“มุ้งมิ้ง” หรือไม่ “ดร.นิว” มีคำตอบ จับสังเกต แค่ข้อเรียกร้อง และแกนนำม็อบเครือข่าย “ส้มเน่า” ก็รู้แล้ว “หมอวรงค์” จับสัญญาณ “โจชัว หว่อง” ออกมาสนับสนุน จิ๊กซอว์ “ฮ่องกง โมเดล”? “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” เตือน หมิ่นเบื้องสูง ระวัง!
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (21 ก.ค. 63) เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์หัวข้อ “#เยาวชนปลดแอกไม่ใช่ม็อบมุ้งมิ้ง”
โดยระบุว่า “พลังนักศึกษา เป็นพลังที่บริสุทธิ์ แต่สำหรับ #เยาวชนปลดแอก กลับถูกนักการเมืองทำให้แปดเปื้อน เพราะขนาดแค่ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ยังสามารถดูออกได้อย่างง่ายดายเลยว่า ไม่ใช่ข้อเรียกร้องของประชาชน หากแต่เป็นข้อเรียกร้องของนักการเมืองที่สูญเสียอำนาจและอยากกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
ข้อเรียกร้องหยุดคุกคามประชาชนก็เป็นเรื่องการเมือง ที่ไม่ควรถูกนำมาเหมารวม แล้วยัดเยียดให้เป็นปัญหาของประชาชนส่วนใหญ่ เพราะไม่เห็นว่ารัฐบาลจะไปคุกคามใครหรือประชาชนทั่วไป แต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายกับนักเคลื่อนไหวที่เป็นลิ่วล้อนักการเมืองจำนวนหนึ่ง ที่ได้ใช้สิทธิเสรีภาพจนเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด จนกลายเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมาย
ในส่วนข้อเรียกร้องให้ยุบสภากับแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาจากการลงประชามติ นี่ยิ่งชัดเจนเลยว่า นักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังและมุ่งหวังต่ออำนาจทางการเมืองจะได้รับประโยชน์เต็มๆ ในแทบจะทันที ประโยชน์ส่วนใหญ่ของข้อเรียกร้องเหล่านี้ จึงเป็นของนักการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้ง ไม่ใช่ประโยชน์ของประชาชน
ในแง่ของปรากฏการณ์ก็ปฏิเสธได้ยากว่า ไม่มีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง มี ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคน ลงพื้นที่สนับสนุนอย่างชัดเจน มีอดีตคนสำคัญในพรรคอนาคตใหม่หลายคนเกี่ยวข้อง บ้างก็ลงพื้นที่เอง บ้างก็ใช้โซเชียลมีเดียปลุกระดมสนับสนุนในนามของคณะก้าวหน้า รวมทั้ง ส.ส.พรรคฝ่ายค้านเอง หลายคนก็ออกมาแสดงท่าทีสนับสนุน
นอกจากนี้ เหล่าแกนนำเยาวชนปลดแอกส่วนมาก ก็เป็นคนหน้าตาเดิมๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่เป็นประจำ ร่วมกับเครือข่ายของอดีตพรรคอนาคตใหม่มาแต่เดิม หรือก่อนหน้านั้น และที่แย่ที่สุดคือ มีเครือข่ายล้มล้างการปกครองแฝงตัวอยู่ด้วย ทั้งขบวนการคอมมิวนิสต์หลงยุคที่สามารถเห็นได้จากคำว่า “ปลดแอก” ซึ่งเป็นคำโบราณของขบวนการคอมมิวนิสต์ในอดีตที่ส่อไปในทางที่รุนแรง และขบวนการสาธารณรัฐที่เข้ามาผสมโรง ถือป้ายหมิ่นสถาบันอยู่ในม็อบกันอย่างโจ๋งครึ่ม
