ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“ไม่มีสัจจะในหมู่ลุง เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกก็เสร็จลุง สัจธรรม ที่เห็นได้ชัดขึ้นทุกวัน จากบทเรียนสมคิด สี่กุมาร จนถึงคิวสุริยะ
ว่าด้วยเรื่องปรับ ครม. “ประยุทธ์ 2/2” ชั่วโมงนี้ต้องบอกว่าห้ามกะพริบตากันเลย โดยเฉพาะเก้าอี้ รมว.พลังงาน ที่ข่าวว่า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จับจองไว้ให้ “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” อดีต รมช.คมนาคม และ อดีตซีอีโอ ปตท. แต่คนในพรรคพลังประขารัฐ ก็ก่อหวอดจะไม่ยอมตามใจลุง ยื่นคำขาดท้าทายออกสื่อรายวัน หัวเด็ดตีนขาดต้องข้ามศพ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ไปก่อน
ล่าลุด ก็ให้ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” รองหัวหน้าพรรค ออกมาทวงกันตรงๆ ว่า ตำแหน่งนี้เป็นโควตาพรรค หากจะเอาไปให้คนนอกอย่าง “ไพรินทร์” ก็ต้องเจอมติพรรคกันหน่อยละ
แถมว่า “ไพรินทร์” ไม่เหมาะที่จะนั่ง รมว.พลังงาน เป็นไปไม่ได้ เพราะ ไพรินทร์ เป็นทั้งอดีตผู้บริหาร ปตท. แล้วจะมาเป็น รมว.พลังงาน ที่ต้องไปกำกับดูแล ปตท. แล้วจะตอบคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างไร รวมทั้งผู้ที่ตรวจสอบการดำเนินงานของ ปตท. ก็ไม่สบายใจ
ว่ากันไม่อ้อมค้อม ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีใครจะเหมาะสมเท่า “สุริยะ” ด้วยโปรไฟล์เลิศหรู อยู่กับการเมืองมานาน มีคุณสมบัติครบถ้วน ที่สำคัญ เป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ดังนั้น ถ้าพรรคจะมีมติที่จะเสนอสุริยะไปเป็น รมว.พลังงาน ก็เป็นเรื่องภายในพรรคที่มีความชอบธรรม
พูดง่ายๆ ว่า “สุริยะ” ต้องได้เป็น รมว.พลังงาน หากไม่ได้จะอธิบายกับ ส.ส.ของพรรคอย่างไร และถ้าอ้างว่าตำแหน่งรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เป็นโควตาของนายกฯ ก็ต้องไปปรับ ไปทวนส่วนของพรรคภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ด้วยสิ
งานนี้ไม่นับ “สัญญาใจ” ที่ข้างฝ่าย สุริยะ ออกมาทวงเช้าทวงเย็นก่อนหน้านี้ ฟังว่า “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร. เมื่อวาน (20 ก.ค.) พอได้ยินได้ฟังก็ส่ายหัว บอกว่าในการปรับ ครม. “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนเดียวที่จะตัดสินใจว่าจะให้ใครอยู่ใครไป
แถมยังบอกปัดอย่างไม่มีเยื่อใย ไม่เคยมีสัญญิงสัญญาใจอะไรกับใครทั้งสิ้น ยิ่งไม่เคยมีสัญญาใจกับ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่ก่อนนี้มีข่าวว่าจะยกเก้าอี้ รมว.พลังงาน ให้สุริยะ
