“พีระพันธุ์” ออกปาก ฟังอัยการแถลงแล้วเหนื่อยใจ สรุป “แค่ปฏิรูปคงไม่พอ” ด้าน “แก้วสรร” แพร่บทความ “4 ปมร้อนคดีบอส” ที่ยังไม่มีคำตอบ ทิ้งท้าย พอกันทีใช่ไหม กับ อำนาจดุลพินิจที่เละเทะ “คณะกรรมการอัยการ กับ ป.ป.ช. ทนได้ไหม?”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (5 ส.ค. 63) เฟซบุ๊ก “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - Pirapan Salirathavibhaga” ของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 โพสต์ข้อความ ที่มีสาระสำคัญ เกี่ยวกับคดี “บอส” วรยุทธ อยู่วิทยา อันเนื่องมาจากปัญหาอัยการสั่งไม่ฟ้อง ว่า
“ยุติธรรมค้ำจุนชาติ” ความยุติธรรม กับ ความอนาถใจ ตั้งใจจะเขียนเรื่องพยานบอกเล่าและพยานที่เป็นความเห็นที่รับฟังไม่ได้ตามกฎหมาย และเรื่องทางออกของการถกเถียงเรื่องความเร็ว แต่ฟังการแถลงของอัยการเมื่อวานนี้แล้วเหนื่อยใจ เพราะประเด็นเยอะขึ้นทุกวันจนลำดับเรื่องไม่ถูกแล้วครับ ไม่น่าเชื่อว่า คดีขับรถชนคนตายที่เป็นความผิดที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เหมือนคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวันคดีนี้ จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อถือในระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เพียงเพราะคดีนี้มีผู้กระทำผิดเป็นอภิมหาเศรษฐีไฮโซ ไม่ใช่ชาวบ้านร้านช่องเหมือนคดีอื่นๆ เท่านั้น มันคุ้มไหมครับกับสิ่งที่ทำๆ กันลงไป
ผมเคยพิจารณาพิพากษาคดีประเภทนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่เคยมีคดีใดเลยที่ผู้เกี่ยวข้องกับการสอบสวนและฟ้องคดีถูกสังคมตรวจสอบและโต้แย้ง ไม่เชื่อจนวุ่นวายเหมือนคดีนี้ บางครั้งแค่ฟังเสียงก็ไม่แน่ใจว่าฝ่ายไหนเป็นคนพูด ต้องหันไปดูภาพข่าวประกอบจึงทราบว่า อ้อ! ฝ่ายที่ต้องเป็นคนฟ้องคดีเป็นคนพูด
ถ้ามองในแง่ดี ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ ก็เห็นได้ว่ากระบวนการสอบสวนและการสั่งฟ้องคดีนี้ ล้มเหลว น่าสงสัย และสังคมไม่ให้ความเชื่อถืออีกต่อไปแล้ว นี่ขนาดคดีง่ายๆ ธรรมดาๆ ยังเป็นแบบนี้ แล้วคดีใหญ่ๆ ซับซ้อนมากๆ จะเชื่อถือได้อย่างไร หากไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนอยู่เบื้องหลัง ก็คงต้องแก้กฎหมายให้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนฟ้องร้องคดีต้องเข้ารับการอบรมกฎหมายทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี เป็นอย่างน้อย เพราะคดีนี้ชี้ให้เห็นว่า ยิ่งทำงานยิ่ง....... จริงๆ นะ ถ้าผมมีอำนาจหน้าที่แก้ไขเรื่องนี้เมื่อไร ผมทำแน่นอน!!!
