกันหรอก ร่วมมือกัน เล่นกันคนละบท


เพราะฉะนั้นแล้ว ทั้ง 4 กุมาร ทั้งสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่รอดจนถึงการผ่านงบประมาณหรือเปล่า เพราะว่ากว่าจะผ่านงบประมาณ กว่าจะตั้งกรรมาธิการ กว่าจะผ่านวาระ 2 วาระ 3 ต้องมีปลายสิงหาคม ถึงต้นกันยายน คำถามก็คือว่า พวกที่เป็นเสือหิวทั้งหลายจะรอไหวไหม ก็ต้องมีการกดดัน ผมจะเสนอว่า ทั้งสนธิรัตน์ ทั้งอุตตม ทั้งสุวิทย์ ทั้งกอบศักดิ์ หรือใครก็ตามที่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เมื่อเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ เลขาธิการพรรคใหม่ พวกคุณลาออกเถอะ คุณอยู่ทำไม เพราะถ้าคุณอยู่ คุณต้องรับผิดชอบกับพรรค เมื่อพรรคมากระทืบคุณ คุณไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ถ้าคุณลาออก คุณเป็นเทคโนแครต คุณเป็นโควตานายกรัฐมนตรี คุณก็ทำงานไป นายกรัฐมนตรีจะให้ออกเมื่อไร คุณก็พร้อมจะออกได้ทุกเมื่อ วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ดีที่สุด ท่านผู้ชม นี่คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ผมพยายามอธิบายในภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุด

และตอนนี้ก็มีการเผยชื่อออกมาแล้ว มีใครบ้างที่อยากเป็นรัฐมนตรีคลัง มีการติดต่อคุณปรีดี ดาวฉาย ซึ่งเป็นนายกสมาคมธนาคารไทย มีคุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ทั้ง 2 สายนี้มาจากสายแบงก์กสิกรไทย คุณปรีดี และคุณประสารครับ อย่ามาเปลืองตัวเลย นี่มันกองขยะ คุณจะเข้ามาให้เหม็นทำไม คุณรับได้ไหมถ้าคุณมานั่งเป็นรัฐมนตรีฯ คลัง เสร็จเรียบร้อยแล้วคุณเจอพวกเขี้ยวลากดินกระแทกคุณ มาเรียกร้องให้คุณอนุมัติโครงการนี้ มาขอให้โครงการนี้ผมผ่าน ขอโน่นขอนี่ คุณรับไม่ได้หรอก เพราะคุณเป็นมืออาชีพ คุณเป็นคนดีเกินไปที่จะมาเกลือกกลั้วกับสิ่งเน่าเหม็นต่างๆ พวกนี้ ไม่คุ้มหรอก คุณมาเพื่ออะไร เพื่อชื่อเสียง เกียรติยศ ของวงศ์ตระกูล ? นี่มันไม่ใช่ชื่อเสียงและเกียรติยศของวงศ์ตระกูลนะ นี่มันคือความอัปยศของวงศ์ตระกูล ฉะนั้นคุณปรีดี กับคุณประสาร อย่ามาเลย เชื่อผม

อาจจะเหลือคุณไพรินทร์คนเดียว อดีตซีอีโอ ปตท. ซึ่งคุณไพรินทร์อยากเป็นรัฐมนตรี ถ้าจะพูดถึงนักวิ่งแล้ว นักวิ่ง 100 เมตร กับมาราธอน อยู่ในตัวคนเดียวคือคุณไพรินทร์ เข้าได้ทั้งหน้าบ้าน หลังบ้านหมดเลย แต่ไม่เป็นไร คุณไพรินทร์เลือกชีวิตที่จะเป็นอย่างนี้มา ก็เดินหน้าต่อไปอย่างนี้


