“หมอวรงค์” เปิดเกมท้าทาย “3 นักการเมือง” อยู่เบื้องหลังม็อบ บงการผ่านเด็กสมบูรณ์ “ปิยบุตร” ชิมลางก่อนสุกงอม ปลุก “ปฏิวัติ”! ร่ายวาทกรรม “แค้น-หวัง” พังสิ่งเก่า สร้างสิ่งใหม่ “สลิ่ม” เคลื่อนไหวหนุนกองทัพป้องสถาบัน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 ก.ค. 63) เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก โพสต์ข้อความระบุว่า
“พี่น้องสลิ่มทุกท่าน!!!
สัญญาณอำมหิตมาแล้วครับ จากคำพูดนักการเมืองคนหนึ่ง
“ถึงปัญหาตอนนี้
หากไม่ยอมรับความจริง อาจเกิดเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่อยากเห็น นั่นคือความรุนแรง”
นี่คือสัญญาณอำมหิตที่เขาต้องการให้เกิด
ผมขอเชิญชวนพี่น้องสลิ่มทุกท่าน ช่วยกันเรียกร้องผ่านโซเชียล
“เรียกร้องนักการเมือง 3 คน อย่าเป็นอีแอบในห้องแอร์ มัวแต่บงการผ่านเด็กสมบูรณ์ แน่จริงเปิดหน้ามา อย่าปล่อยลูกหลานประชาชนต้องมาลำบาก แต่ไม่ยอมอยู่กับเขา ถึงเวลามีปัญหาก็เอาตัวรอด หรือว่า พวกคุณรู้ว่า หลังจบม็อบ แกนนำมีคดีติดตัวทุกคน พวกคุณจึงไม่กล้า”
พวกเราชาวสลิ่ม ช่วยกันโพสต์ เรียกร้องนักการเมือง 3 คนนี้ด้วยครับ.”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตเลขาธิการ อดีตพรรคอนาคตใหม่ โพสต์หัวข้อ [ ห้วงเวลาปฏิวัติ - Revolutionary Moment ]
โดยระบุว่า การปฏิวัติจะบังเกิดได้ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ประชาชนจำนวนมหาศาลเกิดความรู้สึกนึกคิดร่วมกันในสองมิติ ได้แก่ มิติแห่งความโกรธแค้น และมิติแห่งความหวัง
ประชาชนคับแค้นใจกับสิ่งที่ดำรงอยู่ พร้อมกับมีความหวังร่วมกันในการไปก่อตั้งสิ่งใหม่
ทั้งสองความรู้สึกนึกคิดนี้ผสานหลอมรวมกันในความคิดจิตใจของประชาชน จนผลักดันให้ร่วมกันออกไปกระทำการ สิ่งนั้น คือ “ปฏิวัติ”
หากไม่โกรธแค้น ก็จะไม่ทำลายสิ่งที่เป็นอยู่
หากไม่มีความหวัง ก็จะไม่สรรค์สร้างสิ่งใหม่เข้าแทนที่
หากไม่โกรธแค้น ก็จะเฝ้าแต่อดทนรอเวลา ฝันล้มๆ แล้งๆ ว่า สิ่งใหม่จะมาตามกาลเวลา
หากไม่มีความหวัง ก็จะมุ่งแต่ทำลายล้างโดยไม่เตรียมการสร้างสิ่งใหม่
การปฏิวัติ จึงจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยจากความโกรธแค้นและความหวัง มันจึงเป็นเหรียญเดียวกันที่มีสองหน้า หน้าหนึ่ง การทำลายล้างสิ่งที่เป็นอยู่ให้พังภินท์ อีกหน้าหนึ่ง การก่อตั้งสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมเข้าแทนที่
Evolution หรือที่ในภาษาไทยแปลว่า “วิวัฒนาการ” ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า “กระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไปสู่สภาวะที่ดีขึ้นหรือเจริญขึ้น”
พัฒนาการเกิดขึ้นอย่างช้าๆ นี้ ไม่สามารถตอบสนองต่อห้วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่ประชาชนเกิดความรู้สึกร่วมกันว่า “ไม่ทนกับสิ่งที่เป็นอยู่” และ “ปรารถนาสร้างสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม”
เมื่อไรก็ตามที่ความรู้สึกเช่นนี้ปรากฏขึ้นร่วมกันในหมู่ประชาชน พวกเขา คนส่วนน้อยที่ถือครองอำนาจและครอบงำสังคมอยู่ ก็จะโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนเชื่อใน “evolution-พัฒนาการ” ให้เห็นว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปตามลำดับขั้นตอนอย่างช้าๆ ได้
ดังนั้น ประชาชนจึงมีภารกิจร่วมกันแบกตัว “R” เข้าไปใส่หน้า evolution
ให้ “Evolution” กลายเป็น “Revolution”
ให้ “พัฒนาการที่ล่าช้า” กลายเป็น “การเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก”
ให้ “ความเป็นไปไม่ได้” กลายเป็น “ความเป็นไปได้”
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์ทางการเมืองตอนนี้ มีปัญหารุมเร้ารัฐบาลหลายด้าน และหนึ่งในนั้นก็คือ การชุมนุม “แฟลชม็อบ” ของนักศึกษาหลายสถาบันทั่วประเทศ และหากยังจำกันได้ “แฟลชม็อบ” เริ่มมาก่อนที่จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว
นอกจากนี้ คนที่ริเริ่มจัดแฟลชม็อบและเชิญชวนมวลชนมาร่วม ก็คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 63 บริเวณสกายวอล์ก-ปทุมวัน หลัง กกต. มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค กรณีเงินกู้ 191 ล้านบาท อ้างแสดงออกเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
จากนั้น ก็ประกาศที่จะทำแฟลชม็อบทั่วประเทศ โดยมีนิสิตนักศึกษาในเครือข่าย เป็นผู้ดำเนินการเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดโควิด-19 ดังกล่าว
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน มีความเคลื่อนไหวของ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 ก.ค. เกี่ยวกับกรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่มีการดึงสถาบันมาเกี่ยวข้อง ด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า
ทุกคนก็เป็นราษฎรภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ไม่ใช่เพียงแค่ทหารเท่านั้น ประชาชนบางคนไม่ได้เกิดเมืองไทย แต่ก็มาอยู่เมืองไทย บางคนเกิดเมืองไทย เกิดมาในหลายตระกูล ตั้งแต่ปู่ย่าตายาย อยู่ในพระบรมโพธิสมภาร ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หรือเป็นเชื้อชาติใดก็ตาม ก็มีสิทธิเสรีภาพ
“วันนี้เป็นวันดี ไม่อยากจะพูดอะไร ที่จะไปกระทบกระทั่งสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ แต่อยากจะให้ประชาชนชาวไทยทุกคน ได้ลองตั้งจิตให้เป็นกลางดูว่าคำพูด คำเขียน ทั้งที่เราเห็นในการชุมนุม ผมทราบดี และตระหนักในสิทธิเสรีภาพ ในระบอบประชาธิปไตย แต่สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่คนเห็นทั้งในโซเชียล มีการใช้วาจาผรุสวาท ใช้คำพูดไม่เหมาะสม ไม่บังควร ผมมองว่าหลายคนเห็นคงไม่สบายใจ”
พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวถึงประเด็นสำคัญอีกว่า “ขออนุญาตอ้างถึงสำนักข่าวบีบีซีไทย ซึ่งผมได้ศึกษาเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2561 คือทฤษฎีสมคบคิด หรือเป็นเรื่องที่น่าศึกษา ฝากให้ทุกคนไปดู เพราะเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน และปัจจุบันผมมองแล้วว่า มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบเป็นกระบวนการ มีความคล้ายคลึงกับทฤษฎีสมคบคิด มีหลายคนพยายามอธิบายความหมายในทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งในข้อมูลของสำนักข่าวบีบีซีไทยได้มีการพูดถึง นิสิต นักศึกษาผู้มีความรู้ นำมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
ผบ.ทบ.กล่าวด้วยว่า ในส่วนของกองทัพเอง ได้แต่เฝ้ามอง ติดตามแต่ไม่คุกคาม รวมถึงรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่เคยมีคำสั่ง เพียงแต่ให้จัดเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ชุมนุมให้เกิดความเรียบร้อย และประสานงานกับตำรวจแม้แต่จะเดินทางมาชุมนุมที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก เราก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรและตนไม่ได้ติดใจอะไร
เมื่อถามว่า ขณะนี้ม็อบมีการชุมนุมขยายวงกว้างและมีการพูดในเชิงหมิ่นสถาบันฯ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า ขณะนี้มีหน่วยงานความมั่นคง เข้าไปดูจะให้ตนเตือนสติ คงจะลำบาก แต่อยากให้ไปดูว่า ตนเองกลายเป็นหนึ่งในทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่
เมื่อถามย้ำว่า ทฤษฎีนี้มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว่า ตนเป็นผู้บัญชาการทหารบก จะพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้...