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 7 สิงหาคม “วันรพี” ที่เป็นวันระลึกถึงกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย ผมจำคำสอนที่ท่านทิ้งไว้ให้บรรดานักกฎหมายไม่ว่าจะมีตำแหน่งหน้าที่อะไรได้อย่างขึ้นใจ ว่า “เอ็งกินเหล้าเมายา ไม่ว่าหรอก แต่อย่าออกนอกทางให้เสียผล จงอย่ากินสินบาท คาดสินบน เรามันชนชั้นปัญญาตุลาการ”
หัวใจของคำสอนของพระองค์ คือ ให้นักกฎหมายทั้งหลายตระหนักถึงเกียรติยศศักดิ์ศรียิ่งกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวและสิ่งที่เรียกว่า “สินบน” ไม่รู้ว่าวันที่ 7 สิงหาคม นี้ จะมีคนใหญ่คนโตกี่คนในกระบวนการยุติธรรมที่กล้าปฏิญาณว่ายังยึดมั่นในคำสอนของพระองค์ไม่เสื่อมคลาย ผมเชื่อในประโยคที่ว่า “หัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก”
เรื่องนี้ควรจะต้องถกเถียงกันในเรื่องพฤติการณ์แห่งคดีและสิ่งที่กฎหมายเรียกว่า “พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี” ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาลจะใช้พิจารณาการกระทำของผู้กระทำผิดมากกว่าประเด็นเรื่องความเร็ว ว่าเข้าองค์ประกอบหลักของความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่ มากกว่าทฤษฎีทางวิชาการเรื่องความเร็วที่ศาลถือว่าเป็นเพียง “ความเห็น” ซึ่งมีน้ำหนักในการพิสูจน์ความผิดในระดับท้ายๆ
แต่ดูแล้วเรื่องความเร็วนี้คงจะจบยาก ไม่รู้ว่าเป็นไปโดยธรรมชาติหรือมีคนไม่อยากให้จบ จะได้ไม่ต้องไปขุดคุ้ยเรื่องอื่นที่น่าสงสัยและควรจะตรวจสอบมากกว่า เช่น เหตุใด นายเนตร นาคสุข ในขณะสั่งฟ้องคดีเป็นเพียงอธิบดีอัยการธรรมดา จึงมาเกี่ยวข้องสั่งคดีนี้ได้ ทั้งๆ ที่เจ้าของสำนวนเดิมสั่งฟ้องไปแล้ว นายเนตรได้รับมอบอำนาจสั่งคดีมาจากใครตามกฎระเบียบใด มีอัยการท่านอื่นที่อาวุโสหรือมีตำแหน่งสูงกว่านายเนตรที่ควรจะเป็นผู้มีอำนาจสั่งคดีแทน อสส. หรือไม่
ทำไมเมื่อจะต้องสั่งคดีสำคัญๆ ขึ้นมาทีไรก็จะต้องมีเหตุให้ อสส.ไม่อยู่ทุกที และเมื่อ อสส.ไม่อยู่ทีไร เหตุใดคนสั่งคดีพวกนี้จึงต้องเป็นนายเนตรทุกครั้งทุกทีไป ไม่มีอัยการท่านอื่นที่มีอาวุโส หรือมีตำแหน่งสูงเหมาะสมกว่าหรือ คดีเล็กน้อยขับรถชนคนตายแค่นี้ทั้งพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีจริงหรือ ฯลฯ เหล่านี้คือข้อสงสัยและเป็นปัญหาที่ต้องมีคำตอบ
ในเรื่องการใช้ดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องหรือไม่เห็นแย้ง ก็มีข้อสงสัยว่า เหตุใดจนบัดนี้ที่สังคมจะทนไม่ไหวแล้วนั้น ทั้งนายเนตร กับ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ซึ่งเป็นผู้ใช้ดุลพินิจก็ยังไม่ออกมาชี้แจงอธิบายเหตุผล และเหตุใดผู้บังคับบัญชาจึงไม่สั่งการให้ออกมาชี้แจงเหตุผลด้วยตนเองเช่นกัน
