xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ทำไมอัยการต้องมีเจ้าภาพ?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สนธิ”ชี้สาเหตุสำคัญ “บอส วรยุทธ” หลุดคดีขับรถชนตำรวจตาย เพราะ“อัยการ”ถูกกำหนดให้เป็นหน่วยงานอิสระมาตั้งแต่ รธน.2550 สามารถใช้ดุลพินิจเองฟ้องไม่ฟ้องคดีได้ตามใจชอบ แม้ผลสอบของคณะกรรมการชุด “วิชา มหาคุณ”ออกมา นายกฯ ก็จะทำอะไรไม่ได้ แนะควรมีเจ้าภาพ โดยให้อัยการขึ้นต่อ รมว.ยุติธรรม อาจทำให้อัยการตกอยู่ใต้อิทธิพลการเมือง แต่นักการเมืองก็กลัวแรงกดดันจากประชาชน พร้อมวิเคราะห์ราคาทองคำพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะนักลงทุนหวั่นวิตกว่าจะเกิดสงครามจีน-สหรัฐฯ หลังจาก“ทรัมป์”ยั่วจีนหนักขึ้น เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนอเมริกันจากความล้มเหลวในการควบคุมโรคโควิด-19 ที่จะทำให้ทรัมป์แพ้เลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. เวลา 09.30 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” และช่องยูทูป Sondhitalk โดยวันนี้ตั้งคำถามไปยังอัยการสำหรับคดี บอส ทายาทกระทิงแดง เมื่อดูจากเรื่องต่างๆ แล้ว ทั้งเรื่องความเร็ว สิ่งเสพติด นอกจากตำรวจในช่วงแรกก็มีอัยการที่เป็นตัวแปรสำคัญในการสั่งไม่ฟ้อง และไม่ดำเนินคดี อัยการควรที่จะเป็นองค์กรอิสระหรือไม่ เพราะอะไรมาดูกัน

เรื่องที่แฟนๆ เรียกร้องคือราคาทองคำตอนนี้ขึ้นสูงมาก มีปัจจัยอะไร เงินดอลลาร์สหรัฐจะเป็นเเบงก์กงเต็กหรือไม่ มาดูป่าทั้งป่ากันว่าเกิดอะไรขึ้น

แถมเรื่อง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ที่หลายคนถามมาว่าเบื้องลึกคืออะไรที่ย้ายกลับมาที่สำนักงานตำรวจเเห่งชาติ จะมาเป็น ผบ.ตร.คนต่อไปมั้ย

คำต่อคำ SONDHI TALK [31 ก.ค. 63] : ทำไมอัยการต้องมีเจ้าภาพ


สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 วันนี้เราเปลี่ยนสถานที่ในการถ่ายทำสักนิด ห้องนี้เป็นห้องประชุมใหญ่ ค่อนข้างที่จะกว้าง ก็รู้สึกโล่งดี ขาดอยู่อย่างเดียว ไม่มีองค์หลวงตามหาบัวอยู่ข้างหลังผม ก็เหมือนเดิม ขอแนะนำวิธีการเข้าชมรายการนี้ ซึ่งมีช่องทางหลายช่องทาง ขอเสียเวลาสักนิดหนึ่งสำหรับท่านผู้ชมที่เพิ่งจะเข้ามา และไม่ค่อยจะรู้เรื่องวิธีการเข้าชมนะครับ


วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"


สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ

สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป


เมื่อวานซืนนี้ วันพุธที่ 29 ตอนเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ตอนเช้า มีคุณวิชาญ ชูเชิด ซึ่งเป็นจำเลยในคดีที่ผมฟ้องหมิ่นประมาทที่ศาลพระโขนง และก็จะมีการไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 17 สิงหาคม เดือนหน้า โดยที่คุณวิชาญนั้นได้ล่วงละเมิดผมโดยพูดจาหยาบคายกับผม เมื่อวานนี้ คุณวิชาญมากับพี่ชายคุณวิชาญ และภรรยาคุณวิชาญ เพื่อมาขอขมาผม คุณวิชาญ อายุ 47 ปี เป็นคนทำมาหากินคนหนึ่ง เป็นวินมอเตอร์ไซค์ เป็นเพียงแต่ว่าบรรลุแก่โทสะ ด้วยอารมณ์ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ก็อาละวาดใส่ด้วยคำพูดซึ่งไม่เหมาะไม่สม คุณวิชาญมา ก็ต้องการที่จะมาขอขมาผม และขอให้ผมถอนฟ้อง หลายๆ ท่านผู้ชมก็คิดว่าผมไม่ควรจะถอนฟ้อง แต่ผมเห็นคุณวิชาญแล้ว ผมสงสารคุณวิชาญ เพระถ้าคุณวิชาญมีอาชีพเป็นวินมอเตอร์ไซค์ อธิบายได้พอสมควรว่าคนที่ทำงานประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วมีอารมณ์อะไรก็จะพูดออกไปตามที่ตัวเองต้องการ ก็ระบายลงไปในเฟซบุ๊ก จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่เป็นไร ผมก็คิดว่าทำบุญทำทานกันสักครั้งก็แล้วกัน ผมก็อธิบายให้คุณวิชาญฟังว่าที่ว่าผมว่าเป็นสัตว์นรกนั้น ผมจะเป็นสัตว์นรกหรือเปล่า ก็อธิบายให้ฟัง คุณวิชาญก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ก็เหมือนกับอึ้ง พูดไม่ออก จะไปพูดออกไปได้อย่างไร ในเมื่อแกทำผิด แกมาขอโทษผม ผมก็เลยยกโทษให้ไป


มาพร้อมกันเลย พร้อมกับซื้อข้าวซื้อของมาให้ผม แต่ผมไม่รับ ผมบอกว่าอย่าซื้ออะไรมาให้ผม แล้วผมก็ให้แก้วกลับไปใบหนึ่ง มีท่านผู้ชมอยู่เยอะเลยที่คอมเมนต์มาบอกว่า อีกหน่อยก็มีคนมาด่าผมมากขึ้น แล้วก็มาขอขมา แล้วก็ได้แก้วกลับไป ไม่ใช่ครับ ผมให้แก้วคุณวิชาญกลับไปเพื่อให้คุณวิชาญเอาไปใช้ และให้ระลึกเสมอว่า อันนี้คือของที่ระลึกในการที่ผมให้อภัย แก้วนั้นคือแก้ว SONDHI TALK เพราะฉะนั้นแล้วในอนาคตคุณวิชาญจะทำอะไรก็ตาม จะใช้อารมณ์กับใครก็ตาม ให้นึกถึงแก้วใบนี้ ผมคิดว่าทำทานไปแล้วกัน การให้อภัยเป็นเรื่องที่ใหญ่ แต่ว่าไม่ได้แปลว่าผมจะให้อภัยทุกคนนะครับ ผมคิดว่าโดยพื้นฐานวิชาชีพคุณวิชาญแล้ว ผมดูแล้วผมสงสาร และจริงๆ แล้วผมคิดว่าเขารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งเป็นคำพูดที่ทุกคนชอบใช้ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่รายนี้เขาน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะว่าเขาอยู่ในแวดวงที่ต้องใช้คำหยาบตลอดเวลา เพราะโดยอาชีพวินมอเตอร์ไซค์แล้ว บางทีอยู่กับพรรคพวกเพื่อนฝูงก็จะมีคำสบถสาบานชื่อของสัตว์เลื้อยคลานออกมาเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นแล้วก็เป็นปกติธรรมดาเหมือนกันที่เขาอาจจะมีอะไรที่ไม่พอใจผม เขาก็พิมพ์เข้าไป แล้วก็ว่า ก็ถือว่าจบลงได้ด้วยดีนะครับ เพราะฉะนั้นแล้วผมก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นมาตรฐานที่หมายความว่าใครก็ตามที่จะขอติดต่อเข้ามาขอขมาแล้วผมจะรับ ถ้าผมรับให้มาพบผมได้ ก็แสดงว่าเขาน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ผมคิดว่าคนๆ นี้น่าจะให้อภัยได้


ก็ยังมีอีกหลายคดีนะครับท่านผู้ชม มีคดีอีกคดีหนึ่งอยู่ที่พระโขนง มีคดีอีกคนหนึ่งอยู่ที่ จ.อุดรธานี ส่วนคนที่หยาบสุดๆ เลยก็คงจะมาขอขมาผมไม่ได้นะครับ ก็คงจะต้องถึงที่สุดไปก่อน

วันนี้ผมจะพูดเรื่องหลายเรื่อง แต่ว่าเอาเป็นทีละเรื่อง ผมไม่บอกก่อนแล้วกัน เอาเป็นว่าที่แน่ๆ จะพูดเรื่องของคุณวรยุทธ อยู่วิทยา จากการที่ผมได้พูดถึงเรื่องคุณวรยุทธ อยู่วิทยา หรือที่ชื่อเล่นว่าบอส เมื่อวันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม ผมไลฟ์สดประมาณ 10 โมงเช้า มีคนที่เข้ามาดูไลฟ์สด ณ เวลานั้น ทั้งยูทูป และทั้งเฟซบุ๊ก 48,000 ท่าน ที่เข้ามาดูสดๆ เลย จนถึงวันนี้แล้ว ประมาณ 2 วันที่ผ่านมา ก็คือวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ 4 วันที่ผ่านมา ยอดคนที่เข้ามาดูรายการนี้ยอดวิวก็ประมาณ 2 ล้านกว่าคน เกือบ 3 ล้านคน และผมก็ดีใจที่มีการให้ความสนใจกับเรื่องนี้ของสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือว่าสถานีโทรทัศน์ ทั้งๆ ที่เมื่อวันที่ 27 คือวันจันทร์นั้น สถานีโทรทัศน์ส่วนใหญ่จะไม่สนใจ แต่หลังจากไลฟ์สดออกไปแล้ว ท่าทางจะเห็นว่ามีประเด็นหลายประเด็น ก็เลยว่ากันมา


วันนี้ผมจะมาสรุป เหมือนกับเป็นฟินาเลให้กับท่านผู้ชมฟังว่า เรื่องราวมันสั้นๆ อธิบายให้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือหลักๆ แล้วก็คือว่า ประมาณปี 2555 กันยายน คุณวรยุทธ ขับรถแล้วก็ไปเกิดอุบัติเหตุ แล้วก็ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ แล้วก็ลาก ด.ต.วิเชียร ไป 200 เมตร แล้วเสียชีวิต ประเด็นที่ต้องเริ่มกันก่อนตั้งแต่จุดแรก เพื่อที่จะให้ท่านผู้ชมเข้าใจ เพื่อตามไปจุดที่ 2 จุดที่ 3 ผมเป็นไทม์ไลน์ง่ายๆ ท่านผู้ชมฟังแล้วอธิบายให้คนอื่นฟังได้ คือเมื่อชนแล้ว คุณวรยุทธก็หลบหนีเข้าไปในบ้าน แล้วก็มีสารวัตรป้องกันปราบปรามคนหนึ่ง หรือที่เขาเรียกว่า สวป. สน.ทองหล่อ ซึ่งน่าจะสนิทสนมกับครอบครัวอยู่วิทยา เพราะว่าอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ก็พยายามที่จะเอาพ่อบ้านของคุณวรยุทธ เอามารับผิดแทนที่โรงพัก แต่ก็ปรากฏว่าตำรวจจับได้ว่าไม่ใช่ตัวจริง ผลก็เกิดขึ้น ทำให้พ่อบ้านคนนี้ถูกข้อหาแจ้งความเท็จ ให้การเท็จ ส่วนท่านตำรวจที่เป็นสารวัตรปราบปรามนั้น ก็ถูกย้ายออกไปทันที