“ลุงป้อม” มาแบบนี้ความจริงก็น่าจะเคลียร์คัต แต่พูดกันไปพูดกันมาไม่มีใครจะยอมเชื่อ เพราะถ้าคิดให้ดี สัญญาใจที่ “ลุง” ซึ่งก็ไม่รู้ลุงคนไหนละต้องสัญญากับสุริยะไว้แน่ๆ อย่างน้อยสองช่วงสำคัญ
ว่ากันตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง “สุริยะ” หอบหิ้ว “สมศักดิ์ เทพสุทิน” พรรคพวก ส.ส.ในก๊วนมาตามคำเชิญของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ผนึกกำลังเป็น “สามมิตร” แสดงอิทธิฤทธิ์พลังดูดจนพลังประชารัฐ ได้จัดตังรั้ฐบาลครั้งหนึ่งละ ... ครั้งนั้นสุริยะก็หวานอมขมกลืน วืดเก้าอี้ รมว.พลังงาน มาแล้ว
มาครั้งล่าสุด “สุรืยะ” ก็ได้สัญญาใจจาก “ลุง” อีกว่า ถ้าหัก “สมคิด” ตัดหนึ่งมิตรชิดใกล้ออกไป ล้มล้างยึดอำนาจพรรค และขจัด “ทีมสี่กุมาร” ตำแหน่ง รมว.ได้ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ผลงานหักหลังมิตรของสองมิตร “สุริยะ-สมศักดิ์” คือคีย์สำคัญ เป็นขุนพลให้ลุงๆ ได้ทำตามที่เกมที่อยากจะให้เป็นได้
เมื่อ “ลุงป้อม” บอกไม่เคยมีสัญญาใจกับสุริยะ ก็แปลความได้มั้ยว่า “พี่ใหญ่” ทำให้ “น้องตู่” อยากได้ไพรินทร์ มาว่าการพลังงาน ก็ต้องได้ ส่วนสุริยะ ก็น่าเห็นใจ เป็นขุนพลที่สู้อุตส่าห์รบชนะ แต่กลับไม่มีรางวัลจากลุงๆ อุปมาเหมือนตีงูให้กากิน
หรือว่านี่จะเข้าทำนองเดียวกันที่เขาว่ากัน การเมืองแบบลุงๆ ใช้กับ “สมคิดและสี่กุมาร” มาแล้วไม่ปกป้อง มีแต่หักหลังทรยศ ตรงตามตำรา “เสร็จนาฆ่าโคถึก”
แล้วตอนนี้มาเกิดกับ “สุริยะ” ภาษานักเลงเขาว่า เล่นไพ่วงเดียวกัน ตกลงกันแล้วล่วงหน้าแค่ลุงๆ ผลัดกันเล่นตีไพ่คนละหน้า แต่หงายออกมาต่างก็เข้าทางกัน
บทเรียนมีมาสดๆ ร้อนๆ “กงกำ กงเกวียน” ใครจะคิดว่ามาถึงวันนี้ ใครทำอะไรไว้ย่อมได้ผลตามนั้น
งานนี้หากดำเนินไปตาม “วงไพ่ปาหี่” หลอกขาวบ้าน ก็ให้ระวังกรรมสนองเสร็จนาฆ่าโคถึก จะย้อนมาทำร้ายทำลายตัวเอง ทำกันอย่างนี้ ใครเขาจะกล้ามาตายแทน
เมื่อวันนั้นมาถึง...พลังประชารัฐ คงจะเหลือแต่ ลุงๆ 3 ป. กันล่ะ
** แย่งชามข้าวกันวุ่น!! ทำเอาที่ประชุม กมธ.งบ 64 ล่ม เมื่อ กมธ.จากพรรคภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ หันไปร่วมกับฝ่ายค้าน สั่งสอน พปชร. ที่หวังกินรวบตำแหน่งประธานอนุ กมธ.งบประมาณทั้งหมด 7 คณะ
หลังจาก “อุตตม สาวนายน” ลาออกจาก รมว.คลัง และลาออกจากการเป็นประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ก็เกิดเหตุ “แย่งชามข้าว” กันจนคุมไม่อยู่ สุดท้ายถึงขั้นที่ประชุมล่ม !!