แต่กลับให้คนอื่นออกมาอธิบายในสิ่งที่คนทั้งสองนี้ทำลงไปเต็มไปหมด แล้วพยายามมาอธิบายให้สังคมเชื่อ พอโดนถามหนักๆ ในเรื่องการใช้ดุลพินิจซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ตอบไม่ได้ ก็แก้ตัวว่าไม่อาจก้าวล่วงการใช้ดุลพินิจของท่านนั้นๆ ได้ ก็ถ้าเช่นนี้ทำไมไม่ให้เจ้าตัวออกมาชี้แจงแถลงไขเอง แทนที่จะตั้งคนอื่นมาเป็นทนายหน้าหอแก้ตัวให้ เหมือนกับไม่ต้องการให้เจ้าตัวต้องถูกซักถาม มันปกติหรือไม่ครับ
ไม่รู้จริงๆ หรือครับว่า การทำเช่นนี้ก็เข้าหลักการเป็นพยานบอกเล่าหรือเป็นเพียงความเห็นของผู้ชี้แจงที่ฟังไม่ได้ตามกฎหมายเช่นกัน
ประเด็นเรื่องดุลพินิจนี้เป็นประเด็นสำคัญ หากชี้แจงไม่ได้หรือไม่มีเหตุผลเพียงพอ ก็เท่ากับว่า เป็นการใช้ดุลยพินิจสั่งการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผลคือ ผู้ออกคำสั่งต้องรับผิด และคำสั่งนั้นเป็นโมฆะ ตามทฤษฎีกฎหมายที่ว่า “ผลของต้นไม้พิษยังไงมันก็เป็นพิษ” เมื่อการใช้ดุลพินิจเป็นเรื่องเฉพาะตัว ผิดถูกก็ให้เจ้าตัวอธิบายกันไป เหตุใดจึงต้องเอาความน่าเชื่อถือขององค์กรทั้งองค์กรมาออกรับแทนคนสองคน ทำไมไม่ให้เขาชี้แจงเอง น่าประหลาดหรือไม่
เมื่อพูดถึงพยานที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็บอกว่าไม่ใช่พยานใหม่ แต่มาให้การเป็นพยานตั้งแต่ 5 วันหลังเกิดเหตุ แล้วทำไมต้องรอถึง 7-8 ปี เพื่อจะให้พยานระลึกชาติย้อนหลังไปว่าเมื่อ 7-8 ปีที่แล้วในขณะเกิดเหตุขับรถด้วยความเร็วเท่าใด หาก “ความเร็ว” เป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดในคดีนี้จริงๆ แล้ว
ทำไมพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน จึงสั่งฟ้องไปแล้วได้ และทำไมต่อมาพนักงานอัยการผู้อื่นจึงค่อยเตือนสติให้พนักงานสอบสวนไปหาข้อมูลนี้มาเพิ่มหลังเวลาผ่านไป 7-8 ปี ทำไมต้องรอให้ผู้กระทำผิดร้องขอความเป็นธรรมเตือนสติอัยการก่อน แล้วอัยการจึงไปเตือนสติพนักงานสอบสวนอีกที่หนึ่ง พยานผู้นี้ก็เก่งจริงๆ ยังจำได้เป๊ะว่าในเวลาตี 5 เมื่อ 7-8 ปี ก่อน ขับรถด้วยความเร็วเท่าใด คนที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมก็เป็นคนจำแม่นพอสมควร แต่ผมยังจำไม่ได้เลยว่า เมื่อวานตอน 5 โมงเย็น ผมขับรถด้วยความเร็วเท่าใด เพราะจะมีสักกี่คนที่เวลาขับรถสายตาจะจ้องมองอยู่ที่เข็มวัดความเร็ว และจะมีกี่คนที่เวลาพบอุบัติเหตุจะก้มลงไปดูทันทีเลยว่า ขณะนั้นตนเองขับรถด้วยความเร็วเท่าใด
ท่านผู้อ่านจำได้ไหมครับว่า ก่อนอ่านโพสต์ของผมท่านขับรถมาด้วยความเร็วเท่าใด พนักงานสอบสวนและอัยการบอกว่า รถของพยานคนนี้อยู่ตรงที่เกิดเหตุพอดีและอยู่ในภาพวงจรปิด แต่ไม่บอกว่ามีพยานหลักฐานใดเชื่อได้ว่า พยานคนนี้เป็นเจ้าของรถหรือเกี่ยวข้องกับรถคันดังกล่าวอย่างไร