สิ่งเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ม็อบเยาวชนปลดแอกเป็นการยืมมือนักศึกษาที่เป็นพลังบริสุทธิ์มารับใช้นักการเมือง และขบวนการล้มล้างการปกครองหัวรุนแรง มันจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ขบวนการทำแนวร่วมที่มีนักปลุกปั่น (Demagogue) และนักใช้กฎหมู่ (Ochlocrat) พยายามใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือทางการเมืองโดยอาศัยการปั่นกระแสในโลกโซเชียล เพราะถ้าถูกดำเนินคดี หรือเกิดความรุนแรงตามที่ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการ ผู้ที่เสียหายก็คงหนีไม่พ้นนักศึกษาที่ถูกทำแนวร่วม และความบริสุทธิ์ของนักศึกษาก็มักตกเป็นเหยื่อของขบวนการเหล่านี้เสมอมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ผู้ที่หลอกใช้อยู่เบื้องหลังไม่เคยต้องเป็นอะไร หรือรับผลของการกระทำใดๆ
การชักใยอยู่เบื้องหลังในแนวทางที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งแอบแฝงการล้มล้างการปกครองที่รุนแรง มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นและกฎหมาย จึงไม่ใช่การเคลื่อนไหวตามแนวทางประชาธิปไตยที่สันติ หากแต่เป็นขบวนการหลอกใช้เยาวชนและนักศึกษาเป็นเครื่องมือแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในรูปแบบของเผด็จการโดยใช้กฎหมู่ (Ochlocracy) ที่เป็นการบีบบังคับคนส่วนใหญ่ด้วยการก่อม็อบ (Mob Rule) นำไปสู่ความรุนแรงอย่างที่ผู้อยู่เบื้องหลังต้องการ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นประโยชน์โดยตรงต่อนักการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้ง อีกทั้งยังแฝงเร้นไปด้วยขบวนการสาธารณรัฐที่หวังใช้ความรุนแรงทำให้สถานการณ์บานปลายไปสู่การล้มล้างการปกครองอีกด้วย
น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่เยาวชนปลดแอก ซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์ของนักศึกษาที่หวังดีต่อบ้านเมืองและรักในประชาธิปไตยกลับถูกนักการเมืองและแกนนำที่เป็นลิ่วล้อนักการเมืองทำให้แปดเปื้อนจนกลายเป็นเผด็จการกฎหมู่ที่เสียสติมากพอที่คนจำนวนเพียงไม่กี่พันออกมาโวกเวกโวยวาย มีการใช้คำหยาบคาย ลุแก่ความคึกคะนองและความหลงผิดในสิทธิเสรีภาพของตน จนลืมตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพของคนส่วนใหญ่ เอาความต้องการของตนมาบีบบังคับตัดสินชะตาของคนทั้งประเทศ แอบอ้างเสียงของคนกว่า 60 ล้านคนเพื่อทำอะไรตามอำเภอใจ
มาจนป่านนี้ ก็ยังไม่เคยเห็นกลุ่มคนที่แอบอ้างว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตยจะเคยรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน มายื่นเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 ซึ่งเป็นวิธีการทางประชาธิปไตยที่ถูกต้องและชอบธรรมที่สุดภายใต้กฎหมายและเป็นสันติวิธีเลยแม้แต่ครั้งเดียว สุดท้ายคนพวกนี้ก็แค่นักปลุกปั่นทางการเมือง เป็นลัทธิประชาธิปไตยแต่ปาก แต่การกระทำไร้สาระยิ่งกว่าเด็กอมมือที่เอาแต่คอยระดมปลุกปั่นโดยใช้โลกโซเชียลหวังหลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง
พอกันทีสำหรับวิธีการแบบโบราณๆ ที่ออกมากล่าวหาผู้อื่นว่า เขาเป็นเผด็จการ แต่แล้วตัวเองกลับใช้วิธีการเผด็จการโดยใช้กฎหมู่ในการต่อต้านเผด็จการ เพราะความเป็นกฎหมู่แบบนี้ มันยังไม่มีความชอบธรรมมากพอที่จะมาแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาจากการลงประชามติ นี่น่ะหรือคือประชาธิปไตย? เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังไม่เข้าใจ แล้วแบบนี้จะสามารถสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงได้อย่างไร?
