เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลังจากที่ได้เห็นกิจกรรมและคำพูดบนเวทีชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่ผ่านมา รวมไปถึงการเปิดข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ของแกนนำที่ร่วมเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ในชื่อ เยาวชนปลดแอก จนมาในชื่อใหม่ว่า ประชาชนปลดแอก อย่าง นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” ที่มีเป้าหมายพุ่งตรงไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยพวกเขากล่าวอย่างภูมิใจ ว่า กล้าพูดในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรแบบนั้น
ต่อมาก็มีรายชื่อคณาจารย์จากหลายมหาวิทยาลัยหลายคนที่ล้วนแล้วแต่มีทัศนคติในทางลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และมีการวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งในทางลับและเปิดเผยมาต่อเนื่อง ก็ออกมาให้การสนับสนุนและปกป้องข้อเรียกร้องดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นข้อเรียกร้องในกรอบของรัฐธรรมนูญ ที่ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดออกมาตรงๆ
ดังนั้น หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่ออกมาล่าสุดนี้ ก็ต้องถือว่า “ไปไกลกว่าการเรียกร้องให้มีการแก้ไข หรือให้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่อ้างว่า เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย หรือเป็นฉบับของประชาชน” แล้ว เพราะเป้าหมายไปไกลกว่านั้นแล้ว ขณะเดียวกัน ก็เพิ่งเข้าใจความหมายจากคำพูดของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่เคยพูดก่อนหน้านี้ว่า “คู่ต่อสู้ของเรามีแค่คนเดียว” ว่าหมายถึงใคร
แน่นอนชัดเจนอีกว่า ด้วยข้อเรียกร้องทั้ง 10 ข้อที่ว่า รวมไปถึงเป้าหมายหลักดังกล่าว คงไม่ใช่มาจากสติปัญญาของพวกเยาวชนไร้เดียงสาพวกนี้อย่างเด็ดขาด แต่มาจากความคิด “หัวหงอก หัวดำ” ที่คอยครอบงำยุยงบรรดาเยาวชนนักศึกษาตามรั้วมหาวิทยาลัยต่างๆ นั่นเอง
หากย้อนกลับไปในการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกครั้งจะมีการพูดถึงเรื่องการแก้ไข หรือยกร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย หรือยกเลิก ป้องกันการสืบทอดอำนาจ โดยจะไม่มีการแตะต้องในหมวดพระมหากษัตริย์ และคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ในตอนแรกที่มีการเริ่มชุมนุมเรียกร้อง ก็เริ่มมาจากเรื่องดังกล่าว อ้างเหตุผลเรื่องเผด็จการสืบทอดอำนาจ และปัญหาการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
และที่ผ่านมา แทบทุกฝ่าย หรือทุกฝ่าย แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็เปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยคาดว่าจะเริ่มขึ้นภายในสมัยประชุมสภาสมัยหน้า และรอผลสรุปของคณะกรรมาธิการศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธานเสร็จเรียบร้อยก่อน ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการชุดนี้ก็เคยมี
การแถลงในเบื้องต้นออกมาแล้วว่า “เสนอแก้ไขแน่” เพียงแต่ว่าจะแก้ไขแบบไหน โดยเฉพาะที่เห็นตรงกัน ก็คือ การเริ่มต้นแก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เหมือนกับการ “ปลดล็อก” ให้การแก้ไขทำได้ง่ายขึ้นก่อน ส่วนจะมีการแก้ไขให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือ ส.ส.ร.ขึ้นมานั้นค่อยมาว่ากันในภายหลัง เหมือนกับว่าให้เดินไปทีละขั้นตอน นั่นคือต้อง“เปิดประตู”เข้าไปให้ได้ก่อน
ซึ่งหากสรุป ณ ตรงนี้ ก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป้าหมายเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนั้นเป็นไปได้ เพราะทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน รวมไปถึงวุฒิสภา ก็มีท่าทีเห็นด้วย แม้ว่าจะมีความเห็นที่แตกต่างกันในทางมาตรา โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอำนาจของวุฒิสภาและที่มา แต่เชื่อว่า ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปการแก้ไขในประเด็นหลักๆ โดยเฉพาะในมาตรา 256 ดังกล่าวนั้น จะต้องมีการแก้ไขแน่ เพราะนี่คือการ “เปิดประตู” รอเอาไว้สำหรับการแก้ไขในอนาคต
นั่นคือ เป้าหมายร่วมกันในอนาคตสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อ้างเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และประชาชนมีส่วนร่วม แต่นาทีนี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนขึ้นของกลุ่ม “ปลดแอก” ที่มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มและนักวิชาการบางกลุ่มที่อยู่ข้างหลังเด็กๆ เยาวชนเคลื่อนไหวแบบ “เลยเถิด” ในเวลานี้ โดยพุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน และกำลังสร้างความไม่สบายใจให้กับสังคมส่วนใหญ่ในเวลานี้ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความรุนแรง ซ้ำร้อยเหตุการณ์ในอดีต
เพราะการเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่ใช่มีเป้าหมายเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการยกร่างฉบับใหม่ตามที่อ้างเพื่อความเป็นประชาธิปไตยขัดขวางการสืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่จงใจก้าวล่วงหรือ “จาบจ้วง” ที่สังคมส่วนใหญ่เกินจะยอมรับได้ ขณะที่กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเด็กๆ เหล่านี้ก็มีเจตนาทำให้เห็นว่าต้องการ “ยั่วยุ” ให้สถานการณ์บานปลายโดยใช้เด็กๆ เป็นเครื่องมือ ซึ่งถือว่า “อำมหิตมาก” เพราะเหมือนกับว่า “เล็งเห็นผล” ที่จะตามมา
อย่างไรก็ดี เชื่อว่า เวลานี้สังคมเริ่มตั้งสติกันมากขึ้น ย่อมมองออกว่าใคร และกลุ่มไหน คอยยุยงบงการอยู่ข้างหลัง และทุกอย่างมันก็เริ่มเห็นชัดเจนออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่เรียกว่า “ล่อนจ้อน” หมดแล้ว เวลานี้ก็เหมือนกับว่า ได้เวลาเปิดหน้าเผยตัวตนออกมาให้เห็นแล้วว่า “มีใครบ้าง” ซึ่งก็คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้ว !!