มีพยานหลักฐานใดที่ทำให้เชื่อได้ว่า พยานผู้นี้เป็นคนขับรถหรืออยู่ในรถคันดังกล่าวในเวลานั้นจริง นอกจาก “คำบอกเล่า” ของพยานเอง พยานนั่งรถมากับใครที่ยืนยันข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ พยานกำลังจะไปที่ไหนในเวลาตี 5 ทั้งๆ ที่พยานมีภูมิลำเนาอยู่เชียงใหม่ แต่กลับมุ่งหน้าไปทางพระโขนง ซึ่งเป็นเส้นทางไปชลบุรีด้วยเหตุผลใด มาทำอะไรอยู่ที่กรุงเทพฯ จะไปไหน มีธุระอะไรในเวลาตี 5 ฯลฯ เหล่านี้ที่พนักงานสอบสวนจะต้องสอบสวนให้ได้ความชัดเจน จนมีพยานหลักฐานที่หนักแน่นเพียงพอที่เชื่อได้ก่อนที่จะรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดเหตุว่าพยานผู้นี้เป็นประจักษ์พยานจริง มิใช่พยานบอกเล่าที่ไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมาย แต่แทนที่จะให้ได้ความชัดเจนเรื่องนี้ก่อนกลับไปฟังคำบอกเล่าของพยานผู้นี้เลย แล้วนำมาเป็นประโยชน์แก่ผู้กระทำผิด
มันข้ามขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่!!! พยานที่เป็นทหารและข้อพิรุธน่าสงสัยอื่นๆ ค่อยว่ากันทีหลังนะครับ อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องรอยเบรก อัยการแถลงว่า ที่ไม่มีรอยเบรกเป็นเพราะรถเฟอร์รารีของผู้กระทำผิดมีระบบเบรก ABS ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกจริงๆ คราวก่อนตำรวจบอกว่า สารโคเคนในเลือดมาจากยาที่ใช้ในการทำฟัน หมอฟันออกมาบอกว่า ไม่จริงและเลิกใช้สารนี้ในการทำฟันมาแล้วประมาณ 140 ปี คราวนี้อัยการบอกว่า ไม่มีรอยเบรก เพราะรถมีระบบเบรก ABS
นี่มันปี พ.ศ. 2563 ค.ศ. 2020 แล้วนะครับ ระบบเบรก ABS มีใช้แรกๆ ประมาณ พ.ศ. 2523 หรือประมาณ ค.ศ. 1980 ประมาณ 40 ปีก่อน เกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว ในช่วงแรกๆ เป็นอุปกรณ์เสริมราคาแพง แต่ปัจจุบันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มากับรถแทบทุกคัน แทบทุกรุ่น และแทบจะทุกประเภท ระบบเบรค ABS ไม่ใช่ระบบป้องกันไม่ให้เกิดรอยเบรคบนถนน และไม่ใช่ระบบลบรอยเบรกเหมือนยางลบดินสอนะครับ แต่เป็นระบบป้องกันการลื่นไถลเวลาเบรกครับ พูดง่ายๆ คือ ช่วยการทรงตัวป้องกันไม่ให้รถลื่นไถลไปซ้ายหรือขวาเวลาเบรกฉุกเฉินขณะรถมีความเร็วสูงเท่านั้น แต่ร่องรอยการเบรกบนพื้นถนนยังมีอยู่ตามความเร็วของรถเช่นเดิม ดูได้จากการเกิดอุบัติเหตุทั่วไปในปัจจุบันที่มีรอยเบรกเสมอ รถเหล่านั้นแทบทุกคันก็มีระบบเบรก ABS กันหมดแล้ว จริงๆ แล้ว ถ้าไม่มีรอยเบรกก็คือชนโดยไม่ได้เบรกนั่นเอง ไม่ประมาทก็เจตนาย่อมเล็งเห็นผลครับ
ถ้าจะสรุปว่า เป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์ของนายดาบที่พยายามยกขึ้นมาสร้างความชอบธรรมให้ใครสักคนหนึ่งแล้วละก้อ ก็ควรพิจารณาตั้งข้อหานายดาบว่าขับรถโดยประมาทไม่หลบหลีกให้รถที่แล่นมาด้วยความเร็วสูงจนเป็นเหตุให้ตนเองถึงแก่ความตายเลยจะดีไหม อนาถใจจริงๆ แค่ปฏิรูปคงไม่พอแล้วครับ”
ขณะเดียวกัน วันนี้ แก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง “คำถามที่ยังไม่มีคำตอบจากตำรวจและอัยการ ในคดี “บอส” ผ่านเว็บไซต์ www.thaipost.net โดยมีเนื้อหาดังนี้
หลังจากที่ให้เกียรติรอฟังคำชี้แจงจากคณะทำงานตรวจสอบคดีบอส ของอัยการ จนได้คำตอบมาพอสังเขปแล้วในวันนี้ (4 ส.ค.) ผมก็เห็นว่ายังมีคำถามสำคัญที่ยังไม่ได้ตอบอีกไม่น้อย ดังจะขอทวงถาม ไปโดยลำดับดังนี้
คำถามที่ 1 : หลักฐานไม่พอฟ้อง ?