เรามาใช้วิธีการทางประชาธิปไตยของผู้ที่เจริญแล้วอย่างสันติ ไม่เสี่ยงต่อความรุนแรงใดๆ และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ด้วยมาตรา 256 กันดีกว่า แค่ 50,000 รายชื่อเองนะ จะกลัวอะไร? หรือพวกคุณมีกันไม่ถึง 50,000 คน?”
ขณะที่ เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม มือปราบจำนำข้าว สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์หัวข้อ “เมื่อ โจชัว หว่อง และ ธนาธร ขยับ”
เนื้อหาระบุว่า “นายธนาธรออกมาพูดว่า ไม่ได้อยู่เบื้องหลังการชุมนุม ซึ่งไม่ต่างจากคำพูด 3,000 บาทถ้วนหน้า ไม่ต้องพิสูจน์ความจน ใครอยากจะเชื่อก็ได้ ไม่มีใครว่า เพราะแค่เห็นหน้าคนขึ้นเวทีก็อ่านเกมออกหมด
ล่าสุด นายโจชัว หว่อง แกนนำม็อบฮ่องกง ออกมาสนับสนุนม็อบไทย ยิ่งเห็นจิ๊กซอว์ ที่มีการวิเคราะห์กัน โดยเฉพาะเรื่องต่างชาติหนุนหลัง
เพียงแต่หนุนม็อบฮ่องกง อ้างเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ต้องการแยกประเทศ ส่วนม็อบไทย อ้างประชาธิปไตย แต่ต้องการล้มล้างสถาบัน เพื่อง่ายต่อการครอบงำ
สิ่งที่ต้องระวัง หลังจากนายโจชัว หว่อง ออกมา คือ “ฮ่องกงโมเดล” นั่นคือ ยั่วยุให้เกิดความสูญเสียชีวิตของลูกหลาน หรืออาจเกิดชายชุดดำขึ้นมา เพื่อนำไปสู่ความรุนแรง และเรียกร้องต่างชาติเข้ามา
ยุคล่าอาณานิคม ประเทศไทยเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ เราจึงไม่มีรากเหง้า วัฒนธรรมฝรั่งผสม เราจึงมีแต่รากเหง้า และวิถีไทยเต็มร้อย ดังนั้นประชาธิปไตยของเราจึงต้องสอดคล้องกับวิถีไทย
ปัญหาประเทศวันนี้ เกิดจากนักการเมืองคิดชั่ว ร่วมกับคนไทยสมคบต่างชาติ ไม่ใช่เกิดจากสถาบันหลัก พวกเราจึงต้องใช้สติ ใช้สมองให้มาก อดทน แก้ปัญหาให้ถูกทาง ให้เขาเปิดไพ่ให้มากที่สุด
ดีที่สุดตอนนี้ คือช่วยกันแสดงความเห็นคัดค้าน ช่วยกันตีแผ่ความจริง ส่งเสริมนักการเมืองใหม่ๆ ที่คิดดี สุดท้ายฝ่ายไทยต้องชนะฝ่ายต่างชาติที่ต้องการแทรกแซงแน่นอน
#ปกป้องรากเหง้าและวิถีไทย
#ต่อต้านการแทรกแซงของต่างชาติ”
รวมถึง เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ของ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ก็โพสต์หัวข้อ “จงภูมิใจในความเป็นไทย”
โดยระบุว่า “การชุมนุมประท้วง การต่อสู้ทางการเมือง ข้อเรียกร้องที่มีต่อรัฐบาล เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมือง ทำไปเถอะ ไม่มีใครว่า ไม่มีใครคัดค้าน
แต่จำใส่สมองน้อยๆ ไว้ การชุมนุมทางการเมืองมีอยู่สองเรื่อง ห้ามทำเด็ดขาด