ท่านผู้ชมครับ ที่ผมพูดมานี้ ผมพูดโดยข้อเท็จจริง สิ่งที่เกิดขึ้น และท่านผู้ชมคิดตามผม ท่านผู้ชมคิดว่าการเมืองเมืองไทยมันมีอนาคตหรือ แล้วมาดูอีกฟากหนึ่งของพรรคเพื่อไทย ก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเต็มที่ คุณสมศักดิ์ นี่เป็นกลุ่มวังน้ำยม แต่จริงๆ ขึ้นอยู่กับกลุ่มวังบัวบาน ก็คือเป็นเด็กของคุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ วิรัช รัตนเศรษฐ ก็คือเพื่อไทย สันติ พร้อมพัฒน์ ก็คือคุณหญิงอ้อ แล้วก็มี ส.ส.อีกหลายคนที่มาจากพรรคเพื่อไทย แล้วผูกพันกัน เขาถึงบอกว่าพวกนี้เป็นม้าไม้เมืองทรอย ท่านผู้ชมเข้าใจคำว่า "ม้าไม้เมืองทรอย" ไหม หลายท่านไม่เข้าใจ



สมัยก่อนมีเมืองทรอย แล้วปรากฏว่าทางกลุ่มประเทศต่างๆ กลุ่มหมู่เกาะต่างๆ ในประเทศกรีกไปโจมตีเมืองทรอย โจมตีไม่สำเร็จ เขาก็เลยคิดยุทธวิธีอย่างหนึ่ง คือสร้างม้าไม้ขึ้นมาตัวหนึ่ง ตัวเบ้อเริ่มเลย แล้วเอาทหารเข้าไปซ่อนในตัวม้าไม้ ทหารที่ป้องกันเมืองทรอยเปิดประตูมาเห็นม้าไม้ ตกใจ มีอะไร ก็ไปดู ไม่มีอันตราย เป็นแค่ม้าไม้ ก็เลยเข็นม้าไม้เข้าไปในเมือง พอตอนดึกๆ ใกล้เช้า ท้ายม้าไม้ คือก้นม้า ก็เลยเปิด พวกนี้ก็ลงมาจากม้าแล้วก็มาโจมตีและยึดเมืองทรอย




คอนเซปต์เดียวกัน ก็คือว่า จริงๆ ถ้าดูกันอย่างตรงไปตรงมาแล้ว พูดแบบไม่เกรงใจนะ คุณทักษิณ ถึงวันๆ หนึ่ง ก็พร้อมที่จะยึดพรรคพลังประชารัฐได้เช่นกัน เพราะคนพวกนี้ ในขณะนี้ ตอนนี้มันอยู่ในสภาวะที่แหลมคมมาก ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ อยากจะต่อยอดอำนาจ แต่ก็จำเป็นต้องพึ่งคนพวกนี้เพื่อเป็นเสียง คนพวกนี้ก็รู้ ทั้งสามคนคิดว่าจะคุมคนพวกนี้ได้ แต่คนพวกนี้ก็รู้ว่า ในขณะนี้ยังไม่พร้อม ก็ใช้วิธีรุกไปทีละคืบๆ ทำมาหากินก่อน เพราะเขารู้ว่าทั้งสามคนนี้จะไม่อยู่ค้ำฟ้า ตอนนี้เก็บเงินเก็บทองมาก่อน ต่อรองเพื่อให้ได้ตำแหน่ง แล้วเอาตำแหน่งเก็บเงินเก็บทอง แล้วสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้นมา


ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามที่จะพูดว่าต้องการจะทำงานเพื่อส่วนรวม ต้องการทำงานเพื่อชาติด้วยความซื่อสัตย์ทุกอย่าง ไม่เล่นพวกเล่นพ้อง ท่านผู้ชมคิดว่าในภาพที่ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามสร้าง ความสำเร็จของโควิด-19 ได้คะแนนเสียงอย่างสูง แล้วมาเจอการทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขี้ยวลากดินในพรรคพลังประชารัฐ ทำให้สภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ตอนนี้ ความสำเร็จของโควิด-19 แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หรือพูดง่ายๆ ผมคิดว่าคะแนนเสียงของท่านตกต่ำมาก ผมเชื่อว่าท่านเป็นคนที่ดูโซเชียลมีเดีย ท่านลองไปดูสิครับ ความเห็นของประชาชน ผมน่าจะพูดได้ว่า น่าจะร้อยทั้งร้อย ที่ก่นด่าพรรคพลังประชารัฐ และท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่ใช้พรรคพลังประชารัฐเป็นฐานเสียงของท่าน ท่านมีความสุขหรือ พล.อ.ประยุทธ์ ครับ ผมเรียนท่านว่า 4 คนนี้ถ้าออกเมื่อไร เขาพร้อมจะออกได้ทุกเมื่อ ผมเชื่อว่าเขาพร้อมจะออก และวันนั้นท่านจะตั้งใครก็ตามเข้ามา ท่านจะรู้เลยว่านี่คือการเมืองยุคน้ำเน่าที่เน่าที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ไม่เคยมียุคไหนเน่าเท่ายุคนี้นะครับ พล.อ.ประยุทธ์

