ศบค.แถลงไทยพบติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 1 รายกลับจากบาห์เรน ผลตรวจสถานบันเทิงให้ความร่วมมือดี แต่พบสัมผัสเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ วงประชุม ศบค.ชุดเล็กเสนอต่างชาติรักษาพยาบาล พ่วงจัดทัวร์อยู่ครบ 14 วัน เผยทราเวลบับเบิลอนุญาตเฉพาะกลุ่ม เริ่ม 1 ก.ย.นี้
วันนี้ (3 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 1 ราย ในสถานที่กักตัวของรัฐ ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,180 ราย หายป่วยสะสม 3,066 ราย ซึ่งไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้ยอดสะสมคงที่ 58 ราย และไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศติดต่อกัน 39 วัน สำหรับผู้ป่วยเพิ่ม 1 รายนั้น เป็นหญิงอายุ 24 ปี เดินทางมาจากประเทศบาห์เรน เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 28 มิ.ย. เข้าพักสถานที่กักตัวของรัฐที่ จ.ชลบุรี ผลตรวจพบเชื้อโควิดในวันที่ 1 ก.ค. สำหรับสถานการณ์ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อ 10,970,706 ราย และเสียชีวิต 523,171 ราย ส่วนคนไทยที่ตกค้างในต่างประเทศและจะเดินทางถึงประเทศไทยในวันเดียวกันนี้ 1 เที่ยวบิน จำนวน 250 ราย ในวันที่ 4 ก.ค. มี 4 เที่ยวบิน จำนวน 472 ราย
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า สำหรับสิ่งที่น่ากังวลใจในช่วงเปิดเทอม คือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโรคมือ เท้า ปาก ซึ่งเราติดตามตั้งแต่ในปี 2562-2563 พบว่าตัวเลข โรคมือ เท้า ปาก ในปี 63 ตั้งแต่แต่สัปดาห์แรกจนถึงปัจจุบัน เกิดโรคน้อยมาก แต่ปี 2562 พบว่าสูงไปถึงกลางปี ซึ่งทำให้ในปีนี้อัตราการเกิดโรคต่ำ เนื่องจากเปิดเทอมช้า และมีการสวมใส่หน้ากากอามัย จึงทำให้ไม่มีการแพร่ระบาด ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ช่วงต้นปีสูงขึ้น แต่เนื่องจากเราได้มีการรณรงค์สวมหน้ากาอนามัยตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค. ปรากฏว่าการเกิดโรคน้อยลงไปเรื่อยๆจนถึงเดือนมิ.ย. ส่วนกลุ่มที่น่าห่วง คือ เด็กอายุ 0-4 ปี ในระดับอนุบาล และกลุ่มอายุ 5-14 ปี ในระดับประถมต้นและประถมปลาย ซึ่งเพิ่งเปิดเทอมจึงขอฝากพ่อ แม่ ผู้ปกครองดูเรื่องการสวมใส่หน้ากากอนามัย ขณะที่โรคปอดอักเสบ แนวโน้มปีนี้ลดลง เนื่องจากเรามีการป้องกันโรคโควิด ทำให้โรคอื่นๆ ลดน้อยลงไปด้วย และเด็กมีอัตราการติดเชื้อลดน้อยลง จึงทำให้ทำไปเรื่อยๆ เพราะการเปิดเทอมมีอัตราความเสี่ยงเหมือนกัน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ส่วนการตรวจกิจการและกิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายในระยะที่ 5 นายกฯได้กำชับว่าครั้งนี้มาตรการต่างๆ มีความสุ่มเสี่ยงอยู่มาก จึงได้ให้ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (หน.ศปม.) นำทีมลงพื้นที่ตรวจ พบว่าส่วนใหญ่สถานบันเทิงให้ความร่วมมือดีทุกแห่ง ต้องขอชื่นชม แต่ยังมีประเด็นที่ตรวจเจอ เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ และเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ยังมีบางแห่งยังเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ และต้องมีการสัมผัสกันเรื่อยๆ จึงต้องระวัง ซึ่งภาพการนั่งห่างต้องเกิดขึ้น และต้องมีการทำความสะอาดบ่อย ๆ ตรงนี้มีความเข้มของการตรวจและการตรวจในครั้งต่อๆไปผู้ประกอบการจะต้องขอดูผู้เข้าไปตรวจสอบว่ามีแอพพลิเคชั่นผู้พิทักษ์ไทยชนะหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแอบอ้าง