พระมหากษัตริย์ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ห้ามต่อต้าน ห้ามจาบจ้วงโดยเด็ดขาด
ประการที่สอง ไทยเป็นรัฐอันหนึ่งอันเดียวกัน แบ่งแยกไม่ได้ ไทยเป็นรัฐเดี๋ยว ไม่ใช่สหพันธรัฐ
พระมหากษัตริย์นับตั้งแต่สิ้นกรุงศรี ได้กอบกู้สร้างชาติ ด้วยความกล้าหาญและพระปรีชาญาณ 200 กว่าปี ไทยรอดพ้นปากเหยี่ยว ไม่เป็นขี้ข้าฝรั่งหัวแดง เป็นประเทศเอกราช ไม่ใช่อาณานิคมเมืองขึ้นของฝรั่ง
เชื่อเถอะว่า พระสยามเทวาธิราชเจ้า จะทรงคุ้มครองไทยให้ปลอดพ้นจากผู้คิดร้ายต่อประเทศ
อยากเตือนว่า การแสดงออก การใช้เสรีภาพต้องมีขอบเขต อย่าเกินเลย อย่าข้ามเส้น ละเมิดความมั่นคง อย่าคาดหวังว่า เมื่อเกิดความรุนแรง วุ่นวายทางการเมืองแล้ว ต่างชาติจะเข้ามาแทรกแซง อย่าไว้ใจฝรั่งต่างชาติ ไม่เคยจริงใจกับคนหัวดำหรอก”
แต่ถึงกระนั้น เฟซบุ๊ก Sarinee Achavanuntakul ของ น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ นักเขียน นักแปลชื่อดัง ก็ถือเป็นตัวแทนอีกแนวคิดหนึ่ง โดยโพสต์ข้อความระบุว่า
“เราช่วยอะไรเด็กๆ ที่กำลังทยอยออกมาประท้วงเพื่ออนาคตของพวกเขาเองได้บ้าง
1. พยายามคุยด้วยสติกับกองเชียร์ (ต้องใช้ขันติขั้นสูง) ให้เห็นว่า เด็กไม่ได้โง่ ไม่ได้ถูกล้างสมอง ฯลฯ
2. ช่วยกันบอกต่อถ้าเห็น IO กินภาษีหรือ IO จิตอาสา คนพวกนี้ไม่ใช้เหตุผลใดๆ มาเกรียนเป็นหลัก ไม่ต้องเสียเวลาคุย (ยกเว้นมีเวลาและชอบคุยกับเกรียนเป็นงานอดิเรก 55)
3. กล้าพูดให้ชัดว่า การแซะ หรือพูดว่า ไม่ศรัทธา ไม่เท่ากับการดูหมิ่น ไม่เท่ากับการอาฆาตมาดร้าย และไม่เท่ากับการ “ล้มเจ้า” (และทำไมเราถึงจะไม่ควรถกกันเรื่องการปรับตัวของสถาบัน?)
4. ไปร่วมชุมนุมเมื่อมีโอกาส
5. ให้อภัยและมองข้ามข้อผิดพลาด บกพร่องต่างๆ ของการชุมนุม เสนอแนะทางออกถ้าทำได้
#เยาวชนปลดแอก #นี่รอดูผังล้มเจ้าภาคสอง555.”
นี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่เริ่มเห็นเค้าลางการเผชิญหน้า (ทางความคิด) ของระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยไทยนิยม กับฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม มากขึ้นทุกวัน รวมทั้งส่วนผสมที่แม้จะยังไม่ลงตัว คือ “ล้มเจ้า” และเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ส่วนผสมเข้มข้นมากพอ ก็ยากคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น
และแน่นอน, นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนไทยปรารถนา เพราะ
ความสูญเสียที่ผ่านมา มันคือบาดแผลที่คนไทยยากจะลืมเลือนอยู่แล้ว หรือไม่จริง!?