วันนั้นตำรวจก็มาทำคดี ก็ดู พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ณ เวลานั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ และอยู่ในยุคที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็สรุปสำนวนคดีออกมาภายใน 6 เดือน ก็ส่งสำนวนคดีนี้ไปให้อัยการ ระหว่างที่ส่งไปให้อัยการ สำนวนคดีที่สรุปไปมีข้อบกพร่องหลายประการ ประการแรกก็คือว่า ไม่มีการพิสูจน์ชัดว่าเมาแล้วขับหรือเปล่า หรือขับอยู่ภายใต้สติสัมปชัญญะอันสมบูรณ์หรือไม่ ตัดประเด็นนี้ทิ้งไปเลย โดยที่ไม่แจ้งข้อกล่าวหานี้ ทั้งๆ ที่ผลรายงานของโรงพยาบาลรามาธิบดีพิสูจน์แล้วว่า ตัวของคุณวรยุทธ อยู่วิทยา นั้นมีสารเสพติดประเภทโคเคนอยู่ ซึ่งก็เชื่อได้ว่าคุณวรยุทธน่าจะเมายาโคเคน ยาเสพติด แต่เนื่องจากว่าตำรวจช่วยคุณวรยุทธในตอนนั้น ก็เลยตัดประเด็นนี้ทิ้งไปเลย สาเหตุที่ต้องตัดประเด็นนี้ทิ้งไปเพราะว่าเป็นการวางแผนของฝ่ายกฎหมายของคุณวรยุทธ ว่าถ้าตัดอันนี้ทิ้งไปแล้ว โอกาสที่จะโดนข้อหาเมาแล้วขับแล้วทำให้คนตายเหลือแต่แค่ประมาทแล้วทำให้คนตาย ผมนึกไม่ถึงว่ามันคิดกันได้อย่างไร เพื่อที่จะแก้ข้อกล่าวหาของนายบอสว่าทำไมมันเมา แล้วทำไมมันมีสารโคเคน นายตำรวจคนนี้มาชี้แจงว่า ไม่แย้งคำสั่งอัยการที่ไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ว่าพนักงานสอบสวนให้ข้อมูลว่า ได้รับการยืนยันจากหมอฟันว่าสารที่ตรวจพบในร่างกายนายวรยุทธ เป็นยาที่ให้ผู้ต้องหาในการรักษาฟันที่มีส่วนผสมของสารโคเคน ทำให้ไม่สั่งฟ้องเรื่องสารยาเสพติด


ท่านผู้ชมฟังแล้วรู้สึกจะอ้วกหรือจะขำดีครับ ผมคิดว่าเรื่องนี้ข้อกล่าวหาหรือข้อแก้ตัวนี่ บัดซบที่สุด ก็เหลืออยู่ประเด็นเดียวว่า ประมาทหรือเปล่า เพราะว่ามีอีก 2 ข้อหา คือ ชนแล้วไม่ได้ลงไปช่วยเหลือผู้เสียหาย หรือผู้ตาย อันนี้อายุความหมดไปแล้ว อีกอันก็คือขับรถเร็วเกินกำหนด ก็หมดอายุความไปแล้ว หมดอายุความด้วยวิธีการหนี โดยที่ไม่ยอมมาให้การที่อัยการ

ทีนี้ข้อพิรุธในเรื่องพวกนี้ผมเอาสั้นๆ ง่ายๆ นะ ข้อพิรุธในเรื่องนี้ก็คือว่า ประการแรก อัยการเสียเวลากับคดีนี้เป็นเวลา 8 ปีเต็มๆ 8 ปี เพื่อที่จะสืบพยานในเรื่องนี้ เพื่อจะสรุปคดีในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากๆ ธรรมดาแล้วเรื่องพวกนี้ คดีรถชนแบบนี้ ไม่เกิน 1 ปี ก็ต้องจบได้เรียบร้อยแล้ว ก็อ้างว่าเนื่องจากคุณวรยุทธนั้นไม่ว่างที่จะมาให้การ โน่นนี่นั่น ปกติถ้านัดมาแล้วไม่มา จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่เกินสองนัด นัดที่สามถ้าไม่มา ต้องออกหมายจับแล้ว นี่อยู่กระทั่ง 8 ปี แสดงว่าอัยการนั้น จะเป็นใครก็ตาม กำลังช่วยคุณวรยุทธ เพื่อที่จะซื้อเวลา ซื้อเวลาตรงไหน ? ตรงที่ทีมงานอัยการและทีมกฎหมายคุณวรยุทธ กำลังดูว่า คดีนี้ถ้าพลิกประเด็นจากคุณวรยุทธเป็นผู้ที่ประมาท กลายเป็นเหตุสุดวิสัยได้ วิธีนี้ก็จะทำให้คุณวรยุทธถูกสั่งไม่ฟ้องได้ นั่นคือที่มานะครับ ท่านผู้ชมจำเอาไว้นะ เพราะฉะนั้นแล้ว เวลามีการสืบเสาะพยานอะไรทุกอย่าง ก็เลยพยายามที่จะต้องช่วยเหลือกันตลอดเวลา และประกอบกับกลุ่มทนายความของท่านสมัคร ซึ่งเป็นทนายความ เป็นฝ่ายกฎหมายของตระกูลอยู่วิทยา ของคุณพ่อของคุณวรยุทธ ก็เป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมฯ ในยุค สนช.

สนช.เกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาลชุด คสช.ยึดอำนาจมา แล้วใช้มาตรา 44 แล้วกรรมาธิการชุดนี้ก็ตั้งขึ้นมา คนที่อยู่ในกรรมาธิการชุดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนอยู่ในพรรคพวกแวดวงเดียวกันหมด เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นคนกันเองทั้งหมดเลย แล้วคุณสมัครก็เลยยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมเข้าไปในคณะกรรมาธิการชุดนี้ แน่นอนที่สุด ถ้าไม่รู้จักกัน ยื่นเข้าไปไม่ได้ คุณธานี อ่อนละเอียด ซึ่งเป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการชุดนี้ มาให้สัมภาษณ์เมื่อวานซืนนี้ บอกว่าเราพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย คุณวรยุทธเข้ามาร้องเรียนความเป็นธรรม แต่อีกฝ่ายไม่ได้เข้ามาร้องเรียนความเป็นธรรม ซึ่งผมต้องติงคุณธานีไว้นิดหนึ่ง ไม่ทราบว่าคุณธานีพูดโดยเข้าใจเรื่องราวดีไหม

ประการแรก ด.ต.วิเชียร เสียชีวิตไปแล้วนะครับ ประการที่สอง ด.ต.วิเชียร พ่อเสียชีวิต ไม่มีแม่ ภรรยาเลิกราไปแล้ว เหลือแต่พี่ชายกับพี่สะใภ้ และที่สำคัญเขาเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ เขาไม่ได้มีเงินเป็นแสนๆ ล้านอย่างตระกูลอยู่วิทยา ที่สามารถที่จะใช้เส้นสาย คุณธานียอมรับไหมครับว่ามันมีเส้นสายจริง จู่ๆ นายคนนี้เขาจะมาร้องเรียน ใครจะมาร้องเรียน พี่ชายจะมาร้องเรียนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแล้วคำกล่าวของคุณธานีที่บอกว่ายินดีให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายนั้น เป็นคำกล่าว พูดให้โลกมันสวย พูดให้ดูสวย ว่าจริงๆ แล้วผมพร้อมให้ความเป็นธรรม แต่คุณวิเชียรเขาตายไปแล้วนี่ พ่อเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว แม่ก็เสียชีวิต เมียก็เลิกรา มีพี่ชายกับพี่สะใภ้เท่านั้นเอง ซึ่งก็เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ เพราะฉะนั้นแล้วประเด็นนี้ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัด


กรรมาธิการชุดนี้ก็เลยไปเอาอาจารย์มาจากไหนไม่รู้ โอ้โห ทำเป็นเรื่องเป็นราวเลยท่านผู้ชม ทำเป็นเรื่องเป็นราวเพื่ออะไรรู้ไหมท่านผู้ชม ? เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่ารถยนต์ที่เขาอ้าง ตำรวจชุดแรกที่ระบุว่าวิ่ง 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น แท้ที่จริงแล้วตรวจผิด มันวิ่งแค่ 70 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำไมต้อง 70 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ? เพราะว่าถ้าวิ่งต่ำกว่า 80 แล้ว ไม่ผิด เนื่องจากว่ากฎหมายจราจรระบุว่า รถที่วิ่งในกรุงเทพมหานครนั้น ต้องวิ่งระหว่าง 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าวิ่งไม่ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ไม่ได้ขับรถโดยประมาท เพราะถ้าวิ่ง 170 กว่า ข้อหาขับรถโดยประมาทก็จะถูกพ่วงเข้าไปกับข้อหาเกิดอุบัติเหตุแล้วทำให้คนเสียชีวิตได้ แล้วถ้าเหลือต่ำกว่า 80 การที่จะช่วยคุณวรยุทธ จะช่วยได้ง่ายขึ้น ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังครับ


ทีนี้จู่ๆ ก็เอาคำให้การพยาน 2 คน ซึ่งพยานสองคนนี้ คนหนึ่งก็คือ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร ซึ่งในที่สุดแล้วก็พิสูจน์ชัดว่าสนิทสนมกับครอบครัวคุณวรยุทธ สนิทสนมกับคุณดารณี อยู่วิทยา และนายจารุชาติ มาดทอง โดยที่ พล.อ.ท.จักรกฤช อ้างว่าได้นั่งรถปิกอัพไปกับคุณจารุชาติ มาดทอง รถปิกอัพคันหนึ่งเพื่อที่จะไปทำบุญตอนเช้า แล้วก็ขับรถตามหลังคุณวรยุทธไป เขาขับ 50-60 กิโลฯ ก็เห็นคุณวรยุทธอยู่ ก็คงจะขับใกล้ๆ กัน เพราะยังขับไล่กันมาตลอดเวลา คำถามมีอย่างนี้ท่านผู้ชม พยาน 2 คน เป็นพยานที่ไม่มีน้ำหนัก โดยตรรกะวิทยา พล.อ.ท.จักรกฤช อดีตท่านเป็นเจ้าของบริษัทลีมูซีนพระพิราพ ที่ดอนเมือง เคยเห็นใช่ไหมครับ รถลีมูซีน ถ้าลงเครื่องมาแล้วก็มีรถลีมูซีนนั่ง จะมีตรายักษ์พระพิราพแปะอยู่ข้างๆ ท่านบอกท่านจะไปทำบุญตอนเช้า ท่านไปทำบุญตอนเช้า ท่านนั่งปิกอัพไป ท่านนั่งไปกับนายจารุชาติ มาดทอง นายจารุชาติ มาดทอง มาจากไหนก็ไม่รู้นะ ทำไมระดับท่าน ท่านมีคนขับรถของท่านอยู่แล้ว ท่านมีรถที่บ้าน ท่านไม่จำเป็นต้องมานั่งรถปิกอัพ เข้าใจไหมท่านผู้ชม


เพราะฉะนั้นด้วยเหตุนี้ คุณพินันพ์ ลักษณ์ศิริ ท่านเป็นอัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด ฝ่ายคดีร้องขอความเป็นธรรม ออกมาระบุเลยว่าพยานสองคนนี้คือ พล.อ.ท.จักรกฤช ถนอมกุลบุตร และนายจารุชาติ มาดทอง ว่าไม่มีน้ำหนัก และการที่คณะกรรมาธิการฯ สนช. ดึงพยานสองคนที่เคยถูกระบุว่าไม่มีน้ำหนัก แล้วเอามาดำเนินการเพื่อสอบอีกครั้งหนึ่ง แสดงว่าอะไร ? แสดงว่าเขามีธงชูไว้แล้ว ชูธงไว้แล้วว่านายวรยุทธต้องไม่ผิด เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อสองคนเอามายืนยันว่าความเร็วไม่ถึง 80 แล้วยังเอาอาจารย์มาจากไหนก็ไม่รู้ จากพระจอมเกล้าฯ เอากระดาษมาแผ่นหนึ่งเลย มาชี้แจงให้ดูว่าตามการคำนวณของอาจารย์พระจอมเกล้าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะขับรถ 177 จะต้องแค่ 70 กว่า


ทีนี้อัยการก็เถียงไม่ออกในข้อเท็จจริง ถ้าขับ 70 กว่า แล้วถ้าชนรถ ทำไมจะเบรกไม่ได้ จะเป็น ด.ต.วิเชียร ขับมอเตอร์ไซค์แล้วไปปาดหน้า หรือจะโดนชนท้ายก็ตาม ช่างมัน เมื่อชนแล้วทำไมถึงไม่เบรก เพราะถ้าขับ 70-80 กิโลฯ มันต้องเบรกทัน และระยะทางที่เบรกเขาบอกว่าให้ 10 เปอร์เซ็นต์ 10 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ 200 เมตร ที่ลากออกไป 10 เปอร์เซ็นต์ คือ 20 เมตร ต้องเบรกได้แล้ว แต่ไม่ แล้วทำไมรถถึงลากไปถึง 200 เมตร คำตอบไม่มีอะไรมาก นอกจากว่า จะต้องขับเร็วมากถึง 170 กว่ากิโลเมตรฯ ถึงเบรกไม่ได้ กว่าจะเบรกได้ก็ลากไปถึง 200 เมตร ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังครับตอนนี้



นอกจากนั้นแล้ว ตำรวจในตอนแรกที่พิสูจน์หลักฐานแล้วระบุว่าขับ 177 ถูกเรียกตัวกลับมาอีกในปี 2562 มาบอกว่าขอโทษที ผมคำนวณผิด จริงๆ แล้วระยะความเร็วมันน่าจะแค่ 70 หรือ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ท่านผู้ชมครับ ใช้จิตวิญญาณของวิญญูชน คนที่ไม่กินแกลบ กินข้าว ก็ดูออกว่าต้องมีการประนีประนอมกันในระหว่างตำรวจคนนั้นกับใครก็ตาม ก็ไม่รู้ล่ะ มาให้การใหม่เพื่อกลบคำให้การอันเก่า เพื่อยืนยันว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ 170 มันแค่ 70 กว่า ถึง 80 ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง

เสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ที่มาให้เหตุผลว่าได้แค่ 70 กว่ากิโลฯ คือ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม พระจอมเกล้าพระนครเหนือ


ผมไม่รู้ว่าอาจารย์คนนี้ยังมีความสุขสบายอยู่ดีหรือเปล่า ที่แน่จริง ถ้าอัยการไปยอมรับความเห็นนี้ ทำไมอัยการถึงไม่ติดต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อัยการก็เสี่ยง ทำไมไม่เอาทั้งจุฬาฯ ทั้งเกษตรฯ มา พระนครเหนือว่ามาอย่างนี้ จุฬาฯ เกษตรฯ ว่าอย่างไร ถ้าอย่างนี้ผมยอมรับได้ แต่กระดาษใบหนึ่งที่ รศ.สายประสิทธิ์ ไปยื่นให้บอกว่าผมคำนวณแล้ว มันแค่เท่านี้ แล้วอัยการก็เชื่อไปเลย เชื่อพยานของฝ่ายจำเลยทุกข้อหา เสร็จเรียบร้อยแล้วอัยการก็เอาพยานของผู้ต้องหาที่ท่านอัยการพิเศษ ท่านพินันพ์ ลักษณ์ศิริ ท่านยืนยันว่าไม่มีน้ำหนัก กลับเอามาทำให้เป็นเรื่องมีน้ำหนักอีก ฉะนั้นในอัยการเองก็มีความขัดแย้งตรงนี้ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่างานนี้สรุปต้องการที่จะพลิกคดี เปลี่ยนไปว่า คุณวรยุทธนั้นไม่ได้ประมาท ข้อแรก ขับรถอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ได้เกิน 80 แล้ว ด.ต.วิเชียร วิ่งเลนซ้ายแล้วก็ปาดหน้าเข้าไป ด้วยเหตุผลตรรกะธรรมดา ตี 5 กว่า ด.ต.วิเชียร ถ้าอยู่ซ้ายมือจริง แล้วขับไปปาดหน้าจริงๆ มีเหตุผลอะไรต้องปาดหน้าไปตั้ง 2 ข้าง มีเหตุผลอะไรที่ท่านจะต้องปาดหน้า

แล้วอีกอย่างหนึ่ง คนลืมไปว่า ด.ต.วิเชียร ท่านอยู่ฝ่ายปราบปราม ก็คือฝ่ายที่ขับรถแล้วก็ตรวจตราสถานที่ ท่านไม่ได้อยู่จราจร ถ้าท่านเห็นรถเฟอร์รารี ราคาคันละเกือบ 20-30 ล้าน วิ่งมา ท่านจะไปปาดหน้าเขาทำไม แล้วท่านอยู่ทองหล่อ ท่านจะไม่รู้ว่าเศรษฐีทองหล่อมีกี่คน ไม่มีเหตุผล แต่เพื่อทำให้น้ำหนักมันมี ก็เลยอ้างว่าไปปาดหน้าเขา


ท่านผู้ชมครับ ข่าวล่าสุดท่านผู้ชมคงจะรับทราบแล้วว่า พยานคนหนึ่ง นายจารุชาติ มาดทอง คนขับรถปิกอัพ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แล้วก็ขี่จักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับคู่กรณีบริเวณถนนห้วยแก้ว ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านผู้ชมครับ ยิ่งกว่าหนังฮอ]ลีวูดอีก ท่านผู้ชม ผมไม่เชื่อว่าโดยไม่มีเหตุอะไร ผมเชื่อว่าต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอนที่สุด เพราะความคิดของผม นายจารุชาตินั้นคงจะเป็นพยานคนหนึ่งที่พนักงานชุดของท่านอาจารย์วิชา มหาคุณ คงจะเรียกตัวมาสอบ และผมเชื่อว่าด้วยฝีมือของคณะกรรมการชุดนี้ สอบไปสอบมา นายจารุชาติ มาดทอง ต้องตกม้าตายแน่นอน และต้องรู้ว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เป็นพยานแม่นาคพระโขนงอย่างแน่นอน แต่ว่าพล็อตมันยิ่งกว่าหนังฮอลลีวูดอีก รับรอง เชื่อผมครับว่าต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างแน่นอน

ท่านผู้ชมครับ เพราะฉะนั้นแล้ว เท่าที่ผมไล่มก็จะเห็นได้ว่า ในที่สุดแล้วพิสูจน์ได้ชัดพอสมควรว่า เชื่อได้ว่าอัยการนั้นพยายามช่วยคุณวรยุทธ พลิกคดีออกมา เพื่อให้คุณวรยุทธอยู่ในสถานภาพที่เขาเรียกว่า เป็นเหตุสุดวิสัย ไม่สามารถที่จะระงับการเกิดอุบัติเหตุได้ เหตุผลเพราะ ด.ต.วิเชียร ไปปาดหน้ารถเขา และเขาก็ขับแค่ 70 กิโลเมตรฯ แต่ก็มีคนที่เป็นตำรวจคนหนึ่ง เป็นฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน แต่เผอิญตอนนี้อยู่พรรคก้าวไกล ผมเล่าให้ฟังคราวที่แล้ว เขายืนยันว่าเมื่อดูสภาพรถที่ชนแล้ว ไม่ใช่ปาดหน้า คือการชนท้ายนั่นเอง เพราะฉะนั้นแล้ว ทั้งหมดก็จบลงด้วยตรงนี้


เมื่อจบลงด้วยตรงนี้ แล้วข้อพิรุธหลายข้อเลย ซึ่งอัยการท่านคงจะต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจแล้วก็ชี้แจงอีกต่อไปก็คือว่า คดีนี้เขาสั่งไม่ฟ้องตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน แต่ไม่มีใครรู้เลยแม้แต่นิดเดียว รู้โดยนักข่าวซีเอ็นเอ็นไปถามตำรวจ สน.ทองหล่อ ผู้กำกับการ สน.ทองหล่อ ว่าคดีนายบอสไปถึงไหนแล้ว ผู้กำกับท่านก็ไม่รู้เพราะไม่มีการประสานงานต่อ ก็บอกว่าอัยการส่งเรื่องมาแล้วว่าให้ไม่ฟ้อง เมื่อไม่ฟ้องแล้วก็ต้องถอนหมายจับ ซีเอ็นเอ็นก็เลยลงข่าว ก็เลยกลายเป็นว่าหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรู้ข่าวนี้ก่อนคนไทยทั้งหมด ก็แสดงว่าสำนักงานอัยการปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ ที่ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้เพราะว่ากลัวจะมีคำถามออกมาเยอะแยะไปหมด


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังที่ผมพูด และอีกอย่างหนึ่ง ผมจะอธิบายเรื่องอัยการได้อย่างนี้ ท่านอัยการสูงสุด ท่านเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะ เหมือนกับว่าท่านมีสัญชาติญาณพิเศษ เวลามีเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ท่านอัยการสูงสุดท่านจะไม่อยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่ตลอดเวลาเลย แล้วก็เป็นสูตรสำเร็จของพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผมไม่รู้เรื่อง ผมไม่รู้จริงๆ ท่านวงศ์สกุล อัยการสูงสุด ผมไม่รู้จริงๆ เดี๋ยวผมจะตรวจสอบให้ เพราะผมไม่อยู่ ทุกเรื่องที่มีเรื่องแบบนี้มา ผู้ใหญ่ในวงการราชการจะบอกว่าผมไม่ทราบ ผมไม่รู้ คำว่า "ผมไม่รู้" กลายเป็นคำพูดที่ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้มันเริ่มมีอะไรพิเศษหลายอย่าง ชัดเจน ประการแรก เขาถอดหมายจับของนายวรยุทธ อยู่วิทยา ออกหมดแล้ว หมายจับของอินเตอร์โพล ตำรวจต่างประเทศ ก็ไม่มีแล้ว เท่ากับว่านายวรยุทธ ตอนนี้สามารถเดินทางกลับมาเมืองไทยได้ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะกล้ากลับตอนนี้ ผมคิดว่าความน่ากลัวยังอยู่ที่ว่า ข้างหน้ายังมีอะไรไม่แน่นอน เพราะว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านรู้อยู่แล้ว ท่านรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเรื่องนี้มันเป็นความสั่นสะเทือนใจของประชาชนในเรื่องกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัยการ เป็นผู้ร้ายหมายเลข 1 ตำรวจ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับอัยการ หมายเลข 2 แต่จะสมรู้ร่วมคิดอย่างไร ยุคไหน สมัยไหน ผมเล่าให้ฟังแล้วนะ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที


เพราะฉะนั้นแล้ว ความไม่แน่นอนตรงนี้ ผมเชื่อว่าพ่อและแม่ของคุณวรยุทธ จะไม่ให้ลูกชายกลับมาตอนนี้ เพราะไหนๆ หมายจับก็ถอนแล้ว ก็อยู่เถอะ ชิลๆ ลันล้าอยู่เมืองนอกก่อนก็แล้วกันลูก เดี๋ยวรอสักพัก ดูว่าเหตุการณ์ดีขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที หรือว่าร้ายที่สุด เพราะท่านนายกฯ ท่านตั้งท่านวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ไม่หวั่นเกรงอิทธิพลใดๆ และคณะกรรมการที่เข้ามานั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ใช้ได้ทั้งสิ้น