1.1) คำอธิบายว่า “หลักฐานไม่พอฟ้อง” นั้นรับฟังได้ ถ้าไม่มีใครเอาหลักฐานที่พอฟ้องได้ออกไปจากสำนวน คำถามจึงมีอยู่ว่าทำไมผลการตรวจเลือดของนายบอส ที่สาขาวิชานิติเวช คณะแพทย์ รามาฯ ที่รายงาน สน.ทองหล่อ เป็นทางการว่า “พบ Cocaethylene อันเป็นสารที่เกิดขึ้นในเลือดในกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย (Metabolism) หลังการเสพ Cocaine ร่วมกับแอลกอฮอล์” นั้น แล้วทำไมรายงานนี้จึงไม่มีอยู่ในสำนวนสอบสวนที่อัยการส่งให้อัยการกรุงเทพใต้ ใครเอาออกไป จนสั่งไม่ฟ้องคดีในฐาน เมาสุรา หรือเมายาขับรถ
1.2) ในสำนวนสอบสวนดังกล่าว รายงานไว้อย่างไร ทำไมอัยการกรุงเทพใต้ทั้งผู้รับผิดชอบและอธิบดีใน ปี 2559 จึงไม่สงสัยเลยว่า รถพังยับเยินอย่างนี้ ควรจะมีผลการตรวจแอลกอฮอล์ หรือยาเสพติดจากสถาบันทางนิติเวช เช่น คดีปกติทั่วไปมาแสดงในสำนวนสอบสวนด้วย อำนาจดุลพินิจอัยการที่เชื่อตำรวจไปหมดจนไม่ยอมสงสัยอะไรเลยอย่างนี้ นี่คืออำนาจตรวจสอบของอัยการที่เราต้องยอมรับ เช่นนั้นหรือ
1.3) คดีนี้ เรื่องเมาเหล้าหรือเสพยาขับรถนี้ สำคัญมากๆ หากขับรถชนคนตายแล้ว ก็ติดคุกถึง 10 ปี เท่ากับขับรถโดยประมาทเลยทีเดียว ผิดติดคุกโดยพนักงานสอบสวนและอัยการไม่ต้องพิสูจน์ความเร็วรถ หรือความประมาทของใครเลย พยานตรวจเลือดที่สำคัญที่สุดอย่างนี้ อัยการไม่บี้ให้กระจ่างได้อย่างไร
1.4) มาวันนี้ หากเสนอกันไว้ว่าจะหยิบเรื่องโคเคนขึ้นมาเป็นหลักฐานใหม่เพื่อดำเนินคดี ก็อย่าไปเอาผิดเฉพาะความผิดตามกฎหมายยาเสพติดเท่านั้น ต้องใช้ความผิดฐานเมายาขับรถชนคนตาย ตามกฎหมายจราจรทางบกนี้ด้วย
คำถามที่ 2 : อำนาจให้ความเป็นธรรมของอัยการสูงสุด?
2.1) คดีข้อหาประมาทนี้ อัยการกรุงเทพใต้สั่งฟ้องไปแล้ว รอแต่หาตัวมาส่งฟ้องต่อศาลเท่านั้น แล้วอำนาจอัยการสูงสุดยังมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องทับลงไป ตามคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาบอสได้อีกหรือ
2.2) ยิ่งไปกว่านั้น คำร้องขอความเป็นธรรมที่ว่านี้ เมื่อร้องไปยังอัยการสูงสุดคนก่อน ก็ได้มีการพิจารณา และใช้อำนาจอัยการสูงสุดสั่งให้ยุติกระบวนการพิจารณาคำร้องนี้แล้วอีกด้วย อัยการสูงสุดคนใหม่จะมาสั่งทับคำสั่งยุติคำร้องนี้อีกได้อย่างไร กฎหมายอัยการบอกว่าอัยการสูงสุดคนใหม่ต้องมีอำนาจสูงสุดกว่าคนก่อนอย่างนั้นหรือ อัยการประเทศไหน
คำถามที่ 3 : อำนาจร้องสอดของกรรมาธิการ?