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้มีการประชุม ศบค.ชุดเล็ก มีการนำเสนอร่างการจัดการข้อปฏิบัติ เรื่องการนำเอาผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เพื่อรับการรักษาในโรงพยาบาลของไทย ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่เข้ามารักษาโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคโควิด อาจจะมาเสริมความงาม เช่น เสริมจมูก โดยจะต้องอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลา 14 วัน แม้ว่าอาจจะใช้เวลารักษาแค่ 2-3 วัน และจากนั้นในวันที่ 1 ส.ค.อาจจะอนุญาตให้กลุ่มดังกล่าว หากอยากไปท่องเที่ยว ในจุดอื่นๆ ก็จะจัดทัวร์ให้ จากนั้นวันที่ 1 ก.ย.การจับคู่การเดินทางระหว่างประเทศที่มีความปลอดภัยจากโควิด-19 สูง (ทราเวลบับเบิล) อาจจะอนุญาตให้กลุ่มเฉพาะที่เราดูแลได้เริ่มต้นลองเข้ามา ถ้าสถานการณ์ดีขึ้นทราเวล บับเบิลจะเกิดขึ้นตามมา แต่ใน 11 กลุ่มเราเน้นนักธุรกิจ หรือผู้ป่วยที่ต้องเข้ามารับการรักษาในประเทศเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่การเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวแบบเดิม ทั้งนี้ ขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนและคลินิกสมัครเข้ามา 62 แห่ง โดยโรงพยาบาลเหล่านี้มีเตียงรองรับ แต่จะไม่มีการเปิดด่านพรมแดนให้รถยนต์ผ่านมาเข้า-ออก แต่จะขอเฉพาะที่เดินทางมาทางเครื่องบินเท่านั้น ขณะนี้มีผู้เริ่มลงทะเบียนที่จะขอเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศแล้ว 17 ประเทศ รวมแล้ว 1,700 คน โดยมีประเทศที่ขอเข้ามาในเดือนก.ค.นี้ อาทิ จีน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต เป็นต้น
เมื่อถามว่าที่มีการระบุว่าหากมีการระบาดรอบสองจะทำอย่างไร หากเตียงไม่เพียงพอ เพราะมีกลุ่มคนเหล่านี้มานอน นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เรื่องดังกล่าว พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณามาตรการผ่อนปรนการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ให้ดูเรื่องเตียงและทรัพยากรไว้แล้ว ต้องไม่เกิดเรื่องการแย่งเตียงหรือทรัพยากรเหล่านี้ ทั้งนี้ในช่วงวันหยุดยาวในสัปดาห์นี้ เราหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากประชาชน ทุกคนต้องเที่ยวอย่างมีสติ เที่ยวอย่างปลอดภัย ไม่ให้ป่วย และปิดกิจการอีกรอบเหมือนในต่างประเทศ เพื่อให้เราเราผ่านมาตรการระยะที่ 5 ยิ่งเราทำดีเท่าไหร่ คนต่างชาติก็อยากเข้ามา
เมื่อถามต่อว่าการเข้ามารักษาโรงพยาบาลในไทยญาติหรือผู้ติดตามสามารถเข้ามาได้กี่คน และผู้ป่วยที่รับการรักษาไม่ครบ 14 วันต้องกักตัวที่ประเทศไทยหรือสามรถกลับประเทศได้หรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า มีผู้ติดตามได้ไม่เกิน 3 คน ต้องมีการลงทะเบียน และมีใบนัดหมายแพทย์ประกอบ และอยู่โรงพยาบาลอย่างน้อย 14 วัน หากไม่ครบ 14 วันจะไม่ให้ออก