ผมเชื่อว่ารอ 15 วัน ให้ผลตรวจสอบออกมาก่อน ถ้าตรวจสอบออกมาแล้วว่าอัยการทำไม่ถูกต้อง มีเงื่อนงำ มีอะไรหลายอย่าง ลูกบอลก็จะถูกเตะส่งกลับไปให้ท่านนายกฯ ท่านนายกฯ จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ จะมีวิธีทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ท่านนายกฯ จะออกมารื้อโครงสร้างอัยการใหม่ไหม ซึ่งอันนี้จะเป็นประเด็นต่อไปที่ผมจะพูดต่อไปอีกในเรื่องของสำนักงานอัยการสูงสุด เราจะทำอย่างไรดีกับอำนาจของอัยการที่ล้นฟ้าแบบนี้ ที่ทำอะไรก็ทำได้ แล้วก็พูดออกมาตลอดเวลาว่า กฎหมายให้อำนาจผมทำ

ท่านผู้ชมครับ กระบวนการยุติธรรมนั้น มันมีต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ต้นน้ำ คือตำรวจ กลางน้ำ ก็คืออัยการ ปลายน้ำ ก็คือศาล ท่านผู้ชมลองคิดตามผมมาแล้วกัน เราใช้เหตุใช้ผลมาคิดกัน เราไม่ใช้อารมณ์คิดกัน ถ้าเราเห็นกระบวนการยุติธรรมว่า ตำรวจ อัยการ ศาล ถามคำหนึ่งว่า จุดพักของน้ำ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ควรจะเป็นจุดไหนที่จะเป็นอิสระจริงๆ และไม่มีใครเข้ามาแทรกแซงได้ คำตอบของท่านผู้ชมก็คือ ศาล เพราะศาลคือจุดสุดท้ายของเส้นทางกระบวนการยุติธรรม นั่นก็คือศาล มิหนำซ้ำยังมีศาลชั้นต้น ศาลชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกา ไม่พอใจคำตัดสินก็อุทธรณ์ได้ ไม่พอใจอุทธรณ์ก็ฎีกาได้ จนกระทั่งสิ้นสุดฎีกาก็คือจบแล้ว เพราะฉะนั้น ศาล ในที่สุดเป็นที่พึ่งสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรม เมื่อเรามามองอย่างนี้แล้ว ถ้าเรามองว่าอำนาจอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามดุลพินิจและตามข้อเท็จจริงแล้วคือ น่าจะเป็นศาล แต่ทำไมอัยการถึงมีสิทธิที่จะเป็นอิสระได้โดยที่ไม่มีใครเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ ทั้งๆ ที่เป็นตัวกลางน้ำ เป็นตัวที่สั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง โน่นนี่นั่น สรุปง่ายๆ ว่าอัยการไม่มีเจ้าภาพ ท่านผู้ชม อัยการมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 255 ว่าเป็นองค์กรอิสระที่ไม่มีใครมีสิทธิเข้ามาแทรกแซงได้ การตั้งอัยการสูงสุดนั้นต้องมีคณะกรรมการ กอ. เขาทำตัวเหมือนกับเขาเป็นศาล แม้กระทั่งการขึ้นเงินเดือนหลายๆ ครั้ง ผู้พิพากษาได้เงินเดือนขึ้น อัยการก็เรียกร้องบ้าง ขอขึ้นเงินเดือน ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ตรงกลาง ตัวเองไม่ใช่เป็นคนสุดท้าย และในที่สุดแล้ว ทุกครั้งที่มีเรื่องขึ้นมา อัยการมักจะใช้ประโยคนี้ตลอดเวลาว่า ผมมีอำนาจ กฎหมายให้อำนาจผม แล้วก็จบที่ผม ผมจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง มันจบที่ผม เพราะฉะนั้นแล้วกรณีนี้ นายบอส ครอบครัวนายบอส พ่อแม่นายบอส ก็เห็นว่าคดีของนายบอสต้องไม่ไปที่ศาล เหตุผลเพราะว่าทั้งพ่อและแม่กลัว ไม่รู้ว่าศาลนั้นจะเป็นอย่างไร จะเอาอย่างไรกันแน่ เพราะว่าศาลคงจะคุยได้ไม่ง่ายเหมือนกับอัยการที่คุย เพราะฉะนั้นเรื่องของนายบอสก็เลยต้องจบที่อัยการ เมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว ตำรวจเห็นด้วย จบ


แต่เผอิญฟ้ามีตา เรื่องราวมันเกิดขึ้นมา มันก็เลยทำให้เป็นที่กระเทือนใจของคนในสังคมทุกคน ไม่เว้น ผมคุยกับผู้พิพากษาบางท่าน ทนายความบางคน อาจารย์บางคน 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ผมคุยด้วย รับไม่ได้กับเรื่องนายบอส รับไม่ได้กับสิ่งที่อัยการทำ ถ้ากรณีนายวรยุทธ อยู่วิทยา แล้ว ถ้าพูดถึงความผิด 100 เปอร์เซ็นต์ ผมให้อัยการผิด 80 เปอร์เซ็นต์ ตำรวจ 20 เปอร์เซ็นต์ ตำรวจผิด 20 เปอร์เซ็นต์ ผิดตรงที่ไม่รอบคอบ ตำรวจผิดตรงที่ว่าไปมองในแง่กฎหมายอย่างเดียว คือเขาบอกว่าคดีเป็นอย่างนี้ มีกฎหมาย มีพยานเข้ามายืนยันว่ารถขับไม่เกินเท่านี้ แล้วก็มีเรื่องยืนยันว่า ด.ต.วิเชียร ไปตัดหน้า เพราะฉะนั้นเมื่อนายบอสขับไม่เกินข้อกฎหมายที่กำหนดไม่ให้ขับเกิน 80 กิโลเมตรฯ ก็ไม่ได้ขับรถโดยประมาท เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อปาดหน้านายบอสปั๊บ ก็เลยเกิดอุบัติเหตุประเภทเหตุสุดวิสัย อัยการถึงสั่งไม่ฟ้อง เพราะฉะนั้นตำรวจถึงอ้าง ถึงบอกว่าอัยการอุดช่องโหว่หมดเลย จะไม่อุดช่องโหว่ได้อย่างไร ท่านผู้ชม ใช้เวลา 8 ปี ท่านผู้ชม 8 ปี คิดในการอุดช่องโหว่ว่าจะคิดอย่างไร ถึงกับเอาอดีตพยาน 2 คน ที่อัยการด้วยกันที่เคยทำเรื่องนี้บอกว่าไม่มีน้ำหนัก เอากลับมาพูดอีกหนึ่งเพื่อให้มีน้ำหนัก ก็คือตายไปแล้วเกิดใหม่ ก็คือแม่นาคพระโขนงนั่นเอง

เอาล่ะ ท่านผู้ชม เรามาคุยกันเรื่องบทบาทอัยการกันนิด วันนี้สังคมยังไม่คุยเรื่องบทบาทอัยการ ทุกคนบอกว่าทำไมอัยการทำอย่างนี้ ทำไมอัยการทำอย่างนั้น อัยการทำโน่นทำนี่ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าอัยการในอดีต ในโบราณ สมัยรัชกาลที่ 1 เขาเรียกว่า ยกกระบัตร


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก่อนที่พระองค์ท่านจะเป็นกษัตริย์ พระองค์ท่านเป็นหลวงยกกระบัตรที่เมืองราชบุรี ยกกระบัตร ก็คือเป็นคนที่ดูแล ตำแหน่งหลวงยกกระบัตร คือ เป็นผู้แทนพระองค์ในการเข้าไปตรวจสอบการทำงานต่างๆ เพราะฉะนั้นแล้วสมัยก่อนก็เลยเรียกว่า ยกกระบัตร แล้วรัชกาลที่ 1 ก็เคยเป็นยกกระบัตร


พอต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 (2436) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านก็ตั้งกรมอัยการขึ้นมา แล้วก็เอาบรรดาพวกยกกระบัตรทั้งหลายมาอยู่ข้างใน 


แล้วก็มาถึงรัชกาลที่ 6 (2459) ก็เปลี่ยนชื่อยกกระบัตร ให้เป็นชื่อ อัยการ 2465 สมัยนั้นพระองค์ท่านให้กรมอัยการย้ายสังกัดจากกระทรวงยุติธรรม ไปอยู่กระทรวงมหาดไทย ด้วยเหตุผลว่า อัยการนั้นมีหน้าที่คอยดูแลทุกข์สุขประชาชนในเรื่องของกฎหมาย ควบคุมดูแล จัดการ สั่งฟ้อง โน่นนี่นั่น ก็เลยให้ไปอยู่กระทรวงมหาดไทยแทน เพราะกระทรวงมหาดไทยนั้นต้องดูแลทั่วทุกภาคส่วน ก็เลยไปอยู่กระทรวงมหาดไทย ก็เลยอยู่กระทรวงมหาดไทยมาตลอด


จนกระทั่งมาถึงปี พ.ศ.2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) มีประกาศฉบับที่ 47 และ 49 แยกกรมอัยการออกจากกระทรวงมหาดไทย ให้เป็นหน่วยงานอิสระ แต่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี แล้วเปลี่ยนชื่อกรมอัยการ เป็น สำนักงานอัยการสูงสุด


มาปี 2550 วันที่ 24 สิงหาคม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้บัญญัติให้องค์กรอัยการเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ยกฐานะสำนักงานอัยการสูงสุด ให้เป็นองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ เปรียบเสมือนเป็นองค์กร ป.ป.ช. ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาและการดูแลของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม


สรุปง่ายๆ ก็คือว่า ให้อิสระกับอัยการ จะแต่งตั้งอัยการสูงสุดก็แต่งตั้งกันเอง อัยการถึงมีคณะกรรมการอัยการ (กอ.) ขึ้นมา แล้วก็เลือกคนที่จะมาเป็นอัยการสูงสุด รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ รัฐมนตรีฯ ยุติธรรมก็ไปแทรกแซงไม่ได้ นายกรัฐมนตรีก็เข้าไปแทรกแซงไม่ได้ ผมถึงพูดไง ท่านนายกฯ จะทำอย่างไร ถ้าคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงของท่านวิชา มหาคุณ และกรรมการทั้งหลาย ตรวจสอบแล้วว่าความผิดอยู่ที่อัยการ ท่านนายกฯ จะทำอย่างไร เพราะท่านนายกฯ แทรกแซงอัยการไม่ได้ ท่านจะไปย้ายอัยการสูงสุดก็ไม่ได้ เพราะท่านไม่มีอำนาจตรงนี้ เพราะว่ามีกฎหมายรัฐธรรมนูญปกป้องอยู่ นอกเสียจากว่าท่านจะทำได้อย่างเดียว ซึ่งผมกำลังจะเสนอ ท่านต้องรื้อโครงสร้างอัยการสูงสุดใหม่ เพราะว่า ... ท่านผู้ชมตามผมมา ฟังให้ดีๆ แล้วบอกตัวเองว่าเห็นด้วยกับผมไหม ว่าอัยการไม่มีเจ้าภาพ

หน่วยงานราชการไหนก็ตาม ถ้าไม่มีเจ้าภาพ น่ากลัวมาก ถ้าสมมุติว่าสำนักงานอัยการเป็นสำนักงานอันหนึ่ง ขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม วันนี้ ใครก็ตาม นี่ผมสมมุตินะครับ สมมุติว่าคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งวันนี้ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม


สมมุติว่าสำนักงานอัยการอยู่ภายใต้การดูแลของท่าน วันนี้ท่านนั่งอยู่เป็นสุขไหม ท่านนั่งอยู่ไม่เป็นสุข เพราะว่ากระแสสังคม ความกดดันทุกภาคส่วนจะทำให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะต้องกระโดดขึ้นมาเลย แล้วจัดการกับสำนักงานอัยการสูงสุดทันที ท่านอาจจะย้ายอัยการสูงสุดทันทีเลย แล้วท่านก็ตั้งใครรักษาการแทน ตั้งกรรมการสอบอัยการสูงสุด แล้วก็ตั้งกรรมการสอบหลายคนที่เกี่ยวข้องกับคดีของนายวรยุทธ แต่วันนี้ไม่มีใครทำได้ เหตุผลเพราะว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจอัยการสูงสุด และสำนักงานอัยการ ว่าต้องแทรกแซงไม่ได้ ผมกลับมองตรงกันข้าม การที่ต้องแทรกแซงไม่ได้นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่ต้องมีเจ้าภาพ ไม่มีเจ้าภาพไม่ได้ ใครจะว่ารัฐมนตรีเป็นนักการเมือง ผมไม่สนใจ แต่ถ้านักการเมืองแล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดทำงานแบบนี้แล้ว ในบางครั้งถ้าเรามองว่า บางครั้งนักการเมืองคุมอัยการสูงสุด ก็อาจจะดี ตรงที่ว่านักการเมืองกลัวเสียงประชาชน หรือไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นคนที่แต่งตั้งขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็จะกลัวความกดดัน ก็จะไม่กล้า เมื่อไม่กล้าแล้ว ถ้ามีอะไรผิดพลาดมา อัยการสูงสุดจะต้องรายงานโดยตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่มาวันนี้ไม่ต้องรายงานทั้งสิ้น มิหนำซ้ำยังมีเกราะป้องกันตัวเอง ด้วยมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ว่าเป็นอิสระ ในที่สุดแล้วท่านก็จะจบลงด้วยคำพูดที่ว่า เป็นอำนาจของอัยการครับ ที่จะชี้คดีว่าควรจะฟ้องหรือควรจะไม่ฟ้อง แล้วมีใครทำอะไรท่านได้ล่ะ ไม่มีใครทำอะไรท่านได้ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง


อัยการสูงสุดนี่นะ ประเทศไทย เมื่อพิจารณาตัวบทกฎหมายจากวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว จะเห็นว่าได้มีการบัญญัติถ้อยคำไว้ลักษณะกว้างๆ เปิดโอกาสให้อัยการได้ใช้ดุลพินิจในการดำเนินคดีอาญาได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่าอัยการทุกคนยึดถือตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด กลายเป็นเครื่องจักรไปแล้ว อัยการ ก็คือมีหน้าที่ฟ้องๆๆ แต่ก็ยังมีหลายกรณีที่ใช้ดุลพินิจ ดุลพินิจนี่ล่ะ ท่านผู้ชม เป็นที่มาของการรับเงินรับทอง หรือช่วยเหลือผู้ต้องหา

ผมถามตัวอย่างคำหนึ่ง ป.ป.ช.เล่นงานนักการเมือง เล่นงานนักการเมืองในเรื่องข้อหาทุจริต เอ่ยชื่อก็ได้ คุณวิรัช รัตนเศรษฐ คุณวิรัช รัตนเศรษฐ โดน 5 ข้อหาเรื่องการคอร์รัปชันในเรื่องสนามฟุตซอล


ป.ป.ช.มีมติชี้มูลหมด แล้วก็สอบเรียบร้อยแล้วส่งฟ้อง ส่งให้อัยการ อัยการไม่ฟ้องสักคดีเลย แล้วในอดีต อัยการรับเรื่อง ป.ป.ช.มา หลายเรื่องก็ปฏิเสธที่จะไม่ฟ้อง ต้องให้ ป.ป.ช.ไปฟ้องเอง โดยอัยการใช้ข้ออ้างซึ่งอัยการบอกว่าหลักฐานไม่พอ อันโน้นอันนี้ไม่พอตลอดเวลา คือสรุปง่ายๆ ว่าถ้าจำเลยจับเส้นอัยการได้ คุยกับอัยการรู้เรื่อง แล้วมีการแลกเปลี่ยนกระดาษอะไรบางส่วน ที่เขาเรียกว่าค้อนสู้กระดาษไม่ได้ ในที่สุดแล้วอัยการก็จะบอกจำเลยว่า เอาอย่างนี้ ผมไม่ฟ้องคุณก็แล้วกัน ส่วนคุณน่ะเอาไปรอกับ ป.ป.ช. ให้ ป.ป.ช.เขาฟ้องเอง ป.ป.ช.ฟ้องก็เสียเวลามาก แล้วขอบคุณสิ่งที่แนบมาด้วยนะ ในทำนองนี้ ท่านผู้ชมเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า ท่านผู้ชมไปดูได้เลยนะ อัยการท่านไม่รู้ตัวหรอกว่าการที่ท่านบอกว่าเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับการเมือง ท่านน่ะเล่นการเมืองตลอด

ไปดูคดีนักการเมืองทุจริต มีกี่คดีล่ะ ไปไล่ในอดีตเลย ที่ผ่านมาในรอบสิบปี จะเห็นว่ามีอยู่หลายคดีที่อัยการท่านไม่ฟ้อง ท่านให้ ป.ป.ช.ฟ้องเอง ทั้งๆ ที่ท่านเป็นทนายแผ่นดิน ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้แล้วท่านผู้ชมยังคิดว่าเรายังควรให้อิสระกับอัยการเหมือนเดิมหรือเปล่า แล้ววันนี้เอาผิดกับใครล่ะ อัยการสูงสุดท่านไม่ฟ้องคุณวิรัช รัตนเศรษฐ เรื่องนี้ แล้วผมจะไปแจ้งความใครล่ะ เพราะว่าอำนาจอยู่ที่อัยการสูงสุดว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง อยู่ที่เขา ท่านผู้ชมเข้าใจที่ผมพูดหรือยัง แต่ถ้าไม่ฟ้องคุณวิรัช รัตนเศรษฐ แล้วคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คุมอัยการสูงสุด อาจจะไม่ฟ้อง เพราะเป็นพรรคเดียวกัน ท่านผู้ชม แล้วพรรคเพื่อไทยทำอย่างไร พรรคก้าวไกลทำอย่างไร ก็กระแทกคุณสมศักดิ์สิ ช่วยเหลือกันๆๆ คุณสมศักดิ์ทำไม่ไหวก็บอกว่า เฮ้ย ฟ้องหน่อยสิ ไม่อย่างนั้นอั๊วตาย ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังครับที่ผมพูด

เพราะฉะนั้นแล้ว โครงสร้างอัยการเป็นอิสระไม่ได้ จะต้องมีเจ้าภาพ ต้องมีเจ้าภาพสักคนใดคนหนึ่ง เมื่อมีเจ้าภาพแล้ว เวลามีข้อผิดพลาด พวกเราจะได้รุมถล่มเจ้าภาพได้ จะได้ไปหาคำตอบกับเจ้าภาพได้ แต่วันนี้ไม่มีเจ้าภาพ อ้างกฎหมายมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นตัวปกป้องตัวเอง ให้ผมเป็นอิสระ ฉะนั้นท่านอย่ามายุ่งกับผม อย่ามาว่าผม ท่านผู้ชมครับ ถ้าเห็นด้วยกับผม และนี่คือความยุติธรรมกลางน้ำ ไม่ควรจะมีความเป็นอิสระ

ตำรวจขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ศาลเป็นอิสระ แล้วให้อัยการเป็นอิสระอีกตัวหนึ่ง ตายสิคราวนี้ ความยุติธรรมไปไหน เพราะว่าความยุติธรรมกำลังเดินไปหาความยุติธรรม ก็ไปเจอตัวอิสระตรงกลางสร้างความอยุติธรรมขึ้นมา เพราะความยุติธรรมที่ให้ในที่สุดแล้วต้องอยู่ที่สุด ก็คือศาล อัยการไม่มีหน้าที่ อัยการมีหน้าที่หาข้อมูล หาหลักฐาน แล้วก็สั่งฟ้อง แล้วก็ส่งฟ้อง ส่วนไม่ส่งฟ้อง ก็ยังมีสิทธิที่จะไม่ส่งฟ้องได้ แต่ถ้ามีเรื่องขึ้นมา ต้องมีคนรับผิดชอบ และคนที่รับผิดชอบก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องรับผิดชอบ ท่านผู้ชมเข้าใจที่ผมพูดหรือยังครับ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ถ้าเห็นด้วย ผมคิดว่านักกฎหมายทั้งหลาย ท่านทนายความทั้งหลายที่เรียนกฎหมายมา อาจารย์กฎหมายทั้งหลาย อัยการจะเป็นอิสระได้อย่างไร


ท่านผู้ชมครับ อเมริกา อัยการขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรม Justice Department ที่เขาเรียกว่า Prosecutor District Attorney ก็คืออัยการเขต ฝรั่งเศส อัยการขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ญี่ปุ่น ขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรม อังกฤษ อัยการสูงสุดมีตำแหน่งเทียบเท่ากับรัฐมนตรี ต้องนั่งในคณะที่ประชุมรัฐมนตรี มีตำแหน่งเทียบเท่ากับ Chancellor สมมุติว่าเป็น Chancellor ทางด้านแบงก์ชาติ ก็ไปนั่งใน ครม. แล้วใครรับผิดชอบ ? ครม.ทั้งชุดต้องรับผิดชอบ มีประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้นเองที่ให้อำนาจอัยการล้นฟ้า เพราะฉะนั้นถึงมีคำพูดอย่างนี้ตลอดเวลา เวลาตำรวจสั่งไม่ฟ้อง เวลาตำรวจเขาจะส่งคดีหนึ่ง ซึ่งเป็นคดีซึ่งอ่อน คือหลุดก็ได้ ไม่หลุดก็ได้ แล้วตัวจำเลยรู้จักตำรวจ พึ่ช่วยผมหน่อย บอกผมช่วยคุณแล้ว สำนวนเป็นอย่างนี้แล้ว ผมส่งไปที่อัยการ คุณไปวิ่งเองที่อัยการ เพราะฉะนั้นแล้วอำนาจอยู่ที่อัยการสิ อยู่ที่อัยการว่าจะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง สั่งไม่ฟ้องก็มีของที่แนบติดตัวมาให้ เพราะว่าอัยการขอลมได้ลมนะท่านผู้ชม ตำรวจก็เหมือนกัน ขอลมได้ลม ต้องมีสิ่งที่แนบมาด้วย และนี่คือกระบวนการยุติธรรมที่น่ากลัวมากในเมืองไทย และเป็นไปอย่างนี้มานานแล้ว



ผมคนหนึ่งล่ะ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่าอัยการต้องมีการปรับโครงสร้าง รื้อโครงสร้างใหม่ กลับไปสู่ระบบเดิมที่มีคนรับผิดชอบ ต้องมีคนรับผิดชอบ ถ้าสมมุติว่ายังอยู่ระบบเดิม อัยการจะต้องแก้ไขและต้องออกกฎหมายออกมาบังคับให้อัยการ คดีไหนที่สั่งไม่ฟ้อง จะต้องเปิดเผยเนื้อหาของคดีที่สั่งไม่ฟ้องให้ประชาชนได้เห็นหมดเลย แต่ผมคิดว่าดีที่สุดก็คือว่า ปรับโครงสร้างเสียใหม่ กลับไปเหมือนเดิม เป็นอัยการจังหวัด เหมือนยังคงเป็นสำนักงานอัยการสูงสุด แต่ว่าให้ขึ้นอยู่ภายใต้การกำกับและการดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม


ท่านผู้ชมครับ องค์กรเดียวในกระบวนการยุติธรรมที่มีสิทธิ์และมีอำนาจอิสระในการที่จะอยู่อย่างนั้นได้ ที่ไม่มีใครแทรกแซง ก็คือศาลเท่านั้นเอง ศาลจะเป็นอันสุดท้าย และให้เลิกคิดเสียทีอัยการ ที่จะว่าพอศาลเขาปรับเรื่องรายได้ อัยการต้องปรับตาม คุณไม่ใช่ศาล คุณแค่มีสิทธิ์สั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้อง ศาลมีอยู่อย่างเดียว ผิด กับไม่ผิด ของคุณนี่ประเภทส่งฟ้องก็ได้ ไม่ส่งฟ้องก็ได้ สุดแล้วแต่คุณ

ท่านผู้ชมถ้าเห็นด้วยกับผม กระจายออกมา แล้วพรุ่งนี้ หลังจากออกไปแล้วผมจะทำโพลอันหนึ่งของ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ว่า ท่านผู้ชมเห็นด้วยไหมกับการปรับโครงสร้างอัยการให้มีคนรับผิดชอบ คอยโหวตก็แล้วกัน แล้วผมจะเอาผลของการโหวตนี้ ท่านผู้ชมเข้ามาโหวตกันเยอะๆ ส่งเสียงของเราให้อัยการเขารับรู้ว่าประชาชนเขาคิดอย่างไรกับพวกคุณ เดี๋ยวเราต้องคุยกันต่ออีกหลายเรื่อง


เมื่อประมาณปี 2562 ศ.ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ท่านเคยพูดเรื่องการปฏิรูปอัยการ ผมจะอ่านส่วนหนึ่งของปาฐกถาให้ฟัง นี่คือคำพูดของอาจารย์คณิต "ปัญหาปัจจุบันของกระบวนการยุติธรรมคือการวางเฉยของศาลยุติธรรม และการขาดองค์ความรู้บทบาทอัยการ ที่สำคัญ กระบวนการยุติธรรมไทยมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก รวมถึงองค์กรในการกระบวนการยุติธรรม ระบบภายในใหญ่โต ขาดประสิทธิภาพ จึงต้องลดค่าใช้จ่าย แต่สามารถอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนได้ดีขึ้น และอัยการต้องสังกัดในกระทรวงยุติธรรม เพื่อบูรณาการการทำงาน"


ประโยคสุดท้ายนะครับ "แนวทางในการปฏิรูป อัยการควรมีการผลักดันการศึกษาด้านกฎหมาย โดยเฉพาะฝ่ายอัยการ ต้องมีความรับผิดชอบ 4 ประการ ประการแรก ความถูกต้องของกฎหมาย ประการที่สอง ความถูกต้องตามระเบียบ ประการที่สาม ความรอบคอบ และประการที่สี่ ความเชื่อถือศรัทธาของอัยการ จึงต้องปฏิรูปการตรวจสอบความจริงก่อนการประทับรับฟ้อง เพื่อลดปริมาณคดีในชั้นศาล" หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจารย์คณิต ท่านเห็นว่ากระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ ดีเอสไอ พวกนี้ต้องบูรณาการกัน และอัยการสมควรที่จะขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรม ไม่ควรที่จะเป็นอิสระเหมือนอย่างทุกวันนี้ที่เป็น ทุกวันนี้ที่มีเรื่องก็เพราะว่าไปหลงว่าตัวเองเป็นอิสระ ไม่มีใครทำอะไรตัวเองได้ แต่ถ้าเมื่อไรก็ตาม อัยการรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอิสระเหมือนแต่ก่อนแล้ว จะทำอะไรระวังมากขึ้นกว่าเก่า เพราะว่ารัฐมนตรียุติธรรม ถ้าจะต้องเจ๊งเพราะอัยการคนนี้ อัยการคนนี้เขาก็คงจะลากมันลงนรกไปด้วย เขาจะไม่ลงนรกคนเดียว เข้าใจไหมครับ หรือเขาต้องให้มันลงนรกไปก่อนแล้วค่อยลงนรกทีหลัง

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่เราจะเข้าไปในเรื่องที่จะจบ มีคนถามผมว่า เอ๊ะ คุณสนธิ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ที่ท่านถูกย้ายกลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตอนนั้นมีข่าวมาก มีข่าวว่าอย่างไร ?


มีข่าวว่าท่านพลตำรวจเอกท่านนี้อาจจะได้กินตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่ เพราะว่าท่านอาวุโสอันดับ 1 ทุกคนก็ฮือฮากันมากเลยตอนนั้น นี่ก่อนที่จะมีเรื่องมีราวมาทีหลังว่าทำไมเขาถึงย้ายท่านกลับมาในวันที่เขากำลังจะโยกย้ายแต่งตั้ง และกำลังพิจารณาแต่งตั้ง ใครจะเป็น ผบ.ตร. คนต่อไป ก็ปรากฏว่า ถ้าผมเป็นคุณวิระชัย ทรงเมตตา ผมก็คงจะมีความรู้สึกอย่างนี้ ตื่นมาตอนเช้ารู้ว่าคำสั่งสำนักนายกฯ ให้กลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็คงจะภูมิใจ ดีใจ เอ๊ะ เป็นไปได้ไหม ผมนี่อาวุโสอันดับ 1 นะ เอาไปเพราะคิดว่าเขาจะเลือกอาวุโสอันดับ 1 เขาเลยย้ายผมกลับไป แสดงว่าผมมีโอกาสที่จะได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่พอกลับไปแล้วปรากฏว่า ทันทีที่เข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา กองปราบฯ แจ้งว่าเป็นคนที่ทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ในเรื่องของการปล่อยคลิปโทรศัพท์ที่คุยกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แล้วกองปราบฯ ก็ใช้เวลาสืบเสาะไม่นาน 2-3 วันเอง ก็ลงมติว่าผิด เมื่อผิดแล้วก็เลยโดนข้อหาผิดวินัยร้ายแรง เลยโดนสำรองราชการ


ท่านผู้ชมครับ วิธีการก็คือว่า เขาต้องย้าย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา กลับมาที่ ตร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อน เมื่อกลับมาเป็นข้าราชการประจำ ตร.แล้ว ก็เลยจะต้องถูกดำเนินคดีเลยทันที เพราะว่าการไปช่วยราชการอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี การไปดำเนินคดีแบบนั้น กลับมารับข้อกล่าวหา มันอาจจะผิดพลาดทางเทคนิค ก็คือเอากลับมาก่อน พอกลับมาแล้ว สอบเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไร เอาเข้ามา แล้วมารับข้อหาอีกข้อหาหนึ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นั่นคือเบื้องหลังจริงๆ คือการย้ายกลับมาเพื่อมารับข้อหาในเรื่องของผิดวินัยอย่างร้ายแรงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ


ผมจะเรียนให้ทราบนิดหนึ่งนะครับ อีก 2-3 วันข้างหน้านี้ จะมีข่าวใหญ่ชิ้นหนึ่งที่ใหญ่มากๆ ท่านผู้ชมก็รอแล้วกัน ถ้าผมมีเวลา ผมก็อาจจะไลฟ์สดให้ฟัง แต่ถ้าไม่มีเวลา ให้ข่าวนั้นมันออกมาก่อนแล้วกัน


ก่อนที่ผมจะเข้าไปเรื่อง ... ผมตั้งใจจะพูดเรื่องราคาทอง เพราะว่าเรื่องทองที่ราคาขึ้นมานั้น หลายคนก็พูดกันว่าเป็นโน่นเป็นนี่ แต่จริงๆ แล้วมันมีส่วนเกี่ยวพันกับการเลือกตั้งในประเทศอเมริกา ให้ท่านผู้ชมฟังด้วย ระหว่างทรัมป์ โดนัลด์ ทรัมป์ ทรัมป์บ้า กับโจ ไบเดน และมาเกี่ยวข้องกับทองตรงไหน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

ก่อนที่จะไปตรงนั้น เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมานี้ สภาคองเกรสของสหรับอเมริกาได้มีการเชิญตัวผู้ยิ่งใหญ่ในวงการเทคโนโลยี 4 ท่าน ท่านแรก คือ เจฟฟ์ เบโซส์ จากแอมะซอน


ท่านที่สองคือ จากกูเกิล ท่านที่สาม คือ ทิม คุก จากแอปเปิล ท่านที่สี่ก็คือ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก จากเฟซบุ๊ก ทั้งสี่คนนี้่โดนเชิญมาโดยที่สมาชิกสภาคองเกรสทั้งหมดขย้ำทั้งสี่คนนี้ หลักๆ ข้อหาก็คือว่า พวกนี้มีอำนาจมากเกินไปแล้ว และพวกนี้กีดกันคู่ต่อสู้ เนื่องจากใหญ่มากจนกระทั่งคนอื่นที่จะเกิดขึ้นไม่สามารถที่จะเกิดได้ แล้วผูกขาดกิจการต่างๆ เหล่านี้ หลายคนมีความเห็นว่าใหญ่เกินไปแล้ว ต้องซอยออก


ท่านผู้ชมครับ ในอดีตเคยมีบริษัทโทรศัพท์บริษัทหนึ่งในอเมริกา ชื่อ AT&T ใหญ่มาก ใหญ่จนกระทั่งสำนักงานอัยการของกระทรวงยุติธรรมอเมริกา แผนก Antitrust ก็คือต่อต้านการผูกขาด ฟ้องบริษัทนี้ ที่ใหญ่มาก มันคุมโทรศัพท์หมดทั่วประเทศอเมริกาเลย บอกว่าเนื่องจากว่ามันคุมหมดทุกอย่างแล้ว มันมีโอกาสที่จะผูกขาดทุกอย่าง แล้วไม่ให้เจ้าใหม่เกิดขึ้น ในที่สุดศาลก็เลยพิพากษาให้อัยการสหรัฐฯ ชนะ แล้วก็ซอยบริษัทนี้ลงเป็นบริษัทเล็กๆ ก็เลยกลายเป็นบริษัท AT&T ที่ฝั่งตะวันตกบ้าง ทางฝั่งตะวันออกบ้าง ทางฝั่งใต้บ้าง ทางภาคกลางบ้าง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้าง ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้บ้าง ก็เลยถูกซอยย่อย เหมือนกับที่อีลอน มัสก์ เจ้าของเทสล่า ถึงกับพูดเลยว่า แอมะซอนใหญ่เกินไป น่าจะต้องถูกซอยออกไป เพราะตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซื้อขายกันในตลาด แอมะซอนมีส่วนแบ่งอยู่ทุกประการ คือพูดง่ายๆ ว่า เหมือนกับครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว สหพัฒนพิบูล สินค้าที่เราใช้กันทุกวันนี้ จะต้องมีอะไรก็ตามของสหพัฒนพิบูลซึ่งเราหนีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอก ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟัน แต่เนื่องจากตอนหลังมีการแข่งขันมากขึ้น บทบาทของสหพัฒนฯ ที่ผูกขาดตรงนี้ ที่คุมหมดทุกอย่าง ก็ค่อยๆ ลดลงๆๆ


แต่ทีนี้พอมาถึงกรณีของเทคโนโลยี 4 บริษัทนี้ มันทำให้เห็นชัดเจนเลยว่า ใครก็ตามที่อยากจะทำธุรกิจแบบกูเกิล ไม่มีทางเกิดได้ เพราะว่ามันบล็อกไว้หมดเลย เพราะคนใช้กูเกิลกันหมด เหมือนกับมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก เฟซบุ๊ก ใครจะทำอะไรที่จะแข่งกับพวกนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วสหรัฐอเมริกามีเรื่องสำคัญมากที่เขาต้องการให้เกิดการแข่งขันโดยเสรีให้มากพอสมควร นี่เป็นข่าวล่าสุด ก็เลยเล่าเป็นข้อมูลให้ฟัง

ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ผมเคยบอกท่านผู้ชมมานานแล้ว ว่าแบงก์ดอลลาร์มันคือแบงก์กงเต็ก ตอนนั้นไม่ค่อยมีคนสนใจ หัวเราะเยาะ วันนี้คนยอมรับมากขึ้นแล้วว่าแบงก์ดอลลาร์มีโอกาสที่จะเป็นแบงก์กงเต็ก เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าเพราะอะไร


เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีคนถาม คุณสนธิครับ เล่นทองได้ไหมครับ แหมทองมันขึ้นเร็วจัง ขึ้นมากจริงๆ ท่านผู้ชม เมื่อประมาณสมัยประธานาธิบดีนิกสัน ก็ประมาณปี ค.ศ.1960 มั้ง ก็ประมาณ 2510 กว่า ช่วงนั้นท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ทองคำ 1 ออนซ์ ใช้เงินดอลลาร์ซื้อ 35 ดอลลาร์ ท่านผู้ชมจำนะครับ 1 ออนซ์ ใช้เงินดอลลาร์ซื้อ 35 ดอลลาร์ เมื่อประมาณสัก 50-60 ปีที่แล้ว วันนี้ทองคำ 1 ออนซ์ ใช้เงินดอลลาร์ 1,931 ดอลลาร์ ถึงจะได้ทองคำ 1 ออนซ์ ท่านผู้ชมเอา 1,931 ตั้ง เอา 35 หาร เดี๋ยวผมให้ทีมโปรดิวเซอร์หารให้ ออกมาเป็นตัวเลขเท่าไร นั่นคือจำนวนเท่า จำนวนเท่าเกิดขึ้นมา แปลว่าอะไร แปลว่าค่าของเงินดอลลาร์มันตกกี่เท่า 55 เท่า ค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับทองคำ 1 ออนซ์ เมื่อปี 1960 มาวันนี้ค่าเงินดอลลาร์ตกไป 55 เท่า ต้องใช้เงินถึง 1,931 ดอลลาร์ ถึงจะได้ทองคำอันหนึ่ง อุปมาอุปไมยเหมือนสมัยก่อน ยุคหนึ่ง ท่านผู้ชมจำได้ไหม ทอง 1 บาท 400 บาท วันนี้ทอง 1 บาท เกือบ 30,000 บาทแล้ว กี่เท่าล่ะ


ผมจำได้ตอนที่ผมออกรายการกับคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ในเมืองไทยรายสัปดาห์ มีคนถามผมว่า ลงทุนเรื่องอะไรจะกำไรที่สุด ผมบอกลงทุนเรื่องทองคำ ตอนนั้นที่ผมพูด บาทละประมาณ 600 บาทเองมั้ง วันนี้เท่าไรแล้ว ร่ำรวยกันมหาศาล เอาล่ะ ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ ?

ท่านผู้ชมครับ หลักง่ายๆ จำเอาไว้ ทองคำจะขึ้นต่อเมื่อคนไม่ไว้ใจสถานการณ์ เหมือนคนเวลามีเงินมีทองขึ้นมา มีเหตุมีการณ์อะไรเกิดขึ้น เศรษฐกิจทำท่าจะล่มสลาย ไม่ดี สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนก็คือ ต้องเปลี่ยนธนบัตรของตัวเองให้เป็นทรัพย์สินที่ซื้่อมาขายไปได้ง่าย อะไรราคาไม่ตก อะไรก็สู้ทองคำไม่ได้ หรือบางคนมีเงินอยู่ ทำมาค้าขาย มีเงินมีทองเข้ามา ทำงานทำการมีเงินมีทองเข้ามา ลูกก็ถามเตี่ย เตี่ยเอาเงินไปซื้อหุ้นไหม เตี่ยก็จะบอกว่า หุ้นไม่ต้องซื้อ ไปซื้อที่ทิ้งเอาไว้ นี่คือการซื้อ asset ซื้อทรัพย์สินทิ้งเอาไว้ แล้วก็มองว่าในอนาคตนั้นที่ดินจะขึ้นไปเรื่อยๆ ทองคำก็เช่นกัน


ท่านผู้ชมครับ เมื่อเร็วๆ นี้ประเทศตุรกีมีข่าวออกมาว่า ประเทศตุรกีเป็นประเทศที่กว้านซื้อทองคำมากที่สุดในโลกตอนนี้ จีนก็กว้านซื้อทองคำ รัสเซียก็กว้านซื้อทองคำ นัยตรงนี้มันแปลว่าหลายประเทศในโลกนี้เริ่มที่จะไม่ไว้ใจเงินดอลลาร์อีกต่อไปแล้ว


แล้วทำไมทองคำมาเกี่ยวอะไรกับการเลือกตั้งประธานาธิบดี ? มันมีซับซ้อนเล็กน้อย ผมเล่าเรื่องนี้แล้วผมจะนำไปสู่อีกจุดหนึ่งให้เห็น แล้วในที่สุดก็จะย้อนกลับไปว่ามันเกี่ยวพันกับราคาทองคำอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ ผมจะให้ดูโพล ท่านผู้ชมจะเห็นว่า โพลซีเอ็นเอ็นชี้ว่า ถ้าเลือกตั้งวันนี้ ไบเดนจะได้ 55 เปอร์เซ็นต์ ทรัมป์จะได้ 41 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าอะไร ? แปลว่าไบเดน นำทรัมป์อยู่ 14 เปอร์เซ็นต์ โพลซีบีเอส สถานีซีบีเอส บอกว่าห่างกัน 10 เปอร์เซ็นต์ ไบเดนได้ 51 เปอร์เซ็นต์ ทรัมป์ได้ 41 เปอร์เซ็นต์ โพลรอยเตอร์ ห่างกัน 8 เปอร์เซ็นต์ ไบเดนได้ 46 เปอร์เซ็นต์ ทรัมป์ได้ 38 เปอร์เซ็นต์ โพลฟอกซ์นิวส์ ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ที่เชียร์ทรัมป์ ยังบอกว่าทรัมป์ตามไบเดนอยู่ 8 เปอร์เซ็นต์ โพลเอบีซี วอชิงตันโพสต์ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ กับสถานีโทรทัศน์เอบีซี โพลบอกว่าห่างกัน 15 เปอร์เซ็นต์ ไบเดนได้ 55 เปอร์เซ็นต์ ทรัมป์ได้ 40 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าอะไร ? แปลว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ โอกาสที่ทรัมป์แพ้ แน่นอน ท่านผู้ชมรู้ไหม วิธีการที่ทรัมป์คิด ทรัมป์คิดมานานแล้ว


ในช่วงแรก ทรัมป์กำลังพูดในเรื่องของเศรษฐกิจอเมริกา แล้วโจมตีจีน เอาการค้าจีน ขึ้นภาษีจีน เพื่อมาสั่งสอนจีน ให้คนอเมริกันเห็นว่าทรัมป์ปกป้องอเมริกาหมดเลย เอางานทุกอย่างที่เคยอยู่นอกประเทศกลับเข้ามาเมืองตัวเอง แล้วเศรษฐกิจอเมริกากำลังดีวันดีคืน ที่มันดีวันดีคืนเพราะว่าบารัก โอบามา ได้วางรากฐานเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วนายทรัมป์เข้ามา 4 ปี รากฐานที่บารัก โอบามา วางไว้มันกำลังจะเจริญเติบโตต่อไป จากการที่เคยล่มสลายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

ทรัมป์ก็คิดว่าจะใช้ตัวนี้ เศรษฐกิจ เพราะว่าทรัมป์ชอบพูดตลอดเวลาว่า เขาเข้ามาเป็นประธานาธิบดีแล้วตลาดหุ้นขึ้น ขึ้นอย่างมหาศาลเลย ขึ้นจนถึง 20,000 กว่าจุด สูงมาก แต่โควิด-19 ทำให้ทรัมป์ฝันสลาย ฝันสลายเรื่องอะไรบ้าง ฝันสลายเรื่องทำให้คะแนนนิยมที่ทรัมป์เคยนำไบเดน นำมาสูงสุดโต่งเลย ค่อยๆ ตกไปทีละนิด แล้วทรัมป์เป็นนักยุทธศาสตร์ เขาใช้ยุทธวิธีเบี่ยงเบนความสนใจ เหตุผลว่าทำไมช่วงหลังเขาล้มเหลวมากในเรื่องการแก้ปัญหาไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เขากับไมก์ พอมเพโอ ออกมาด่าจีน เรียกว่า Chinese Virus เรียกว่าจีนเป็นต้นเหตุของการทำให้ไวรัส และพูดเลยว่าจีนเป็นศัตรูกับอเมริกา ในช่วงหลังนี้ทรัมป์พูดถึงขนาดที่เรียกว่า จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกา จีนเป็นคนที่ไม่ซื่อ จีนมีสายลับ จีนเป็นประเทศที่น่ากลัวมาก คือพูดง่ายๆ ว่าขายจีนเป็นศัตรูอเมริกาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจออกไป


และแค่นั้นไม่พอ ทรัมป์ก็ได้ทำอะไรลงไปบางอย่าง ทำอะไรลงไปบางอย่างซึ่งผิดปกติวิสัยการทูตเลย เพื่อที่จะตอกย้ำสิ่งที่เขาทำ และการกระทำที่เขามีต่อจีนนั้น จะค่อยๆ แรงขึ้นๆๆ เพราะฉะนั้นทรัมป์ต้องให้เกิดเหตุขึ้นมา นั่นคือที่มาว่าทำไมทรัมป์ถึงปิดสถานกงสุลของจีนที่เมืองฮูสตัน โดยอ้างว่าสถานกงสุลของจีนนั้น ทรัมป์จะต้องทำอะไรแรงขึ้น แล้วทรัมป์ปิดสถานกงสุลที่ฮูสตัน โดยอ้างว่าสถานกงสุลนั้นเป็นที่รวมของสายลับของจีน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาซึ่งนักการทูตทั่วโลกเขาบอกว่าเป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้น แต่ทำไมทรัมป์ทำ แล้วท่านผู้ชมสังเกตอะไรอย่างหนึ่งไหม


ผมมีอะไรบางอย่างที่จะให้ท่านผู้ชมดู เมื่อ 2-3 วันที่แล้ว ทรัมป์ อเมริกากับญี่ปุ่น กำลังซ้อมรบกันในทะเลจีนตอนใต้ เพื่อต่อต้านจีน เสร็จเรียบร้อยแล้วออสเตรเลียประกาศออกมา ส่งเรื่องไปถึงยูเอ็น ประกาศชนจีนเต็มๆ ว่าจีนไม่มีสิทธิ์ทางกฎหมายเลยแม้แต่นิดเดียวในทะเลจีนตอนใต้ ท่านผู้ชมครับ อินเดียก็มาร่วมกับทรัมป์ อินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอเมริกา กำลังเข้าไปสร้างพันธมิตรอินโด-แปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิกขึ้นมา และที่สำคัญ ท่านผู้ชมตามผมมา

ในช่วงหลังอเมริกาเอาเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปอยู่ทางเอเชีย ไปเสริมกำลังกองเรือที่ 5 มี 2 ลำ เรือบรรทุกเครื่องบิน ลำหนึ่งคือ นิมิตซ์ อีกลำคือ โรนัลด์ เรแกน ซึ่งเป็นกองเรือบรรทุกเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุด ไปตั้งที่อ่าวโอกินาวา และเครื่องบินอเมริกาตอนนี้เริ่มลาดตระเวนมากขึ้น แล้วก็ล้ำเข้าไปในอาณาเขตของจีน ล่าสุดเครื่องบินของอเมริกาเข้าไปในพื้นที่ห่างจากเซี่ยงไฮ้ 100 ไมล์ 100 ไมล์นี่ถือว่าใกล้มากสำหรับเครื่องบินที่บินได้ 800 ไมล์ต่อชั่วโมง เร็วกว่าเสียง 100 ไมล์ หมายความว่าอย่างไร ถ้าบินกันจริงๆ นะ ไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงเซี่ยงไฮ้แล้ว แล้วก็มีอีกเหมือนกัน เครื่องบินอเมริกาเริ่มลาดตระเวนไปทางชายแดน ชายฝั่งของจีน ช่องแคบไต้หวัน จีนก็เอาเครื่องบินของตัวเองลาดตระเวนเพื่อข่มขู่ไต้หวัน อเมริกาก็เริ่มลาดตระเวนบ้าง


ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้ ถ้าผมเดาใจทรัมป์ และเดาใจไมก์ พอมเพโอ เขาหวังว่าจะมี accident เกิดขึ้น accident อย่างไร ? ก็คือจีนอาจจะพลาดด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะไม่มีใครทราบ กดจรวดตัวหนึ่ง แล้วยิงเข้าไปหาอเมริกา แล้วเครื่องบินอเมริกาตก นี่ล่ะ สมหวังที่ทรัมป์ต้องการ มีสงครามแล้ว แต่เป็นสงครามจำกัดพื้นที่ ไม่ใช่สงครามโลก สงครามที่ชนกันระหว่างทะเลจีนตอนใต้ เมื่อชนกันอย่างนี้แล้ว ทรัมป์ก็จะได้แสดงความอหังการมมังการ แสดงความห้าวออกมาทันทีเลย เราจะไม่ยอมจีน ประกาศให้กองทัพเรืออเมริกา โอกินาวา เอาเครื่องบินขึ้น โน่นนี่นั่น นี่คือการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน ให้ออกจากโควิด-19 เพราะทรัมป์พ่ายแพ้ไบเดนในเรื่องโควิด-19 มาก พ่ายแพ้อย่างไรผมจะเล่าให้ฟัง

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ถ้าท่านผู้ชมดูแผนที่ เขาจะแบ่งออกเลยว่าสีน้ำเงิน คือสีที่เดโมแครตชนะ สีแดง คือสีที่รีพับลิกันชนะ แล้วมีอยู่ประมาณสัก 6 มลรัฐ ที่เป็นสีขาว อันนี้ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Swing State หมายความว่าเป็นรัฐสมรภูมิ ใครก็ตามชนะ 6 รัฐนี้ได้ คนนั้นเป็นประธานาธิบดี เพราะว่าแดงกับน้ำเงินมันเท่าเทียมกัน ใกล้กันมากเลย แต่ถ้าใครชนะ 6 รัฐนี้ได้ 6 รัฐนี้มีอะไรท่านผู้ชม ? มีมิชิแกน เพนซิลเวเนีย วิสคอนซิน ฟลอริดา แอริโซนา และนอร์ธแคโรไลนา ซึ่งเมื่อ 4 ปีที่แล้วทรัมป์ชนะ 6 รัฐนี้หมดเลย ทำให้ทรัมป์ชนะ Electoral Vote คืออเมริกามี 2 คะแนนเสียง คะแนนเสียงหนึ่งเขาเรียก Popular Vote ที่ลงกัน 1 เสียง 1 คน (One man, one vote) Electoral Vote ก็คือว่า ใครชนะตรงไหนก็สามารถที่จะได้เสียงของรัฐที่ Electoral Vote เข้ามาเสริมอีก จุดสำคัญก็คือว่า ทรัมป์สร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกใน 3 มลรัฐ คือ มิชิแกน เพนซิลเวเนีย วิสคอนซิน เป็นครั้งแรกที่ผู้สมัครรีพับลิกันสามารถเอาชนะผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตได้ในรอบ 30 ปี ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง


เลือกตั้งปี 2559 เมื่อเทียบกับโพลเฉลี่ยล่าสุด โพลเฉลี่ยวันนี้นะ เทียบกับเมื่อ 4 ปีที่แล้ว มิชิแกน ทรัมป์ชนะ 0.2 มาวันนี้ตามโพล ไบเดนนำอยู่ +8 เพนซิลเวเนีย 6 รัฐ รัฐ Swing State หรือที่เรียกว่ารัฐสมรภูมิ เพนซิลเวเนีย เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์ +0.7 วันนี้ไบเดนนำ +7 วิสคอนซิน ปี 2559 ทรัมป์ชนะ 0.8 ไบเดนนำ +6 ฟลอริดา เป็นพื้นที่ของทรัมป์เลย สมัยก่อนทรัมป์นำ +1 วันนี้ไบเดนนำ +6 แอริโซนา ทรัมป์ +4 ไบเดนนำ +3 ณ วันนี้ นอร์ธแคโรไลนา สมัย 4 ปีที่แล้ว ทรัมป์ +4 วันนี้ไบเดนนำ +2 นอร์ธแคโรไลนา มันพื้นที่ของพวกหัวรุนแรงที่เชียร์ทรัมป์ พวกผิวขาวบ้าเลือด รังเกียจผิว นอร์ธแคโรไลน กลายเป็นไบเดนนำแล้ว ทั้งหมดนี้เพราะโควิด-19


เพราะฉะนั้น ทรัมป์รู้อยู่แล้ว ลึกๆ ทรัมป์ก็รู้ว่าโควิด-19 นี่ยังไงก็ตาม อเมริกาตายเกิน 150,000 คนแล้ว แล้วยอดคนติดเชื้อ 4 ล้านกว่า เกือบ 5 ล้านแล้วท่านผู้ชม มีแต่เลวลงๆๆ เศรษฐกิจ ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ขึ้น เศรษฐกิจ คนล้มละลายกันเป็นแถว คนตกงาน 52 ล้านคนตอนนี้ อาทิตย์ที่แล้วมีคนไปสมัครของสวัสดิการในการตกงาน 1.4 ล้านคน อาทิตย์ที่แล้ว เศรษฐกิจแบบนี้ โควิดแบบนี้ ไม่มีอะไรดีเท่ากับหาเรื่องปะทะกับจีน ในทะเลจีนตอนใต้ และไม่มีอันตราย เพราะเป็นสงครมจำกัดพื้นที่ ท่านผู้ชม ถามในฐานะท่านเป็นนักลงทุน ท่านตกใจไหมเรื่องนี้ นักลงทุนจะ sensitive มาก จะอ่อนไหวมาก เหมือนกับคนผิวบาง เขาอ่านข่าวพวกนี้ เขาฉลาดกว่าผม เขารู้เรื่องดีกว่าผม เพราะเขามีแหล่งข่าวเยอะ เขาเห็นแล้วโอกาสที่มันจะเกิดสงคราม มี ท่านผู้ชมครับ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาจะเก็บอะไรไว้ ? เขาต้องขายดอลลาร์ทิ้ง แล้วซื้อทอง เข้าใจหรือยังท่านผู้ชม มันถึงผูกกันไง ถ้าเราจะมองว่าทองคำขึ้นมาโดดๆ เพราะว่าคนกลัวเหตุการณ์ อธิบายไม่ชัด ต้องอธิบายแบบที่ผมอธิบายให้ฟังว่ามันที่มาที่ไปอย่างไร และเขามองว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง มีโอกาสที่ค่อนข้างจะสูง ทองคำถึงขึ้น แต่จะขึ้นหรือไม่ขึ้น ประเด็นไม่ใช่อย่างนั้นสำหรับผม ประเด็นก็คือว่า ถ้า 1,931 ดอลลาร์ แล้วซื้อทองได้ 1 ออนซ์ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ผมอ่านมา ยืนยันว่าทองคำจะขึ้นถึง 3,000 และมีโอกาสเป็นไปได้จะขึ้นถึง 5,000 ดอลลาร์ ต่อ 1 ออนซ์

ท่านผู้ชมครับ ผมเคยพูดมานานแล้วในรายการผมว่า ถ้าผมเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย เงินสำรองในส่วนที่เป็นดอลลาร์ของผม ผมจะไปไล่ซื้อทองแทนดีกว่า เพราะมูลค่าไม่มีความหมายแล้ว เงินดอลลาร์ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าทำไมจีนเวลามีเงินสำรองอยู่ในอเมริกา 2 ล้านล้านดอลลาร์ ขายทิ้งไปเยอะแล้ว เหลือประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เวลาจีนให้ความช่วยเหลือประเทศต่างๆ เขาให้เป็นดอลลาร์ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า เพราะว่าดอลลาร์มูลค่ามันตก ตั้งแต่จีนเอาเงินที่จีนมีไปซื้อพันธบัตรอเมริกาเมื่อ 10-15 ปีที่แล้ว วันนี้มูลค่า ราคาพันธบัตร ราคา real value จริงๆ หายไป 50 เปอร์เซ็นต์ จีนก็เลยใช้เงินดอลลาร์จ่ายไป




ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมทองขึ้น มันมีที่มาที่ไป อ๋อ แน่นอนที่สุด ในช่วงนี้ทองมันขึ้นเพราะว่าแต่ละประเทศเศรษฐกิจไม่ดี อเมริกาตอนนี้กำลังต้องการเงินเข้ามาสนับสนุนภาวะเศรษฐกิจโควิดเพิ่มอีก 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ยุโรป (ยูโร) ก็เพิ่งประชุมกันว่าจะต้องเอาเงินของธนาคารกลางของยุโรป (ECB) เอามาเพื่อสนับสนุนธุรกิจในยุโรป ในกลุ่มอียูด้วยกัน เกือบๆ 1 ล้านล้านยูโร เพราะฉะนั้นมีเงินที่ต้องทุ่มออกมา มันเหมือนกับพิมพ์แบงก์กระดาษออกมา ถามว่าเงินจะเฟ้อไหม ถามว่าจะไปรอดไหม ถ้ามันไปไม่รอด ค่าเงินทุกประเทศจะตกหมด และนั่นก็ผสมกับเรื่องของสงคราม ความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น ผสมกับความบ้าของทรัมป์ทำให้โอกาสที่จะเกิด เกิดขึ้นมาก มันก็เลยทำให้ทองคำขึ้่นเอาๆๆ


ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็เป็นเรื่องราวหลายๆ เรื่องผสมผสานกัน อาทิตย์หน้าก็ยังมีเรื่องราวที่สนุกอีก แต่ผมขออุบไว้ก่อน ไม่เล่าให้ฟัง แต่จะเล่าให้ฟังว่ามันสนุกสนานอย่างแน่นอนที่สุด วันนี้วันที่ 31 พรุ่งนี้ก็สิงหาคมแล้ว อีกไม่เกิน 11 วัน ก็เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 แล้วก็เลยกลางปีแล้วนะท่านผู้ชม เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะครบ 1 ปี ท่านผู้ชมครับ สถานการณ์ไม่ค่อยจะดี ไม่แน่ผมอาจจะพูดอาทิตย์หน้าก็ได้ในเรื่องสถานการณ์ม็อบชนม็อบ หรือสถานการณ์การเมืองที่ดูแล้วค่อนข้างจะหาทางออกไม่ค่อยได้ แต่ขอดูอีกทีว่าจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญกว่านี้หรือเปล่า

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราจากกันด้วยเพียงแค่นี้ ขอให้มีความสุขในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น