คำถามคือ ท่านกล้าพอที่จะลงมาเป็นผู้นำพรรคได้หรือเปล่า หรือท่านจะยังลอยตัวอยู่ต่อไป ถ้าท่านยังจะลอยตัวอยู่ต่อไป โดยท่านใช้ทฤษฎีของจีน ผมรู้เลยว่าพวกทหารคิดอย่างไร พวกทหารมองประเทศจีน มองมาตรงๆ เลยว่าประเทศจีนดี ใช้อำนาจเผด็จการคุมประชาชนอยู่ แก้ปัญหาได้หมดทุกอย่าง ทุกคนมองสี จิ้นผิง ว่าเป็นตัวอย่าง เป็น role model


ท่านนายกฯ ครับ สี จิ้นผิง ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในรอบ 4 ปี เอาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ติดคุกไปแล้ว 1.4 ล้านคน เพราะข้อหาคอร์รัปชัน และผู้ใหญ่ในระดับรัฐมนตรีติดคุกไป 200 กว่าคน ท่านนายกฯ มีบ้างไหมในยุคท่าน ? ไม่มีครับ ไม่มี ยังเป็นการเล่นพวกเล่นพ้องอยู่เหมือนเดิม ยังเป็นการถ้าใครเป็นศัตรูก็เล่นงานศัตรู ถ้าใครไม่เห็นด้วยกับฉัน ฉันก็จัดการ ถ้าใครเห็นด้วยก็มาเป็นพวกกัน

ท่านนายกฯ ครับ ประเทศจีนทำได้ และมีสี จิ้นผิง แต่ประเทศไทยยังหาสี จิ้นผิง ไม่ได้ โอกาสที่จะมีสี จิ้นผิง ไม่มีใคร เมื่อใดก็ตาม ถ้ายังเล่นพวกเล่นพ้อง ถ้ายังแอบตกลง มีผลประโยชน์กับกลุ่มทุนบางกลุ่ม และอย่าไปคิดว่าความลับมีในโลก ไม่มีในโลก ฟ้ามีตา ตกลงอะไรกันไว้แต่ละเรื่องๆ ช่วยเหลืออะไรกันไว้แต่ละเรื่องๆ ผมเป็นกังวลว่าวันหนึ่งพวกท่านเดินลงจากเวทีแล้ว พวกท่านจะอยู่ต่อไปอย่างไร ท่านก็จะไม่สามารถสืบทอดอำนาจไปจนกระทั่งแก่เหง้า มีโพสต์อยู่ใน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เรื่อง พล.อ.สุจินดา คราประยูร อายุ 86 ท่านไปงานศพเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ของ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี ท่านเดินยังเดินแทบไม่ได้เลย ต้องมีคนประคอง


ทุกอย่างมันเป็นเรื่องสมมุติ ผมคิดว่าถ้าท่านอยากจะเป็นสี จิ้นผิง ท่านต้องปรับปรุงตัวท่านเองทันทีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนพ้องน้องพี่ ท่านต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าท่านยังกังวลเพื่อนพ้องน้องพี่อยู่ ท่านแก้ปัญหาประเทศชาติไม่ได้ และท่านจะไม่มีวันทำตามที่ท่านสัญญากับประชาชน ถ้ามีโควิด-19 ระลอกสองเกิดขึ้นมา ผมเรียนให้ทราบว่าเราตกนรกแน่นอน ไม่มีใครเอาอยู่หรอกครับ และผมเชื่อว่าคนที่ท่านจะเชิญมาเป็นรัฐมนตรีคลังแทนคนพวกนี้ คงจะหายาก เขาคงจะคิดหน้าคิดหลัง คิดหนักมาก เพราะว่าในสภาวะการณ์เดินเข้าถ้ำเสือ หรือตกลงไปในหลุมงูเห่า งูเต็มไปหมดเลย เผลอนิดเดียวก็โดนฉกกัด ไม่มีใครมาหรอกครับท่านนายกฯ

4 คนนี้เปลืองตัวในการที่จะออกมาตั้งพรรคให้ท่าน แล้วเชิญท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรี แล้ว 4 คนนี้ก็โดนพลพรรคในพรรคพลังประชารัฐรุมกัด จนกระทั่ง 4 คนนี้ตัดสินใจ ผมเชื่อว่าเขาต้องตัดสินใจ พร้อมที่จะไปทุกเมื่อ ท่านจะให้เขาไปเมื่อไร เขาไปได้ทันทีเลย เขาไม่แคร์หรอกครับ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าใครก็ตามเข้ามา จะต้องพังหมด ประเทศไทยในขณะนี้อยู่ในช่วงวิกฤตจริงๆ ครึ่งปีหลังนี้ กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม จะเป็นช่วงที่นรกมีจริงครับท่านนายกฯ ผมเรียนท่านให้ทราบ


มีคนถามว่า คุณสนธิ เมืองไทยมีสี จิ้นผิง ไหม ? ผมบอก ผมยังหาไม่เจอ ถึงมีก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่า ผมจะเรียนให้ทราบนิดหนึ่ง ประเทศจีนเขาสร้างผู้นำอย่างไร เขาใช้พรรคคอมมิวนิสต์คุมประเทศ และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ทุกคนกว่าจะเจริญเติบโตมาเป็นผู้นำท้องถิ่น มาเป็นผู้นำชาติได้ เขาต้องดำรงตำแหน่งจากข้างล่างขึ้นมาเรื่อยๆ ฝึกฝนการงาน ปกครองจากตำบลเล็กๆ ไปอำเภอเล็กๆ จากอำเภอเล็กๆ ไปอำเภอใหญ่ จากอำเภอใหญ่ไปเป็นนายกเทศมนตรี จากนายกเทศมนตรีไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด จากผู้ว่าราชการจังหวัดไปเป็นผู้ว่าการมณฑล แล้วก็ไปเป็นสมาชิกพรรคที่โน่นที่นี่ และในที่สุดก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี เขาฝึกคนของเขาให้เป็นผู้นำในทุกระดับ ในเมืองไทยไม่มี ท่านก็เป็นผู้นำของท่าน ท่านนายกฯ ท่านเป็นผู้นำ แต่ท่านเป็นผู้นำทางการทหาร ท่านเสียเวลา 2 ปีแรกในการตั้งทหารเพื่อนพ้องน้องพี่ จนวันนี้รัฐวิสาหกิจทุกรัฐวิสาหกิจ ไปเช็กดูได้ ทหารทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้วท่านจะแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองอย่างไร ท่านเป็นคนดี แต่ท่านต้องทำความดีให้ปรากฏด้วยการกระทำ โดยไม่เข้าข้างใครทั้งสิ้น ถ้าท่านทำเช่นนั้นได้ ผมอาจจะเห็นแวว สี จิ้นผิง ในตัวท่าน ไม่อย่างนั้นแล้วผมยังมองไม่เห็นแววสี จิ้นผิง เลย ท่านนายกฯ ครับ


ท่านผู้ชมครับ นี่้คือลักษณะการเมือง ณ ปัจจุบัน ท่านผู้ชมถามผมว่า แล้วการเมืองจะพัฒนาต่อไปอย่างไร ? ตราบใดที่ยังมี ส.ว. 250 เสียงอยู่ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านก็ยังเป็นนายกฯ ต่อไปเหมือนเดิม แต่ท่านจะเป็นไปในท่ามกลางของความสุขความสมหวังของประชาชน หรือความล่มสลายของสังคมล่ะครับ ถ้าความล่มสลายของสังคมเกิดขึ้น ผมว่าท่านนายกฯ ก็เอาไม่อยู่ กองทัพก็เอาไม่อยู่ นี่ผมพูดด้วยความจริงใจ

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็เป็นระยะเวลาที่พอสมควรแล้ว ถึงแม้จะมีหลายเรื่องที่ผมยังคั่งค้างอยู่และจะพูดต่อไป แต่ไม่เป็นไร 1 ชั่วโมงกับ 30 กว่านาที ผมคิดว่าพอสมควรแล้ว เอาไว้อาทิตย์หน้าเราค่อยพบกันใหม่ สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น