เมื่อ “อุุตตม” ลาออก ผู้ที่จะทำหน้าที่ประธานการประชุม ก็คือ รองประธาน กมธ. ซึ่ง “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง คือ รองประธานกมธ. คนที่ 1 แต่ด้วยเหตุที่อาจจะไม่มีความมั่นใจในการคุมเกม หรือติดภารกิจ จิตใจจดจ่ออยู่กับการ “ลุ้นเก้าอี้” ในการปรับ ครม.ครั้งนี้ จึงมอบหมายให้ “วราเทพ รัตนากร” รองประธาน กมธ. คนที่ 3 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมแทน ซึ่ง “วราเทพ” ถือว่าเป็น “มือเก๋า” ในการจัดทำงบประมาณ เคยเป็นถึง รมช.คลัง ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร แต่ครั้งนี้เข้ามาเป็น กมธ.งบประมาณ ในโควตาของพรรคพลังประชารัฐ
ในที่ประชุมเมื่อวานนี้ (20 ก.ค.) มีการพิจารณาจัดสรรงบในส่วนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยระหว่างที่ “วราเทพ” ทำหน้าที่เป็นประธาน มาถึงช่วงที่มีการซักถาม อธิบดีจาก 2 กรม ที่มาให้ข้อมูล... ก็ปรากฏว่า ผู้มากบารมีแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธาน กมธ.คนที่ 12 ได้เสนอนับองค์ประชุม ... เกมนี้ทำเอาฝ่ายค้านถึงกับงงงวย เพราะไม่เคยมีมาก่อนที่ กมธ.ฝ่ายรัฐบาลจะเสนอให้นับองค์ประชุม เช่นเดียวกับ “วราเทพ” ก็งงเช่นกัน จึงสั่งพักการประชุม 10 นาที เพื่อพูดคุยเคลียร์ปัญหา
เมื่อเริ่มการประชุมต่อ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ก็ยังคงเสนอให้นับองค์ประชุม... คราวนี้ปรากฏว่า กมธ.ในซีกรัฐบาล ทั้งจากพรรคภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ ก็เดินออกจากห้องประชุม ไปพร้อมกับ กมธ.จากซีกฝ่ายค้าน ... จาก กมธ.ที่มีถึง 72 คน เหลืออยู่ในห้องประชุมเพียง 19 คน จึงไม่ครบองค์ประชุม ประธานต้องสั่งปิดการประชุม ทั้งที่เพิ่งเริ่มทำงานกันไปได้เพียง 2 ชั่วโมงเศษ
ว่ากันว่า การที่ “วราเทพ” ที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ไม่ได้เป็น ส.ส. แต่เข้ามาเป็น กมธ.คนนอกในโควตาของพรรคพลังประชารัฐ จึงไม่ได้รับการยอมรับจากสมาชิก อีกทั้งระหว่างการทำหน้าที่ประธานการประชุม ก็พยายามลากยาวไปเรื่อย ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย ต้องรอฟังเสียงจากคนข้างนอก ซึ่งหมายถึงฟังการตัดสินใจจากพรรคพลังประชารัฐ อย่างเดียวจึงเกิดการต่อต้านจากสมาชิก
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้ที่ประชุมล่ม ... ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ กมธ.ในสัดส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ผิดข้อตกลง ด้วยความเหิมเกริม เพราะคิดว่ามีเสียงมากกว่าใคร จึงหวังจะ “ฮุบชามข้าว” ไว้แต่เพียงผู้เดียว... ด้วยการส่งคนของพรรคไปนั่งในตำแหน่งประธานอนุ กมธ.งบประมาณ ทั้ง 7 คณะ ... ทำให้พรรคภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ ต้องหันไปจับมือฝ่ายค้าน “สั่งสอน” ด้วยการวอล์กเอาต์ จนทำให้ที่ประชุมล่ม !!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พรรคภูมิใจไทย จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขวางพลังประชารัฐ เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งที่มีการเลือกประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาติดตามตรวจสอบการใช้เงินตาม พ.ร.ก. 3 ฉบับ เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากระบาดของโรคโควิด-19 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ วางตัวให้ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” นั่งตำแหน่งประธาน แต่ที่ประชุมก็มีการเสนอชื่อ “กนก วงษ์ตระหง่าน” ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นมาประกบเป็นคู่ชิง ทำให้ต้องมีการล็อบบี้กันวุ่น ก่อนที่ “ไพบูลย์” จะได้ตำแหน่งไป
นั่นแสดงให้เห็นถึงรอยร้าวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่พร้อมจะถ่างกว้างและแตกกันไปในที่สุด หากแบ่งปันผลประโยชน์ไม่ลงตัว !!
จึงน่าจับตาว่า การพิจารณางบประมาณปี 64 ในชั้นกรรมาธิการ จะมีการจัดสรรกันได้ลงตัวจนเป็นที่พอใจของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพราะหากพรรคพลังประชารัฐ ยังคงใช้วิธีพวกมาก กวาดงบประมาณไปอยู่ในกลุ่มพวกพ้อง และกระทรวงที่พรรคตนเองดูแลรับผิดชอบ ก็ขอให้พึงระวังไว้ด้วย...
เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องนำ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 64 เข้าสู่การพิจารณาของสภาในวาระ 2 วาระ 3 หากภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ เกิดความไม่พอใจ หันไปจับมือกับฝ่ายค้าน “สั่งสอน” อีกรอบ ด้วยการโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบ ก็เป็นอันจบเห่ ... ต้องไปเลือกตั้งกันใหม่