เมื่ออัยการสูงสุดคนก่อนสั่งยุติเรื่องแล้วคำร้องนี้จึงไหลมาเข้าที่ประชุม กมธ.กฎหมาย ของสภา หรือ สนช. แล้วจากนั้นก็มีหนังสือจาก กมธ.นี้ส่งไปยัง อสส.ปัจจุบัน แล้วมีการใช้อำนาจ อสส.สั่งไม่ฟ้องข้อหาประมาททำให้คนตายไปในที่สุด
3.1) คำถามแรกมีอยู่ว่า หนังสือนี้ระบุความเห็นว่าอย่างไร และจริงหรือไม่ที่มีผู้ชี้แจงว่า ที่ประชุม กมธ.ไม่ยอมรับพิจารณาคำร้องนี้เลย แล้วเหตุใดจึงมีหนังสือถึง อสส. ออกมาได้ในนามของคณะกรรมาธิการ มีใครในคณะกรรมาธิการออกหนังสือโกหก เปิดเกมให้พิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมอีกครั้งอย่างนั้นหรือ ถ้ามี ใครควรจะเป็นจำเลยในก๊วน 157 นี้บ้าง
3.2) หนังสือนี้ส่งถึง อสส. คนปัจจุบัน ใครเป็นผู้ใช้อำนาจ อสส.รับเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ อสส.เดิมสั่งยุติไปแล้ว กมธ.มีอำนาจอะไรมาสอดส่าย ให้ สนง.อัยการสูงสุด รับเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ไหนว่ารัฐธรรมนูญรับรองให้อัยการเป็นองค์กรอิสระไปแล้ว จริงหรือไม่ว่า อัยการที่รับหน้าที่กลั่นกรองเรื่อง ได้ตรวจและเสนอเป็นเบื้องต้นไว้แต่แรกแล้วว่า พยานตามคำร้องไม่พึงรับฟัง แล้วเบื้องบนคนไหนสั่งฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ให้สอบพยานเพิ่มเติมตามคำร้องได้ ใช่ อสส.คนปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร ไม่ใช่ไปต่างจังหวัดแล้วหรือ
คำถามที่ 4 : ยังทนดูกันต่อไปได้อีกหรือ ?
การเต้นตามคำร้องขอความเป็นธรรมของจำเลยหรือผู้ต้องหา (ที่มีฐานะ) อย่างยืดเยื้อ ไม่มีหยุด แล้วลงเอยเป็นการใช้อำนาจดุลพินิจสั่งไม่ฟ้องอย่างน่าคลางแคลงของอัยการ ที่ไม่มีใครตรวจสอบได้นี้ ระเบิดเป็นคำถามตามรายทางมาหลายปี และถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่น่าจะทนกันได้อีกต่อไปแล้ว
4.1) ที่ส่งฟ้องไปแล้ว ก็ยังถอนฟ้องได้ เช่น คดีธัมมชโย หรือไม่ก็ไม่อุทธรณ์ไปเสียเฉยๆ เช่น คดีโอ๊ค ก็ทำมาแล้ว ทั้งๆ ที่คดีนี้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเขาเห็นตามอัยการและดีเอสไอแล้วด้วย
4.2) คดีธรรมกาย คดีวิคตอเรีย สองคดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทุ่มเทเต็มที่ อัยการที่ร่วมสอบสวนก็ยืนหยัดเห็นด้วยจนเห็นควรเสนอให้ฟ้อง แต่อัยการในสำนักงานก็สั่งสอบเพิ่มเติมตามคำร้องจำเลยมาตลอด แล้วก็สั่งไม่ฟ้องไปในที่สุด จนไม่รู้จะให้อัยการมาร่วมสอบสวนกับดีเอสไอเขาทำไม ในเมื่อไม่ฟังเขาเลยอย่างนี้ ทำไมไม่ให้ดีเอสไอฟ้องเองไปเลยจะไม่ดีกว่าหรือ ในเมื่ออัยการก็เข้ามาร่วมสอบสวนตั้งแต่แรก เหมือนนานาประเทศเขาแล้ว
4.3) มาคดีบอสนี่ บานปลายสูงสุดถึงขนาดอัยการสั่งคดีทับกันเองได้ ราวกับเป็นศาลพิพากษาทับกันเองไปมา ตามที่จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกากะให้ถึงที่สุดเลยทีเดียว แถมชั้นฎีกายังมี กมธ.สภาร้องสอดเข้ามาอีกด้วย
พอกันทีแล้วใช่ไหม กับ “อำนาจดุลพินิจ” ที่เละเทะแบบนี้ ?
คณะกรรมการอัยการ กับ ป.ป.ช. ทนได้ไหมครับ?
จากความเห็นของทั้งสองผู้รู้ด้านกฎหมาย แทบจะครอบคลุมประเด็นที่น่าสนใจ และปัญหาคาใจทั้งหมด เกี่ยวกับ คดี “บอส อยู่วิทยา” ในขณะนี้
เหลือก็แต่ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ชุดความหวัง ของ “วิชา มหาคุณ” จะสรุปคำตอบตรงปัญหาคาใจเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน หรือไม่ แค่ไหน เท่านั้นเอง