และวันนี้เช่นกัน ที่กองบัญชาการกองทัพบก (ทบ.) นายสาธิต เซกัล นักธุรกิจชาวอินเดีย นายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ หรือ “หมอตุลย์” อดีตแกนนำกลุ่มหลากสี พร้อมกลุ่มพลเมืองไทยผู้รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ยื่นหนังสือ ถึง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ผ่าน พล.ท.วิชาญ สุขสม รองเสนาธิการทหารบกผู้แทนกองทัพบก
โดย นายสาธิต ขอให้ดูแลและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ของผู้ชุมนุม การที่ผู้ชุมนุมนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้อง ในทางที่ไม่เหมาะสม ถือเป็นการล่วงละเมิดต่อสถาบันหลักของชาติ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นสถาบันอันสูงสุดที่คนไทยเคารพเทิดทูนตลอดมา อีกทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญยังให้ความคุ้มครองในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้
ทั้งนี้ กลุ่มพลเมืองผู้รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ยืนยันจะปกป้องสถาบัน ซึ่งมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างและสนับสนุนการดำเนินการของกองทัพในแนวทางละมุนละม่อม แต่ไม่ใช่การปลุกม็อบมาสู้ เพื่อทำความเข้าใจและดำเนินการกับผู้ที่ล่วงละเมิดสถาบัน พร้อมขอให้น้องๆ เยาวชน รับฟังความจริงจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจ ประสานความสามัคคีและปกป้องนักศึกษาและประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ด้าน นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสี เรียกร้องให้นักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว ได้ศึกษาข้อมูลทางการเมือง 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 รวมทั้งเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 พร้อมย้ำว่า มีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่รัก และปกป้องสถาบัน
“ขอให้เยาวชนเข้าใจข้อมูลอย่างถูกต้อง ฟังเราบ้าง เราก็คือรุ่นพ่อรุ่นแม่ปู่ย่าตายาย ของพวกคุณ อย่าแบ่งแยกกัน เราไม่จำเป็นต้องแสดงพลังโต้แย้งถกเถียงกัน พร้อมย้ำว่า เราพร้อมสนับสนุนกองทัพในการปกป้องสถาบันอย่างถึงที่สุด ขอให้น้องๆ กรุณา เปิดใจรับฟังสลิ่มบ้าง ว่าสลิ่มเขาพูดกันว่าอย่างไร จริงหรือเท็จอย่างไร”
แน่นอน, นอกจากสัญญาณจาก “ปิยบุตร” ที่ออกมาปลุกเร้าให้ปฏิวัติ จะเสียงดังฟังชัดแล้ว สัญญาณพร้อมปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักและเทิดทูน ของฝ่ายนายสาธิต และ “หมอตุลย์” ก็เสียงดังฟังชัดเช่นเดียวกัน
ดังนั้น สิ่งที่ต้องโยงกลับไป ก็คือ โพสต์ของ “หมอวรงค์” คือ สัญญาณอำมหิต เพราะรู้ทั้งรู้ว่า นี่คือ การเผชิญหน้าที่อาจเกิดความรุนแรงขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนฝ่ายที่ยุยงปลุกปั่นเยาวชน นักศึกษา ให้ออกมารับเคราะห์แทน ก็ยังเป็นไปอย่างเลือดเย็น?
นี่คือ ความจริง ที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว เพียงแต่จะหยุดยั้ง หรือให้มันเป็นไป... เพราะต่างก็มีวาระของตัวเองหรือไม่ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว