เมืองไทย 360 องศา
จะถือว่าเป็นความโชคดีอีกครั้งหนึ่งก็ได้ สำหรับ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลภายใต้การนำของเขา จากกรณีของทหารอียิปต์ ที่ จ.ระยอง และกรณีลูกของอุปทูตซูดาน ในกรุงเทพฯ ที่ผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงผลออกมาเป็นลบทั้งหมด นั่นคือไม่มีใครติดเชื้อ ทำให้เงื่อนไขที่พยายามปลุกเร้าอารมณ์ในเรื่องของ “อภิสิทธิ์ชน” ต้องลดความร้อนแรงลงมาจนเหลือระดับเกือบจะปกติ
ประกอบกับเมื่อไม่มีใครติดเชื้อ ก็มีการเปิดโรงเรียน มีการรณรงค์เชิญชวนให้หวนกลับไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมที่ จ.ระยอง กันให้มากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นบทเรียนที่ต้องแก้ไขกันโดยเร็ว และอย่างที่บอกว่าครั้งนี้ยังถือว่าโชคดี ที่ไม่มีใครติดเชื้อจากกรณีดังกล่าว หากผลออกมาในทางตรงกันข้ามก็คงดูไม่จืด และนึกภาพไม่ออกว่า รัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องโดนกระหน่ำจนอ่วมแน่
เพราะอย่างที่รับรู้กันดีว่าฝ่ายตรงข้ามพยายามเร้าอารมณ์โกรธแค้นกันอย่างเต็มที่ พยายามยกเอาเรื่องอภิสิทธิ์ชน สองมาตรฐานกับคนไทย รวมทั้งมีการปลุกเร้าสร้างความเกลียดชังไปถึงผู้นำกองทัพ โดยเฉพาะผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นต้น ทำนองว่า นายกฯและรัฐบาลเรียกร้องให้ประชาชนอย่าการ์ดตก แต่ตัวเองการ์ดตกเสียเอง อะไรประมาณนี้
แน่นอนว่า ในโลกโซเชียลที่เร็ว ทำให้ลุกลามออกไปในวงกว้าง และหากย้อนกลับไปพิจารณาบรรยากาศในเวลานั้น ถือว่าเริ่มไต่ระดับร้อนแรงจนน่าหวาดหวั่น และด้วยรับรู้ถึงอารมณ์ดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงเอ่ยคำขอโทษ และในวันรุ่งขึ้นก็รีบบึ่งลงพื้นที่ จ.ระยอง ไปพบพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านทั่วไปเพื่อปลอบขวัญ ซึ่งก็เบรกอารมณ์ลงไปได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรในช่วงนั้นก็ต้องลุ้นว่า มีการ “ระบาด” หรือไม่ ต้องรอผลการตรวจเชื้อออกมาก่อน โดยต้องรอผลสองสามวัน
อย่างไรก็ดี ในยุคของโซเชียล แม้ว่าในบางมุมจะมีความ “หยาบคาย” ไร้สติ ฉาบฉวย แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งมันก็ได้เห็นภาพของการ “ดึงสติ” กลับมา การพิสูจน์หลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า มีใครบ้างที่มีการเคลื่อนไหวที่ “แอบแฝง” ปะปนซ่อนเร้นกันมา ในกรณีที่ จ.ระยอง เช่นเดียวกัน ที่มีการขุดเอาเบื้องหลังของบางคนที่ “ร่วมขบวนด่า” ว่ามีเบื้องหลังน่าสงสัย เช่น เคยเป็นอดีตผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ เคยเป็นแนวร่วม มีพฤติกรรมไม่เหมาะไม่ควรมาก่อน
เอาเป็นว่าแม้จะเบรกอารมณ์โกรธ หรือตั้งสติกันได้บ้าง แต่ตราบใดก็ตามหากผลตรวจเชื้อหลังจากนั้น ทั้งที่ระยองและในกรุงเทพฯ ผลออกมา “เป็นบวก” หรือติดเชื้อกลายเป็นการ “ระบาดในรอบสอง” แล้วละก็ ดูไม่จืดอย่างที่ระบุในตอนต้น และเป็นความโชคดีที่ไม่มีใครติดเชื้อ ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะคนไทยยังเคร่งครัดในการ “สวมหน้ากากอนามัย” ในที่สาธารณะ ทุกอย่างก็เลยกลับมาสู่การควบคุมได้อีกครั้ง
ประกอบกับในช่วงเลาเดียวกัน ที่มีการเคลื่อนไหวปรับคณะรัฐมนตรี มีบรรดากลุ่มก๊วนแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี มีการออกตัวกันแบบ “น่าเกลียดแสนทุเรศ” ในสายชาวบ้านมันก็ยิ่งผสมโรงเข้าไปใหญ่ ยังดีที่ในที่สุด “ลุงตู่” ก็ยังเอาอยู่ ตามรายงานข่าวค่อนข้างยืนยันแล้วว่า “แก๊งยี้” ยังไม่ได้ตำแหน่งที่ต้องการ
สำหรับการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า “แฟลชม็อบ” ของพวกบรรดาเยาวชน นักเรียน นักศึกษาบางกลุ่ม ที่กำลังมีการขับเคลื่อนกันทั่วประเทศ มีความพยายามทำกิจกรรมรายวัน พร้อมเรียกร้องให้ มีการยุบสภา นายกฯ ลาออก และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รวมไปถึงการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นต้น
แน่นอนว่า การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ หากพิจารณากันแบบไม่ต้องอ้อมค้อมก็เข้าใจทันทีว่า เป็นกลุ่มเดียวกันทีมของ “กลุ่มก้าวหน้า” ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และต่อเนื่องมาถึงพรรคก้าวไกล ที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน เพราะกลุ่มเคลื่อนไหวก็ล้วนหน้าเดิมๆ ที่เห็นภาพกันจนชินตา
แม้ว่าสิ่งที่พยายามเน้นย้ำปลุกเร้าอารมณ์พวกเด็กๆ ในเรื่องของ “เผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย” หากมองในมุมปัจจุบัน มันอาจไม่ได้ผลเหมือนสมัยก่อนที่เป็นยุคที่เรียกว่า “แสวงหา” ในยุคเดือนตุลาฯ ในอดีต แต่ก็ถือว่าไม่ว่ากัน เพราะเด็กๆ พวกนี้มักจะ “ร้อนวิชา” มีมาทุกยุคสมัย เป็นเรื่องปกติ แต่ทุกอย่างมันก็ต้องขึ้นอยู่กับ “เงื่อนไข” ในเวลานั้น หรือสถานการณ์ “สุกงอม” แค่ไหน เหมือนกับสถานการณ์ในเวลานี้ แม้จะยอมรับว่ามีปัญหารุมเร้ามากมาย แต่ก็ยังถือว่าไม่ได้สุกงอมพอ ที่สำคัญ “ชาวบ้านส่วนใหญ่” ยังไม่มีอารมณ์ร่วมกับคนพวกนี้ มิหนำซ้ำยังมองว่า “มีเบื้องหลัง”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจำนวนมากรับไม่ได้ ที่มองว่ามีการเคลื่อนไหวแอบแฝง มีเจตนา “หมิ่นเบื้องสูง” สังคมจำนวนมากรับไม่ได้ แต่ขณะเดียวกัน ที่น่าจับตาก็คือ ความพยายามในการ “ยกระดับป่วน” เพื่อให้เกิดการแทรกแซงจากภายนอก ให้มีภาพความวุ่นวายที่คนชักใยอยู่เบื้องหลังได้ประโยชน์ !!